รบด้วยธรรม
วันที่ 5 กรกฎาคม. 2546 เวลา 19:00 น.
สถานที่ : สวนแสงธรรม
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม

เมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖ [ค่ำ]

รบด้วยธรรม

 

         ไปนี้ก็สั่งที่นั่นละตลาดนครนายก โทรไปบอกเขาเลย จะเอาอะไร ๆ บอกเขาให้เรียบร้อย พอไปแล้วไม่ต้องเสียเวลานาน เขาเตรียมพร้อมไว้แล้ว ที่อยู่ใกล้เคียงเขาก็เอาเข้ามาที่หน้าร้านแห่งเดียวหมด พอไปก็เปิดทางให้แล้วที่หน้าร้านเขา เขาไม่ให้รถจอดละ  เราก็จอดปุ๊บแล้วก็ขนขึ้นปุ๊บปั๊บ ๆ ๆ เสร็จแล้วก็บึ่งเลย ออกไปนู่น แยกเขาใหญ่ไปหาปราจีน แยกไปนั้น แต่ไปคราวนี้ได้ทุเรียนด้วย คือไปสามแยกหรืออะไรนี่ พุ่งไปหาสี่แยกใหญ่ อันนี้เข้าไปหาปราจีน มีพวกตลาดทุเรียนอยู่แถวนี้ ไปนั้นก็เลยจอดรถ เลี้ยวรถเข้าไปเอา ทุเรียนดีอยู่ เลยได้ครอบครัวละลูก มันหมดทางรถที่จะบรรจุเลยไม่เอา ทีแรกว่าจะให้ครอบครัวละสองลูก สิบสามครอบครัว พวกที่เขาไปเอาของเขาบอกว่ารถเต็มหมดแล้ว ไม่มีที่ใส่แล้ว เลยได้เพียงสามลูก ไปคราวนี้ได้ทุเรียน ทุกครั้งไม่ได้ ไม่มี

         พอได้นี่แล้วก็บึ่ง ไปแจกเขาสิบสามครอบครัว อันนี้ไม่ได้ให้มากนักละ ปัจจัยก็ให้ครอบครัวละหนึ่งร้อย ๆ ๑๓ ครอบครัว ๑๓,๐๐๐ เด็กไม่มีประมาณ เด็กมีมากมีน้อยให้คนละร้อย ๆ ไปเลย แต่ส่วนสิ่งของที่จัดไว้ให้ครบ ทุกครอบครัวให้เสมอกันหมด จัดไว้เรียบร้อย สั่งไปตั้งแต่นี้แล้ว พอขนแล้วก็ไปเลย แล้วก็ขึ้นเขาใหญ่ เขาใหญ่วันนั้นไม่ค่อยได้แวะอะไรที่ไหนนะ ดูว่าไปสายนะวันนั้น ไปก็ค่อยผ่าน คอยดูสัตว์ดูอะไร เราเพลินในสัตว์ ด้วยอำนาจความเมตตานะ เพลินในสัตว์ ดู มีแต่ลิงเป็นฝูง ๆ เขาเคยได้กินกับคน แต่ไม่ค่อยชุมนักเหมือนแต่ก่อน แสดงว่าเขาปฏิบัติตามที่เขาประกาศห้ามเอาไว้ ห้ามไม่ให้อาหารลิงและกวาง เราสงสารเราก็ไม่ให้ คือต้องปฏิบัติตามกฎของเขา เขาเป็นผู้รักษา ทุกสิ่งทุกอย่างได้เสียเขารู้หมด เราจะไปฝืนเขาไม่ได้ ไม่ถูก เราจึงไม่ให้ เห็นลิงสองสามฝูง เท่านั้น

         ทางด่านน้ำหนาว เพชรบูรณ์มีสองด่าน ด่านหนึ่งแต่ก่อนดูเหมือน ๒๗,๒๘ มันลดมายังไง ฟังว่ายังเหลือ ๒๖ (ครอบครัว) หรืออะไรนี่ ไปคราวที่แล้วดูว่า ๒๖ มันตัดเข้าอีกรายหนึ่ง เราไปต้องแจกให้ครบตามนั้น ๆ เลย สองด่านนี้ดูว่า ๒๖ ครอบครัว เราให้ครอบครัวละ ๕๐๐ ๆ สำหรับเงินสดนะ ส่วนอาหารก็ไม่ได้ให้มาก ถ้ามากกว่านี้รถก็ไปไม่ไหว ให้ข้าวสารถุงหนึ่ง ๑๒ กิโล แล้วก็น้ำตาลกิโลหนึ่ง ๆ ต่อครอบครัว ส่วนที่เขามีอะไรขายอยู่นั้น ตามธรรมดาเขาขายดอกไม้ พวกข้าวหลาม เราซื้อหมดเลย ดอกไม้มีจำนวนเท่าไรเราซื้อหมด ข้าวหลามมีเท่าไรก็ซื้อหมด แต่ซื้อเฉย ๆ นะ เอาเงินให้แล้วของไม่เอา ให้เขาได้ขายต่อไป

         เพราะฉะนั้นเวลาเราไปแต่ละครั้ง เขากำหนดระยะเวลาได้ดี เขาเตรียมดอกไม้ โอ้โห ขายดอกไม้นี่สองพันสามพัน ไม่ใช่เล่นนี่น่ะ เราซื้อหมดเลย เราก็รู้ว่าเขาเตรียมไว้สำหรับเรา และข้าวหลามก็ทีละสี่สิบห้าสิบบ้าง มัดละเท่าไร ยี่สิบบาทหรืออะไร อันนี้เราก็ซื้อหมดแต่ไม่เอา เขาจะจับยัดใส่รถให้เราก็ไม่เอา เราไม่เอา คือเขาจะให้ข้าวหลามละที่เขาเอาจริงเอาจังมากเขาจะให้ แต่เราไม่เอา อันนี้สองด่านเป็นประจำนะ ตั้งแต่เราไปสร้างตึกโรงพยาบาลหล่มสักมา ดูจะประมาณสัก ๗ ปีนี้ละมั้ง ลืม สร้างพ.ศ.เท่าไรตึกโรงพยาบาล

         นั่นละเราเริ่มให้มาตั้งแต่นั้น ไปทีแรกผ่านไปผ่านมาก็ดู เขาขายของอะไรอยู่ตามนั้นๆ ผ่านไปดูตึก ดูไปดูมาก็ค่อยเริ่มให้ ซื้อของเขาที่มาขาย แต่ไม่เอาของอย่างว่า เราผ่านไปเสียก่อน ดูทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยแล้วกลับมา ก็ส่งตั้งแต่บัดนั้นไปเลย จนกระทั่งป่านนี้ เดือนมิถุนานี้จะมาก็รีบไปเสียก่อน เขาก็ผิดสังเกต เพราะเพียง ๕๖ วันเราไปอีกแล้ว เขาก็ผิดสังเกต เราก็ชี้แจงเหตุผลให้ทราบ ว่าเราจะไปกรุงเทพฯ ระยะนี้มีช่วงนี้ว่าง เรารีบ ๆ มาเสียตอนนี้ จากนี้ไปเราก็ไปกรุงเทพฯ เราว่า เขาก็เข้าใจ จึงได้มาก่อนเวลาบ้างเล็กน้อยที่เคยให้ เราบอกอย่างงี้นะ

         อันนี้ก็สองด่านตั้งแต่นู้นมา สร้างตึกให้โรงพยาบาลหล่มสัก ดูเหมือนจะประมาณสัก ๗ ปีหรือไงน้า ลืม เราให้ตลอดมา สงสาร จะว่าไง พวกนี้เคารพรักษาสมบัติของชาติ สมบัติของชาติเขารักษาอยู่ในเขตดูแลเขา เขารักษาหมดเลย เราไม่ได้ไปรักษา เราอยู่สบาย ดีไม่ดีไปทำลายของเขาที่รักษาอีกด้วยนะ สัตว์ป่าเขาก็รักษา ต้นไม้อะไรเขารักษา สิ่งต่าง ๆ ที่มีคุณค่าเป็นที่รักสงวนของชาติเขารักษาหมดในบริเวณนั้น เราเห็นคุณค่าของผู้ที่ไปรักษาแทนคนทั้งชาติ เพราะฉะนั้นเราจึงมีความเจาะจงต่อท่านเหล่านี้แหละ อย่างไปด่านเหมือนกัน นี่เขาก็รักษาด่าน ไปให้ตามจำนวนที่กำหนดเรียบร้อย ทางนู้นก็ให้เป็นประจำ สงสาร

         ถ้าเป็นสมบัติส่วนรวมเราสงวนมากนัก ไม่ให้ใครแตะละ อย่างเขารักษาสมบัติส่วนรวมนี้เราก็เสริม เราเสริมเลย เพราะส่วนรวมเป็นของสำคัญ อะไรปลีกย่อยจะเสียบ้าง ถ้าส่วนรวมส่วนใหญ่ยังอยู่ดี นี่ที่เราพูดเกี่ยวกับเรื่องชาติบ้านเมือง อะไรจะขาดตกบกพร่องตามครัวเรือน กินข้าวกับน้ำปลาก็ได้อยู่ ขอให้มีหลักใหญ่เป็นเครื่องประกันตัว นั่น เป็นสำคัญมาก เมืองไทยเราก็เช่นเดียวกัน ที่ได้พาพี่น้องทั้งหลาย นำทุกวันนี้ ได้คิดหมดทุกอย่างแล้วนะก่อนที่จะนำ ไม่ใช่มานำสุ่มสี่สุ่มห้านะ อันนี้เป็นสมบัติของชาติ สมบัติในคลังหลวงยังจะถูกโกยไปอีก นี่โถ ขึ้นถึงว่าอย่าแตะ ถึงขนาดนั้นนะเรา

