เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม
เมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๖
เทศน์กล่อมใจ
ทางสหรัฐเขาบอกมาทางอินเตอร์เน็ตว่าเขานั่งภาวนาแล้วฟังธรรมหลวงตา เขาดีใจหรือว่าจิตสงบหรืออะไร เขาพูดอย่างงั้น เขาพูดนี่เขาเอารัดเอาเปรียบหลวงตา เอารัดเอาเปรียบพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านั่งภาวนาจนถึงขั้นสลบไสล ไม่มีใครไปเทศน์กล่อมใจท่านเลย เรานั่งภาวนาก็เหมือนกันแทบสลบไสล ไม่เห็นมีลูกศิษย์ลูกหาคนไหนไปเทศน์กล่อมใจเราให้มีกำลังใจ อันนี้พอเริ่มภาวนาพุทโธ ๆ ทั้งหลับทั้งตื่น ทั้งสัปหงกงกงัน อยากฟังเทศน์หลวงตาเวลานั่งภาวนา มันจะได้กล่อมใจให้หลับเร็วมากขึ้น ว่างั้น ก็อาจเป็นได้นี่นะ เอารัดเอาเปรียบตลอด (หลวงตาเทศน์เขาได้ยินแล้วครับ) นั่นแล้ว ก็เทศน์ให้ได้ยินนี่วะ มีแต่จะให้หลวงตาไปเทศน์กล่อม หลับมันไม่สนิทดี
อันนี้มีความจริงสำหรับที่นั่งภาวนา ผู้เทศน์เป็นอรรถเป็นธรรมล้วนๆ ยิ่งเทศน์หมุนเข้านี่ ๆ แล้วกล่อมใจลงไปเลย สงบแน่วเลย ถ้าเทศน์เล่านิทานนั้นนิทานนี้ เรื่องนั้นเรื่องนี้ จิตมันก็เร่ร่อนไปนอกเสีย อย่างมากก็ได้มาเป็นคติว่าเขาทำอย่างงั้น ๆ เป็นของดีพอเป็นคติ หรือทำอย่างงั้นไม่ดีเราก็ปัดออก เป็นคติอันหนึ่ง แต่มันนอก นี่เราพูดให้เป็นขั้นเป็นตอน พูดถึงภาคปฏิบัติ เช่น พระพุทธเจ้าเทศน์สอนสัตว์ทั้งหลาย เฉพาะอย่างยิ่งเทศน์สอนสาวกผู้กำลังศึกษาอยู่นี้ ได้สำเร็จมรรค ผล นิพพานมากต่อมาก เทวดา อินทร์ พรหม มนุษย์มนา พระสงฆ์ สำเร็จมรรค ผล นิพพานเป็นหมื่น ๆ แสน ๆ นี่คือเทศน์กล่อมใจเข้ามานี้
ตัวมหาเหตุอยู่ที่ใจ ตัวนี้ก่อฟืนก่อไฟเผาตลอดเวลา คือกิเลสมันอยู่ในใจด้วยกันกับธรรม แต่มีอำนาจมากกว่าธรรมจึงแสดงฤทธิ์แสดงเดชได้ทุกแง่ทุกมุม แล้วกอบโกยเอาฟืนเอาไฟมาเผาไหม้ เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนภายในใจ ทีนี้เวลาภาวนาทำใจให้สงบ เท่ากับน้ำดับไฟ แล้วก็มีครูบาอาจารย์ เช่นพระพุทธเจ้าเทศน์สอนสัตว์โลกนี้กล่อมลงที่ใจ คือน้ำดับไฟ ใจที่กำลังยุ่งเหยิงวุ่นวาย พอเทศน์อรรถเทศน์ธรรมเข้าไป ตีเข้าไปในจุดเดียวกัน ไม่ได้ไปเล่านิทานนู้นนิทานนี้ไกล ๆ อะไรนักนะ ท่านพูดถึงเรื่องอริยสัจที่มีอยู่กับทุกคน เทศน์ลงไปจิตใจมันก็ได้รับอรรถรับธรรม แล้วก็เคลิ้ม ๆ ไม่ใช่เคลิ้มหลับนะ เคลิ้มด้วยความปีติยินดี จิตแน่วสู่ความสงบ นี่เทศน์ภาคปฏิบัติกับภาคปริยัติผิดกันมากทีเดียว
