|
/body onLoad="MM_preloadImages('../images/link_2_6_a.gif')">
/SCRIPT LANGUAGE="javascript1.1" page="dhamma_online";
/SCRIPT LANGUAGE="javascript1.1" src="http://truehits1.gits.net.th/data/e0008481.js">
|
|
|
ผาดโผนทางที่ดีเป็นคติได้ทั่วโลก |
|
วันที่ 29 มิถุนายน 2545
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด |
| | |
ค้นหา :
ผาดโผนทางที่ดีเป็นคติได้ทั่วโลก
สรุปทองคำและดอลลาร์วันที่ ๒๘ เมื่อวานนี้ ทองคำได้ ๑๒ บาท ดอลลาร์ได้ ๓๔๔ ดอลล์ นี่ได้กำหนดไว้ในคราวนี้ซึ่งเป็นคราวยิ่งใหญ่สำหรับชาติไทยเรา ที่จะรื้อฟื้นเมืองไทยเราขึ้นจากหล่มลึกซึ่งกำลังจะจมอยู่อย่างที่ผ่านมาแล้วนี้ ทราบทั่วกันสำหรับเมืองไทยเรา นี่เราพยายามที่จะฟื้นชาติไทยของเราให้ขึ้นสู่ อย่างน้อยก็ควรจะหายใจได้หรือเป็นปรกติ ด้วยการนำสมบัติทั้งหลายที่บกพร่องไปโดยลำดับ ซึ่งจะทำให้เมืองไทยเราล่มจมได้อยู่นี้นั้น คือทองคำ ดอลลาร์ เงินสด ได้มาทุกวัน ๆ ตั้งแต่วันประกาศนำพี่น้องทั้งหลายเรื่อยมาจนกระทั่งป่านนี้เป็นเวลา ๔ ปีกว่าแล้ว
หลวงตาได้ออกประกาศและได้ขึ้นเวทีแล้วเวลานี้ ขึ้นเวทีแล้วถอยไม่ได้เลย ถ้าลงได้ขึ้นแล้วต่อยตลอดนะ ไม่มีคำว่าถอย ลงมาแล้วค่อยสวมนวม ให้ต่อยเสียก่อนให้ถึงใจ นี่เริ่มแล้วชาติไทยของเราเป็นชาติที่สมบูรณ์แบบทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ได้บกพร่องอะไรเลย ปู่ย่าตายายบรรพบุรุษของเราได้พาประคับประคองลูก ๆ หลาน ๆ เหลน ๆ มาจนกระทั่งถึงพวกเรา แล้วอยู่ ๆ ลูก ๆ หลาน ๆ เหลน ๆ เรานี้จะไม่ได้เรื่องได้ราว จะให้เมืองไทยเราจมต่อหน้าต่อตาคนทั้งโลกซึ่งเขาตั้งตัวของเขาได้เป็นคน เป็นเมืองเขาเมืองเรานะ แต่เมืองไทยจะกลายเป็นเมืองหมาอย่าให้มีนะ
ฟังซิคำว่าหมา เราเลี้ยงอยู่ทุกบ้านนะหมา แต่เวลาตำหนิมันบอกว่าเหมือนหมา ใครไม่อยากฟังทั้ง ๆ ที่หมามันติดหลังอยู่นั่นน่ะ นี่เราก็ไม่อยากฟังด้วยกัน หลวงตาบัวมีหมาตั้ง ๑๐ กว่าตัว จะว่าวัดป่าบ้านตาดเป็นวัดหมาไปเดี๋ยวนี้ โถ โมโหนะ แต่ว่าวัดหมาเพราะเราเลี้ยงหมาเราไม่ว่านะ แต่ว่าวัดหมาเพราะความพาหมาให้ล่มจมนี้ใช้ไม่ได้เลย นี่ละต้นเหตุที่หลวงตาได้ประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบ
คราวนี้ออกจริง ๆ แล้วนะ ได้ประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบทั่วหน้ากันทั้งประเทศไทยเราว่า การช่วยชาติคราวนี้อย่างไรก็ขอให้ได้ทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตัน ส่วนดอลลาร์ก็จะตามกันไป แต่เราแน่ใจอยู่แล้วว่าดอลลาร์เรานี้ เมื่อทองคำเข้าถึงขั้น ๑๐ ตันแล้ว ดอลลาร์จะได้ ๑๐ ล้าน เพราะเวลานี้ได้ถึง ๖ ล้าน ๘ แสนแล้ว เราจ่อดูแต่บัญชี แล้วมองโน้นมองนี้หาอะไรจะมาเพิ่มบัญชีไม่เห็น เราโมโหอยากตีตามนี้ดะไปหมดเลยนะ มองตั้งแต่บัญชี ๆ เงินดอลลาร์จะไหลเข้ามาก็ไม่ค่อยเห็นมี แล้วมองโน้นมองนี้มองไปมองมาเห็นไม้จะไล่ตีเอาเลย ตีแล้วก็เงินออกมา เอาเงินแล้วทิ้งไม้
นี่ได้ประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบแล้วนะ เมืองไทยเราเป็นเมืองสำคัญมาดั้งเดิมนะ ไม่ได้ปรากฏอะไรบกพร่องเลย เวลานี้ความบกพร่องความจะล่มจมปรากฏขึ้นมา ประหนึ่งว่าแสดงความสามารถของชาติไทยเรา มีความรักชาติขนาดไหน มีความเสียสละ ความพร้อมเพรียงสามัคคีกันขนาดไหน ประหนึ่งว่าเรื่องราวที่ผ่านมาเมื่อสามสี่ปีมานี้นั้น ประกาศให้พี่น้องชาวไทยเราทราบทั่วหน้า ตื่นนอนแล้วยังเวลานี้ นี่ความจม ประกาศโต้ง ๆ ออกมาถามพวกเรา ตื่นนอนแล้วยัง ตื่นนอนอะไร เราต้องถามเสียก่อนนะ ตื่นนอนเพราะความจะพาให้จมด้วยความนอนใจ ตื่นแล้วยัง ตื่นแล้ว ว่างั้นละที่นี่ ถ้าตื่นแล้วเอาอะไรมาเป็นพยาน เอาทองคำเป็นที่หนึ่ง ดอลลาร์เคียงข้างกันไป เงินสดไปเรื่อย นี้คือความตื่นนอน นี่เห็นไหมตั้งอยู่นี่เครื่องหมายของความตื่นนอน