         ถ้าเอานี้มันก็หมด ชาติไทยมีความหมายอะไร เพราะฉะนั้นจึงว่า อย่าแตะ บอกเลยเชียว เด็ดขาด เข้ามาก็เอากันเลย เข้าใจไหมล่ะ ถ้าลงว่าอย่าแตะแล้วเป็นอันว่าจะเอาแล้วนะ ให้ถอยไม่มี เพราะความถูกต้องในสมบัติที่มีคุณค่าของชาตินี้ เป็นความถูกต้องอย่างยิ่งแล้ว การมาทำอย่างงั้นมีแต่อันตรายโดยถ่ายเดียว หาชิ้นดีไม่ได้เลย ถึงจะแก้ตัวว่าเอาไปเพื่อทำอะไรนี้ เข้ากันไม่ได้ นี่ละเหตุผลกลไกเข้าใจไหม เรารักเราสงวนสมบัติของชาติ อะไรจะขาดตกบกพร่องขอให้สมบัติของชาติเป็นพื้นฐานอันแน่นหนามั่นคง นั่นละจุดนั้นละจุดสำคัญ เราอยู่ตามบ้านตามเรือน อยู่ที่ไหนมันก็มีบ้างเรื่องขาดเรื่องเขิน แต่สิ่งที่ประกันเป็นพื้นเพของเราทั้งชาตินี้คืออะไร นี่คือสมบัติของชาติ

         เราจึงต้องรักต้องสงวน พยายามหามาเรื่อย ๆ ๆ เพื่อให้เป็นหลักฐานมั่นคง แล้วบรรพบุรุษปู่ ย่า ตา ยาย ท่านตั้งมาท่านมีความหมายอะไร นั่น ลองคิดติดตามกันดูซิน่ะ หาที่ค้านท่านไม่ได้ ท่านทำอย่างนี้เพื่ออะไร ก็เพื่ออนาคตลูกหลานทั้งหลายจะมีที่อยู่ ที่กิน มีที่ซุกหัวหลับนอน เมื่อสมบัติกลางซึ่งเป็นสมบัติของชาติ เรียกว่าลมหายใจของชาติยังมีอยู่ นั่น เพราะฉะนั้น ใครจะมาทำลายนี้เท่ากับทำลายคนทั้งประเทศเลย จึงเรียกว่ายอมกันไม่ได้ เราทำอะไรเราทำมีเหตุมีผลทุกอย่าง เรื่องของพระกับเรื่องของธรรมต้องให้ตรงแน่วตามหลักความจริง

         อย่างที่ทำมานั้นแบบเพ่น ๆ พ่าน ๆ จะทำลายโดยถ่ายเดียว ผู้รักษามีอยู่ นั่น  ทำลายหาอะไร เอาเหตุผลมา ถ้าเหตุผลไม่อำนวย ไม่ควรทำลายอย่าทำลายนะ สมมุติว่าเป็นข้าราชการงานเมือง ก็ประชาชนเขายินยอมแล้วให้เป็นผู้ปกครองรักษา ไม่ใช่ให้เป็นผู้มากอบโกย หรือมาทำลายคนทั้งชาติให้จมไปด้วยกัน นั่น มันเข้ากันไม่ได้ หน้าที่การงานของวงราชการต้องให้เป็นไปตามความรู้ความเห็น การยอมรับของประชาชนทั้งชาติ ยกใครให้เป็นผู้ใหญ่ นับแต่นายกรัฐมนตรีลงมาก็เป็นความยอมรับของประชาชน เราจะทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าถือว่าเป็นอำนาจ อำนาจป่าเถื่อนเขาไม่ยอมรับ นั่น มันก็เอากันตรงนั้นละซิ 

         ไปทำนอกลู่นอกทางเอากันได้ ฟ้องกันได้ เอากัน ดีไม่ดีล้มรัฐบาลตูมเลยก็ได้ ประชาชนเป็นผู้ตั้งขึ้น ทำไมประชาชนจะล้มไม่ได้เห็นว่ามันจะเป็นภัยต่อชาติแล้ว ล้มได้ นั่น เราไม่ได้รู้กฎหมายแหละ แต่หลักธรรมมีชัดเจนแจ่มแจ้งยิ่งกว่ากฎหมายเสียอีก เพราะฉะนั้นจึงต้องได้เข้มงวดกวดขัน เพื่อรักษาสมบัติอันเป็นหัวใจของชาติให้มีความแน่นหนามั่นคง ยืดยาวต่อไปอีก นี่ก็พยายามอุตส่าห์ คิดดูซิอย่างมากรุงเทพฯ คราวนี้ ไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาที่จะมาเอาทองคำเข้าคลังหลวงคราวนี้นะ ยังไม่ได้คิดไว้เลย มีแต่มาขวนขวาย แต่มาขวนขวาย

         รวมได้เท่าไรๆ แล้วทีนี้ถึงวาระกะกันไว้ว่าเดือนสิงหาจึงจะ มารวบรวมแล้วก็แน่ใจว่าจะได้ทองคำพอสมควร ถึงเดือนนั้นแล้ว แล้วมอบ เราว่างั้นนะ มาคราวนี้จึงมาเพื่อเสาะแสวงหา ขวนขวายสมบัติเข้ามาถึงจุดหมายที่จะมอบถึงมา ไม่ได้คิดว่าจะมามอบคราวนี้นะ ครั้นมาแล้วเหตุการณ์มันหากมี เหตุการณ์ที่ดีที่เป็นกุศล ชาติไทยของเรา คนดีมีอยู่มาก นั่น ที่จะอุ้มชูชาติไทยของเรายังมีอยู่มาก ถึงไม่เป็นเศรษฐีก็มี และยิ่งผู้มีสมบัติเงินทองข้าวของมาก และมีน้ำใจต่อชาติบ้านเมืองด้วยแล้ว ยิ่งหนุนใหญ่เลย ถ้าว่าอานิสงส์ไม่มีใครสู้ อานิสงส์อันใหญ่หลวงที่สุดเลย อุ้มคนทั้งชาติว่าไง มันของเล่นเมื่อไร

         เพราะฉะนั้นการที่จะมาทำลายคนทั้งชาติจึงเข้ากันไม่ได้กับเรา เป็นข้าศึกกันทันทีเลย คอขาดก็ขาดเลย ให้เสียดายคอนี่ไม่มี ต้องถือชาติเป็นสมบัติอันล้นค่ายิ่งกว่าคอของเรา เอาตัดขาดเพื่อชาติไปเลย เมื่อมาขัดจังหวะกันที่จะเป็นอันตรายต่อชาติแล้วยอมไม่ได้ เช่น อย่างเวลานี้เรากำลังเกี่ยวข้องกับสมบัติและหัวใจของคนทั้งแผ่นดินด้วยแล้ว จะต้องมีความรับผิดชอบ มีความสอดส่องทุกสิ่งทุกอย่างไปหมด ไม่เพียงแต่แนะนำสั่งสอนนะ อย่างที่กำลังดำเนินอยู่นี้ เหตุการณ์ใดที่จะเกิดขึ้นมาในระหว่างที่เรากำลังดำเนินและอยู่ในสนามที่ควรจะรบกันด้วยนี้จะถอยไม่ได้ เข้าใจไหม

         รบด้วยธรรม ไม่ได้รบด้วยกิเลสตัณหา รบด้วยธรรม รบอธรรม นั่น มันจะมาทำลายชาติให้ฉิบหาย เมื่อเรากำลังเสาะแสวงหาเพื่อบำรุงชาติให้แน่นหนามั่นคงอยู่อย่างนี้ ผู้มาทำความฉิบหายต่อชาติมาให้เห็นอยู่จัง ๆ นี้ มันจะเก่งขนาดไหนก็ขนาดเถอะน่ะ ว่างั้นเข้าใจไหม เก่งขนาดไหนก็นี่เจ้าของสมบัติมีอำนาจเหนือนั้นอีก นั่น มันก็เอากันละซิ เราจึงได้อุตส่าห์ช่วยพี่น้องทั้งหลาย เพื่อให้มีหลักมีเกณฑ์สืบทอดกันต่อไป ด้วยความมีหลักเกณฑ์อันแน่นหนามั่นคงต่อไป ถ้าสมบัติกลางไม่มีเหลือไม่ได้เรื่องนะ ทุกอย่างจะเหลวไหลไปตาม ๆ กันหมด เพราะสมบัติกลางเป็นเครื่องประกันชาติตัวเอง

         การติดต่อซื้อขาย อะไร ๆ ก็ตาม แม้ที่สุดเขามาตั้งโรงงาน ถ้าเราไม่มีเครื่องประกันเขาจะมาตั้งหาอะไร เขาก็มาตั้งเพื่อหาเงินใช่ไหม เขาก็ต้องมาตั้ง ทีนี้มาตั้งในเรา เราก็เพื่อหาเงินกับเขา ต่างฝ่ายต่างยอมรับกัน เอา ได้เสียไปด้วยกัน แน่ะ มันก็เข้ามาได้ ทำได้ ถ้าไม่มีเครื่องประกันอันนี้จ้างเขาก็ไม่มา เข้าใจไหม ไม่มีใครจะมาละ แม้แต่ไปจ้างหมามันจะไล่กัดเอานะ อย่าว่าอวดดีกว่าหมานะ จ้างมันไม่เข้าท่าใช่ไหม ถ้าเอาข้าวต้มขนมไปให้มัน มีเท่าไรให้เอามา มันบอกงี้เลยเข้าใจไหม โบกมือเลย สิ่งนี้เหมาะกับเขา เป็นอย่างงั้นละ