ภาคปริยัติเราก็เคยเรียนมา แล้วเคยเทศน์ทางปริยัติเหมือนกัน ถึงแม้จะไม่ได้ตั้งใจเทศน์สอนใครอะไร มุ่งหน้าปฏิบัติโดยถ่ายเดียวก็ตาม แต่ไปในสถานที่บางแห่ง สำหรับประชาชนกับพระแยกกันไม่ออก เวลานั้นกำลังขวนขวายหาธรรมภาคปฏิบัติก็ยังไม่ได้ เท่าที่จะออกมาแสดงได้ มีก็เทศน์ปริยัติ เราก็เคยเทศน์มาแล้ว จากนั้นก็ปฏิบัติธรรมเข้าไปเรื่อยๆ ทีนี้ปฏิบัติธรรมดับกิเลส ธรรมก็เกิดขึ้นเรื่อยๆ เกิดขึ้นมาก็เพื่อดับกิเลส ธรรมก็ค่อยเกิดขึ้นๆ กิเลสค่อยอ่อนตัวลงๆ เรียกว่าธรรมเกิดๆ ธรรมอยู่ในใจ เกิดที่ใจ อยู่ที่ใจ ทำความสงบร่มเย็นที่ใจ ความสว่างไสวที่ใจ นี่เรียกว่าธรรมเกิดจากภาคปฏิบัติ เพราะเราเรียนมาพูดตามหลักความจริง ทางภาคปริยัติจึงเทศน์ได้เหมือนปริยัติทั้งหลายเทศน์ทั่วๆ ไป ทีนี้ทางภาคปฏิบัติเวลาหมุนเข้ามาทางนี้มันก็เป็นภาคปฏิบัติ ดังที่พี่น้องทั้งหลายฟังมาเป็นเวลาเท่าไรปีแล้ว ส่วนมากจะไม่ค่อยออกทางด้านปริยัติ จะออกทางด้านปฏิบัติ ถนัดอยู่ในนี้ๆ
ทีนี้ถนัดทางภาคปฏิบัติ พอเทศน์เรื่องอะไรขึ้นจากนี้ๆ ไปเรื่อย นี่ละเทศน์ประเภทนี้แหละ ผู้ฟังก็ปฏิบัติธรรม ทำใจให้สงบระงับ การเทศนาว่าการก็เหมือนกับกล่อมลงไปๆ ให้จิตสงบแน่วๆ แล้วสงบแน่วได้เลยในขณะฟังเทศน์ นี่ที่เขาว่าฟังเทศน์หลวงตาในขณะภาวนาดี จิตใจสงบ เราเห็นด้วยทันที เพราะเราเคยเป็นเคยผ่านมาแล้ว แต่เพื่อให้คิดหลายแง่อีก พระพุทธเจ้าภาวนาใครไปเทศน์สอนท่านล่ะ พลิกปั๊บใส่นี้ ครูบาอาจารย์ใครไปเทศน์สอนท่านล่ะ แน่ะ พลิกให้มีหลายสันหลายคมซิ เรียกว่าธรรม
ทีนี้เวลาเทศน์ทางภาคปฏิบัติแล้วจิตจะไม่ออกทางปริยัติทั้งๆ ที่เรียนมา เรียนมาก็เป็นแถวเป็นแนวไปอย่างนั้น ที่เรียนมามันนอกไปเสีย ภาคปฏิบัติเอาที่เรียนมา มากางเป็นแบบแปลนแผนผังเพื่อปฏิบัติ ปฏิบัติก็ปรากฏขึ้นมาๆ เหมือนอย่างแปลนบ้านที่เขาไปกางไว้ ปรากฏตึกรามบ้านช่องขึ้นมาตามแปลนที่กำหนดไว้ว่าจะเอาบ้านหลังขนาดไหน กว้างแคบขนาดไหน เวลาสร้างสร้างตามนั้นก็ค่อยปรากฏขึ้นมาๆ ทีนี้ปริยัติท่าน แปลนแสดงไว้แบบพื้นๆ จนกระทั่งถึงที่สุดวิมุตติพระนิพพาน เราก็นำปริยัติที่เรียนมาแล้วมากางภายในหัวใจของเรา ปฏิบัติตามนั้นๆ แล้วปรากฏเป็นตึกรามบ้านช่อง ได้แก่ สมาธิ สมาธิตามขั้นภูมิ หลายขั้นหลายภูมิ ปัญญาหลายขั้นหลายภูมิ เริ่มแต่ความสงบ นี่ละเรียกว่าออก เอาแปลนออกมากางแล้วปฏิบัติ ศีลก็แน่นหนามั่นคงอยู่ตลอดเวลาแล้ว แม้จะไม่มีสมาธิ ศีลก็มั่นคง มีความหิริโอตตัปปะระมัดระวังตัวไม่ให้ศีลด่างพร้อยขาดทะลุไปได้เลย ชีวิตจิตใจอยู่กับความระมัดระวังรักษาศีลของตน แล้วธรรมภายในใจก็ทำให้สงบเย็นด้วยการภาวนาจะธรรมบทใดก็ตาม จิตก็สงบลงๆ