นี้จะให้ได้ทองคำ ๑๐ ตัน การเทศนาว่าการนั้นเวลานี้หลวงตาอ่อนเต็มที่แล้วนะ แต่ตะเกียกตะกายเพื่อพี่น้องชาวไทยเรา ทุกสิ่งทุกอย่างเราประกาศป้างมาตั้งแต่ออกสังคมนี้ได้สี่ห้าปีมานี้ ให้พี่น้องทั้งหลายทราบตามหลักความจริงแห่งพุทธศาสนาที่ทรงมรรคทรงผลมาดั้งเดิม ผู้ปฏิบัติมีมากน้อยเพียงไรจะตักตวงเอาผลขึ้นมาตามกำลังความสามารถของตน นี่หลวงตาก็ได้ประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบแล้ว มาโกหกพี่น้องทั้งหลายเหรอ ปฏิบัติมาแทบล้มแทบตาย ขออภัยนั่งภาวนาก้นแตกเลอะหมด ฟังซิ พวกเรามีแต่หมอนแตก เสื่อขาด อันนี้นั่งก้นแตก นั่งยังไงมันถึงก้นแตก นั่งภาวนาตลอดรุ่ง ฟังซิน่ะ ฟาดตั้งแต่หัวค่ำ บางวันตะวันยังไม่ตกนั่งแล้วฟาดตะวันโผล่ขึ้นมาวันหลัง เป็นยังไงกี่ชั่วโมง ไม่ให้พลิกให้เปลี่ยน นั่งขัดสมาธิ ดูเอาตัวอย่างนี่ (หลวงตาแสดงวิธีนั่งขัดสมาธิให้ดู) ไม่ให้เคลื่อนไหวไปไหนเลย เด็ดไหม
กิเลสเด็ดเราต้องเด็ด ธรรมะไม่เด็ดไม่ได้ คราวนี้เอาจริงเอาจังกัน นั่งตั้งแต่บัดนี้ถ้าไม่ถึงวันใหม่ขึ้นมาชัดเจนแล้วว่าเป็นวันใหม่ จะลุกไม่ได้เป็นอันขาด ฟังซิ มีเว้นข้อเดียว ยกเว้นที่ว่า เวลานี้เราอยู่กับครูบาอาจารย์กับเพื่อนกับฝูง เมื่อมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเป็นความฉุกเฉินแล้วเราจะยกเว้นให้ ลุกขึ้นจากที่ได้ไปช่วยเหตุการณ์นั้น ถ้าไม่มีอะไรแล้วตัวเองไม่มียกเว้น เอา ปวดหนักออกเลย ปวดเบาออกเลย ตั้งแต่เกิดมามันขี้ใส่ตักพ่อตักแม่มันมาพอแรงแล้ว เอาพ่อแม่เป็นส้วมเป็นถานมาแล้ว นี่เราจะเอาสบงจีวรของเราเป็นส้วมเป็นถานด้วยความสัตย์ความจริงของเรา ทำไมจะไม่ได้วะ เอาเลย เอา ปวดหนักออกเลย ปวดเบาออกเลย
นั่งอย่างนี้ตลอดรุ่งวันแรกไม่เป็นไรนะ เพราะการนั่งตลอดรุ่งไม่ได้นั่งคืนเดียวนี่นะ นั่งตลอดรุ่งคืนนี้แล้วเว้น ๒ คืนบ้างหรือ ๓ คืนบ้าง เอาอีก ตลอดรุ่งอีก ๆ ได้ ๙ คืน ๑๐ คืนติดต่อกันไปอย่างนี้ เว้นวันสองวัน ๆ ทีแรกออกร้อนก้นเหมือนไฟเผานั้นแหละ ต่อมามันก็พอง จากพองมันก็แตก จากแตกมันก็เลอะ นั่นฟังซิพี่น้องทั้งหลาย จนกระทั่งก้นแตก ก้นแตกไม่เป็นไรเราตั้งใจจะให้กิเลสแตกเท่านั้น ก้นแตกไม่สำคัญ ซัดกันใหญ่เลย จนกระทั่งพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นเรานี้มากระตุกผึงทันทีเอาอย่างแรง ไม่งั้นยังจะเอาอีกนะไม่ถอย
นี่นิสัยจะว่าผาดโผนหรือไม่ผาดโผนพี่น้องทั้งหลายพิจารณาเอา แต่ผาดโผนในทางที่ดีเป็นคติได้ทั่วโลกนะ พระพุทธเจ้าผาดโผนจนถึงขั้นสลบ หลวงตาบัวถึงสลบที่ไหน ไม่เคยสลบ ยังมาอวดว้อ ๆ อยู่นี่ อวดพระพุทธเจ้า นี่พิจารณาซิพี่น้องทั้งหลายเป็นคติเครื่องเตือนใจ นี่ละฟัดกับกิเลสด้วยธรรมของพระพุทธเจ้านะ ธรรมพระพุทธเจ้าปราบกิเลสราบเรียบมาหมด ๆ ทั้งนั้น ไม่มีกิเลสตัวใดเหลืออยู่ในพระทัยของพระพุทธเจ้าเลย เป็นศาสดาเอกของโลกขึ้นมาด้วยอำนาจแห่งธรรมปราบเรียบ ๆ จึงได้เป็นศาสดาของโลก ไอ้พวกเสื่อพวกหมอนมันปราบพวกเราให้ราบเรียบ ๆ ดีไม่ดีขี้แตกในเสื่อก็ได้นี่นะ อ้าว เวลามันเจ็บท้องมันลุกไม่ทันก็ขี้แตกล่ะซี พูดต้องมีแง่ซิ ถ้าธรรมดาใครจะไปขี้ใส่เสื่อ เมื่อไปไม่ทันแล้วแม้แต่อยู่ในรถ หลวงตาบัวยังขี้แตกใส่รถ ก็พูดความจริงนี่ผิดไปไหน
นี่ละพี่น้องทั้งหลายฟังเอา ภาษาธรรมต้องตรงไปตรงมา ภาษากิเลสอ้อมแอ้ม ๆ โมกโขโลกนะตลอดเรื่องภาษากิเลส เรื่องภาษาธรรมไม่มีโมกโขโลกนะ ผึงเลย ข้าศึกอยู่ตรงไหนผาง ๆ เลย นี่ก็อย่างนั้นละ พ่อแม่ครูจารย์ขึ้นมาเพราะเวลานั้นเอาเต็มเหนี่ยว วันไหนนั่งตลอดรุ่งนี้ จะพูดผลให้พี่น้องทั้งหลายฟัง เราไม่เคยเป็นในหัวใจของเรา วันแรกคืนแรกเลยมันจะตายจริง ๆ นี่ละจึงว่าคนเราไม่ได้โง่ตลอดเวลานะ เวลาจะตายจริง ๆ มันมีสติปัญญาหาทางออกจนได้ นี่เราเห็นด้วยตัวของเราเอง เวลามันทุกข์มากจริง ๆ นี้ต้องขออภัย ร่างกายของเรานี้เหมือนกับซุงทั้งท่อน ทุกขเวทนานี้โหมตัวเข้ามาเหมือนกับไฟเผาซุงเลย เผาซุงคือร่างกายของเรา
มันจะแตกจะดับ เอ้า ตรงไหนจะแตก วันนี้เราจะเรียนอริยสัจ ทุกฺขํ อริยสจฺจํ เป็นต้น แล้ว มรณ อริยสจฺจํ อีกเหมือนกัน อยู่กับตัวของเราเอง เอ้าเรียนให้จบ พระพุทธเจ้าเรียนรู้เราทำไมจะไม่รู้วะ สายทางของธรรมสอนไปตรงนี้ เอา แยกธาตุแยกขันธ์ อะไรเจ็บอะไรปวด นี่ละไล่ให้พี่น้องทั้งหลายฟัง หนังหรือปวด เวลาหนังเจ็บปวด เอาไปเผาไฟหนังว่ายังไง เนื้อหนังเอ็นกระดูกตับไตไส้พุงรวมกันมาหมด อันนี้เหรอเจ็บปวด ครั้นว่าเจ็บปวด คนตายแล้วเอาไปเผาไฟมันบอกว่ายังไง ไม่มีอะไร แล้วอะไรเจ็บปวด ไล่เข้าหาตัวจริง คือตัวจิตตัวมันหลอกลวง กิเลสอยู่ภายใน อันนั้นเจ็บอันนี้ปวดมันจะหาทางออก ทางนี้ก็ตีเข้า ๆ แยกธาตุแยกขันธ์