         พูดไปลืมไปนะ พอพูดมาปั๊บตัดเลย หายแล้วนะ เป็นอย่างงั้นเดี๋ยวนี้ ลำบากมากนะ เทศน์หลงหน้าหลงหลังแล้ว พูดถึงเรื่องยังไม่ได้คิดว่าจะมอบอันนี้ เมื่อเหตุผลกลไกบันดลบันดาล ดวงชาตาชาติไทยของเรายังดีอยู่ ท่านผู้รักษาชาติด้วยกันมีกำลังมากน้อยหนุนกันเข้ามาปึ๊บมันก็ขึ้นเลย ช่วยกันไปเรื่อย ๆ เราทุกคน ๆ หนุนเข้ามา ๆ อย่างวันนี้ไปเทศน์ก็ได้ตั้งมากมาย ไม่ใช่กำลังของพี่น้องทั้งหลายเป็นของใคร นี่ละคนละหยดละหยาดมันมากเอง แล้วพอ เข้าได้ปึ๋ง ชาติไทยของเราจึงว่าไม่ได้อาภัพนะ มีผู้ดี มี ผู้มีฐานะพร้อมกับจิตใจที่เป็นอรรถเป็นธรรมมี นั่น มาช่วย

         ไอ้คนตระหนี่ถี่เหนียวมันก็เหมือนขอนซุงทั้งท่อน หรือเหมือนภูเขาทั้งลูก มันก็เป็นภูเขาอยู่งั้น โล้น ๆ ต้นไม้ต้นหนึ่งพอให้ชุ่มเย็นก็ไม่มี มันก็ไม่มีความหมายภูเขาลูกนั้น สู้ภูเขาที่ชุ่มชื่นเบิกบานไปด้วยต้นไม้สดเขียวงดงามไม่ได้ใช่ไหมล่ะ คนที่มีสมบัติเงินทองแต่จิตใจแห้งผากจากความเสียสละ จากความเป็นผู้จิตใจกว้างขวางเฉลี่ยเผื่อแผ่เสียอย่างเดียว มันก็เหมือนภูเขาทั้งลูก กองเงินกองทองก็เหมือนกองภูเขา ไม่เกิดประโยชน์ แล้วเอาออกมาดูซิ ถ้าเป็นไปตามธรรมเป็นประโยชน์ทั้งนั้นและเป็นประโยชน์ทั่วโลกเย็นไปหมด นั่น

         แล้วสิ่งเหล่านี้กลับมาเป็นคุณกับเจ้าของ หนุนเจ้าของขึ้นอีก สูงลิ่ว เหมือนกันกับเราช่วย เวลาช่วยใครก็ช่วย เอา หมดก็หมด ยังก็ยัง เหล่านี้แลหนุนย้อนหาเจ้าของ เวลาจำเป็นจำใจหากเป็นเอง เรานี่เชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ล้านเปอร์เซ็นต์เลย เรื่องอำนาจแห่งบุญแห่งกรรม ใครประมาทไม่ได้ องค์ศาสดาองค์เอกทุกองค์ไม่มีประมาทแม้แต่องค์เดียว แล้วใครจะไปเก่งกว่าศาสดา ไปอวดก้ามใส่กรรมวะ พังทั้งนั้นแหละ ใครอวดก้ามใส่กรรมแล้ว เทียบให้ฟังชัด ๆ นะ กรรมนี้เหมือนเหล็ก ทุกประเภทของเหล็กเลยเชียว หรือเหมือนภูเขาหินทั้งลูก นี่อำนาจของกรรมแข็งแกร่งอย่างงั้นแหละ เหมือนภูเขาทั้งลูก เหมือนเหล็ก

         ใครประมาทกรรมไม่ได้นะ เพราะฉะนั้นจึงรีบบอกกันเสีย อย่าได้หลวมไม้หลวมมือ เข้าไป หลวมใจเข้าไป อย่าเอามีดไปฟันหินเข้าใจไหม มีดเล่มไหนก็มาที่เอาไปฟันหินพังหมด เข้าใจเหรอ ใครจะอวดเก่งมาจากโรงงานไหนเอ้ามา เอาไปฟันหินลองดูซิ มีดนั่นละขาดสะบั้นเลย นี่อันหนึ่ง อันหนึ่งอย่าขับรถชนภูเขา เข้าใจไหม ในเมืองไทยเรามีรถที่มากที่สุด ไม่มีรถไหนเกินเมืองไทยเรานี้ ป่าช้ารถเต็มอยู่ในเมืองไทย เอาถ้าเก่งให้ขับมาทุกคันไปชนภูเขาดูซิ พังหมดเข้าใจ นี่ละใครอวดกับกรรมพังหมดด้วยกัน

         พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วแน่นหนามั่นคงเหมือนภูเขาอีก เหมือนหินอีก กรรมนี้ก็เหมือนภูเขาเหมือนหินอีก ผู้สอนก็สอนตามหลักความจริงไม่เคลื่อนคลาด ใครเก่งเข้าไปทดลองดูซิ พังทั้งนั้นแหละ ท่านเป็นองค์ศาสดาแท้ๆ ท่านยังยอมรับสำหรับพระองค์เลย ไม่ต้องพูดถึงผู้อื่นผู้ใด โดยเว้นพระพุทธเจ้า แต่พระองค์ก็ไม่เว้นพระองค์เอง ยอมรับกรรมด้วยกัน ถึงวันเวลาแล้วเสด็จไปปรินิพพาน เป็นยังไงพระญาณหยั่งทราบตรงแน่วแล้วเป็นอื่นไปไม่ได้ แล้วเสด็จไป พอไปถึงกลางทางทรงกระหายน้ำ ให้พระอานนท์ตักน้ำ

         ฟังซิเวลาเสด็จไปปรินิพพานเอาบาตรเท่านั้นไป ให้พระอานนท์เอาบาตรไปตักน้ำ นั่นเห็นไหม น้ำก็น้ำบึงใหญ่ด้วยนะ มันไม่คาดไม่คิดว่าจะเป็นขึ้นมาได้ ว่าจะขุ่นเป็นตมเป็นโคลนไปหมด นี่ละเวลากรรมแสดงในวาระสุดท้ายที่พระองค์จะประกาศให้โลกได้เห็น คือยกพระองค์เป็นตัวพยานเอก

         พอพระอานนท์ไปไม่นานวิ่งกลับมา เอาบาตรเปล่ากลับมา โอ๊ย น้ำฉันไม่ได้เลย น้ำขุ่นเป็นตมเป็นโคลนหมด น้ำกว้างแสนกว้างขุ่นเป็นตมเป็นโคลนหมด “เอ้อ ใช่แล้วอานนท์ นั่นเห็นไหมยอมรับแล้ว ตั้งแต่ก่อนเรานี้เป็นนายโคต่าง ไล่โคทั้งหลายไป โคหิวน้ำลงไปกินน้ำ ทีนี้โคมากต่อมาก ฟาดน้ำนั้นจนขุ่นเป็นตมเป็นโคลน โคก็จะตาย เลยไม่ได้กินน้ำเต็มอิ่ม โคนั้นละกวนเอง เพราะมันหลายตัว เพราะฉะนั้นน้ำจึงขุ่น เป็นกรรมของเราเอง เราเป็นนายโคต่างไล่โคลงไป แล้วไปถึงนั้นไปกินน้ำ มันเป็นอย่างนั้น” ทีนี้กลับไปอีกบอกให้พระอานนท์ไป ว่างั้นนะ ให้พระอานนท์กลับไปอีก กลับมาคราวนี้ใสแจ๋วเลย เอาน้ำมา

         นี่คือกรรมดีของพระองค์ กรรมก็เป็นของไม่เที่ยง มีเปลี่ยนแปลงได้เหมือนกัน พระองค์ก็ไม่ได้ทำอย่างนั้นตลอดไป กรรมนั้นก็ผ่านไปได้ กลายเป็นเรื่องได้น้ำที่ใสสะอาดมาเสวย นั่นเห็นไหมล่ะ ไปกลางทาง นี่ก็กรรมของพระองค์เอง พระองค์ก็ยอมรับ ว่า เออ ใช่แล้ว เล็งปั๊บทีเดียวรู้หมดเลย พระพุทธเจ้าจะไปหาค้นคว้าที่ไหนไม่มีตำรับตำรา อยู่ในพระทัยทั้งหมด ในพระญาณหยั่งทราบทั้งหมด ตำรับตำรามาทีหลัง มาจดจารึกความหยั่งทราบของพระองค์ที่เป็นความจริงๆ ล้วนๆ แล้ว ที่มาจดจารึกนี้ยังอาจผิดพลาดไปได้ ไม่ใช่เป็นความจริงที่ออกมาจากพระญาณพระองค์โดยแท้นะ