เมื่อสงบลงแล้วนั่นละเรียกว่าเริ่มเป็นผลขึ้นมาแล้ว แล้วสงบมากขึ้นโดยลำดับ เมื่อสงบมากแน่นหนามั่นคงขึ้นมาก ทีนี้ความสว่างไสวของใจจะขึ้นมาพร้อมกันตามกำลังแห่งความสงบมากน้อย ความสว่างไสวแปลกประหลาดจะขึ้นมาในใจดวงนี้ ซึ่งแต่ก่อนที่เราเกิดมาไม่เคยพบไม่เคยเห็นความสุขความอัศจรรย์แปลกประหลาด ที่ปรากฏในจิตขณะที่ภาวนานี้ ไม่เคยมีตั้งแต่เราเกิดมา เพราะเราไม่เคยภาวนา ก็ได้มาปรากฏ เริ่มปรากฏขึ้นมาเรื่อยๆ จิตมีแต่ความสว่างไสว ไม่มีอะไรมากีดมาขวาง มีแต่ความสว่างของจิตนี้จ้าออกเรื่อยๆ วัตถุเลยไม่มีความหมาย เพราะนามธรรมได้แก่ใจที่เป็นอยู่ละเอียดสุดยอด ผ่านได้หมดวัตถุ ดินน้ำลมไฟ ฟ้าแดดดินลม ต้นไม้ภูเขา ท้องฟ้ามหาสมุทร ไม่มีอะไรมาผ่านจิต มีแต่ความว่างลบไปหมดเลย นี่เวลาจิตปรากฏผลขึ้นมาจากภาคปฏิบัติ
นอกจากนั้นอะไรๆ ที่มันแฝงอยู่ในสิ่งเหล่านี้มีอะไรบ้าง ดังที่ท่านว่าพวกเปรตพวกผี พวกโจรพวกมาร พวกสัตว์เสวยกรรม หลายประเภทเต็มอยู่ในโลกธาตุอันนี้ จิตมันจะทะลุไป ๆ หมด นี่เป็นสิ่งที่สมควร เป็นวิสัยของกันและกันที่จะรู้จะเห็น จะสัมผัสสัมพันธ์กันได้อย่างชัดเจนประจักษ์ใจ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงไม่ทรงถามใคร วิสัยของตามองปั๊บมันเห็นแล้วนี่ หูไม่มีความหมายนะ ตาเป็นใหญ่ในการเห็น หูเป็นใหญ่ในการได้ยินได้ฟัง เข้ามาถึงจิตนี้ก็เป็นใหญ่ในการที่จะรู้จะเห็นสิ่งต่างๆ เป็นอยู่ในใจ
จิตมีความสงบมากเท่าไร ความสว่างไสวยิ่งเด่นออกๆ เรื่อย นี่เรียกว่าผลเกิดขึ้นเป็นภาคปฏิบัติ ทีนี้กิเลสตัวใดที่มันเคยฝังจมอยู่ภายในจิตใจก็ค่อยถอดค่อยถอนขึ้นมาๆ เรื่อยๆ เบาไปเรื่อย ธรรมหนาแน่นขึ้นมาๆ ที่ใจ ซึ่งแต่ก่อนกิเลสหนาแน่นอยู่ที่ใจ ธรรมเป็นไฟเผากิเลสไปโดยลำดับ หรือเป็นน้ำดับไฟตัวรุ่มร้อนให้สงบเย็นเป็นลำดับลำดา ก็สว่างขึ้นมาๆ ทีนี้เวลาปฏิบัติอย่างนั้น ยิ่งได้ยินได้ฟังอรรถธรรมจากครูอาจารย์ด้วยแล้วก็ยิ่งเพิ่มนะ ภาคปฏิบัติทั้งหลายนี้ การได้ยินได้ฟังอรรถธรรมจากครูอาจารย์ซึ่งเป็นผู้รู้ผู้เห็นแม่นยำทางภาคปฏิบัติ ตลอดถึงมรรคผลนิพพาน เทศนาว่าการให้ฟังด้วยแล้ว ยิ่งเป็นการเปิดทางๆ โล่ง
รวมแล้วภาคปฏิบัติของเรามีการนั่ง มีการฟังเทศน์จากท่านผู้ปฏิบัติรู้เห็นตามหลักธรรมทั้งหลายอย่างแท้จริงนี้เป็นอันดับหนึ่ง การฟังเทศน์ด้วยภาคปฏิบัติเป็นอันดับหนึ่ง อันดับสองเป็นเรื่องที่เราภาวนาขวนขวายเอง อันดับหนึ่งได้ยินจากครูอาจารย์ เวลาท่านเทศน์นี่ท่านเบิกกว้างออกๆ เพราะจิตท่านทะลุไปหมด เราภาวนากำลังติดข้องอยู่ในธรรมะข้อใด ปัญหาข้อใด พอท่านเทศน์จวนจะถึงที่นั่น จิตเราจะจ่อ ท่านมาถึงที่นี่ท่านจะว่ายังไง พอมาถึงที่นี่ท่านทะลุเลย เพราะท่านผ่านไปแล้วเรายังไม่ผ่าน แล้วก้าวเดินตาม ได้ก้าวหนึ่งสองก้าวก็เอา เทศน์ฟังแต่ละครั้งละหนค่อยก้าวไปๆ นี้ละเวลาฟังเทศน์จากครูอาจารย์ผู้รู้จริงเห็นจริงเหมือนครั้งพุทธกาล ไม่ได้ผิดกันอะไรเลย เปิดทางให้ๆ ผู้ปฏิบัติก็ก้าวตามๆ เพราะฉะนั้นการฟังเทศน์ทางภาคปฏิบัติแก่ผู้มีการปฏิบัติโดยการนั่งภาวนาเป็นสำคัญ นี้จึงเป็นอันดับหนึ่ง
อย่างหลวงปู่มั่นเทศน์ ไปหาท่านทีแรกท่านเทศน์แต่ละครั้ง เวลาเทศน์ประชุมพระเทศน์นี้ ๔ ชั่วโมง ฟังซิ ท่านไม่พลิกแพลงเปลี่ยนแปลง พระทั้งหลายนั่งนี้เหมือนหัวตอ แน่นศาลาอยู่ก็ตามเหมือนไม่มีคนเลย เงียบ มีแต่เสียงท่านกังวานๆ เป็นอรรถเป็นธรรมไหลเข้าสู่ใจแต่ละดวงๆ ซึ่งเป็นเหมือนเราหงายปากหม้อเอาไว้ ฝนตกมาคือธรรมท่านเทศนา ไหลเข้านี่ๆ หมด ฟังเทศน์สามสี่ชั่วโมงไม่รู้ตัวว่าเจ็บปวดแสบร้อนที่ตรงไหนในอวัยวะ เพราะจิตไม่ออก จิตหมุนอยู่ภายใน ท่านเทศน์จบแล้วยังเสียดาย ยังอยากฟังต่อ นี่อำนาจความดื่มด่ำในธรรมทั้งหลาย ซึ่งเกิดขึ้นจากการเทศนาว่าการจากท่านผู้รู้ผู้เห็นจริงๆ เปิดทางโล่งๆ ไปเลย เทศน์ทีไรตั้ง ๔ ชั่วโมง ครั้นต่อมาก็ลดลง ๓ ชั่วโมง ท่านเทศน์แต่ละครั้งๆ ถึง ๓ ชั่วโมง วาระสุดท้ายก็ ๒ ชั่วโมง เทศน์ ๒ ชั่วโมงจบ จากนั้นหยุดเลยไม่เทศน์
ที่เทศน์นี้กล่อมใจบรรดาผู้ฟังลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลาย ถ้าวันไหนท่านจะประชุมเทศน์ มีกำหนดไว้วันนี้ท่านประชุม อู๋ย พระนี่กระหยิ่มยิ้มย่อง เหมือนลูกหิวนมแม่นั่นแหละ พระหิวอรรถหิวธรรมจากครูอาจารย์ก็เหมือนกัน พอจะได้ยินได้ฟังธรรมยิ้มแย้มแจ่มใสบรรดาพระเณรที่มารอฟัง พอได้เวลาแล้วเพียบพร้อมกันหมด มีแต่ท่านองค์เดียว พระมาก ๆ นี่ไม่ได้มีเสียงนะ เงียบหมดเลย ด้วยความสงบทั้งกาย วาจา ทั้งใจก็สงบเพื่ออรรถเพื่อธรรม ที่นี่เวลาท่านเริ่มเทศน์จิตจ่อ พอท่านเริ่มเทศน์ สติกับจิตจะจ่อกันเลยอยู่ที่นี่ ไม่ต้องส่งออกไปข้างนอก ท่านนั่งเทศน์อยู่โน้น อย่าส่งจิตออกไป ให้ตั้งจิตกับสติอยู่ที่นั่น อยู่ที่จิต สติจ่ออยู่
เวลาท่านเทศน์มันเหมือนกับเราไปตั้งโอ่งน้ำไว้ที่ชายคา ที่ช่องทางน้ำที่จะตกลงมา เช่น รางน้ำ น้ำจะตกลงมานี้ เราเอาภาชนะไปวางไว้นี้ มันก็ไหลลงมานี้ อันนี้จิตจ่ออยู่จุดเดียว ซึ่งเป็นเหมือนกับเราเอาถังน้ำไปตั้งเอาไว้ แล้วฝนตกลงนี้ๆ ทีนี้จิตจ่ออยู่ที่ถูกต้อง คือสติกับจิตอยู่ด้วยกัน ไม่ต้องส่งจิตออกไปข้างนอก คำเทศน์ของท่านเสียงอะไรนี่จะเข้ามาสัมผัส จะมาสัมผัสๆ สืบต่อกันเรื่อยๆ จิตก็เพลินกับอรรถกับธรรม ไม่มีเวลาจะไปคิดภายนอก แล้วก็สั่งสมธรรมขึ้นในนั้น ในเวลาฟัง เพราะท่านเทศน์ ธรรมะต้องเทศน์เสียงไหลออกมา ความรับรู้ธรรมทั้งหลายนี้มันก็ซึมซาบต่อกันไป เวลาท่านเทศน์มันเลยสงบลงแน่ว ร่างกายหายเงียบไปเลย เหลือแต่ความรู้ที่ละเอียดลออ ทีนี้เวลามันลงเต็มที่แล้ว เสียงธรรมนั้นที่กล่อมให้ลงนะ เลยกลายเป็นอยู่เผินๆ นี่เรียกว่าธรรมนี้ส่งจิตเข้าไปสู่จุดที่ช่วยตัวเองได้แล้วในขณะนั้น เป็นตัวของตัวในขั้นนี้แล้ว ธรรมะจะแว้วๆ อยู่ข้างบนไม่เข้าไปในจิต นี่เรียกว่าจิตสงบแล้ว ธรรมะที่เทศน์ประหนึ่งว่าหมดปัญหา แต่หากมีสิ่งละเอียดอยู่งั้นแหละ จิตนี้เข้าเป็นตัวของตัว สงบแน่ว นี่ฟังให้ดีนะภาคปฏิบัติ
เวลาเทศน์ความรู้นี้จะเป็นเครื่องกล่อมตลอด จิตที่อยู่ในขั้นสงบจะสงบแน่วลงไป เอา ที่นี่จิตออกขั้นปัญญา ที่จะพิจารณาถอดถอนกิเลสประเภทต่างๆ ด้วยปัญญา เวลาฟังท่านเทศน์จิตจะไม่เป็นความสงบนะ จะไม่เพื่อสมาธิ จิตจะคอยก้าวตามท่าน ปัญญาท่านออกขยับๆ ทีนี้ปัญญาของเราที่พิจารณาขยับตามท่านๆ แทนที่จะมาเข้าสู่ความสงบมันไม่มานะ จะขยับตามๆ แก้กิเลสตัวนั้น แก้กิเลสตัวนี้ไปตามเลย นี่เป็นขั้นหนึ่งของการฟังเทศน์ ถึงขั้นปัญญามีแต่ขยับตาม ขั้นสงบขั้นสมาธิมีแต่แน่วลงไปเรื่อย เป็นขั้นๆ ตอนๆ นี่ละภาคปฏิบัติท่านเทศน์ในครั้งพุทธกาลกับในปัจจุบันนี้ ที่มีครูอาจารย์เป็นผู้ทรงอรรถทรงธรรมดังครั้งพุทธกาลทรงไว้แล้ว เทศน์แบบเดียวกันเลย แล้วกล่อมจิตใจปรากฏเป็นมรรคเป็นผลขึ้นมา
วันนี้ได้คติแค่นี้ในขั้นนี้ วันหลังเทศน์ต่อไปอีก ขยับขึ้นเรื่อยๆ วันนี้ได้คตินี้ ขยับขึ้นเรื่อย ต่อไปผ่านได้ นั่นเป็นอย่างนั้น นี่เรียกว่าเทศน์ทางภาคปฏิบัติ เวลามันเข้ามาทางภาคปฏิบัติแล้ว มันหากเป็นของมันเองนะ มันเป็นขั้นเป็นตอน พอถึงขั้นมันจะปล่อยทางปริยัติปล่อยเลย ความจริงล้วนๆ เต็มที่หัวใจ อันนี้ออกเลยๆ เพราะปริยัติเป็นแบบแปลนชี้เข้ามาที่นี่แล้ว ทีนี้ปฏิบัติได้เห็นผลขึ้นมาที่นี่ ก็จับเอาที่นี่ๆ เลยไม่ต้องไปดูแปลนอีก ความหมายว่างั้น ขึ้นที่นี่ๆ
ด้วยเหตุนี้เองสำนักใดที่มีครูมีอาจารย์ เป็นผู้มีความแน่นหนามั่นคงทางด้านจิตใจเทศนาว่าการแก่บรรดาศิษย์ทั้งหลาย สำนักนั้นจะเป็นสำนักที่พระเณรอันหนึ่งมีมาก อันที่สองด้อมอยู่ตลอดเวลา คอยฟังอยู่ตลอด ถ้าครูบาอาจารย์มีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงต่างกัน ถ้ามีหลักมีเกณฑ์ขนาดไหนก็สอนได้ตามภูมิของตัวเอง เช่น ผู้มีภูมิเป็นสมาธิสอนสมาธินี้ได้แม่นยำๆ ตามขั้นของสมาธิ ผู้ก้าวเข้าสู่ภูมิปัญญาเทศน์ภูมิปัญญาได้เต็มภูมิของตน จนกระทั่งผู้ก้าวขึ้นสู่วิมุตติหลุดพ้น เทศน์ทะลุหมดเลย นั่นมันต่างกันนะ การเทศน์ก็เป็นอย่างนั้น มันออกจากหัวใจที่รู้มากรู้น้อย รู้ขนาดไหนจะออกอย่างนี้ๆ รู้ทะลุปรุโปร่งพุ่งเลยๆ
นี่ละธรรมของพระพุทธเจ้า ขอให้พี่น้องชาวพุทธเราจงจำเอาไว้ว่า สดๆ ร้อนๆ ตลอดเวลา ขอให้มีผู้ปฏิบัติตามเถิด อย่างน้อยเราเป็นฆราวาสญาติโยม มีศีลมีธรรมมีความประพฤติระมัดระวังตัวเอง รู้จักผิดถูกดีชั่ว คอยกำกับตัวเองอยู่เสมอ เราทั้งหลายจะมีความสงบเย็น การอยู่การกินการใช้สอยอะไรต่างๆ อย่าฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมเลยเขตเลยแดนของธรรม จะไม่มีความสุขอันใดเลยนอกจากความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ความดีดความดิ้นมันจะขนฟืนขนไฟให้มาดีดดิ้นภายในใจ อะไรก็มีแต่อยากได้อยากเอา แล้วสุดท้ายความอยากได้อยากเอามันเป็นความหิวมันก็มาเผาหัวใจ หาความสุขไม่ได้
ถ้าเรื่องอรรถเรื่องธรรมแล้ว การเสาะแสวงหา การทำมาหาเลี้ยงชีพ มันมีความจำเป็นทั่วหน้ากัน แม้แต่สัตว์เขาก็มีหาอยู่หากิน คนทำไมจะไม่มี ยอมรับ สิ่งเหล่านี้ถือเป็นความจำเป็นในความเป็นอยู่แห่งธาตุขันธ์ของเรา เวลามีชีวิตอยู่ก็มีพาอยู่พากินพาหลับพานอนพาขับพาถ่ายไปมา เคลื่อนไหวอยู่ตลอด เป็นเรื่องบรรเทาขันธ์ ทีนี้ทางด้านจิตใจไม่มีอรรถมีธรรม จิตใจนี้ดีดดิ้นร้อนมากนะ สมบัติเงินทองข้าวของที่หามาได้ก็อยู่กันด้วยความเสี่ยง ไม่ได้อยู่ด้วยความอบอุ่นแน่ใจเหมือนผู้มีธรรมในใจประกอบไปด้วย
ผู้บำเพ็ญทางโลกทางสงสารก็ เอ้า ทำไป ทางด้านธรรมะก็ไม่ปล่อย ผู้นี้พร้อมๆ เลย พาพิจารณาเข้ามาทางด้านจิตใจเรื่องทาน เรื่องศีล เรื่องการบำเพ็ญงานการกุศลภาวนา เราก็มีอยู่กับใจของเรานี้ใจก็ไม่หิวโหย ใจมีธรรมเป็นเครื่องบำรุงรักษา ใจก็ผาสุกร่มเย็น สมบัติเงินทองก็เป็นที่หวังของเราที่จะต้องได้อาศัยเขาจนกระทั่งถึงวันตาย เอ้า อาศัยกันไป เรื่องธรรมภายในใจอาศัยไปตลอดกัปตลอดกัลป์ ไม่เพียงถึงวันตาย ภพนี้ออกภพนี้ บุญกุศลจะสืบเนื่องไปกับจิตๆ ต่อภพต่อชาติไป ก็ย่นเข้ามาภพชาติ ที่เคยจะยืดยาวขนาดไหน เมื่อมีบุญมีกุศลมากเข้า ภพชาติจะค่อยหดย่นเข้ามาๆ เมื่อมีกุศลมากยิ่งย่นเข้ามาๆ
พอเข้าถึงโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผลแล้วอย่างนานที่สุดจะมาเกิดมาตายเพียง ๗ ชาติเท่านั้นไม่เลยนั้น นี่บอกไว้แล้ว โสตะ แปลว่า กระแสแห่งพระนิพพาน กระแสแห่งความแน่นอนที่กล่าวถึงธรรมขั้นเที่ยงได้แก่นิพพานเที่ยง เข้าถึงใจแล้ว เกิดตายอย่างช้าไม่เลย ๗ ชาติ ใน ๗ ชาตินี้ก็ไม่ตกอบายภูมิ เป็นพวกนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน เหล่านี้จะไม่ไปเกิด จะเกิดแต่จากมนุษย์นี้ขึ้นสวรรค์ ถึงแดนสวรรค์แล้วลงมาสร้างบารมีเพิ่มเข้าอีก อย่างช้า ๗ ชาติผู้ที่ได้สำเร็จพระโสดา แล้วท่ามกลางเข้าอีกอย่างนาน ๓ ชาติ เกิดตายๆ ขึ้นลงแต่ไม่ได้รับความทุกข์อะไรมาก ขึ้นสวรรค์แล้วลงมามนุษย์ จากมนุษย์ไปสวรรค์ไม่ไปทางอื่น
นี่เรียกว่าขีดเส้นกั้นเอาไว้ ที่จะไปได้รับความทุกข์ความลำบาก การบุญการกุศล โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล ล้อมเป็นกำแพงไว้หมดไม่ให้ออกไป ก็ไม่ได้รับความทุกข์ ทีนี้อย่างสุดยอดก็คือ เอกพีชี คือชาติเดียว อย่างหนึ่งมาเกิดอีกหนึ่งชาติแล้วสำเร็จไปเลย อีกอย่างหนึ่งมาเกิดในชาตินี้ สำเร็จพระโสดาในชาตินี้แล้ว พิจารณาบำเพ็ญอยู่ในชาตินี้ เช่นอย่างพระอานนท์ เป็นต้น ท่านก็สำเร็จพระโสดา เวลาพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ พอจากนั้นท่านก็บำเพ็ญ ท่านก็ได้เป็นพระอรหันต์ในวันที่จะทำสังคายนา เห็นไหมล่ะ ชาติเดียวไปเลย คือชาติที่เกิดนี้สำเร็จพระโสดาในชาตินี้ แล้วก็บำรุงภูมิโสดานี้แก่กล้าสามารถ ถึงนิพพานในชาตินั้นเลย นี่อย่างหนึ่ง อย่างหนึ่งมาเกิดในชาตินี้อีกชาติหนึ่งแล้วไปเลย นี่ต่างกัน ให้พากันเข้าใจ
ธรรมพระพุทธเจ้านี่สอนอย่างแม่นยำ แน่นอน หาที่ค้านไม่ได้เลย เราเอาหัวใจเราออก เราพูดจริงๆ เราจึงไม่เคยสะทกสะท้านในสามแดนโลกธาตุนี้ว่าเราพูดนี้ผิดไปไม่มี ผิดยังไงดึงมาจากหัวใจที่ถูกต้องแม่นยำอยู่แล้วตลอดเวลา แล้วจะเอาอะไรมาผิด พระพุทธเจ้าสอนโลกสอนด้วยความแม่นยำ หัวใจแม่นยำ สอนออกมาเท่าไรแม่นยำตามภูมิของสัตว์ที่จะรับได้มากน้อยเพียงไร จะออกรับ ออกพอดีๆ ถ้าผู้ที่ควรจะหลุดจะพ้นอย่างรวดเร็วก็ผางเลย เอา ขึ้นเลย ผู้ที่มันจมอยู่ไปไม่ไหวจริงๆ มันจมอยู่ พวกปทปรมะ ท่านก็ปล่อยไปเสีย เรียกว่าชักสะพาน สอนก็ไม่เกิดประโยชน์ ผู้ที่จะเยียวยารักษาได้ พยุงกันไปได้ เหมือนกันกับคนไข้ที่ยังมีหวังหายจากยาจากหมออยู่ เอ้า หมอก็รักษา ยาก็ใส่กันไป หายได้
ผู้ที่คอยแต่เข้าห้อง ไอซียู ไม่มีทาง ผู้นี้ก็ปล่อยไปเลย คนที่เป็นประเภทปทปรมะ ประเภท ไอซียู ไม่ฟังเสียงบาปเสียงบุญเสียงนรกสวรรค์อะไร ฟังตั้งแต่ความทะเยอทะยาน ความดีดความดิ้นที่จะทำความชั่วช้าลามกโดยถ่ายเดียว ถ้าไม่ได้ทำความชั่ว โดยตัวเองไม่ได้คิดว่าตัวทำความชั่ว ความอยากหากเป็นความชั่วแล้วมันทำลงไป แล้วความชั่วมันก็โกยเอามาๆ จมเลย มันต่างกันมนุษย์เรา
หัวใจนี้เป็นนักรับเคราะห์รับกรรมที่สุด คือใจ ทำลงไปแล้วอะไรมันก็หาย ๆ ไป เราไปฟันเขานี้ ร่างกายมันก็ดับไปแล้วตายไปแล้ว บาปบุญอะไรไม่ติดร่างกาย แต่ก็ไปติดที่หัวใจของผู้ทำของผู้ไปฆ่าเขา แล้วมันติดอยู่ที่หัวใจของผู้สร้างความดี ติดเข้ามาๆ อันนี้ไม่ตาย นี้ละพาต่อภพต่อชาติไปทางที่ดีงามทั้งหลาย และย่นภพย่นชาติเข้ามา ให้หดสั้นเข้ามาๆ จนกระทั่ง ๗ ชาติ ๓ ชาติ ๑ ชาติไปเลย นี่อำนาจแห่งบุญแห่งกุศลทั้งนั้นเป็นเครื่องหนุน ให้พากันจดจำเอาไว้นะ
นี่ทีแรกเราพูดถึงเรื่องการฟังเทศน์ เขาอยากฟังเทศน์อย่างนั้นอย่างนี้ก็ดี คือฟังเทศน์ เทศน์ที่เป็นมรรคเป็นผลจริงๆ คือเทศน์ทางภาคปฏิบัติ โดยที่ผู้เทศน์เป็นผู้ทรงมรรคทรงผล เทศน์จะเอาแต่เรื่องมรรคเรื่องผลออก ผู้ที่เทศน์จำได้งูๆ ปลาๆ เหมือนท่านเหมือนเรานี้ ก็เทศน์ไปแบบงูๆ ปลาๆ เมื่อเทศน์แบบงูๆ ปลาๆ ผู้ฟังก็แบบผู้ฟังงูๆ ปลาๆ เหมือนนิทานสองเฒ่าผัวเมีย ไม่เคยไปวัดไปวากับเขา เพื่อนฝูงเขามาชวนไปวัด สองเฒ่าผัวเมียไม่เคยไป มีแต่หาปูหาปลา หาฆ่าสัตว์ตัดชีวิต นี่เป็นงานประจำและเป็นงานที่เพลิดเพลิน ติดนิสัยของเขามาตลอด ไม่เคยไปวัดไปวา
วันนั้นบันดลบันดาลอะไรก็ไม่ทราบ เพื่อนฝูงเขามาชวนไปวัด ก็มาปรึกษากัน ว่าไงเฒ่า วันนี้เขามาชวนเราไปวัด เราว่าจะไปหาล่าสัตว์ เห็นจะงดเสียก่อนวันนี้นะ ไปวัดเสียก่อน เขาชวนให้ไปวัดกับเขา ไปวัดก็ไปรับศีลละซี ศีล ๕ ก็ไม่ทราบว่าเป็นยังไง จำได้แต่ว่าไปรับศีล ๕ มา พอไปรับศีล ๕ มาแล้วก็ว่า ไปเถอะเฒ่า วันนี้เราไปรับศีลรับพรมาแล้ว ไปหากินคงจะรวย เข้าใจไหม คือไปหาล่าสัตว์ หาปูหาปลา หาสัตว์ป่าสัตว์น้ำ วันนี้จะรวย เพราะเรารับศีลรับธรรมมาแล้ว
ไปก็พอดีเข้าไปในป่าละเมาะ พาหมาไปด้วยไปล่าสัตว์ในป่าละเมาะ มันไปไล่กัดเอาสัตว์ตัวหนึ่งได้มาแล้ว โอ้โห สัตว์ตัวนั้นตัวใหญ่ ดูว่าเป็นอีเห็นใหญ่ ได้อีเห็นใหญ่มา โถ พูดทั้งปากสั่นมือสั่นตัวสั่น นี่มันเป็นด้วยอำนาจแห่งบุญแห่งกรรมของเราจริงๆ นะเฒ่านะ ทุกวันเรามาหาก็ไม่ได้อีเห็นใหญ่อย่างนี้ เราไม่ได้รับศีลรับธรรม วันนี้เรารับศีลรับธรรมแล้วค่อยมาได้อีเห็นใหญ่ วันหลังไปรับศีลอีกนะเฒ่า วันนี้เราได้อีเห็นใหญ่มา แล้วก็เอาออกมา ทำอะไรแล้วหามไปเลย มันตัวใหญ่เท่าหมานี่
พอหามออกมาแล้ว มีคนหนึ่งเขามา เขารู้ละซีที่นี่ เห็นทางนี้หามอีเห็นใหญ่มา คนนั้นเขาเดินผ่านมา อ้าว จะหามไปไหนละนี่ จะหามไปอะไร เขารู้แล้วนะนั่นว่าคืออะไร ไม่รู้อีเห็นใหญ่เหรอ อีเห็นใหญ่ยังไง นี่หมาจิ้งจอกรู้ไหม มันไม่ใช่อีเห็นใหญ่ มันเป็นหมาจิ้งจอก หมาจิ้งจอกยังไง ก็หมาจิ้งจอกอย่างหามอยู่นี่แล้ว เขาว่า นี่ละหมาจิ้งจอก ใครกินที่ไหน เลยทิ้งหมาจิ้งจอก ศีล ๕ ศีล ๘ ไม่ทราบว่ารับหรือไม่ได้รับ หมาจิ้งจอกเลยทิ้งเลย มันไม่ใช่อีเห็นมันเป็นหมาจิ้งจอก เรื่องมันจบเท่านั้นละ พอ นี่ละคนไม่เคยรับศีลรับธรรม ไปรับศีลรับธรรมมาแล้ว ว่าได้บุญได้กุศลมาก หากินคงจะรวย หากินไปหาฆ่าสัตว์ เข้าใจเหรอ เหมือนอีตาไปหาหมาจิ้งจอก เอาละจบเท่านั้นวันนี้
กลับไปนี่ไปหาหมาจิ้งจอกนะพวกนี้ เข้าใจไหมล่ะ กลับไปถึงบ้านถึงเรือนแล้วหาหมาจิ้งจอกมาอวดหลวงตานะ หามาอะไร อ้าว เมื่อเช้านี้ก็ไปฟังเทศน์มาแล้ว ได้บุญกุศลแล้วก็ไปหาอยู่หากินร่ำรวย ก็เอามาอวดหลวงตาละซี จะว่าอย่างนั้นไม่ได้นะ เอาละที่นี่ให้พร
ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตา วันต่อวัน ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
|