หนังหรือเป็นทุกข์ กระดูกหรือเป็นทุกข์ เนื้อหรือเป็นทุกข์ อะไรเป็นทุกข์แยกกันไปหมดเลย อะไรตาย ไม่เห็นมีอะไรตาย แตกลงไปนี้ดินน้ำลมไฟไปตามสภาพเดิมของเขา แล้วมันหาเรื่องใส่กันอะไร นี่ตีเข้าไปนะ ทุกข์มากเท่าไรยิ่งหมุนติ้ว ๆ เข้าไป เมื่อมันแยกได้สัดได้ส่วนด้วยสติปัญญา คือทุกข์มากเท่าไรสติปัญญาจะอยู่ไม่ได้นะ หมุนเป็นธรรมจักรเลย มันหากเป็นเองของมันแหละ ซัดกันไปซัดกันมา รู้เข้าไป ๆ รวมพับพรึบเลย ฟังซิ พอมันพรึบเท่านี้ทุกขเวทนาที่โหมตัวเข้ามาเหมือนไฟไหม้ร่างกายของเราซึ่งเป็นเหมือนซุงทั้งท่อนนี้ พรึบพร้อมกันหมดเลย จ้าขึ้นมาเลย โถ อัศจรรย์ซิ นี่เห็นไหมอำนาจแห่งความสัตย์ความจริงความเด็ดความเดี่ยว ทุกขเวทนาที่เผากันอยู่ในร่างกายนี้ดับไปพร้อมกันหมดเลย พรึบเดียวเท่านี้จิตมันสว่างจ้าขึ้นมา อู๋ย อัศจรรย์ไม่มีอะไรคาด
นั่นคืนวันแรกนะที่เราไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไร ซัดกันแบบเอาตายสู้เฉย ๆ เมื่อพิจารณาเข้าไป ๆ มันทุกข์มากเท่าไรสติปัญญายิ่งหมุนเข้าไป ๆ แก้เรื่องความสำคัญผิดของตัวเองออกเรื่อย ๆ เมื่อความสำคัญผิดแตกไป ความจริงก็ขึ้นมา ต่างอันต่างจริง จิตก็ลงผึง จ้าแล้วอัศจรรย์ล่ะซี โถ เป็นอย่างนี้หรือจิตนี่ เกิดความอัศจรรย์ คืนแรกรวมอย่างนี้ได้ ๓ หน แล้วแต่วันไหนมันจะรวมใหญ่อย่างนี้ได้นะ บางวันก็ ๒ หน บางวันหนเดียวเท่านั้นก็มี มันแล้วแต่ความสะดวกของการพิจารณา
ท่านว่า อุตุสัปปายะ ดินฟ้าอากาศเป็นที่สบาย เหมาะสมจริง ๆ เรายอมรับเลย ถ้าวันไหนเรานั่งตลอดรุ่ง ฝนพรำทั้งคืน วันนั้นการพิจารณานี้พุ่ง ๆ เลยเทียวนะ ถ้าวันไหนอากาศร้อนเหงื่อแตกนี้ เหงื่อนี้อย่าพูดธรรมดาเลย เหมือนจีวรนี้ซักเลย เปียกหมดตัวเลย คือเหงื่อมันออก ยางตายนั่นละไม่ใช่เหงื่อ แต่มันไม่ถอยละซีจิต มันก็จ้าขึ้นมา นี่ละเหตุที่จะไปเล่าให้พ่อแม่ครูจารย์ฟัง
ตามธรรมดาลูกศิษย์กับอาจารย์ขึ้นไปก็เหมือนผ้าพับไว้ ความเคารพนบน้อมทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมหมด เป็นปรกติของลูกศิษย์กับครูกับอาจารย์ที่ตนเคารพนับถือนะ ทีนี้เช้าวันนั้นมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น มันคึกคักอยู่ภายในใจอยากกราบเรียนท่าน ของอัศจรรย์ที่ภายในใจเราไม่เคยเห็นเคยรู้ พอขึ้นไปไม่เป็นผ้าพับไว้ละ เป็นนักมวยขึ้นไปนะ เป็นแชมเปี้ยน แต่ไม่ใช่ต่อสู้กับครูอาจารย์ แต่สำหรับกิริยานั้นเหมือนการต่อสู้กัน แต่ภายในนั้นหมายถึงว่าอยากกราบเรียนเรื่องความรู้ความเห็นความอัศจรรย์ ที่ท่านสอนแล้วสอนเล่าแทบเป็นแทบตาย ให้ท่านได้ยินได้ฟังในคืนวันนี้ ที่เราปรากฏเต็มหัวใจเราบ้าง
พอขึ้นไปก็กราบเรียนเลย พิจารณาอย่างนั้น ๆ ตามที่เล่าย่อ ๆ นี่ละ จิตมันก็ลงผึงเลย แล้วจ้าไปหมด มันสว่างของมันจ้าไปหมดเลย ท่านก็นั่งนิ่งฟังนะ ฟังบ้าตัวนี้มันขึ้น โอ๋ย ทั้งจะกัดจะเห่าว่างั้นเถอะ ดีไม่ดีมันอยากจูงไอ้หยอง ไอ้ปุ๊กกี้ ไอ้หมีเข้ามา มึงเหมือนกูไหม กูนี้เก่ง กับครูกูยังซัดเข้าใจไหม ใส่เปรี้ยง ๆ ท่านก็นั่งฟัง ท่านนั่งฟังไม่ฟังธรรมดานะ ฟังทุกกีทุกกีเลย กิริยาอาการแห่งการพิจารณาและผลเป็นยังไง ได้ลงยังไง ท่านฟังนิ่งเลย เราก็กราบเรียนผางๆ เห็นไหมกิริยาวันนั้น ไม่มีกิริยาผ้าพับไว้ มีกิริยาขึงขังตึงตัง เพราะพลังของธรรมขึ้นเต็มเหนี่ยวในจิต ก็มันรู้อยู่เต็มเหนี่ยวนี่ ออกมาผาง ๆ เลย พอจบลงแล้วก็หมอบคอยฟังท่านจะพูดเรื่องอะไร
ท่านก็ขึ้นท่านก็ขึ้นเลยทีนี้ ผางขึ้นทันทีเลยนะ มันต้องอย่างนี้ขึ้นเลยนะ เอาละ ทีนี้ได้หลักแล้วท่านว่าอย่างนั้น ได้หลักแล้ว เอ้า จะแตกก็ให้มันแตก อัตภาพร่างกายอันเดียวนี้มันไม่ได้ตายถึง ๕ หนนะ มันตายหนเดียวด้วยกันทั้งโลกนั้นแหละ มันไม่ได้ตายถึง ๕ หน เอ้า ได้หลักแล้วทีนี้เอาเลยนะ ไม่ต้องถอยว่างั้น อันนี้เหมือนหมาตัวหนึ่งนะ พอกลับมาแล้วเห็นใบไม้นี้ไม่ว่าใบแก่ใบอ่อนมันทั้งจะกัดจะเห่า มันมีกำลังใจถูกต้องแล้ว ความหมายว่าอย่างนั้น ทีนี้ก็เอาใหญ่แหละ นี่วันนี้เป็นอย่างนี้ เว้น ๒-๓ คืนเป็นอีก แล้วก็มาเล่าถวายท่าน