         นี่ก็เสด็จไปเลย นี่ก็กรรมประเภทหนึ่ง เสด็จไปทางมัลลกษัตริย์ เขาทราบ เขาก็เข้ามาเฝ้าพระองค์ พระองค์ก็บอกว่าจะเสด็จมาตายที่นี่ นั่นบอกเลย ในคืนวันนี้ จะมาตายที่สวนมัลลกษัตริย์ ทางนั้นพอทราบแล้วก็รับสั่งทันทีเลย ให้เขาจัดที่ให้พระองค์ปรินิพพานทันที รับสั่งอย่างเด็ดขาด ๆ เลยเชียว พอถึงนั่นแล้วพราหมณ์ก็เข้ามาอีกแหละ พราหมณ์แก่ พราหมณ์คนนั้นเป็นพราหมณ์ชาติอริยกะเหมือนกันกับพระพุทธเจ้าเรา ซึ่งถือทิฐิมานะมาก พราหมณ์แก่คนนี้นะ เป็นชาติอริยกะด้วยกันก็ตาม แต่ท่านเป็นรุ่นลูกรุ่นหลาน เราเป็นพราหมณ์แก่ แต่ไม่ได้พูดว่าเรากำลังจะตายอยู่แล้วยังอวดตัวอยู่ไอ้เรานี่ก็ดี ไม่ว่าตอนนี้ เพราะคนมีทิฐิมานะย่อมไม่มองดูความบกพร่อง

         พอเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จมาจะมาปรินิพพานนี้ ทีนี้ค่อนข้างเอนเอียงแล้ว นี่อุปนิสัยเต็มภูมิของพระอรหันต์นะนั่น นี่ก็ทราบว่าท่านจะมาปรินิพพานที่นี่ ว่างั้น ทีนี้แต่ก่อนเราสงสัยเป็นอย่างที่ว่า มีทิฐิมานะไม่ทูลถามปัญหา เพราะปู่ไปถามปัญหาหลาน ติดข้องปัญหานี่มันเสียเกียรติปู่ ตายไปก็ตายไปด้วยทิฐิมานะนี่เถอะคงจะดีกว่า คงจะหมายว่างั้นนะ ทีนี้วันนี้เป็นวันที่ท่านเสด็จมาปรินิพพาน ความสงสัยนี้เราก็เป็นมานานแล้ว คราวนี้ท่านว่าอย่างไรไม่เคยผิดพลาด พระญาณหยั่งทราบ ตรัสออกมาคำไหนจริงคำนั้น

         วันนี้เป็นวันที่ท่านจะมานิพพาน ถ้าเราไม่ไปวันนี้แล้วจะไม่มีโอกาส จะเสียผลไปเปล่า ๆ ตกลงเลยตัดสินใจมา มาก็ถูกพระอานนท์ห้าม ไม่ให้ใครเข้าไปรบกวนท่าน พระองค์ทรงทราบ เรียกให้เข้ามาทันที “เรามาที่นี่เพื่อพราหมณ์คนนี้แลเป็นสำคัญ” อันหนึ่ง  เมืองเล็กเมืองน้อย เมืองที่ปรินิพพานมันจะเกิดข้าศึกกันนี้เป็นสำคัญ อีกอันหนึ่ง ถ้าปรินิพพานในเมืองใหญ่ เมืองไหนก็ถือทิฐิมานะว่าตัวมีศาสตราอาวุธ ไม่ยอมแจกพระสารีริกธาตุ ใครยึดว่านิพพานเมืองไหนคนนั้นก็จะถือความเป็นใหญ่ แล้วก็จะฆ่ารบฟันกัน ไม่สมกับพระพุทธเจ้าทรงให้ความร่มเย็นแก่โลกมานาน เข้ากันไม่ได้

จึงไปปรินิพพานที่เมืองเล็กเมืองน้อย เมืองกุสินารา เพราะเมืองนี้เป็นเมืองเล็ก แม้จะเป็นเจ้าภาพก็เป็นเมืองเล็ก หากว่ามีศาสตราอาวุธอะไรก็สู้เขาไม่ได้ ต้องยอมรับ พระองค์ทรงพิจารณาหมดแล้ว ต้องยอมรับด้วยความสงบร่มเย็น สมพระพุทธเจ้าปรินิพพาน จึงไปปรินิพพานเมืองนี้ นี่ความหมายอันหนึ่ง ปรินิพพานเมืองอื่นเขาจะเกิดข้าศึกกัน นิพพานเมืองนี้ไม่เกิดข้าศึก และพราหมณ์คนนี้จะได้มรรคได้ผล พอพระองค์ทรงทราบก็เรียกมาเลย ให้เข้ามาเดี๋ยวนี้ พอเข้ามา เรามาเพื่อพราหมณ์คนนี้แหละคนหนึ่ง มาก็เข้ามาถามถึงเรื่องศาสนาที่มีมาดั้งเดิม มีมากมาย ศาสนาไหนก็ว่าตัวเป็นของดีๆ ศาสนาที่เลวไม่มี มีแต่ของดิบของดีทั้งนั้น

พราหมณ์ก็เอามาทูลถามเรื่องศาสนาต่าง ๆ บอกว่าอย่าถามเราไปมาก เวลาเรามีน้อย นั่นเห็นไหมกำหนดไว้แล้ว ให้ถามเท่าที่จำเป็น พระองค์ไม่ตำหนิ ไม่ชมศาสนาใด รับสั่งว่าศาสนาใดมีมรรค ๘ มีอริยสัจ ๔ สมณะที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม ที่สี่  ได้แก่พระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ จะมีอยู่ในศาสนานั้น บอกอย่างงั้นเลย อย่าถามเราไปมาก เวลาเรามีน้อย รับสั่งสอนเฉพาะๆ แล้วรีบให้พระอานนท์บวชให้เดี๋ยวนั้นเลย แล้วก็อย่ามากังวลกับการเป็นการตายของเรา ซึ่งเป็นอริยสัจด้วยกันกับของพราหมณ์ ให้พิจารณาอริยสัจของตัวเอง อย่ามากังวลกับการเป็นการตายของเรา ให้กังวลกับการเป็นการตายของเจ้าของเอง ให้ภาวนาเสียคืนวันนี้ ให้สำเร็จเป็นปัจฉิมสาวกขึ้นมาในคืนวันนี้ แล้วก็ไล่ออกไปไม่ให้มาเกี่ยวเลย จากนั้นพระองค์ก็ทรงทำหน้าที่ปรินิพพาน และประทานโอวาทแก่พระสงฆ์ทั้งหลาย ทางนั้นก็ประกอบความพากเพียร แล้วก็ทำหน้าที่ปรินิพพาน ทางนั้นก็ทำหน้าที่ดับกิเลสภายในใจ ทางนี้ก็ดับธาตุดับขันธ์ภายในพระสรีระ พอทางนี้ปรินิพพาน ทางนั้นก็ตรัสรู้บรรลุธรรมเป็นอรหันต์ปัจฉิมสาวกพร้อมกันเลย

นั่นละพระพุทธเจ้าแน่ไหม รับสั่งขนาดไหน แน่ขนาดไหนรับสั่งมาเป็นอย่างนั้น นี่ปัจฉิมสาวกคือ สุภัททปริพาชก เราก็ลืมแล้วนาน ชื่อดูว่าอย่างนั้น ท่านรับสั่งอะไรแน่เป็นลำดับลำดา คำสอนทั้งหมดแน่ด้วยกันทั้งหมดเหมือนกันนี้เลย ถ้าเราไม่เชื่อนี้ก็เท่ากับไม่เชื่อพุทธศาสนาคือคำสอนของพระพุทธเจ้า เรียกว่าปิดหมด เรื่องทางมรรคทางผลทางคุณงามความดี จะไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัวถ้าลงไม่เชื่อคำสอนพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นศาสดาองค์เอกเป็นคู่โลกคู่สงสารแล้วไม่มีทาง เราโง่จนจะตาย ตาบอดมีกี่ตามันก็บอดหมด พระองค์จ้าเพียงพระองค์เดียวพระทัยใจที่สว่างจ้าเป็น โลกวิทู รู้แจ้งเห็นหมดทั้งโลกนอกโลกในตลอดทั่วถึง ไม่ยอมเชื่อพระพุทธเจ้ามันก็หมดคนเรา นั่น ให้พากันปฏิบัติเสียตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปนะ

นี่พูดถึงเรื่องอะไรก็มาเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าที่ทรงแม่นยำทุกอย่าง เรื่องกรรม เรื่องกรรมเทียบกับหินกับภูเขาทั้งลูก เพราะฉะนั้นใครอย่ากล้าหาญ เอามีดไปฟันหิน ขี่รถไปชนภูเขา ถ้ากล้าหาญก็จะเห็นประจักษ์ในเดี๋ยวนั้นเลย มีดก็พังเลย รถก็พังเลยไม่มีเหลือ ความไม่กล้าหาญกลับขับขี่ได้ มันเสียตรงไหนก็เอาไปซ่อมโรงซ่อมเขามี แต่โรงทำลายเขาไม่มี ถ้าเราอยากหาโรงทำลายก็ให้ขับรถไปชนภูเขานะ เอามีดไปฟันหินเข้าใจเหรอ ไม่ต้องบอกเรื่องทำลายเข้าใจไหม นี่ละใครกล้าหาญต่อกรรม เหมือนอย่างนี้ละอย่าพากันกล้าหาญ พระพุทธเจ้าสอนคำใดแม่นยำที่สุดนะ นี้พูดอย่างเด็ดขาด เราเชื่อกรรมนี้เป็นล้านๆ เปอร์เซ็นต์จะว่าอะไร มันเต็มหัวอกทุกอย่าง พิจารณามาตั้งแต่เริ่มแรกที่ประพฤติปฏิบัติ ล้มลุกคลุกคลานมา กรรมดีนี้แก้กันชะล้างกันมาโดยลำดับ ดูซิเรียกว่ากรรมดีเราทำมา ผลปรากฏขึ้นมาจิตใจค่อยสงบผ่องใสขึ้นมา ๆ ๆ ด้วยอำนาจแห่งกรรมดีคือการบำเพ็ญ สิ่งที่เป็นภัยคือกิเลสมันก็ค่อยจางไปๆ เด็ดขึ้นมาเรื่อย มันเห็นอยู่ประจักษ์นี่กรรมเราเป็นผู้ทำเอง

จิตใจของเราเป็นผลขึ้นมาเพราะความเพียรประเภทใด ดูความเพียรของตัวเองด้วย ดูผลของความเพียรด้วย ยิ่งหนักเข้าเท่าไรความเพียรยิ่งเด็ด ๆ ลงไป ผลก็ยิ่งเด็ดขาดกิเลสยิ่งอ่อนลง ๆ สุดท้ายกิเลสสู้ไม่ไหว ไม่มีอะไรจะต้านทานธรรมทั้งหลายได้ เมื่อถึงขั้นธรรมแก่กล้าเป็นอย่างนั้นนะ กิเลสเป็นตัวยกเมฆมาก็ตามฟาดทีเดียวพังเลย นั่น เห็นไหมอำนาจของธรรมแก่กล้า เอาขาดสะบั้นลงไปในจิตใจ ทีนี้ไม่จ้าแบบพระพุทธเจ้ามันก็จ้าแบบหนูนี่จะว่ายังไง มันประจักษ์นี่ รู้อะไรเห็นอะไรจะไปหวั่นไหวอะไร ใครจะเชื่อไม่เชื่อไม่สนใจกับใคร เราดูเรารู้เราเห็นของเราอยู่นี้ เราเป็นเจ้าของความรู้ รู้อยู่เห็นอยู่ แล้วเราจะไปเชื่อใครพระพุทธเจ้าตรัสรู้เพียงพระองค์เดียวไปเชื่อใคร พระองค์สอนโลกได้ทั้งสามโลกธาตุ

เห็นไหม นี่ละจริงหรือไม่จริง แล้วสัตว์โลกที่ได้หลุดพ้นจากทุกข์เป็นลำดับลำดา แล้วบรรเทาทุกข์โดยลำดับลำดามานี้มีจำนวนมากขนาดไหน แต่ที่วิ่งตามกิเลสใครบรรเทาทุกข์ มีแต่เพิ่มทุกข์เข้าไปโดยลำดับ ดีไม่ดีจมตลอด ๆ มานี่เพราะเชื่อกิเลส ถ้าเชื่อธรรมจะไม่จม คนเราพลิกตัวได้เชื่อธรรม ถ้าเชื่อกิเลสจมไปเรื่อย ไม่มีทางพลิกนะ ให้พากันตั้งใจปฏิบัติเสียนะ นี้เราพูด ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างเพราะเราจวนตัวของเราแล้วเหมือนกัน ประหนึ่งว่าเราไม่ได้วัดรอยพระพุทธเจ้านะ ที่พราหมณ์เข้าไปทูลถาม อย่าถามเรามากเวลาเรามีน้อย นั่นเห็นไหม เวลาพระองค์กำหนดไว้แล้ว นี่เราไม่มีความรู้ขนาดนั้นความตายกำหนดให้เราอยู่แล้ว เราเกิดมาเราต้องตายเข้าใจไหม เวลานี้แก่ใกล้เข้าไปกับความจะตายแล้วนี่ เพราะฉะนั้นจึงรีบพูดทุกสิ่งทุกอย่าง ใครจะยึดก็ยึด การพูดทั้งนี้เราไม่ได้มีสงสัยอะไรที่มาสอนโลกเวลานี้เราพูดจริง ๆ ความสงสัยมันมืดตื้อแต่ก่อนเราก็ได้มาพูดให้ฟังแล้ว มันสว่างมาขนาดไหนจนกระทั่งถึงหายสงสัยทุกอย่างแล้ว แม้พระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้าก็ไม่ทูลถาม

นี่ก็พูดออกมาแล้วอวดดีกว่าพระพุทธเจ้าเหรอ ก็ สนฺทิฏฺฐิโก พระพุทธเจ้าประกาศป้างครอบหัวเราอยู่นี้ ผู้ปฏิบัตินั้นแลจะเป็นผู้รู้เองเห็นเองไม่จำเป็นต้องไปถามใคร นั่น พระพุทธเจ้าเองเป็นผู้ประกาศสอนมา เวลามันจ้าเข้าไปนี้มันก็เป็นผลของเจ้าของที่ได้ปฏิบัติมามันก็รู้ขึ้นมาเองเห็นขึ้นมาเองเป็นลำดับ จนกระทั่งรู้จนหายสงสัยทุกอย่างไม่มีทูลถามพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านประทับอยู่ข้างหน้า สาธุ จะไม่ทูลถามเลย ยกตัวอย่างเช่นพระท่านไปทูลถามปัญหาเวลาฝนตก กำลังพิจารณาหัวเลี้ยวหัวต่อที่จะหลุดพ้นก็ไปเจอฝนตก น้ำฝนหยดย้อยลงมาจากชายคามากระทบกับน้ำอยู่บนพื้นตั้งเป็นต่อมเป็นฟองขึ้นมา ท่านพิจารณาเกิดแล้วดับ ๆ ตั้งแล้วดับไป จิตนี้สังขารคิดปรุงดีชั่วดับไป ๆ พิจารณานี้เทียบอันนั้นปั๊บ ๆ ตรัสรู้ปึ๋ง พอฝนตกหยุดกลับเลยกุฏิ เลยไม่ได้ทูลถามพระพุทธเจ้า ทั้ง ๆ ที่จะไปทูลถามก่อนหน้าฝนตกนั้น แต่เวลาฝนตกหยุดแล้วบรรลุธรรมแล้วไม่ทูลถาม นั่น เห็นไหม สนฺทิฏฺฐิโก ก็พระพุทธเจ้าเป็นผู้ประกาศเอง เมื่อรู้เองเห็นเองไปถามพระพุทธเจ้าหาอะไร ถ้ายังถามพระพุทธเจ้าอยู่คำว่า สนฺทิฏฺฐิโก ก็ไม่มีความหมายละซิ นี่ก็คือทรงความหมายไว้เต็มตัว พอท่านรู้ท่านกลับเลยไปเล่าให้พระฟัง นั่นละเรื่องราวเป็นอย่างนี้

นี้ก็ธรรมอันเดียวกันกิเลสประเภทเดียวกันแก้แบบเดียวกัน กิเลสขาดสะบั้นไปแบบเดียวกัน พูดแบบเดียวกันจะพูดไม่ได้เหรอ มันเป็นยังไงใครจะมาเย็บปาก เอากิเลสตัวไหนมาเย็บ ฟาดปากมันหมดทั้งโคตรมันเลย เข้าใจไหม ตัวเดียวมันไม่พอน้ำหนักไม่พอ ฟาดทีเดียวมันขาดสะบั้นไป มันทีเดียวมันได้ทั้งโคตรเลยกิเลสตัวไหนเก่ง เวลามันเก่งกว่าเรามันก็เก่งพอแล้ว ถึงขนาดนั่งน้ำตาร่วงอยู่บนภูเขาลืมเมื่อไร นี่เราไม่ลืม อะไรถ้าฝังใจลึกแล้วมันไม่ลืมนะนี่ มันไม่ค่อยเหมือนใครง่าย ๆ ไม่ว่าทางดีทางชั่วถ้าลงได้ฝังใจแล้วถอนไม่ขึ้นเลย เพราะก่อนที่จะลงฝังใจนั้นเหตุผลลงทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ไม่มีที่แย้งแล้วยอมรับปึ๋งเลย ขาดสะบั้น ไม่มีใครมาถอนได้เลย นี่ก็เหมือนกันธรรมพระพุทธเจ้า

ถ้าหากว่าบรรดาผู้ปฏิบัติตามธรรมทั้งหลาย ที่พระพุทธเจ้าสอนไว้เพื่อมรรคเพื่อผล รู้ไม่ได้เห็นไม่ได้พระพุทธเจ้าสอนเพื่ออะไร สอนโลกเพื่ออะไร ก็สอนเพื่อรู้เพื่อเห็นเพื่อมรรคผลนิพพาน ธรรมะประเภทนี้ก็เป็นศาสดาแทนพระองค์ตลอดมา เคลื่อนคลาดที่ตรงไหน เวลาพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปได้ ๒-๓ วัน ก็ให้กิเลสมาหาลบล้างว่า มรรคผลนิพพานไม่มี พระพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว พระพุทธเจ้านิพพานก็เป็นเรื่องของพระองค์เอง ผู้ปฏิบัติธรรมตามศาสดาที่สอนไว้ ซึ่งเป็นศาสดาแทนสัตว์ทั้งหลายก็ปฏิบัติกันอยู่เพื่อมรรคผลนิพพาน ทำไมจะรู้ไม่ได้เห็นไม่ได้ เหอ พิจารณาซิ เมื่อรู้ได้เห็นได้ทำไมจะพูดไม่ได้ พูดเรื่องกิเลสตัณหาเต็มโลกเต็มสงสารไม่เห็นใครเบื่อใครอิ่มพอ ไม่เห็นใครแสลงแทงใจ พูดเรื่องอรรถเรื่องธรรมซึ่งเป็นคุณค่าต่อโลก ทำไมจึงกลายเป็นเครื่องแสลงแทงใจ ถ้าไม่ใช่กิเลสเสียบแทงหัวใจเท่านั้น ให้พูดออกมาไม่ได้ เย็บปากหมด พูดความดีไม่ได้ ความชั่วสร้างกันทั้งโลก ความดีเพื่อเป็นความดิบความดีแก่ตนและแก่โลกทำไมจะพูดไม่ได้ เอ้า พิจารณาซิน่ะ