อุบายวิธีการมันไม่ได้เหมือนกันนะ หากเป็นอยู่ในวงอริยสัจอันเดียวกัน คำว่าไม่เหมือนกันเราจะตกแต่งให้เป็นแบบเดียวกันเหมือนโครงการ หรือตำรับตำราไม่ได้นะ การพิจารณาธรรมต้องเป็นปัจจุบัน ของเก่าก็ตามถ้ามันขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ เป็นของใหม่สด ๆ ร้อน ๆ เป็นปัจจุบัน นั่นถูกต้องใช้ได้ เราจะยึดอันนั้นมา เราพิจารณาเมื่อวานนี้เป็นยังนั้น วันนี้จะเอาอันนั้นมาใส่ไม่ได้นะ ต้องเป็นหลักปัจจุบันการพิจารณา อันไหนที่ผ่านไปแล้วผ่านไป ให้ขึ้นปัจจุบัน ของเก่าก็ตามถ้าเป็นปัจจุบันเป็นของใหม่ขึ้นมาสด ๆ ร้อน ๆ แก้กิเลสได้เลย ขึ้นไปก็ผางเลยวันไหน สรุปความลงไปเลย ๙-๑๐ คืน ขึ้นไปวันไหนก็อย่างนี้เหมือนกัน พอต่อไปท่านก็อ่อนลงเรื่องทรมานวิธีการอย่างนั้น ท่านก็อ่อนลง ท่านรู้เรื่องรู้ราวแล้ว
ทีนี้บทท่านจะเอาท่านกระตุกนะ ถ้าหากว่าท่านไม่กระตุกอย่างนั้น มันยังจะเอาอีกนะ เรื่องก้นแตกไม่สนใจ คอยแต่กิเลสจะแตกเท่านั้น พอขึ้นไปนั่งปั๊บเท่านั้น ขึ้นผางเลย กิเลสมันไม่ได้อยู่ที่กายนะ มันอยู่ที่ใจ ขึ้นเลยทีเดียว คือเห็นเราดัดสันดานของเรามากจนเกินไป แต่ก้นแตกเราไม่ได้กราบเรียนท่านนะ เราไม่เคยพูด พูดแต่วิธีการที่ฟัดกันมันก็สุดเหวี่ยงให้ท่านเห็นแล้ว ทีนี้พอขึ้นไป กิเลสมันไม่ได้อยู่ที่กายนะ มันอยู่ที่ใจ ท่านว่าอย่างนั้น ม้าตัวไหนที่มันคึกมันคะนองมาก นายสารถีฝึกม้าเขาต้องฝึกทรมานอย่างหนัก ไม่ควรให้กินหญ้าไม่ให้มันกิน ไม่ควรกินน้ำไม่ให้มันกิน เอาอย่างหนักด้วยการทรมาน จนกว่ามันค่อยลดพยศลง ๆ การฝึกเขาก็ลดลง ๆ เมื่อใช้งานได้ปกติ มันไม่คึกไม่คะนองไม่ผาดโผนโจนทะยานแล้วเขาก็ใช้งานธรรมดา ท่านพูดเท่านี้พอ
เราก็เห็นแล้วในคัมภีร์มี สารถีฝึกม้าเราเรียนมาแล้วเห็นแล้วพอท่านว่าอย่างนั้น ท่านไม่ได้เทียบเรายังเสียดายอยู่นะ ที่ข้อเทียบเคียงของท่าน นี่พูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังทุกคนนะ ที่เราเสียดายคืออะไร ท่านบอกว่าสารถีฝึกม้าเขาฝึกอย่างนั้น จนกระทั่งม้าใช้การใช้งานได้ตามปกติแล้วเขาก็หยุดการฝึกวิธีนั้น ว่าอย่างนั้นนะ ท่านก็เงียบไปเลยเราจับได้หมด แต่เรายังเสียดายอยากให้ท่านหันหน้ามาทางนี้อีกทีหนึ่งนะว่า เขาฝึกม้าเขาฝึกอย่างนั้น ไอ้หมาตัวนี้มันฝึกยังไงฝึกเจ้าของ จึงไม่รู้จักประมาณ อยากให้ท่านว่าอย่างนั้นนะ เรายังเสียดายอยู่จนกระทั่งป่านนี้ มันจะเด็ดมันจะถึงกันกับนิสัยผาดโผน เข้าใจไหม อันนั้นเขาฝึกม้าเขาฝึกอย่างนั้น ไอ้หมาตัวนี้ฝึกยังไงถึงไม่รู้จักประมาณความหมายก็คงว่าอย่างนั้น แต่ท่านไม่พูดเรายังเสียดาย เราก็เอามาพูดสอนตัวเองแหละ
นี่ละฟังซิพี่น้องทั้งหลายเป็นยังไงธรรมพระพุทธเจ้า หรือให้กิเลสเหยียบหัวอยู่นี้เหรอ จะเข้าวัดเข้าวาฟังธรรมจำศีล ทำบุญให้ทาน เหมือนกิเลสมันจะลากขาขาดทั้งสองขาสามขา ถ้ามีสิบขาขาดอีก มีขาเหมือนบุ้งกือขาดหมด อย่าว่าแต่มีสี่ขาเหมือนหมาเหมือนเรานี้เลย มีขาเหมือนบุ้งกือ ขาขาดออกหมด ถูกกิเลสจับขาลากออก มันไม่ยอมให้ฟังธรรมจำศีล ฟังอรรถฟังธรรม ไปวัดไปวา หรือทำบุญให้ทาน มีแต่มันลากเข้าเสื่อเข้าหมอน ลากไปสู่ความเพลิดความเพลิน เต็มบ้านเต็มเมืองมีแต่ความเพลิดความเพลินไปตามกิเลสจูงจมูก ดูซิจมูกพวกเรามีมาด้วยกันไหม ไม่ใช่จมูกขาดแล้วเหรอถูกกิเลสจูง ยังมาสบาย ๆ อยู่เหรอ พิจารณาซิ
นี่พูดถึงเรื่องอรรถเรื่องธรรมที่ได้นำมาสอนพี่น้องทั้งหลาย เริ่มตั้งแต่นั้นที่เราได้หลักเกณฑ์นะ ตั้งแต่บัดนั้นมาทีนี้จิตก็ซัดกันใหญ่เลย เอาเป็นเอาตายเข้าว่าจริง ๆ ไม่ใช่ธรรมดา ไม่มีถอย นี้มันเหมือนหินหัก ถ้าต่อก็เป็นรอยต่อ หักปุ๊บนี้ต่อกันไม่ได้เลย นี่เหมือนกัน คำสัตย์คำจริงถ้าลงได้ตั้งอย่างไรแล้ว ต้องขาดสะบั้นไปเลย ไม่งั้นมันไม่ทันกันกับเหตุการณ์ต่าง ๆ นี่ก็ได้ฝึกทรมานมาเต็มเม็ดเต็มหน่วย แล้วธรรมทั้งหลายที่ได้มาสอนพี่น้องทั้งหลาย สาธุ เราไม่ได้ไปหาเอาตามคัมภีร์ คัมภีร์เป็นแบบแปลนแผนผังที่จะก้าวเดิน เรานำแบบแผนนั้นออกมากางมาปฏิบัติ
เหมือนบ้านเรือนนี้นะ แปลนอยู่ในตู้ในหีบอยู่ห้องในหับ ถ้าเราต้องการบ้านหลังไหนขนาดไหน ให้ลากเอาแปลนออกมา เอามากางดูแปลน นี่เราจะสร้างบ้านขนาดไหน เอาแปลนมากาง เอาขนาดนี้หรือเอาขนาดนี้ดูแปลน แล้วเราก็สร้างตามแปลน นี่เป็นภาคปฏิบัติเข้าใจไหม ภาคปริยัติได้แก่แปลน ไปอ่านแปลนดูเสียก่อนเรียบร้อยแล้ว ดึงแปลนออกมากาง แล้วปลูกบ้านปลูกเรือนตามแปลนนั้นเรียกว่าภาคปฏิบัติ ทีนี้เวลาปลูกบ้านปลูกเรือนตามแปลน รูปร่างของบ้านของเรือนก็ค่อยปรากฏขึ้นมา ๆ ตั้งแต่วางรากฐาน ขุดดินโดยลำดับ เทเสาเทคาน ก็ค่อยปรากฏเป็นผลขึ้นมาเรียกว่าปฏิเวธ รู้แล้วว่าผลของงาน เวลานี้กำลังทำถึงนี้ถึงนั้น ฟาดจนกระทั่งถึงคานถึงขื่อ ถึงหมดทั้งหลัง นี้เป็นปฏิเวธคือรู้แล้วว่าเราสร้างได้เท่านั้น ๆ นี้แลคือปริยัติ
เราเรียนแปลนแล้วดึงแปลนออกมากางปลูกบ้าน นี่เป็นภาคปฏิบัติปลูกบ้าน ผลปรากฏขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่าง นั้นเรียกปฏิเวธ เป็นลำดับลำดา จนกระทั่งทำสำเร็จจากแปลนนั้นโดยสมบูรณ์แล้ว เป็นบ้านเรือนโดยสมบูรณ์ นี่ก็เหมือนกัน ลากปริยัติมาจากตำรับตำรามากางปฏิบัติ คำว่าศีลก็ดีเราเป็นผู้ปฏิบัติ ศีลว่าเฉย ๆ ไม่เอามาปฏิบัติไม่เป็นศีลนะ ต้องนำมาปฏิบัติ สมาธิเราทำขึ้นมา นี่เรียกว่าภาคปฏิบัติ สมาธิเราทำขึ้นมา ปัญญาเราสร้างขึ้นมาก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา รูปร่างของศีลรูปร่างของสมาธิ รูปร่างของปัญญา รูปร่างของวิมุตติหลุดพ้น ตามศาสดาไปเลยไม่สงสัย เพราะแปลนนี้สมบูรณ์แบบแล้ว เรียกว่า สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบทุกอย่างแล้ว ขอให้ทำตามแปลน ให้ดำเนินตามแปลนนี้ มรรคผลนิพพานไม่เคยครึเคยล้าสมัย
มันครึมันล้าสมัยตั้งแต่ชาวพุทธเรานี้ให้กิเลสลากจมูก ๆ ครึตลอด ล้าสมัยตลอดเวลา ถ้าเกี่ยวกับอรรถกับธรรมล้าสมัยทั้งนั้น หัวใจมันอ่อนเปียกไปหมด มันไม่สนใจกับศีลกับธรรม แล้วความคาดคะเนไม่ใช่คาดธรรมดานะ ถ้าอยู่เป็นมนุษย์นี้ก็เอาให้ได้ชั้นนั้นชั้นนี้เรื่อยขึ้นไป จากนั้นก็อยากไปสวรรค์อยากไปนิพพาน มันยังอยากเลยนิพพานไปอีกโน่นน่ะ กิเลสมันหลอกคน แต่หัวใจมันไม่เคยสนใจกับบุญกับกุศลกับมรรคผลนิพพาน มันก็จมอยู่อย่างนี้ทั่วโลกดินแดน
ท่านทั้งหลายเห็นว่าอะไรพาโลกให้ร้อนเวลานี้ ถ้าไม่ใช่ความดีดความดิ้นความทะเยอทะยานความหวังมันเต็มอยู่ในหัวใจมนุษย์ ต่างคนต่างเอามาแข่งกัน ชิงดีชิงเด่น ชิงชั่วชิงเลวมันถึงถูกเข้าใจไหม ต่างคนก็ต่างร้อนทั่วหน้ากันหมด นี้เป็นเรื่องของกิเลสพาโลกเดิน แล้วมันหาความสุขมาจากไหนกิเลส บ้านเขาบ้านเราเหมือนกัน ไม่ว่าใคร ๆ ถ้าเดินตามกิเลสไม่มีธรรมยับยั้งแล้วฉิบหายหมด ใครจะเก่งขนาดไหนไม่มีใครเก่งในโลกอันนี้นะ
ต้องมีธรรมเข้าแทรก ๆ ธรรมเป็นเบรกห้ามล้อเป็นพวงมาลัย เบรกห้ามล้อ ถ้ามันจะไปผิดทางนี้เบรก มันเร็วเกินไปเบรก มันผิดทางเบรก เลี้ยงพวงมาลัยไปทางไหนทางแคล้วคลาดปลอดภัย เอ้า เลี้ยวไป ๆ เหยียบคันเร่ง ๆ ไปเรื่อยหน้าที่การงานที่เป็นสุจริตธรรมแล้วให้ดำเนิน อย่าขี้เกียจขี้คร้านนี้เรียกว่าเหยียบคันเร่ง ถ้าเป็นไปตามธรรมอย่างนี้แล้วโลกนี้จะมีความสงบร่มเย็น เวลานี้ที่ไหนใครว่าบ้านไหนเมืองไหนเจริญ มันไม่มีอะไรเจริญ เอาธรรมจับเห็นหมด จะว่ายังไง เปิดอย่างนี้แหละหลวงตาบัว ได้ปฏิบัติมาเป็นเวลาเท่าไร นี้บวชมาได้ ๖๘ ปีนี้แล้ว ตั้งแต่พรรษา ๗ เรียนจบเท่านั้นออกเลยขึ้นเวที ได้รับการอบรมจากพ่อแม่ครูจารย์มั่นอย่างถึงใจ ทีนี้ซัดเลยแบบหินหัก ๆ ตลอดมาเป็นเวลา ๙ ปี ไม่มีเวลายับยั้งเลย
พิจารณาย้อนหลังถึงความเพียรเจ้าของจนขยะ ๆ คือมันเลยเถิดเสียทุกอย่าง แทบจะเป็นจะตาย แต่ครั้นแล้วก็มาเห็นผลอันนี้ แล้วพิจารณาไปย้อนหลังเข้ากันได้เลย ถ้าไม่ทำอย่างนั้นก็ไม่รู้อย่างนี้ ๆ เหตุกับผลเลยเข้ากันได้สมบูรณ์แบบ การเทศนาว่าการพี่น้องทั้งหลายเราจึงไม่มีความบกพร่องในการแนะนำสั่งสอน ตามอรรถตามธรรมที่มีในหัวใจของเราและเต็มหัวใจแล้วเวลานี้ ขอแต่ผู้ที่มาศึกษาอบรม ตั้งใจมากน้อยเพียงไร ธรรมพระพุทธเจ้าครอบโลกธาตุแล้ว จะได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยเต็มกำลังความสามารถของทุกคน ๆ นอกจากผู้นอนไม่ตื่นเท่านั้น ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย ตายกองกันอยู่นี้สักเท่าไร มันก็ไม่มีอะไรมีความหมายแล้วนะ
ถ้ามีศีลมีธรรมเข้าแทรกแล้ว ตายจะมีความหมาย เราตายหลายชาติเราจะย่นลงมาน้อยชาติ ๆ ย่นลงมาเข้าไปจนกระทั่งหลุดพ้นเหมือนพระพุทธเจ้าไป นี่เพราะการสร้างความดีพาคนให้หลุดพ้นด้วยธรรมนะ ไม่ใช่สร้างความดีด้วยกิเลสอย่างที่เป็นเวลานี้ โลกกำลังสร้างความดีด้วยกิเลส มีแต่ฟืนแต่ไฟทั้งนั้น ไปที่ไหนหาความสุขเย็นใจไม่ได้ ท่านทั้งหลายดูหัวใจตัวเองนะ สมบัติเงินทองข้าวของมีมาก ใครหามาได้มากน้อยเท่าไรก็เห็นกันไม่ได้ปิดบังกัน แต่หัวใจนี่ซิมันอยู่ลี้ลับ เอาแต่ภายนอกมาหลอกกัน แต่งตัวหรูหราฟู่ฟ่า เอาบ้านเอาเรือนเอาสมบัติเงินทองข้าวของมาอวดกัน คนนั้นมีคนนี้มีก็ยกยอปอปั้นกันไปตามกิเลสหลอก แต่หัวใจมันเป็นไฟจะว่าไง หัวใจตั้งแต่ท้าวมหาพรหมลงมานี้ยังเป็นไฟเป็นลำดับลำดา แล้วเอาความสุขมาจากไหน
ถ้าเอาธรรมเป็นน้ำดับไฟ สาดเข้าไป ๆ สิ่งเหล่านั้นจะค่อยลดลง ๆ ทำอะไรก็ให้มีเหตุมีผลการปฏิบัติตัวเอง อย่ามีแต่ความทะเยอทะยานอยากโดยถ่ายเดียว แล้วมันจะฉิบหายนะโลกนี้ ตัวเรานั้นแหละจะฉิบหาย โลกจะฉิบหายที่ไหน โลกก็คือตัวของเราเอง ขอให้มีธรรมเป็นเครื่องยับยั้ง ตื่นตามาเช้าอย่านับแต่มืดกับแจ้ง มันมีมาตั้งกัปตั้งกัลป์มันไม่ได้ไปตกนรกขึ้นสวรรค์ ตัวคนนี้แหละที่จะไปตกนรกขึ้นสวรรค์ ได้รับความทุกข์แบกทุกข์อยู่ทุกวันนี้ มืดแจ้งเขาไม่ได้แบกนะ มนุษย์เรานี้เองเป็นผู้แบก ที่ว่าตัวฉลาดกว่าเขา โง่ที่สุดคือมนุษย์เรานี้เอง สัตว์เขาก็หากินของเขาตามประสีประสา แต่มนุษย์เรานี้สำคัญตนว่าฉลาด แล้วโง่กว่าสัตว์ก็คือมนุษย์เรา หาความสุขความเจริญให้ตัวเองไม่ได้ หาตั้งแต่ความทุกข์เผาตัวเองตลอดเวลาเป็นของดีแล้วเหรอ ให้พิจารณา
ที่ธรรมเอามาสอนพี่น้องทั้งหลาย เราถอดจากหัวใจเรามาจริง ๆ เราปฏิบัติจริง ๆ รู้จริง ๆ เห็นจริง ๆ แต่ก่อนคำพูดเช่นนี้เราก็ไม่เคยพูด เวลาไปปฏิบัติขึ้นบนภูเขา น้ำตาร่วงลงมา นี้เราก็เคยเล่าให้พี่น้องทั้งหลายฟังแล้ว ไปสู้กับกิเลสจะเอาให้เต็มเหนี่ยว ขึ้นไปกิเลสฟัดเอาหงายหมาลง ๆ เข้าใจไหมหงายหมา หงายหมาเรียกว่า หงายไม่เป็นท่าเข้าใจเหรอ หงายแมวมันมีเป็นท่ามันตบเอานี่ เข้าไปไม่เข้าท่ามันตบเอานะแมว หงายแมวดีนะ แต่หงายหมานี้ไม่เป็นท่า ไปที่ไหนร้องแหง็ก ๆ ๆ ถูกเขากัดเอา หงายหมาหงายไม่เป็นท่า พวกเรานี้พวกหงายอะไร เอ้า เอาไปถามตัวเองนะ เราหงายหมาหรือหงายแมว ให้ไปถามทุกคน อย่าให้หลวงตาบัวถาม เรามอบกระทู้นี้ให้ไปถามกันนะ เราหงายอะไร จำให้ดีคำนี้
ถ้าหงายหมา เปลี่ยนเอาหมาที่เราเลี้ยงไว้ในบ้าน บ้านคนแต่ละบ้าน ๆ มันมีหมาทุกคนนั่นแหละ ทั้ง ๆ ที่ไปเทียบกับหมาไม่ได้นะ โมโหขึ้นทันที แต่มันก็เลี้ยงหมาไว้ในบ้านของมัน มันอะไรมือเขียนตีนลบมนุษย์นี่ รักหมาก็คือมนุษย์ สัตว์รักคนก็คือหมา สัตว์ที่รักคนมากคือหมานะ มันรักเจ้าของ แต่เวลาเขามาตำหนิ แกนี้เป็นลูกหมานะ เหอ ๆ ขึ้นเลย พ่อมึงเป็นลูกเทวดามาจากไหนนู่นน่ะ อยากเถียงเขา เข้าใจไหม เป็นอย่างนั้น นี่เราพูดถึงเรื่องอะไรหงายอะไร ให้เอาหมามาดูนะ แต่ไอ้ปุกกี้กับไอ้หยองกับไอ้หมีนี้เวลามันหงายกับเจ้าของมันหงายด้วยความยินดีนะ มันหงายแหง็ก ๆ มันหงายด้วยความยินดี ไอ้เราหงายเพราะแพ้กิเลสนี้สู้หมาไม่ได้เข้าใจไหม หมามันหงายเพราะความยินดีของมัน เรานี้หงายด้วยความเสียอกเสียใจสู้กิเลสไม่ได้ ไปเปลี่ยนวิธีใหม่นะ ไปศึกษา
เราจะให้สามตัวเสียก่อน ตัวเหล่านั้นเรายังไม่ให้ เพราะพวกนั้นภูมิสูงมากต้องเอาขนาดนี้มากับภูมิมนุษย์เสียก่อน ไอ้หยองหนึ่ง,ไอ้ปุ๊กกี้,ไอ้หมีหนึ่ง มาเรียนวิชาล้มเป็นยังไง หมาล้ม ล้มเป็นยังไง ถ้าล้มล้มอย่างนี้ล้มกับเจ้าของ เข้าใจไหม ถ้าล้มสู้เขาไม่ได้ ข้าเลวกว่าเธอ พวกเธอล้มแบบไหน ล้มแล้วยังไม่แล้วยังแง๊ ๆ อยู่ ถ้าอย่างนั้นเลวกว่าฉัน เข้าใจไหม
นี่พูดถึงเรื่องขึ้นภูเขา สู้มันไม่ได้ ว่าจะไปฟัดกิเลสอย่างเดียว มันฟาดหงายหมาลงมาแล้วเข้าหาพ่อแม่ครูจารย์มั่น เพราะไม่ถอย ถึงขนาดน้ำตาร่วงแล้วยังไม่แล้วนะ ถึงกูมึงนะ นี่ละภาษาธรรมไม่ได้หยาบนะ คือคำว่ากูว่ามึงนี้เด็ดขาดทีเดียว โถ มึงเอากูขนาดเทียวนะ กูว่าจะมาสู้กับมึง มึงเอากูจนหงายขนาดนี้ กูมึงเชียวนะอยู่ในใจ ไม่ได้ออกปากละ โถ มึงเอากูขนาดนี้น้ำตาร่วง เอาละให้กูถอยกูไม่ถอย กูจะกลับไปหาครูกูเสียก่อน ครูก็คือหลวงปู่มั่น ไปหาท่านอีกเอาอีก กลับมาอีก นึกว่าจะพอสมควรแล้วฟาดหงายหมาอีก ลงอีก หลายครั้งหลายหนมันก็พอได้ที่มันก็เอาของมันละ นี่ละทีนี้ก็ก้าวขึ้นมาเรื่อย ๆ จนขนาดนั่งตลอดรุ่ง ก้นแตกไม่สนใจเลย ฟาดเสียจิตจ้า ๆ ๆ ขึ้นมา จากนั้นจิตก็ก้าวเดิน ๆ ๆ เรื่อย ๆไม่มีถอยเลย สิ่งใดที่ไม่เคยรู้เคยเห็น เห็น
เป็นยังไงฟังซิพี่น้องทั้งหลาย ธรรมพระพุทธเจ้ามาหลอกโลกเหรอ เป็นของจริงตั้งแต่กิเลสหลอกสัตว์โลกโง่ ๆ นี่เหรอ พิจารณาให้ดีนะ นี่เวลามันได้รู้มันไม่เป็นอย่างนั้น แต่ก่อนเราก็ไม่เคยรู้เราไม่เคยพูดคำพูดประเภทเหล่านี้นะ บทเวลามันรู้ขึ้นมา คิดดูขึ้นหาครูบาอาจารย์นี้ไม่มีสะทกสะท้านนะ อยากเล่าถวายท่าน ให้ท่านชี้แจงแสดงบอกในแง่ใดมุมใด แล้วก็ออกผางๆ ๆ เลย นั่นเห็นไหม แต่ก่อนเหมือนผ้าพับไว้ กลัวก็กลัวแบบไหนก็ไม่รู้ กล้าแบบไหนก็ไม่รู้ เวลาขึ้นหาท่านนั้นกลัวแบบธรรมล้วน ๆ กล้าแบบธรรมล้วน ๆ มันต่างกันนะ ขึ้นไปท่านฟาดเต็มเหนี่ยว ออกมาก็ได้ที่ ๆ จากนั้นมันก็เอาใหญ่เลย นี่ละการปฏิบัติธรรมเป็นอย่างนี้นะ
ศาสนาพระพุทธเจ้าท้าทายเรื่องมรรคผลนิพพานตลอดมาและจะตลอดไป ถ้ามีผู้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติอยู่ แต่มันไม่สนใจกับอรรถกับธรรม ให้กิเลสเหยียบย่ำทำลาย เห็นกิเลสเป็นของดิบของดี ทั้ง ๆ ที่มันเป็นส้วมเป็นถาน เห็นว่าเป็นของดิบของดี เห็นทองคำทั้งที่เป็นทองคำทั้งแท่ง ว่าเป็นส้วมเป็นถานไปเสีย มันถึงไม่ค่อยสนใจกับอรรถกับธรรม ตายแล้วก็ตายทิ้งเปล่า ๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร เราอย่าเข้าใจว่า กิเลสเสกสรรปั้นยอหลอกเรานี้จะเป็นของดิบของดี จะพาเราไปสวรรค์นิพพานแข่งพระพุทธเจ้า ไม่มี มีแต่จะจมแข่งพระพุทธเจ้าทั้งนั้น ให้พากันพลิกจิตใจเสียใหม่นะเวลานี้
นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าเลิศเลอขนาดไหนพวกเราเหมือนถังขยะ ฟังซิโลกธาตุสามโลกธาตุนี้เป็นเหมือนถังขยะ ถังขยะมันเป็นยังไง นี่ถังขยะยังพูดย่อม ๆ นะ ถังมูตรถังคูถว่างั้นถูกต้อง มีแต่กองทุกข์ความทรมานเต็มบ้านเต็มเมืองเต็มเขาเต็มเรา ไม่มีอะไรบกพร่องในโลกอันนี้ ขึ้นชื่อว่าทุกข์เต็มหัวใจสัตว์เต็มอยู่ตลอดเวลา สัตว์ก็มีประเภทสัตว์ คนก็มีประเภทของคน มีตั้งแต่กองทุกข์เต็มบ้านเต็มเมือง เรายังเห่อเป็นบ้ากับเขาอยู่เหรอ เอาธรรมมายับยั้งบ้างซิ ธรรมยับยั้งมีมากมีน้อยดังที่กล่าวให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ตั้งแต่นั้นมาแล้วจิตสว่างไสว จิตมีความสุขความเย็นใจสบายเรื่อยไปเลย จนกระทั่งฟาดให้มันเต็มเหนี่ยวเลย ดังที่เคยพูด จ้านี้หมดเลย ไม่มีอะไรเหลือแล้วในโลกนี้ จึงได้เอาธรรมมาสอนพี่น้องทั้งหลาย พากันจำเอานะ เอ้า เอาแค่นี้ละนะ วันนี้เทศน์เป็นปฏิสันถารต้อนรับกันนะ เอาละพอ
ผู้ว่าฯ : เสร็จเรียบร้อยก็ไปภูฝอยลม ข้างหลังวัดนี่ครับ ไปทาง หนองแสง
หลวงตา : ก็ดีแล้วแหละ วันนี้ก็เทศน์ดูเหมือนนานบ้างพอสมควรนะวันนี้ คงไม่ต่ำกว่า ๒๐ นาที
ผู้ว่าฯ : เกินครับ ประมาณครึ่งชั่วโมง
หลวงตา : เทศน์ มีเร่งเครื่องด้วย วันนี้เร่งเครื่อง นี้แหละฟังเรื่องธรรมเป็นอย่างนั้น ถ้ามีอะไรสัมผัสเปิดเท่าไรมันจะออกของมันทันทีเลย ยิ่งเร่ง ๆ ดีไม่ดีหายใจไม่ทัน พูดไม่ทันมันพุ่ง ๆ พูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง นี่ละธรรมกับใจเป็นอันเดียวกัน เป็นอย่างนั้น เราไม่เคยเห็น นี่ก็ไม่เคยเห็น แต่เวลาเป็นมาแล้วพูดให้ใครฟัง เขาไม่เชื่อ เขาไม่เชื่อก็ตามเราเชื่อเราแล้วแน่ะ พระพุทธเจ้าก็เหมือนกัน เขาไม่เชื่อก็ตามพระพุทธเจ้าเป็นศาสดาแล้ว เท่านั้นพอ ๆ สอนโลกเลย เอาคนตาบอดมาเป็นพยานได้เรื่องอะไรใช่ไหม เราคนตาดีคนเดียวพอแล้ว นั่น พระพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้นนะ คนตาบอดมาเท่าไรมันก็จะมาลากลงเท่านั้น นี่ก็อีก ๒ วัน อยู่วันนี้อยู่วันพรุ่งนี้ พอวันมะรืนก็จะออกเดินทางแหละ ออกเดินทางจากนี้ไปก็จะไปค้างที่เขื่อนลำตะคองก่อน ทางโน้นเขานิมนต์ให้ไปเป็น สิริมงคลแก่เขื่อนเขาที่นั่น แล้วค้างคืนที่นั่นคืนหนึ่ง เช้าวันที่ ๒ พอฉันเสร็จแล้วก็ออกเดินทางเข้ากรุงเทพ ฯ จากนั้นก็จะได้พูดเรื่อย ๆ เทศน์เรื่อย ๆ
ผู้ว่าฯ : หลวงตาไปงานของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตใช่ไหมครับ ที่ลำตะคอง เพราะหน่วยนั้นเขาสูบน้ำขึ้นไปบนภูเขา แล้วก็ปล่อยลงมาปั่นไฟ เขาสูบตอนหลังตีหนึ่งเที่ยงคืน พอหลังเที่ยงคืนคนนอนหลับ เขาใช้ไฟฟ้าน้อย ไฟฟ้ามันเหลือ เหลือเขาก็เลยมาปั่นน้ำของเขาขึ้นบนยอดเขา แล้วก็ปล่อยลงมาก็ปั่นไฟไปใช้อีก ไฟเหลือจะได้ใช้เป็นประโยชน์ตอนหลังตีหนึ่งตีสองตีสามไป
หลวงตา : ก็อย่างนั้นแหละ ออกจากนี้ก็จะไปค้างให้เขาสักคืนหนึ่ง ก็คงจะได้ขึ้นไปดูละนะ มันอยู่ข้างบนหลังเขาหรือยังไง
ผู้ว่าฯ : อยู่บนหลังเขาครับ ผมเคยไปดูงานถึงเยอรมันครับเรื่องเขาปั่นไฟ
หลวงตา : อันนี้น้ำคงบรรจุได้มากที่อยู่บนหลังเขา
ผู้ว่าฯ : ก็มากพอสมควรครับ
หลวงตา : ไม่ใช่เล่น ๆ นะ นี่วันนี้ก็พูดถึงเรื่องทองคำ ๑๐ ตัน ทีนี้ต่อจากอันนั้นไปหาธรรม ธรรมเลยไปใหญ่เลย เลยลืมทองคำ ได้แต่ ๑๐ ตันเท่านั้นแหละ ไปเลย เตลิดเปิดเปิงเลย ยังไงก็จะให้ได้ละ ทองคำคราวนี้ ๑๐ ตัน เพราะเวลานี้ได้ถึง ๕ ตันกว่าแล้วนะ ๕ ตันกับ ๑๓๕ กิโลกรัม ก็ยังเหลืออยู่สี่ตันกว่า ยังไม่ถึง ๕ ตัน เราจะพยายามช่วยกันคราวนี้เอาให้ได้ทีเดียว เวลานี้ได้ขึ้นเวทีแล้ว ยังไงก็ถอยไม่ได้ละ เอาเลยให้ได้ ๕ ตัน พอ ๕ ตันแล้วสมเหตุสมผลกับบ้านเมืองเราจะจมที่เขาชี้ โถ น่าอายไหมล่ะคนไทย ๖๒ ล้านคน หน้าไหนก็ถูกเขาชี้ทั้งนั้น หน้าพวกเราไม่บริสุทธิ์นะ ถูกเขาชี้ ถือเป็นปานดำปานแดง ปานดำนี้ไม่มีสง่าเลย ปานแดงไฟเผาหัวมันคนไทย ว่างั้นพูดง่าย ๆ
ทีนี้จ้าขึ้นคราวหลังนี้ให้มันเป็นพระอาทิตย์ จ้าออกไปฟาดพวกนี้ให้มันหงายหมาไปเลย ไฟเราจ้าไป ไฟสง่างาม ทองคำได้ ๑๐ ตัน ดอลลาร์ยังไงไม่ต่ำกว่า ๑๐ ล้านแหละ เราจะต้องเอาให้ได้ เวลานี้มันก็เกือบเจ็ดล้านแล้วนะ ได้ขนาดนั้นแล้ว ให้ได้ทองคำ ๑๐ ตัน นี้การเทศนาว่าการหลวงตาบึกบึนเฉย ๆ นะ เหนื่อยพอแล้วแหละ ยังเห็นแต่ว่าทองคำเป็นจุดใหญ่โต เพราะฉะนั้นการเทศนาว่าการจึงค่อยมีสืบต่อกันไปเล็ก ๆ น้อย ๆ พอเกี่ยวโยงกันกับว่า เวลานี้เรายังนำพี่น้องทั้งหลายอยู่ ความหมายว่าอย่างนั้น ด้วยการเทศนาว่าการที่นั่นที่นี่ พร้อมกับการประกาศว่า ขอให้ได้ทองคำ ๑๐ ตัน เพราะฉะนั้น การเทศน์จึงมีอยู่บ้าง เป็นแต่เพียงว่าไม่ได้เทศน์เหมือนแต่ก่อน จำเป็นจริง ๆ เราก็จะไปเทศน์ให้เสียเป็นครั้งเป็นคราว เพื่อทองคำหนัก ๑๐ ตัน พอได้ทองคำหนัก ๑๐ ตันแล้ว มันพังเองนะ
เพราะมันรอแต่จะพังอยู่แล้วเดี๋ยวนี้นะ เราบืนเฉย ๆ ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้อุตส่าห์พยายามทั่วหน้ากันนะ ชาติไทยของเราจะขึ้นสมเหตุสมผลในคราวนี้ ถ้าทองคำได้ ๑๐ ตัน สมเหตุสมผลกับที่เมืองไทยจะจมเมื่อ ๓-๔ ปี ที่ผ่านมานี้นะ เวลานี้ฟื้นขึ้นมาทองคำเป็นเครื่องประกาศแล้ว ๑๐ ตัน แล้วดอลลาร์ก็อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า ๑๐ ล้านละ ต้องได้แน่ ๆ แต่เงินสดก็ช่วยกันอย่างนี้ อย่างที่พี่น้องทั้งหลายเห็นอยู่ ช่วยจริง ๆ นะเงินสด ดูซินี่ทุกด้าน เขียนไว้นั้นมีตั้งแต่ช่วยโลกทั้งนั้น โรงพยาบาลเป็นอันดับหนึ่ง ทั้งแยกมาทางทองคำด้วยนะ เงินสด คือเราเป็นผู้รับผิดชอบเอง พิถีพิถันมากกับการเงินนะ อันนี้จำเป็นอย่างนี้ ๆ ทางพี่น้องชาวไทยทั่วประเทศ หลั่งไหลเข้ามาขอ มาติดต่อแทบไม่เว้นแต่ละวัน ส่วนมากก็เว้นโรงพยาบาล ก็ต้องแยกให้ทางนั้นทางนี้
มาพูดคำไหน โอ๊ย มันสลดสังเวชนะ เมื่อเป็นอย่างนั้นมันก็ต้องดึงออกช่วยกัน เอ้า ๆ ๆ อย่างนั้นแหละ อันนั้นขาดอันนี้ขาด ขาดตรงไหนเกี่ยวกับส่วนรวม เช่น เครื่องมือแพทย์ชนิดนี้ขาด เครื่องมือแพทย์ชนิดนี้มีความจำเป็นกับคนไข้มากน้อยเพียงไร นั่น มันบอกแล้ว ถ้าไม่มีอันนี้คนไข้ทั้งหลายหมดหวัง แน่ะ พอได้อันนี้มาก็มีหวัง นี้ละที่ว่าเอ้า ๆ ก็เป็นอย่างนี้แหละขอให้พี่น้องทั้งหลายทราบนะ เราได้ช่วยเต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้วคราวนี้ หลังจากนี้ไปแล้วเราก็พูดให้ฟังแล้วว่า เราจะไปหนเดียวเท่านั้น มาหนเดียวเท่านั้น สุดท้ายของเรา พอขาดสะบั้นจากนี้สละปั๊วะ กองกระดูกนี้ทิ้งปึ๋งไปแล้วไปเลย ไม่มีอาลัยเสียดาย หมดทุกอย่างแล้ว ยังอาลัยเสียดายห่วงใยกับพี่น้องชาวไทยเรา เพราะฉะนั้นถึงได้ตะเกียกตะกายประกาศป้าง ๆ ตลอดมาอย่างนี้แหละ ให้ทราบเอานะ ต่อไปนี้จะให้พร
อ่านธรรมะหลวงตาวันต่อวัน ได้ทาง Internet www.Luangta.com |
** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก
ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์
และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์
|
|
|
|