ปล่อยให้กิเลสมาเหยียบหัวอยู่เหรอ พูดอะไรถ้าเรื่องอรรถเรื่องธรรม ว่าผู้นั้นสำเร็จนั้นผู้นี้สำเร็จอย่างนี้ ก็สำเร็จตามทางของศาสดาที่สอนไว้เพื่อความสำเร็จ แล้วทำไมสำเร็จแล้วพูดไม่ได้ว่ะ หาว่าโอ้อวดไปตรงไหน กิเลสมันอวดหรือไม่อวดมันฟาดหน้าไหนงอมแงมไปหมด มีหน้าไหนที่ยิ้มแย้มแจ่มใส กิเลสไม่เหยียบหน้าผากมัน มันมีแต่กิเลสเหยียบหน้าผาก มันก็ยิ้มไปตามกิเลสเสีย เรื่องยิ้มไปตามธรรมไม่มี มันก็ยิ้มไปตามกิเลสเสีย มันก็เลยลืมโทษลืมทุกข์ของตัวเอง ไม่มีความเข็ดหลาบ เอ้า กลับไปนี้ไปให้กิเลสเหยียบหัวอีกนะเข้าใจเหรอ เอ้า ใครเก่ง ๆ กว่าธรรมให้กิเลสเหยียบหัวแหลกไป ให้กิเลสกล่อมไปนี้กิเลสกล่อมง่ายนะ พอไปนี้ยังไม่ถึงบ้าน เอ้า วันนี้เหนื่อย ไปฟังเทศน์วันนี้ไม่ทราบท่านพูดอะไร ไปฟังไม่รู้เรื่องรู้ราวเพราะมันง่วงเหงาหาวนอนจะตาย มันล้มลงไปไม่ทราบถูกหมอนไม่ถูกหมอนดังเสียงครอก ๆ ยังไม่กุสลาเลยครอก ๆ แล้ว อย่างนั้นเหรอมันดีพิจารณาซิ

นี่ละเรื่องกิเลสกล่อมคนกล่อมได้ง่าย ใครรู้เนื้อรู้ตัวเมื่อไร เอาเรื่องนั้นมากีดเอาเรื่องนี้มาขวาง ถ้าเป็นเรื่องอรรถเรื่องธรรมมันจะกีดจะขวางทั้งหมด ถ้าเรื่องกิเลสไม่ต้องบอก หมอนนี้ไม่ต้องบอก ถูกไม่ถูกช่างหัวมันเถอะหมอน ฟาดลงไปหลับครอกขึ้นมา ตื่นขึ้นมาถึงคว้าหาหมอน นั่น มันง่ายนิดเดียวถ้าเรื่องกิเลสเปิดทางให้สัตว์โลกจม จมง่ายที่สุด ความขี้เกียจขี้คร้านมาง่ายที่สุด ความตระหนี่ถี่เหนียว ความเห็นแก่ตัวมาง่ายที่สุด ความโลภมาง่ายที่สุด ความโกรธมาง่ายที่สุด ราคะตัณหากำลังสร้างบ้านสร้างเรือนขึ้นด้วยฟืนด้วยไฟของราคะตัณหานี้มากขึ้นทุกวัน ๆ พากันเห็นไหม ธรรมท่านจับท่านรู้หมดนี่ เรามีแต่สั่งสมเป็นบ้า พวกหนอนอยู่ในส้วมในถานก็ว่าตัวดิบตัวดี ธรรมเลิศเลอกว่านั้นมันไม่สนใจพวกส้วมพวกถานน่ะ พิจารณาซิ

เราจะเป็นส้วมเป็นถานหรือจะเป็นคนประเภทไหน ถ้าเป็นประเภทที่มองอรรถมองธรรมบ้าง เอ้า ให้ไปปฏิบัตินะ ธรรมเหล่านี้ไม่ใช่ธรรมโมฆะ ท้าทายกิเลสตลอดเวลานอกจากไม่เอามาฟันหัวกิเลส เข้าใจเหรอ มีมีดอยู่ในมือก็ไม่ฟันหัวกิเลส ให้กิเลสมาท้าทายอยู่ตลอด ดีไม่ดีกิเลสฟันเอา ๆ หงายกันทั้งนั้น พวกเรานี่พวกหงายทั้งนั้น เราไม่อยากพูดมากไปว่าหงายหมากันเลย หรือพูดแล้วก็ไม่รู้นะ พวกนี้พวกหงายหมานะ หงายไม่เป็นท่า แอ้ ๆ ตั้งแต่คอยังไม่ถึงหมอนฟังเสียงหลับครอก ๆ ไว้แล้ว กินตามทางไปก่อนก็ได้เข้าใจไหม ก่อนจะถึงหมอนคงได้หลายตื่น แน่ะ กินตามทาง พวกนี้พวกกินตามทางเต็ม ลูกศิษย์หลวงตาบัวมันมีแต่คนเก่ง ๆ เรื่องกินตามทางเข้าใจไหม กินธรรมดาไม่ยอมกิน ต้องให้ได้กินตามทาง กว่าจะถึงหมอนมันได้กี่ตื่นแล้วไม่รู้นะ ครอก ๆ ๆ นี่กิเลสกล่อมสัตว์โลก

เราจะเห็นมันได้เวลาธรรมะหนาแน่ขึ้นไปนี้ แต่ก่อนการหลับนอนนี้แบบว่านี่ละ อยู่ที่ไหนคอยแต่จะหลับ ๆ เวลาธรรมมีกำลังเป็นเครื่องปลุกให้ตื่น ๆ เห็นภัยอยู่ต่อหน้า ๆ คือกิเลสทั้งหมด ทีนี้ก็ซัดกันละซิ เมื่อภัยอยู่ข้างหน้ากิเลสอยู่ข้างหน้า ธรรมอยู่ทางนี้ เราถืออาวุธอยู่นี้ฟันขาดสะบั้น ๆ ไปเลย นั่น ถึงกาลเวลาแล้วไม่มีคำว่าหลับว่านอน

นี่ละธรรมมีกำลังมันจะหลับครอก ๆ ยังไม่ถึงหมอนก็ตามแต่ก่อนมันเป็นได้ เมื่อถึงขั้นที่ว่าเป็นไม่ได้แล้วมันไม่เป็นอย่างนั้นนะ นี่อำนาจของธรรมเหนือแล้ว เรื่องหมงเรื่องหมอนไม่สำคัญ นอนเมื่อไรนอนมาตั้งแต่วันเกิดไม่เห็นจำเป็นอะไร  เรื่องการฆ่ากิเลสตัวเป็นภัยนี้เรายังไม่ได้ฆ่ามัน คราวนี้เอาให้เสร็จไม่ต้องกุสลามัน มันตายแล้วเราพอ นั่น หมุนติ้วเลยธรรม เอาให้แหลกแตกกระจายเลยกิเลส ไม่มีตัวใดเหลือแสนสบายหรือล้านสบาย อยู่กับจิตใจของผู้สิ้นกิเลสแล้ว

โลกนี้ร้อนมาตั้งกัปตั้งกัลป์ร้อนอยู่จนกระทั่งปัจจุบันนี้ เป็นมนุษย์มันก็ร้อน ไม่ร้อนประเภทหนึ่งก็ทุกข์ประเภทหนึ่ง ไม่ทุกข์ประเภทหนึ่งก็ทุกข์ประเภทหนึ่งประจำอยู่หัวใจของคนมีกิเลสด้วยกันทุกคน กลับปั๊บตรงกันข้าม กิเลสขาดสะบั้นไปจากใจด้วยอำนาจแห่งธรรมสังหารแล้ว อยู่ไหนสบายหมดไม่มีคำว่ากิเลส ตั้งแต่วันกิเลสขาดสะบั้นลงไป ตัวไหนที่จะปรากฏขึ้นมาให้สงสัยไม่มีเลย ขาดสะบั้น กิเลสตัวเป็นเหตุให้สร้างทุกข์ขึ้นมานั้นขาดสะบั้นลงไปทุกข์จะมาจากไหน พ่อแม่ของทุกข์ก็คือกิเลสเป็นผู้สร้างขึ้นมา เมื่อกิเลสขาดลงไปแล้วทุกข์ไม่มี

เพราะฉะนั้นทุกข์จึงไม่มีในหัวใจพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ในหัวใจพระอรหันต์ทุกพระองค์ไม่เคยมีทุกข์เลย มีก็มีแต่เรื่องธาตุเรื่องขันธ์ธรรมดาเพราะอันนี้เป็นสมมุติ ธาตุขันธ์ของท่านของเราเหมือนกัน มีการเจ็บไข้ได้ป่วย ปวดหัวตัวร้อนเหมือนกัน มันก็แสดงอยู่ในขันธ์ เป็นแต่เพียงว่าจิตใจนี้เป็นผู้รับผิดชอบก็รับทราบตามธรรมดา แต่ไม่สามารถที่จะเข้าถึงใจท่านได้ ท่านจะเป็นทุกข์ที่ไหนหัวใจท่าน จนกระทั่งตายทุกข์จนกระทั่งตายก็เรื่องของธาตุขันธ์มันสลายของมัน มันตายของมัน อมตมหานิพพานหรือธรรมธาตุไม่เคยตาย จะเอาอะไรตาย พออันนี้ดับคือสมมุติทั้งหลายนี่นะ จะดับเป็นแดนสุดท้ายของอรหันต์ คือทุกข์ในหัวใจเพราะกิเลสสร้างขึ้นมาดับไปแล้วตั้งแต่กิเลสขาดสะบั้นลงไป เรียกว่า ดับกิเลสแล้วเป็นพระอรหันต์ขึ้นมานี้อันหนึ่ง เรียกว่าจิตนี้ดับกิเลส เรียกว่านิพพาน ดับกิเลส จากนั้นมาท่านก็ครองขันธ์มาเรื่อย

เพราะฉะนั้นเวลาท่านยังมีชีวิตอยู่จึงไม่เรียกว่าท่านนิพพาน ทั้งพระพุทธเจ้าทั้งสาวกทั้งหลาย ท่านมีชีวิตอยู่มีพระชนม์อยู่ก็มีธรรมดา ทั้ง ๆ กิเลสดับไปแล้วท่านยังไม่เรียกว่านิพพานเปิดเผยนะ พอวาระสุดท้ายขันธ์นี้ย่นเข้ามา โลกธาตุนี้กว้างขวางขนาดไหน ความรับผิดชอบความยึดถือขาดสะบั้นไปหมด ๆ แต่ขันธ์นี้ขาดสะบั้นไปเหมือนกันเรื่องความยึดถือไม่มี แต่ความรับผิดชอบมี เจ็บรู้ว่าเจ็บ ปวดรู้ว่าปวด เจ็บท้องปวดศีรษะรู้เหมือนกันเป็นแต่เพียงว่าไม่สามารถซึมซาบเข้าจิตของท่านได้เลย นี่ละสมมุติอันนี้ยังมีขันธ์นี้ยังมี พอลมหายใจดับปั๊บลงไปเท่านั้นเรียกว่า สมมุติทั้งมวลที่ทรงรับผิดชอบอยู่ หรือพระอรหันต์ท่านรับผิดชอบอยู่ จะดับในเวลานั้นทันทีไม่มีอะไรเหลือ นี้ละสมมุติขาดสะบั้นลงในขณะที่พระอรหันต์ท่านสิ้นลมหายใจ

ทีนี้เมื่อท่านสิ้นลมหายใจ เรียกว่า ตาย เรียกกันได้เต็มปากทั่วโลกทั่วสงสารว่า ท่านนิพพาน เข้าใจไหม นิพพานแปลว่า ดับ ธาตุขันธ์นี้เป็นสมมุติทั้งมวลมาดับในวาระสุดท้ายที่ลมหายใจขาดลงไป ทีนี้นิพพานแล้ว นั่น เรียกว่า สมมุติดับในขณะที่ลมหายใจดับลงไปแล้ว ส่วนกิเลสดับตั้งแต่ธรรมฟาดมันขาดสะบั้นลงไป นั่นเรียกว่า ดับกิเลส อันนี้เรียกว่า ดับขันธ์คือสมมุติไม่มีเหลือ กิเลสก็เป็นสมมุติอันหนึ่งดับแล้วภายในจิต อันนี้ธาตุขันธ์เป็นสมมุติอันหนึ่งดับแล้วภายในขันธ์ไม่มีอะไรเหลือเลย จึงเรียกว่าท่านนิพพานแล้ว

ดังพระพุทธเจ้าประทานพระโอวาทแก่สงฆ์ทั้งหลายเรียบร้อยแล้ว ในขณะนั้นความแน่ใจของเราว่าจะมีแต่พระเป็นจำนวนมาก เวลาแสดงท่านแสดงว่า อามนฺตยามิ โว ภิกฺขเว, ปฏิเวทยามิ โว ภิกฺขเว, ขยวยธมฺมา สงฺขารา, อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ.ดูก่อนภิกษุทั้งหลายบัดนี้เราเตือนเธอทั้งหลาย สังขาร ก็หมายถึงสังขารภายใน ไม่เรียกว่าสังขารภายนอก เพราะเวลานั้นมีแต่พระปฏิบัติที่จะฆ่ากิเลสอยู่กับสังขารภายในนี้ สังขารมีเกิดแล้วดับ จงพิจารณาสังขารตัวเกิดแล้วดับนี้ด้วยความไม่ประมาทเถิด พอว่าแล้วก็ปิดพระโอษฐ์ไม่รับสั่งอะไรต่อไป จากนั้นก็ทำหน้าที่ปรินิพพานไปเรื่อย ๆ เลย พระพุทธเจ้าท่านแสดงเวลาสุดท้ายเป็นอย่างนั้น สอนพระสงฆ์ทั้งหลายผู้เป็นอริยบุคคลมีถึง ๔ ประเภท เห็นไหม เป็นพระโสดาก็มี สกิทาก็มี อนาคาก็มี อรหันต์ก็มี ฟังด้วยกันหมด เพราะฉะนั้นท่านจึงแสดงสังขารภายในซึ่งเป็นตัวสมุทัยตัวกิเลสให้รู้เท่าทันมันนี้ ดับกันที่ตรงนี้ ไม่ให้ไปดับต้นไม้ ภูเขาซึ่งเขาไม่ใช่สังขารรบกวนเรา สังขารตัวนี้รบกวน ดับตรงนี้เลย

จากนั้นพระองค์ก็ปิดพระโอษฐ์ไม่รับสั่งอะไร เข้าสมาบัติผึงเลย กำลังที่จะก้าวเข้าสู่นิพพานวางลวดลายของศาสดาให้เต็มภูมิ ก้าวตั้งแต่ ปฐมฌาน ทุติยฌาน จนกระทั่ง อากาสานัญจายตนะ ไปเรื่อยไปถึง สัญญาเวทยิตนิโรธ นี้พระทั้งหลายถามกันว่า เอ้า ไปถึงขั้นที่สงบเต็มที่แล้ว ไม่ใช่พระองค์ปรินิพพานแล้วเหรอ พระอนุรุทธะที่ตามดูจิตที่บริสุทธิ์นี้ก้าวไปตามสมมุติขั้นใด ๆ เช่น ปฐมฌานก็เป็นสมมุติ ทุติยฌาน ตติยฌาน จนกระทั่งสัญญาเวทยิตนิโรธ ก็เป็นสมมุติทั้งหมด พระจิตที่บริสุทธิ์นี้ก้าวเดินตาม

เห็นไหมนี่ จิตที่บริสุทธิ์นี้สูญไปไหน ก้าวเดิน ปฐมฌาน ทุติยฌาน เรื่อยขึ้นไปถึงโน้น จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธย้อนถอยกลับมา พระอนุรุทธะก็บอกว่า ที่นี่ย้อนถอยออกมาแล้ว เวลานี้เข้าพักอยู่ยังไม่นิพพาน นั่นเห็นไหม พอย้อนกลับเข้ามา ย้อนกลับคราวหลังนี้ก็ไปถึงจตุตถฌาน ซึ่งเป็นรูปฌาน อันนั้นจะเป็นอรูปฌานคืออากาสานัญจายตนะ แล้วออกตรงกลางนี้เลย ทีนี้นิพพานแล้ว คำว่านิพพานแล้วคือปล่อยขันธ์แล้วเข้าใจไหม หมดสมมุติอันนี้โดยสิ้นเชิงในขณะที่ลมหายใจขาดสะบั้นจากกันไป นี่นิพพานแล้ว

ทีนี้พระจิตที่บริสุทธิ์นี้ไม่มีที่คาดหมาย จึงบอกไม่ได้ว่าพระจิตที่บริสุทธิ์นี้ไปอยู่ที่นั่นที่นี่ สมมุติข้ามไปหมดแล้วไม่มีอะไรเหลือ พระจิตนี้เป็นวิมุตติล้วน ๆ แล้วไปสู่วิมุตติล้วน ๆ เป็นวิมุตติล้วนๆ เป็นธรรมธาตุล้วน ๆ แล้วจึงไม่มีใครตอบใครถามกันอีกต่อไป พระอรหันต์จะไม่ถามกันเลย เข้าใจกันหมดออกจากนี้แล้ว อย่าง พระอนุรุทธะ เอ้อ ที่นี่ปรินิพพานแล้ว เท่านั้นท่านเข้าใจแล้ว นิพพานแล้วคือยังไง นิพพานของจิตเป็นยังไง นิพพานคือดับของธาตุของขันธ์เป็นยังไงท่านรู้หมด เข้าใจไหมล่ะ นี่ละธรรมของพระพุทธเจ้าจริงหรือไม่จริงขนาดไหนท่านทั้งหลายไปฟังเอานะ อย่ามากำคัมภีร์อยู่เฉย ๆ นะ แบกคัมภีร์อยู่เฉย ๆ เป็นหนอนแทะกระดาษไม่เกิดประโยชน์อะไร เรียนไปมากเท่าไรยิ่งส่งเสริมกิเลสให้หนาแน่นขึ้นมา ๆ เวลานี้เป็นอย่างนั้นนะ แต่ก่อนท่านเรียนเพื่อปฏิบัติ เรียนไปตรงไหน ปฏิบัติไป ๆ แก้ไขดัดแปลง ถอดถอนกิเลสไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงขั้นพระอรหันต์ นี่ที่ท่านว่า ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ

ปริยัติ ได้แก่ การศึกษาเล่าเรียน เริ่มจากท่านสอน เกสา โลมา เรื่อยไปปฏิบัติไปตาม ปฏิบัติไปตามเรียกภาคปฏิบัติ ปฏิเวธคือรู้แจ้งไปโดยลำดับตั้งแต่จิตใจสงบๆ จนกระทั่งพ้นจากทุกข์เป็นนิโรธโดยสมบูรณ์ ท่านแสดงไว้อย่างนั้น เรียนปริยัติเรียนเพื่อปฏิบัติถูกต้อง เรียนเพื่อสั่งสมกิเลส อย่างทุกวันนี้มีแต่สั่งสมกิเลส เดี๋ยวก่อเรื่องนั้นเข้ามา ก่อเรื่องนี้ขึ้นมาที่จะมาทำลายศาสนาอันเป็นธรรมที่บริสุทธิ์สุดส่วนด้วยกิเลสตัณหา เรียนชั้นนั้นชั้นนี้ให้ได้ชั้นได้ภูมิ ได้ชั้นได้ภูมิก็ความทิฐิมานะ ว่าได้ชั้นนั้นชั้นนี้มันเพิ่มกิเลสเข้าไปเท่าไร ไม่ได้ถอนกิเลสเหมือนสาวกทั้งหลายท่านเรียนเพื่อปฏิบัติ นี่ละมันต่างกันอย่างนี้

เวลานี้ศาสนาจะล่มจมไปด้วยการศึกษาเล่าเรียนมาก มันเอาศาสนานี้ละเป็นเขียงหรือว่าเป็นถานเหยียบขึ้น ๆ ของกิเลสทั้งหลาย เรียนมากเท่าไรยิ่งมีแต่กิเลสตัณหาเต็มบ้านเต็มเมือง หาความสงบเย็นใจในกาย วาจา ของผู้เรียนทั้งหลายไม่มีเลยเวลานี้ ทั้ง ๆ ที่ศาสนามีเต็มบ้านเต็มเมือง มันมีแต่ความจำ ไม่มีธรรมอยู่ในหัวใจ การละบาปบำเพ็ญบุญ ละกิเลสตัณหามันไม่มีในผู้เรียนทั้งหลายซึ่งไม่สนใจปฏิบัติ

เพราะฉะนั้น ศาสนาว่าเจริญ ๆ มันเจริญตั้งแต่กิเลสนั้นละ เรียนชั้นนั้นชั้นนี้ ตั้งชั้นนั้นขึ้นมา ตั้งแบบนี้ขึ้นมา ให้คนนั้นมาเป็นอาจารย์คนนี้เป็นอาจารย์คละเคล้ากันไปหมด ทั้งหญิงทั้งชายเอามาคละเคล้า เข้ามาเหยียบย่ำทำลายศาสนาให้จมอย่างรวดเร็วไปโดยลำดับได้ด้วยกัน กำลังนะ ออกแง่ไหน ๆ มีแต่แง่ที่จะทำลายศาสนาให้แหลกเหลวไปหมด แง่ที่จะส่งเสริมศาสนานี้จะไม่มีแล้วนะเวลานี้ แง่ส่งเสริมศาสนาท่านสอนว่ายังไง รู้แล้วให้ปฏิบัติตามนั้น กาย วาจา ใจ จะสงบ หน้าที่การงานทุกสิ่งทุกอย่างจะสงบ ไม่ล่อแหลมต่อความผิดความพลาด แล้วก็ไม่ล่อแหลมต่อความทุกข์ทั้งหลายนะ เวลานี้มันสั่งสมตั้งแต่เรื่องที่ล่อแหลมต่อความทุกข์ทั้งหลาย ที่มันผิดพลาดจากศาสนธรรมพระพุทธเจ้า กิเลสมันเอาธรรมะเป็นเขียงเหยียบขึ้น เทิดกิเลสขึ้น เวลานี้กำลังเทิดทูนกิเลสขึ้นมากนะ

เรียนแบบนั้นเรียนแบบนี้ เอาศาสนานี้ไปสอนกันเรียนอย่างนั้น แล้วก็เหยียบศาสนาไปโดยลำดับกิเลสรู้กันไหม เอ้า ดูซิน่ะ ใครที่ว่าตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ สนใจแก้ไขดัดแปลงตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้แล้วไปโดยลำดับลำดา ขาดตกบกพร่องตรงไหนให้มาหาครูหาอาจารย์เพื่อแก้กิเลสตัวเองมีไหม ไม่มี มันมีตั้งแต่เรียนเพื่อสั่งสมกิเลส ๆ ใครได้ความรู้วิชาเป็นครูเป็นอาจารย์สอนใครแล้ว โอ๊ย. หน้าใหญ่ยิ่งกว่าภูเขาทั้งลูก แต่กิเลสมันยิ่งใหญ่กว่าภูเขาขึ้นไปอีกหารู้ไม่ เวลานี้กิเลสเหยียบศาสนา ทั้ง ๆ ที่ศาสนากำลังเจริญอยู่นี้ละ เห็นไหมดูเอา ต่อหน้าต่อตาเรานี้ ใครมีสนใจปฏิบัติ

พูดออกมาคำไหนมีแต่เรื่องทำลายศาสนาทั้งนั้นในแง่ต่าง ๆ ของการศึกษา หรือแง่ต่าง ๆ ของโครงการต่าง ๆ ที่ตั้งขึ้นมา ไม่มีแง่ที่จะให้เป็นความเจริญแก่ตนเองและศาสนาด้วยการแก้กิเลสนี้เลย มีแต่การสั่งสมกิเลสไปโดยลำดับ นี่ละศาสนาที่ว่าเสื่อม เสื่อมทั้ง ๆ ที่เมืองไทยของเรานี่ละเป็นเมืองที่ว่าเจริญด้วยการศึกษาเล่าเรียนทางศาสนา มันเอาศาสนาเป็นเขียงเหยียบขึ้นเท่านั้น ส่วนเจริญจริง ๆ มันมีแต่กิเลสเจริญ ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา ทิฐิมานะ เรียนชั้นนั้นชั้นนี้เต็มตัว ๆ นี่ละคือกิเลสทั้งหมด แล้วจะเอาอะไรมาชุ่มเย็น ถ้าเจ้าของไม่พยายามแก้ไขดัดแปลงตัวเองตามคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วไม่มีทาง เรียนเอาความรู้มาจรดฟ้าก็ฟ้าเต็ม ๆ ลม ๆ แล้ง ๆ มันไม่ได้มีความหมายอะไร

เวลานี้ศาสนาจะจม ๆ เพราะเหตุนี้เอง ไม่มีใครสนใจปฏิบัติ มีแต่เรื่องนั้นเรื่องนี้มายุแหย่ก่อกวนศาสนาให้มัวหมองแล้วถูกทำลายไปด้วย ๆ เท่านั้น ด้วยความรู้วิชาของจรวดดาวเทียมดูกัน ไม่ว่าใครไม่ว่าประชาชนไม่ว่าพระว่าเณร กลายเป็นเรื่องจรวดดาวเทียมไปหมด จะทำลายศาสนาโดยถ่ายเดียวเท่านั้น ที่ว่าส่งเสริมศาสนายังไม่มองเห็นเวลานี้นะ ในวงพระวงเณรเรา นอกจากผู้ปฏิบัติจริง ๆ อยู่ในป่าในเขาเรายกให้ เราไม่ได้ว่า หรือผู้อยู่ในบ้านในเมืองก็ตามเป็นผู้สนใจประพฤติปฏิบัตินั้นเราเห็นด้วยด้วยกัน แต่ที่มาออกแบบจัดจ้านหรือแบบหน้าด้านอย่างนี้ อวดรู้อวดฉลาด แต่งตัวเป็นพระขุนนางเป็นพระเจ้าชู้ เป็นพระข้าราชการงานเมือง เอากิเลสเข้ามาพอกหัวแล้วว่าตัวใหญ่ตัวโต ใหญ่โตหาอะไรก็ไม่รู้นะพิจารณาซิ เวลานี้ศาสนาจะจมนะเพราะความรู้มันมาก ความรู้อันนี้ละกิเลสเข้าแฝงปั๊บ กิเลสเอาเป็นตัวของตัวเสียหมดเลยศาสนาไม่มีเหลือ ศาสนาแท้จะไม่มี ถ้าศาสนาแท้จิตใจของเราย่อมมีความสงบร่มเย็น

การประพฤติปฏิบัติหน้าที่การงานของตัวเองก็ดีไปโดยลำดับ นี่เรียกว่าปฏิบัติตามธรรม โลกจะไม่รุ่มร้อนมากถ้าหากปฏิบัติตามธรรม ถ้าปฏิบัติตามกิเลสด้วยทิฐิมานะ อวดรู้อวดฉลาดว่าตัวเก่งกล้าสามารถนี่ละคือไฟเผาโลก อยู่กับพวกเรียนมาก ๆ รู้มาก ๆ ทิฐิมาก ๆ นี่ละจูงคนให้ผิดไปมาก มีจำนวนมากขนาดไหนให้ท่านทั้งหลายเอาไปพิจารณา เราพูดนี้พูดเป็นกลาง ๆ ไม่ได้ตำหนิติเตียนผู้หนึ่งผู้ใด ส่วนที่ผิดที่ถูกว่าไปตามหลักตามเกณฑ์นี่ละ ให้ปฏิบัตินะ เอาละพอเหนื่อยแล้ว โฮ่.เทศน์ว่าจะไม่เทศน์วันนี้ขึ้นปึ๋งปั๋งเลย ยังไม่ได้ยกครูนะขึ้นแล้ว เป็นยังไงวันนี้เทศน์ ก็เทศน์ตอนบ่ายนี้ก็หมดไปแล้ว วันนี้ไปคุ้ยเขี่ยหาได้สักประโยคก็ไม่รู้ละ ได้ประถม ๑ หรือประถม ๒ วันนี้ หมดไปแล้วตั้งแต่เทศน์ตอนบ่าย แล้วมาตั้งขึ้นเรียนใหม่เป็นประถม ๑ ประถม ๒ เทศน์ขึ้นมาใหม่อีก เอาละพอ โอ้ เหนื่อยแล้ว นี่ ๒ ทุ่มแล้ว เหนื่อย

 

 

ชมการถ่ายทอดสดทุกวัน  ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก