เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม
เมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๖ [ค่ำ]
อยากดีต้องฝืน
ภาวนามันเป็นยังไง ถามวันนั้น เราออกมาจากที่แล้วเราเหนื่อย ไม่พูดเรื่องอะไรมากนัก พูดถึงเรื่องภาวนามันเป็นยังไง เป็นยังไงวันนั้นพูดเรื่องภาวนามันเป็นยังไง อายใคร ตั้งแต่เอากิเลสมาอวดกันไม่เห็นอายกัน เอาธรรมมาพูดทำไมอาย ถ้าไม่กลัวกิเลสมันตีให้หมอบน่ะ ก็พูดเรื่องอรรถเรื่องธรรม เรื่องความเป็นมงคล เรื่องของกิเลสมันเป็นมงคลที่ไหน ทำไมถึงออกตลาดกัน เราอยากจะพูดให้เต็มยศว่าออกตลาดแบบหน้าด้าน ว่างั้น มันเป็นทั่วโลกทั่วดินแดน นี่ละเรื่องของกิเลส มันไม่ได้สะดุดตัวมันนะ ทำอะไร ๆ กิริยาแสดงออกอะไรล้วนแล้วแต่กิเลสควบคุม เราเป็นผู้ต้องหา ๆ
กิเลสควบคุมตลอดเวลา และต่างคนก็เป็นแบบเดียวกัน จึงไม่มีใครสนใจว่าผิด ถูก ดี ชั่ว และไม่มีละอาย นอกจากไม่หยาบเสียจนเกินไปนั้นก็มีละอายบ้างนะ แต่ถ้าจะพูดเรื่องอรรถเรื่องธรรม จะแย็บออกมาเท่านั้นก็อายแล้ว ๆ นั่นซี กิเลสมันถึงได้เปรียบตลอดเวลานะ ธรรมะจะออกมาไม่ได้ ดีไม่ดีหัวเราะเยาะเย้ยกัน กิเลสมันหัวเราะเยาะเย้ย กองส้วมกองถานหัวเราะเยาะเย้ยทองคำทั้งแท่ง ๆ เป็นอย่างนี้นะ จะพูดอรรถพูดธรรมเพื่อความสงบร่มเย็น และเป็นคติต่อกันในเวลาได้ยินได้ฟังแล้ว พูดออกมาก็อายเสียบ้างๆ เลยไม่กล้าจะพูดออกมา ก็มีแต่เรื่องของกิเลสเต็มบ้านเต็มเมือง แล้วกิเลสเต็มบ้านเต็มเมืองเราว่ามีความสุขเต็มบ้านเต็มเมืองไหม เอาตอบกันตรงนี้นะ
มีตั้งแต่กิเลสควบคุมหัวใจกิริยาอาการของเราตลอดเวลาทั่วหน้ากันหมด เต็มบ้านเต็มเมือง เต็มโลกเต็มสงสาร แล้วความสุขแสดงออกให้เห็นไหม มีไหมเรื่องของกิเลสแสดงผลดีขึ้นมาให้เป็นความรื่นเริงบันเทิง ต่างคนมีความกระหยิ่มยิ้มย่อง จะดีดจะดิ้นไปตามกิเลส เพื่อจะเอาความสุขให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป มีที่ไหน ไม่มี ตัดบทขาดสะบั้นไปเลยว่าไม่มี นั่น โลกมันก็หมุนของมันไปอย่างงั้น มันไม่รู้เนื้อรู้ตัว เราจะไปตำหนิใครไม่ได้นะ มันหากเป็นในหลักธรรมชาติของจิตที่กิเลสกล่อมใจไม่ให้รู้เนื้อรู้ตัวนั่นแหละ มันเป็นทั้งเขาทั้งเราเสมอหน้ากันไปหมด แล้วความทุกข์ที่กิเลสขวนขวายหามาด้วยการบีบบังคับสัตว์โลก มันก็แสดงเต็มที่เต็มถาน เต็มบ้านเต็มเมือง ทุกแห่งทุกหนเป็นไปด้วยกันหมด เห็นใครมีความสุขความเจริญพอจะเอามาอวดกันบ้าง ว่าข้าได้วิ่งตามกิเลส ข้ามีความสุขความสบายมีไหม ไม่เห็นมี นี่เรื่องของกิเลสเป็นอย่างนั้น แล้วโลกก็แสดงไปตามนิสัยความถนัดของตนด้วยกันหมด ไม่มีกระดากอาย แต่นี้ธรรมจะ
แย็บออกมานี้อายกิเลสแล้วๆ กิเลสมันมีหน้ามีตามีอำนาจวาสนามาจากไหนถึงได้อายมัน กิเลสมันก็คือกองมูตรกองคูถทับถมหัวใจเรา จะเป็นอะไรไป
ส่วนธรรมท่านไม่เป็นอย่างงั้น ธรรมคือความสงบเย็น ใครมีธรรมก็คือคนมีสติ นี่เริ่มต้น สติระลึกรู้ตัวก็เริ่มจะมีธรรม ยิ่งยึดธรรมเข้าเป็นหลัก ความผิด ถูก ชั่ว ดี เป็นเครื่องพิสูจน์ของสติของปัญญา มันจะรู้ตัวในกิริยาของจิตที่แสดงออก มันก็ระงับกันแก้กันได้ในตัว ๆ ของมัน อะไรไม่ถูกไม่ดีมันปัดออก จะนำแต่สิ่งที่ถูกที่ดีออกแสดงและออกปฏิบัติสำหรับตัวเอง ความสงบเย็นก็มี นี่แหละใจมีเจ้าของ คือมีธรรมเป็นเจ้าของ มีธรรมเป็นเครื่องบำรุงรักษา ใจก็ค่อยแคล้วคลาดปลอดภัย ไม่ค่อยจะมีความทุกข์มากเหมือนแต่ก่อนที่ไม่เคยมีธรรมเป็นเครื่องรักษาใจ
จะมีฐานะสูงต่ำประการใดก็ตาม ความมีหลักมีเกณฑ์ ความมีความสงบเย็นใจซึ่งเป็นหลักเกณฑ์ เป็นที่ยึดที่เกาะของใจมีประจำใจ ใจก็มีความสงบเย็น จะเป็นฐานะยากจนข้นแค้น หรือมั่งมีศรีสุขประการใด ที่พึ่งของใจมีอยู่ด้วยกัน จึงพออยู่ได้ด้วยกันคนเรา มีความสงบเป็นที่ซุกหัวนอนได้สบาย ๆ เพราะมีเกาะมีดอน ไม่เตลิดเปิดเปิงเหมือนกิเลสลากถูไป ซึ่งใครจะมีฐานะสูงต่ำประการใดก็ตาม ยศถาบรรดาศักดิ์สูงขนาดไหนตามความเสกสรรปั้นยอของกิเลส เรื่องความสุขนั้นไม่มี เสกสรรไปลม ๆ แล้งๆ อย่างนั้น
ถ้าไม่มีธรรมเสกไปไหนก็เป็นเสกลม ๆ แล้ง ๆ แล้วก็คว้าเหลวด้วยกัน คว้าน้ำเหลวด้วยกัน หาใครจะเอาความสุขมาเป็นหลักเป็นเกณฑ์ พอเป็นคติต่อกันให้ได้เกิดความกระหยิ่มยิ้มย่อง ความพากความเพียร เพื่อจะขวนขวายหาความสุขเพิ่มขึ้นจากกิเลสนั้นไม่มี ยิ่งขวนขวายไปตามกิเลสเท่าไรก็ยิ่งเพิ่มทุกข์มากเข้า ๆ กิเลสจึงหาฝั่งหาแดนไม่ได้ ที่โลกจะได้เข้าเกาะเข้ายึด หรือมีเกาะมีเกณฑ์ตรงไหนไม่มี กิเลสเป็นน้ำมหาสมุทรไปด้วยกัน ตกลงตรงไหนจมได้ทั้งนั้น ทีนี้เมื่อมีธรรมแล้ว เรื่องความทุกข์เหล่านี้ที่เกิดจากกิเลสท่วมทับจิตใจก็จะค่อยสงบเย็นๆ ที่ท่านสอนให้ภาวนา ใครสอนในโลกนี้ ไม่มี มีพระพุทธเจ้าพระองค์เดียว นี่ที่ว่าจอมปราชญ์ ใครไม่ทำพระองค์ก็ทำ ไม่บำเพ็ญพระองค์ก็บำเพ็ญ เช่นอย่างภาวนา ยกตัวอย่างเช่นพระพุทธเจ้าของเรา ท่านทรงภาวนา ทีแรกท่านก็ไขว่คว้าเหมือนกัน เสด็จออกทรงผนวชทีแรกทรงทำทุกสิ่งทุกอย่าง การฝึกทรมานตนเพื่อความตรัสรู้โดยไม่เกี่ยวกับทางด้านจิตตภาวนาเลย ครั้นทำไป ๆ มันก็เหลวไป ๆ อดนอนก็อด ผ่อนอาหารก็ผ่อน อะไรทุกอย่าง จนกระทั่งอดอาหารถึง ๔๙ วันก็เพื่อจะตรัสรู้จากการอดอาหารล้วน ๆ ไม่มีจิตตภาวนาเข้าเกี่ยวข้องเลย นี้มันก็ไม่ใช่ทาง แล้วตะเกียกตะกายไป
ถึงนั้นเห็นจะไม่ไหว ไม่ใช่ทาง ทุกอย่างพระองค์ทรงทำเพื่อหาทางออก แต่มันไม่ถูกทางก็ออกไม่ได้
จึงทรงระลึกย้อนกลับมาถึงเวลายังทรงพระเยาว์ พระราชบิดาพาเสด็จไปแรกนาขวัญ ประทับอยู่ที่ใต้ร่มหว้าใหญ่ เวลาผู้ใหญ่ท่านเสด็จไปดูหน้าที่การงานต่าง ๆ ท่านก็ประทับอยู่ที่ร่มหว้าใหญ่ ท่านภาวนาอานาปานสติ จิตรวมลงที่นั่น สว่างไสวจ้าไปหมดในบริเวณนั้น นั่นละตอนทรงพระเยาว์ ท่านทรงบำเพ็ญอานาปานสติ ก็เป็นหนเดียวเท่านั้น ทีนี้เวลาท่านได้ทรงทำความเพียรเพื่อตรัสรู้ แต่คว้านั้นคว้านี้มันไม่ถูกทาง จึงทรงระลึกย้อนหลังได้ในคราวที่ทรงพระเยาว์เจริญอานาปานสติ จึงเอาอันนี้เข้ามาเป็นหลักใจ และทรงแน่ใจทันทีเลย
ทีนี้ปลงพระทัย โดยเอาพระชนม์มอบเลยเทียว พอทรงระลึกย้อนหลังถึงการเจริญอานาปานสติตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ทรงปรากฏผลเป็นที่อัศจรรย์ในเวลานั้น แล้วทรงยึดนั้นมาเป็นหลักใจในการภาวนาเพื่อจะตรัสรู้ จึงยึดนั้นเป็นหลัก เออ อันนี้ถูกต้องดีแล้วแหละที่นี่ อย่างไรเราก็จะเอาอันนี้แหละ ทีนี้ก็ตัดสินพระทัยเลย หยุด การอดพระกระยาหาร ๔๙ วัน จนขุมพระโลมานี้หลุดไปหมด ๔๙ วัน ก็ไม่ได้ตรัสรู้ สลบไสลเลย ปรากฏว่าสลบถึงสามหน มันไม่ใช่ทางก็ไม่ได้ตรัสรู้
พอระลึกถึงอานาปานสติแล้วก็ตัดสินพระทัยลงได้เลยในวันนั้น วันเพ็ญเดือนหกจะเสวยพระกระยาหาร ก็พอดีตอนเช้านั้น นางสุชาดานำข้าวมธุปายาสไป ๔๙ ก้อน จะไปบูชาต้นโพธิ์ใหญ่ บูชาเทวดาหรืออะไรก็แล้วแต่นางสุชาดาแหละเอาไปบูชา พอดีไปเจอสิทธัตถราชกุมารกำลังประทับอยู่ที่นั่น ก็ได้ไปถวายท่าน ท่านเสวยจนหมดเลย ข้าวมธุปายาส ๔๙ ก้อน จะก้อนเล็กก้อนใหญ่ขนาดไหน ก็พอดีที่พอเสวยหมดนั้นแหละ พอเสวยหมดเรียบร้อยแล้ว ทั้งๆ ที่พระสรีระนี้อ่อนเพลียมามากต่อมาก จาก การอดข้าวถึง ๔๙ วัน
ท่านเสวยพระกระยาหารเสร็จแล้ว ตัดสินพระทัย ทีนี้เราจะเจริญอานาปานสติ แล้วจะนั่งที่นี่บำเพ็ญอานาปานสติด้วยจิตตภาวนา ทีนี้เข้าถูกทางแล้วนี่จิตตภาวนาด้วยอานาปานสติ แล้วก็ทรงตั้งสัจอธิษฐานว่าจะไม่ลุกจากที่นี่ นั่นเป็นที่ตายกับที่ตรัสรู้เป็นที่เดียวกัน ตั้งแต่บัดนี้ต่อไปเราจะนั่งสถานที่นี่ภาวนา เอา ถ้าได้ตรัสรู้ก็ เอา ตรัสรู้ที่นี่ จะไม่ลุกจากที่ ถ้าตายก็ให้ตายที่นี่เลย ไม่ลุกจากที่ เพราะฉะนั้น สถานที่ทรงภาวนานั้นจึงเป็นสถานที่ตายได้ด้วย สถานที่ตรัสรู้ธรรมเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าได้ด้วย พอพระองค์ทรงตัดสินพระทัยแล้วก็ลง
โสตถิยพราหมณ์ได้หญ้าคามาแปดกำมือมารองให้ประทับนั่งภาวนา ก็ทรงเจริญภาวนาอานาปานสติ นี่ท่านทำมาอย่างนี้ แต่ก่อนใครจะเดือดร้อนวุ่นวาย ได้รับความทุกข์มากยิ่งกว่าพระเจ้าแผ่นดิน จากนั้นมาก็ขวนขวายอรรถธรรม เวลาเสด็จออกทรงผนวชแล้วก็ได้รับความทุกข์ ถึงขนาดสลบไป ทีนี้เกาะติดอานาปานสติ จึงเจริญที่นั่น ก็ขึ้นในคืนวันนั้นเลย วันเดือนหกเพ็ญ พอปฐมยามเจริญอานาปานสติก็ขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะถูกต้องแล้ว ก็เป็นไปตามที่ทรงเคยบำเพ็ญมาแล้วตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์อยู่ที่ใต้ร่มหว้าใหญ่ พอจับอันนี้ปั๊บมันก็ติดเลย มันก็เป็นขึ้นมา ปฐมยามคือตอนหัวค่ำ ๆ
พอจิตสงบลงไป สว่างกระจ่างแจ้งลงไปนี้ บรรลุบุพเพนิวาสานุสสติญาณ ทรงระลึกชาติย้อนหลังของพระองค์เอง เพียงพระองค์เดียวนี้ได้ตั้งกัปตั้งกัลป์ มากขนาดไหน การเกิดการตายพรรณนาไม่ได้เลยในเฉพาะพระองค์เพียงผู้เดียว เกิดได้ทุกแบบทุกฉบับ ภพใดชาติใดมีได้ในกำเนิดของสัตว์ ของเปรต ของผี ของเทพ เทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม เคยเกิดเคยเป็นทั้งหมด เวลาทำความชั่วช้าลามกตกนรกอเวจีเช่นเดียวกับสัตว์โลกทั่ว ๆ ไป พระองค์ไม่มีอะไรบกพร่องในเรื่องความทุกข์ เพราะการทำชั่วทั้งหลายเหมือนสัตว์ทั่ว ๆ ไป เพราะฉะนั้นนรกจึงได้ตกเช่นเดียวกับสัตว์โลก
เวลาบรรลุธรรม คือบุพเพนิวาสานุสสติญาณระลึกชาติย้อนหลัง คือความเกิดตายของตนมา จนกระทั่งปัจจุบันนี้ตายมากเท่าไร ตายมากี่กัปกี่กัลป์ ตายทับตายถมของเก่าอัตภาพตัวเองนั้นแหละ มามากมายจนนับไม่ได้เลย ถ้าภาษาเรา แต่พระองค์ทรงทราบได้ละเอียดทั่วถึงหมด เกิดความสลดสังเวชในความเกิดตายของตัวเอง จิตดวงเดียวนี้แหละมันท่องเที่ยวในวัฏสงสาร มันไปได้ทุกแง่ทุกมุมจิตดวงนี้ ตามอำนาจแห่งกรรมดีกรรมชั่ว นี่ในหัวค่ำเรียกว่าปฐมยาม บรรลุบุพเพนิวาสานุสติญาณ หายสงสัยเรื่องความเกิดความตาย
จากนั้นแล้วก็ทรงบำเพ็ญ พอมัชฌิมยามก็บรรลุธรรม ถึงจุตูปปาตญาณ คือระลึกรู้ บรรลุธรรมคือความเกิดตายของสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นเหมือนพระองค์เป็นมาแล้วนี้ เป็นยังไงสัตว์ทั้งหลายเกิดตายเหมือนเรานี้หรือไม่ เพียงไร พอรู้เท่านี้ก็กระจายไปหมด โถ เรื่องสัตว์โลกยิ่งมากเกินกว่าที่จะพรรณนา เกลื่อนไปหมด มีแต่เรื่องเกิดเรื่องตายแบบเดียวกันกับเรา ในบรรดาสัตว์แต่ละตัว ๆ แต่ละราย ๆ นี้มากขนาดไหน ทรงบรรลุธรรมรู้ถึงหมดเลย เป็นแบบเดียวกัน ไมมีใครยิ่งหย่อนกว่ากันเรื่องการเกิดการตาย นับหรือเอามาแข่งกันไม่ได้
พอรู้นี้แล้วว่าเป็นเหมือนกันกับเราที่เป็นมานี้ จึงนำทั้งสองนี้มาประมวลกัน ที่เขาก็ดี เราก็ดี เกิดตายเวียนว่ายอยู่ภายในวัฏสงสารนี้กี่กัปกี่กัลป์ นับจำนวนไม่ได้นี้มันเป็นสาเหตุมาจากอะไร มันถึงได้เกิดตายด้วยกันอย่างนี้ ก็ทรงพิจารณาเอาเหตุทั้งสอง ทั้งความเกิดตายของสัตว์ ทั้งความเกิดตายของพระองค์ ประมวลมาพิจารณาลงว่ามีสาเหตุเป็นมาจากอะไร พระองค์ก็ทรงพิจารณาเข้าถึงจุดใหญ่ของมัน สาเหตุที่จะให้เกิด
ตายก็เรียกว่าพิจารณาปฏิจจสมุปบาท ปัจจยาการ คืออวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ตัวนี้พิจารณาเข้าไป ๆ จะไปเกิดตรงไหน ตัวนี้เป็นพื้นฐานส่งไปให้เกิด ๆ
พิจารณาเข้าไป จนกระทั่งไปถึงตัวอวิชชาที่เป็นรากฐานสำคัญได้อย่างประจักษ์พระทัย แล้วถอนพรวดขึ้นมา อวิชชาพาให้สัตว์ทั้งเขาทั้งเราเกิดเกลื่อนอยู่ไม่มีประมาณ ไม่มีต้น ไม่มีปลายคืออวิชชานี้แล ถอนพรวดขึ้นมา พออวิชชานี้ขาดสะบั้นขึ้นมา นี่เป็นปัจฉิมยามทรงตรัสรู้ธรรม ถอนอวิชชาขึ้นจากพระทัย นั้นแหละเรียกว่าตรัสรู้ธรรม เท่ากับถอนภพถอนชาติ ถอนวัฏจักร ถอนความทุกข์ทั้งมวลที่เคยเป็นมา จากอวิชชาที่ติดแนบอยู่กับจิตดวงเดียวนี้ออกหมดโดยสิ้นเชิง บรรลุธรรมขึ้นมาอย่างสว่างจ้าเลย นี่ท่านเรียกว่าตรัสรู้ในปัจฉิมยาม อวิชชาขาดสะบั้นลงไป หมดที่นี่ ไม่มีอะไรเหลือแล้ว
ภพชาติทั้งหลายที่เป็นมาแล้ว ก็เป็นอันว่าผ่านมาแล้ว ผ่านมาแล้วสำหรับเรา คือสำหรับตถาคต พระองค์เอง จะเกิดมากี่ภพกี่ชาติ เคยตายทับตายถมตัวเองมาตลอดกี่กัปกี่กัลป์ นับไม่ได้ก็ตาม แต่มันก็มารวมเอาจุดนี้เป็นตัวเหตุที่พาให้เกิดให้ตายอย่างนั้น แล้วอันนี้ก็ถูกถอนขึ้นมาขาดสะบั้นไปหมดแล้ว เรื่องเกิดตายของพระองค์ก็ผ่านได้โดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไรเหลือ ได้ตรัสรู้ขึ้นมา ก็ยังเหลือแต่สัตว์ทั้งหลายที่ยังตายเกลื่อน เกิดเกลื่อนตลอดมาอยู่ทุกวันนี้ สำหรับผู้ที่ถอนยังไม่ได้ก็ต้องทนเกิดทนตาย ตายทับตายถมกันมาตลอดตั้งกัปตั้งกัลป์ แล้วยังจะตายทับตายถมกันไปอีกตลอดตั้งกัปตั้งกัลป์ ไม่มีที่สิ้นสุดยุติลงได้ ถ้าไม่ถอนตัวรากแก้วแห่งภพชาติทั้งหลายนี้ออก คืออวิชชา จะเป็นอย่างนี้ตลอดไป
นี่ละที่พระองค์ตรัสรู้ ตรัสรู้ตรงนี้ จึงได้นำธรรมนี้มาสอนโลก พอพระองค์ตรัสรู้เท่านั้น สะเทือนสะท้านไปตั้งสามแดนโลกธาตุ สะเทือนสะท้านหวั่นไหวไปหมด ดังท่านแสดงไว้ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร แก่เบญจวัคคีย์ทั้งห้า ว่า ญาณญฺจ ปน เม ทสฺสนํ อุทปาทิ ญาณความรู้ความเห็นอันเลิศเลอได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา อกุปฺปา เม วิมุตฺติ ความหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งมวลของเราไม่มีการกำเริบอีกแล้ว อยมนฺติมา ชาติ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา นี่มายุติตรงนี้ นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว ตั้งแต่บัดนี้ต่อไปเราจะไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว นี่อวิชชาขาด ประกาศพระองค์ขึ้นมาทันที เรื่องตัดภพตัดชาติ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยพระธรรมทั้งสี่คาถานี้
นี่ละธรรมที่เลิศเลอ นี่เราแสดงไว้ย่อ ๆ ตอนที่พระองค์ตรัสรู้นั้น สะเทือนสะท้านไปหมด ท่านแสดงไว้ในในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เราก็จำได้บ้างไม่ได้บ้าง เวลามาพูดอย่างนี้นะ เอตมฺภควตา พาราณสิยํ อิสิปตเน มิคทาเย อนุตฺตรํ ธมฺมจกฺกํ ปวตฺติตํ, อปฺปฏิวตฺติยํ สมเณน วา พฺราหฺมเณน วา เทเวน วา มาเรน วา พฺรหฺมุนา วา เกนจิ วา โลกสฺมินฺติ สะเทือนสะท้านไปหมด ทั้งสมณะ ชีพราหมณ์ พวกเทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม มารทั้งหลาย สะเทือนไปหมด ท่านแสดงไว้ แล้ว อิติห เตน ขเณน เตน มุหุตฺเตน, ยาว พฺรหฺมโลกา สทฺโท อพฺภุคฺคจฺฉิ อยญจ ทสสหสฺสี โลกธาตุ, สงฺกมฺปิ สมฺปกมฺปิ สมฺปเวธิ อปฺปมาโณ จ โอฬาโร โอภาโส โลเก ปาตุรโหสิ
นี่จะแปลออกมาแปลว่า เพียงที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาในขณะเดียวเท่านั้น โลกนี้สะเทือนสะท้านหวั่นไหวไปถึงทั่วกันหมด ในขณะเดียว ครู่เดียว ยามเดียวเท่านั้น ตั้งแต่พรหมโลกลงมา สิบแดนโลกธาตุสะเทือนสะท้าน ท่านแสดงไว้ในธัมมจักกัปปวัตนสูตรนี้ถึงสิบโลกธาตุนะ เราพูดนี้ว่าสามแดนโลกธาตุ เวลาพระองค์นำมาแสดงว่า ทสสหสฺสี โลกธาตุ นี่คือสิบหมื่นโลกธาตุ สะเทือนสะท้านไปหมดในเวลานั้น ใน ขณะเดียวกัน แล้วทีนี้ความสว่างไสวแห่งธรรม อปฺปมาโณ จ โอฬาโร โอภาโส โลเก ปาตุรโหสิ อติกฺกมฺเมว เทวานํ เทวานุภาวํ คือความสว่างไสวแห่งธรรมของพระพุทธเจ้า ได้แผ่กระจายไปทั่วแดนโลกธาตุ ข้ามความสว่างไสวของเทวบุตรเทวดาไปได้หมด ไม่มีแสงสว่างของใครที่จะเป็น ถ้าพูดภาษาของเราจะเป็นคู่แข่งได้ ว่างั้นเลย
นี่ที่ท่านตรัสรู้ขึ้นมา นี่ใจ เวลาได้เกิดความสว่าง ฟังซิน่ะ แต่ก่อนท่านก็เหมือนเรา แดนโลกธาตุไม่เคยหวั่นไหว ในเวลานั้นสะเทือนไปหมดเลย แล้ว โอภาโส โลเก คือโอภาสแสงสว่างไสวไม่มีประมาณอีกด้วยนะ ขึ้นในเวลาเดียวกัน ท่านจึงว่า อติกฺกมฺเมว เทวานํ เทวานุภาวํ ข้ามอานุภาพแห่งความสว่างไสวของเทวดา อินทร์ พรหม ทั้งหมดไปเลย เหนือขนาดนั้นนะ เวลาแสดงขึ้นจากพระพุทธเจ้าหลังจากตรัสรู้แล้วในครู่เดียวยามเดียว พวกเทวดาทั้งหลายตั้งแต่ภุมมเทวดาขึ้นไป ถึงอากาสาเทวดา แล้วรีบบอกกัน ประกาศถึงกัน จนกระทั่งจาตุม สวรรค์หกชั้น จาตุม ยามา ดุสิต เรื่อยไปกระทั่งถึงพรหม ๑๖ ชั้น คือบอกชั้นนี้รู้แล้ว บอกชั้นนั้น ๆ ๆ ชั่วขณะเดียวถึงพรหมโลกเลย ว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ๆ กระเทือนโลกธาตุ
นี่แหละเห็นไหม พระพุทธเจ้าตรัสรู้กระเทือนถึงหมื่นโลกธาตุ อย่าว่าแต่สามแดนโลกธาตุเลย ความสว่างไสวไม่มีของสัตว์โลกตัวใดที่จะมาเป็นคู่แข่งได้เลย นี่อานุภาพแห่งจิตที่พ้นจากเครื่องปิดบังคือกิเลสทั้งหลายออกโดยสิ้นเชิงแล้ว มีแต่ความสว่างไสวกระจ่างแจ้งขึ้นมา มองเห็นภพเห็นชาติของพระองค์แล้ว ตัดสินกันลงในวันนั้น ถึงว่า อยมนฺติมา ชาติ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว ตั้งแต่นี้ต่อไปเราจะไม่เกิดอีกแล้ว คือตัดสินกันด้วยถอนอวิชชาขึ้น
เป็นยังไงพระพุทธเจ้า ท่านไม่ได้มาแสดงธรรมแก่พวกเราอย่างลอย ๆ มีร่องมีรอยมาโดยลำดับ ตั้งแต่ทรงเป็นสิทธัตถราชกุมาร มีร่องรอยมา เสด็จออกทรงผนวช ๖ ปีแรก บำเพ็ญยังไง ๆ ก็รู้มาเป็นลำดับ ๆ มีร่องมีรอย ไม่ได้พูดแบบป่า ๆ เถื่อน ๆ คว้าที่ไหนได้ก็มาเป็นศาสดามาเป็นพระเจ้านั้น มาเป็นพระเจ้านี้ แบบไม่ลืมหูลืมตา ไม่มีหลักมีเกณฑ์ ส่วนพระพุทธเจ้าของเรามีหลักมีเกณฑ์ ตั้งแต่เริ่มเสด็จออกทรงผนวช นี่เราเอาเฉพาะชาติปัจจุบัน จนกระทั่งได้ตรัสรู้ขึ้นมา เป็นร่องรอยมาเป็นลำดับลำดา แล้วสอนโลก ผลแห่งการสอนโลกสำเร็จ เทวบุตร เทวดา อินทร์ พรหม เฉพาะอย่างยิ่งพระสงฆ์สาวกที่ได้ตรัสรู้ธรรมตามพระพุทธเจ้ามีจำนวนมากมาย ท่านเหล่านี้เป็นอันว่าพ้นหมดเลย เรียกว่าสิ้นกิเลส ขาดจากภพจากชาติไปหมดโดยสิ้นเชิง มีจำนวนมากมาย จากพระโอวาทคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นยังไงมากไหม
แล้วทีนี้รวมเข้ามาหาพวกเรา พระพุทธเจ้าสอน เฉพาะอย่างยิ่งเบญจวัคคีย์ทั้งห้าท่านก็เป็นคน บรรดาสาวกทั้งหลาย ทั้งพระราชามหากษัตริย์ เศรษฐีกุฎุมพี คนธรรมดา มีความเชื่อความเลื่อมใส เวลาบวชแล้วฟังอรรถฟังธรรม บำเพ็ญตนด้วยความเป็นนักบวช ๆ สำเร็จขึ้นมาเป็นสังโฆ สาวกอรหันต์ขึ้นมาเป็นลำดับลำดา นี่ท่านก็เป็นคน ท่านไม่ได้ว่าเป็นเทวบุตรเทวดามาจากไหนนะ ท่านก็มาจากคน สำเร็จเป็นความเลิศเลอขึ้นมา ทีนี้พวกเราทั้งหลายก็เป็นคนเหมือนกัน ควรจะถือเป็นคติตัวอย่าง ยึดเอาตามหลักอรรถหลักธรรม หลักปฏิปทาเครื่องดำเนินของท่านมาปฏิบัติต่อตนเอง เพื่อแก้ไขดัดแปลงไป
อย่างน้อยก็เดินตามหลังท่านไป เป็นลูกศิษย์ที่มีครูสอน เดินตามร่องรอยของครูด้วยอรรถด้วยธรรม มีศีลาจารวัตรประจำตน อย่าให้มีตั้งแต่กิเลสบีบบี้สีไฟ ถลอกปอกเปิก ตั้งแต่ตื่นนอนจนหลับ ตั้งแต่เกิดภพนี้จนกระทั่งวันตาย แล้วก็ไปเสวยความทุกข์ที่กิเลสหลอกลวงไป ไม่มีที่กำหนดกฎเกณฑ์ เกิดแล้วตายเล่า เกิดแล้วตายเล่า นรกหลุมไหนไปเที่ยวเห็นหมด ความทุกข์ความลำบากที่ไหนมันไปซอกแซกเห็นหมด ๆ ก็เพราะกิเลสมันพาดื้อด้าน พาซอกแซก ๆ ทำทุกอย่างที่เป็นสิ่งที่เป็นฟืนไฟ มันก็เผาเราได้หมด ให้พากันพินิจพิจารณา ถ้าไม่พิจารณาเสียตั้งแต่บัดนี้ ตายแล้วค่อยเอานี้ ตายแล้วก็ได้แต่ฟืนที่เผาคน จิตวิญญาณมันก็ให้ไฟนรกเผา มนุษย์นี้ก็ไฟมนุษย์เผา ออกทางนี้ก็ไปให้ไฟนรกเผาอยู่งั้น มันไม่มีความหมายอะไร ให้พากันคิดอ่านไตร่ตรองเสียตั้งแต่บัดนี้
ธรรมพระพุทธเจ้าเป็นธรรมเลิศเลอ มีร่องรอยมาโดยลำดับลำดา ตั้งแต่เสด็จออกทรงผนวช บำเพ็ญจนได้ตรัสรู้ มีร่องรอยเรื่อยมา จนกระทั่งวันปรินิพพาน สมบูรณ์แบบ ร่องรอยของศาสดาเราที่ดำเนินมาจนได้เป็นศาสดา ไม่มีอะไรที่สงสัยพอจะไปคว้าเอาที่นั่นที่นี่ ว่านี่เป็นพระเจ้านั้นพระเจ้านี้ มาเป็นครูเป็นอาจารย์ มาเป็นศาสนา เป็นศาสดา โดยหาร่องรอยไม่ได้ นี้มีร่องรอยทุกอย่าง ธรรมก็เป็นแก่นสาร ให้ประโยชน์แก่โลกหาประมาณไม่ได้จากความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า จึงว่าเป็นธรรมเครื่องยืนยัน เป็นธรรมที่มีหลักมีเกณฑ์ มีร่องมีรอย การเป็นมา เป็นอยู่ของพวกเราทั้งหลายที่จะยึดมาเป็นหลักเกณฑ์ต่อจิตใจให้ตั้งใจปฏิบัติ จิตใจมันดีดมันดิ้น ไม่ว่าหญิงว่าชาย ไม่ว่าชาติ ชั้น วรรณะ ฐานะสูงต่ำประการใด กิเลสอยู่บนหัวใจมันจะฉุดจะลาก จะบีบบี้สีไฟให้คิดให้ปรุง ให้แต่ง ให้ดีดให้ดิ้น ผลที่ได้มาก็มีแต่ความทุกข์ ๆ อยู่เรื่อยไป ดังที่เป็นมานี้แหละ แล้วยังจะเป็นไปอย่างนี้อีกตลอด ถ้าไม่มีธรรมเข้าไปสกัดลัดกั้นบ้าง พอผ่อนคลายกันนะ จึงต้องให้มีการบำเพ็ญจิตใจ ใจมีแต่ดีดดิ้นไปตามกิเลสฉุดลาก ที่จะมีธรรมประคับประคองเป็นเครื่องกีดกัน หรือคุ้มครองรักษาจิตใจไว้บ้าง ไม่มีนี้ เราไม่มีหวังนะ ชีวิตมีลมหายใจอยู่นี้ก็รอตั้งแต่ที่จะจม ๆ ถ้ามีธรรมเข้าภายในใจแล้ว ไม่รอ หากรู้อยู่ภายในจิตใจของเราด้วยกันทุกคน บำเพ็ญเข้าไปความดี พระพุทธเจ้าพระองค์ใดก็ตามไม่เคยหลอกลวงโลก ขอให้พากันจำคำนี้ให้ดี บรรดาธรรมพระพุทธเจ้าเป็นธรรมของจริงล้านเปอร์เซ็นต์ไปเลย ไม่มีอะไรบกพร่อง สอนจริง รู้จริง เห็นจริงเหมือนกัน สอนมีตั้งแต่ของจริง ผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูก บาปมีบอกว่ามี บุญมีบอกว่ามี นรกมีกี่หลุมบอกว่ามีด้วยกันหมด ตลอดเปรตผีประเภทต่าง ๆ ทั่วแดนโลกธาตุมี ทรงเล็งญาณทราบหมด บอกมาตามความสัตย์ความจริง
นี่คือธรรมของจริง ไม่ใช่ธรรมของปลอมที่จะมาหลอกลวงโลก เหมือนกิเลสที่มีแต่เรื่องจอมปลอมหลอกลวงโลกทั้งหมด แล้วก็ตามลบล้างธรรมมาตลอด ในหัวใจของเรานั้นแหละ มันไม่ไปตามลบล้างที่ไหน พอเราจะคิดเชื่อเรื่องอรรถเรื่องธรรม กิเลสมันมาปิดไว้เสีย มันไม่ให้เชื่อ เอา เชื่อบาป มันว่าบาปไม่มีเชื่อหาอะไร นี่แหละตัวจอมปลอมคือกิเลส ตั้งแต่โคตรแซ่ปู่ ย่า ตา ยาย ของมันตั้งกัปตั้งกัลป์ สร้างตั้งแต่ความจอมปลอมไว้สำหรับปิดหูปิดตาสัตว์โลกตลอดมา จนกระทั่งถึงกัปไหนกัลป์ใดจะไม่มีอ่อนตัวเลย ในการหลอกลวงสัตว์โลกของกิเลสเรื่อยไปอย่างนี้
ให้ท่านทั้งหลายทราบเสียตั้งแต่บัดนี้ ถ้ายังไม่ทราบ และอย่าเข้าใจว่า กิเลสเคยหลอกลวงโลกมานาน ต่อไปนี้กิเลสจะแสดงตั้งแต่ความจริง ให้โลกได้รับความสุขความเจริญ อย่าไปหวัง นอกจากธรรมอย่างเดียวเท่านั้น จะแสดงความสัตย์ความจริงให้โลกได้รับความสุขความเจริญ ตามคำสัตย์คำจริงที่สอนไว้แล้วโดยถูกต้องนั้นเท่านั้น ไม่มีอย่างอื่น ให้พากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัติตัวเองนะ นี่เราเป็นมนุษย์ด้วยกันทุกคน เกิดมาด้วยกรรม เราแบกกรรมมาเราก็ไม่รู้ พระพุทธเจ้ารู้หมด คนนี้เกิดมาจากภพใดชาติใด แต่ก่อนเคยทำกรรมอะไร ๆ ทรงทะลุด้วยญาณ
เราเป็นผู้แบกกรรมมา มาเกิดอย่างนี้เราก็ไม่รู้ว่ากรรมของเราเป็นยังไง นี่ละความโง่กับความฉลาดมันต่างกันอย่างนี้ ก็เหมือนเราดูสัตว์ พระพุทธเจ้าดูพวกเรา เหมือนดูสัตว์โลก พวกเรามันโง่เง่าเต่าตุ่น เกิดมาจากชาติใดภพใดจึงมาเป็นปัจจุบันนี้ ชาตินี้ เป็นหญิงเป็นชาย อย่างนี้เราเองไม่รู้ รู้แต่ว่าเราก็เป็นคนเท่านั้นเอง ส่วนกรรมที่พาให้เรามาเกิดเป็นสูงเป็นต่ำ ยศถาบรรดาศักดิ์อะไรอย่างงี้เราไม่รู้นะ ให้พากันจำ พระพุทธเจ้ารู้หมด ด้วยเหตุนี้เองให้เชื่อพระพุทธเจ้า แล้วพยายามสั่งสมความดี
กิเลสมันจะหลอกไปเรื่อย ถ้าจะสร้างคุณงามความดี กิเลสจะปักขวากปักหนาม เสียบไว้ แล้วสกัดลัดกั้นไม่ให้เราทำ มันจะมีเล่ห์เหลี่ยมร้อยสันพันคมอยู่กับหัวใจของเรานั้นแหละ แสดงออกมาหลอกลวงเราให้เชื่อถือมันจนได้ แล้วก็อ่อนข้อย่อหย่อนในทางความดี แล้วล้มเหลวไปตามมันเสีย เสวยแต่กองทุกข์ที่มันหลอกลวงไปนั้นแหละ จะไม่มีความสุขเป็นที่พึงหวังได้ ถ้าวิ่งตามกิเลส ถ้าวิ่งตามอรรถตามธรรม ฝืนกิเลสวิ่งตามธรรมนี้มีหวัง ๆ ไม่สงสัย ให้จำเอานะ ถ้าวิ่งตามธรรมมีหวังไปตลอด ไม่มากก็น้อย ถ้าวิ่งตามกิเลสหมดหวังไปตลอดเลย จะหวังเท่าไร เรื่องความหวังนี้กิเลสมันสร้างในหัวใจสัตว์ สัตว์มีแต่ความหวังทั้งนั้นเต็มตัว ๆ แต่ความสมหวังไม่ค่อยมี และไม่มี มีแต่ความผิดหวังกับความทุกข์ที่เป็นเงาเทียมตัวไปเท่านั้น
ให้พากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัตินะ ไม่เช่นนั้นจะตายทิ้งเปล่า ๆ เราอย่าว่าตายแล้วสูญนะ เราเคยตายมากี่กัปกี่กัลป์ดังที่พูดแล้วนี้ ถ้ามันสูญแล้วมันมาเกิดมาตายหาอะไร ก็คือมันไม่สูญ มันจะเป็นผู้รับเคราะห์รับกรรมดีชั่วของตัวเองอยู่นั้นแหละ จึงต้องเชื่อธรรมพระพุทธเจ้าสำรอกปอกความชั่วทั้งหลายออกด้วยความฝืนใจ กิเลสมันกล่อม โหย ให้พออกพอใจนะ อะไรถ้าเป็นเรื่องของกิเลสนี้ดูดดื่ม มีรสมีชาติไปหมดนะ ถ้ากิเลสแต่งให้นี้มีรสมีชาติ เป็นแกงก็แกงทิพย์ แกงเทวดาสู้ไม่ได้นะ แกงกิเลสหลอกสัตว์โลก ครั้นกินลงไปแล้วพิษมันเต็มตัวอยู่นั้นจม ๆ นี่แกงของกิเลสมันเอร็ดอร่อย แต่พาสัตว์โลกให้จม นี่แหละให้จำให้ดี
เรื่องอรรถเรื่องธรรมจะทำอะไรมีความทุกข์ความลำบากทั้งนั้น มันไม่ได้เป็นไปด้วยความเพลิดเพลินเหมือนกิเลส นี่หมายถึงขั้นต้นแห่งการบำเพ็ญธรรม จะต้องดีดต้องดิ้นต้องฝืนกิเลสไปตลอดเวลา ที่จะไปด้วยความพออกพอใจตัวเอง ๆ กิเลสไม่มาคัดค้านต้านทานกีดขวางนี้ รู้สึกว่ามีน้อยมาก ต้องฝืนกิเลสไป ครั้นเวลาทำไป ๆ ทางเคยเดินมันก็ค่อยโล่งไป ๆ สุดท้ายก็โล่ง การไปทางด้านศีลด้านธรรมนี้จิตใจราบรื่นดีงามไปเรื่อย ๆ ๆ ทีนี้ก็ทะลุ กิเลสที่จะมากั้นกางแต่ก่อนซึ่งหนาแน่นที่สุดนั้น ค่อยบางลงไป ๆ ต่อไปมีแต่ความพอใจที่จะบำเพ็ญศีลธรรมเข้าสู่ใจ ผลก็ปรากฏในหัวใจเอิบอิ่มอยู่อย่างงั้นตลอด ๆ
ทีนี้ยิ่งได้เข้าภาวนาด้วยแล้ว ยิ่งเห็นประจักษ์ภายในใจ ประกอบกับการทำบุญให้ทาน เสาะแสวงหาความดีทั้งหลายมารวมตัวกันเข้าเป็นโอชารสแห่งธรรม หนุนหัวใจของเราเข้าไป ทีนี้ภาวนาจิตใจสงบเข้าไปเท่าไรก็ยิ่งเย็นเข้าไป ๆ นี่ มารวมที่จิตตภาวนานะ เราสร้างบุญกุศลมามากน้อยมารวมอยู่ที่จิตตภาวนา รวมอยู่ที่นี่ จิตตภาวนานี้เป็นเหมือนทำนบใหญ่ แม่น้ำสายต่าง ๆ ที่ไหลมานี้มารวมทำนบใหญ่ ทานศีลของเรา การทำบุญ คือการทำคุณงามความดีทั้งหลาย มีมากมีน้อยเหมือนกับแม่น้ำสายต่าง ๆ รวมลงมาเข้ามาสู่จิตตภาวนา มารวมลงที่นั่น เด่นที่นั่น หายสงสัยในการบำเพ็ญของตนว่าบำเพ็ญมามากน้อยเพียงไร หายสงสัย มันรวมอยู่นั้นหมดแล้ว
เวลาภาวนาจิตใจยิ่งมีความสงบร่มเย็น นี่ละที่นี่มีที่เกาะที่ยึดแล้วนะ สำหรับบุญกุศลที่ไม่มีทำนบเก็บนั้นมันเรี่ยราด อยู่นั้นแหละแต่เรี่ยราด ยังไม่รวมตัว พอจิตตภาวนาเป็นทำนบสร้างขึ้นโดยลำดับ ๆ แล้ว เรื่องความดีทั้งหลายจะไหลเข้ามา ๆ จะมาอยู่ที่จุดนั้นหมด เวลาภาวนาจิตจะมีความสว่างไสว
การภาวนาแล้วแต่อารมณ์ของใจ ดังที่เคยแสดงให้พี่น้องทั้งหลายทราบแล้ว ใครจะบริกรรมในธรรมบทใด เพราะจิตนี้หาที่ยึดที่เกาะ วิ่งไขว่คว้าอยู่อย่างงี้ ต้องให้ยึดอันใดอันหนึ่ง เช่น คำบริกรรม พุทโธก็ได้ ธัมโมก็ได้ สังโฆก็ได้ หรือคำใดอานาปานสติ ตามแต่จริตนิสัยใครชอบ ให้ยึดให้เกาะเอาไว้ด้วยสติ ตั้งให้ดีมั่นคง ให้อยู่กับอันนั้น จิตได้ยึดอันนี้แล้ว ถึงกิเลสจะลากจะถูไป อยากไปไม่ไป ให้ติดอยู่กับอันนี้ ต่อไปก็สงบเย็นลง ๆ
พอเย็นลงทีนี้มันสงบหมด เรื่องกังวลวุ่นวายทั้งหลายซึ่งเป็นอารมณ์ของกิเลสก่อกวน หรือฉุดลากไปสงบลงหมด เหลือตั้งแต่ธรรม คือสมถธรรม ได้แก่ความสงบของธรรมที่เกิดขึ้นจากการภาวนา และเพิ่มเข้าไปเรื่อย ๆ ความสงบนี้เพิ่มตัวขึ้นเรื่อย ๆ และความสว่างไสวของใจจะเพิ่มตัว และความเด่นของใจนี้จะเริ่มเด่น แต่ก่อนเราก็ไม่เคยเห็นใจเป็นยังไง มีแต่กิเลสตัณหามันครอบหัวใจ เป็นบ๋อยของกิเลส จิตดวงนี้นะ ไปที่ไหนเด่นไปหมด อันนั้นก็ดี อันนี้ก็ดี ที่กิเลสเสกสรรไปไหนดีหมด
นี่ละอำนาจของกิเลสมันดีหมดนะ มันเสกสรรไปไหนดีหมด เพราะจิตนี้เป็น บ๋อยของเขา ทีนี้พอจิตมีความสงบเย็นใจแปลกประหลาด สว่างไสวภายในใจ มันเด่นขึ้นที่ตัว แล้วมองดูอะไรมันก็ต่างกันกับอันนี้ มันก็รู้ว่านั้นข้างนอก นี้ข้างใน นั้นที่พึ่งภายนอก นี้ที่พึ่งภายใน ชัดเจน ๆ ทีนี้พอจิตมีหลักใจแล้ว มันก็ค่อยราบรื่น ๆ นี่ละเบื้องต้นฝึกอย่างงั้นเสียก่อน ต้องฝืนกันนะ ไม่ฝืนไม่ได้ ต้องฝืนเสียก่อน เราอยากดีต้องฝืน พอได้หลักได้เกณฑ์ ได้ทุนแล้วก็มีกำลังเพิ่มขึ้นไป ทีนี้จิตใจนี้ไม่ได้ทำความดี
อยู่ไม่ได้นะ นี่ละที่นี่เปลี่ยนแล้วนะ เปลี่ยนจากเรื่องกิเลสไม่ได้ทำความชั่วอยู่ไม่ได้แต่ก่อน บัดนี้ไม่ได้ทำความดีอยู่ไม่ได้ ต้องทำ เลยราบรื่น ๆ ไปเรื่อย ๆ
จนกระทั่งหมุนตัวเป็นธรรมจักร ที่จะให้หลุดพ้นจากทุกข์โดยสิ้นเชิง เพียงอย่างเดียวเท่านั้น อย่างอื่นไม่เอา ให้หลุดพ้นอย่างเดียว นี่ยิ่งหมุนใหญ่ หมุนอันนี้ไม่มีอะไรห้ามได้เลย นี่เรียกว่าใจมีกำลัง ธรรมมีกำลังภายในใจ เหยียบกิเลสแหลกไปเลย ๆ เราสรุปความว่าจิตนี้หมุนตลอด เร่งเข้าเรื่อยๆ มีแต่ความดูดดื่มที่จะหลุดพ้นจากทุกข์โดยถ่ายเดียว ๆ สุดท้ายก็พ้นไปได้เลย หายห่วง มองดูอะไรทีนี้ขาดสะบั้นไปหมด เรียกว่ายุติแล้วเรื่องการเกิดการตาย ความทุกข์ทั้งหลายที่แบกหามมากับความเกิดตายนี้สิ้นสุดลงไปด้วยกัน เหลือตั้งแต่บรมสุขในหัวใจที่พอแล้วทุกอย่าง พอเกินโลกเกินสมมุติทั้งหลาย เป็นพอในวิมุตติหรือในธรรมธาตุ
นั่นละที่นี่ยุติขาดสะบั้นไปหมด ไม่มีอะไรเหลือเลย โลกจะเดือดร้อนขนาดไหน ธรรมชาตินี้ก็เป็นธรรมธาตุ แม้มีขันธ์ ครองขันธ์อยู่อย่างพระอรหันต์ท่าน ท่านก็ดู ดูโลก กับดูของท่านต่างกันยังไงบ้าง คนหนึ่งมีหลักมีเกณฑ์ มีฝั่งมีฝา มีความเลิศเลอเต็มหัวใจ คนหนึ่งมีตั้งแต่ความดีดความดิ้น หาที่พึ่งที่เกาะ มันต่างกันยังไงบ้าง แล้วมันจะไม่สงสารได้ยังไง ไปเกาะอะไรก็มีแต่เกาะตามกิเลส เกาะเป็นฟืนเป็นไฟก็เผาตัวเองเสีย ๆ ไม่ได้เกาะสิ่งที่เป็นคุณคือเกาะอรรถเกาะธรรม มันจึงมีตั้งแต่ความเดือดร้อน จำให้ดีนะทุกคน ๆ เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านี้ละ
เป็นยังไงล่ะฟังเทศน์ เทศน์ตะกี้นี้เข้าใจหรือเปล่าล่ะ เอาให้ดีนะ เอากิเลสมันพังไปเลย เข้าใจแล้วหรือเรื่องภาวนา พูดครอบไปหมดแล้วนี่นะ เอามันลงไปในคำบริกรรมไม่ถอย ให้รู้อยู่กับจิต มันจะรู้จะเห็นอะไรก็ตาม ยึดหลักจิตเอาไว้ จิตนี้ไม่เอนไม่เอียง ความรู้นี้มีอาการต่าง ๆ เกิดดับ ๆ ทั้งที่เข้าใจว่าดีเข้าใจว่าชั่ว มีสภาพเปลี่ยนแปลง ตั้งหลักจิตให้มั่นคง แล้วต่อไปมันจะได้เห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ
วันพรุ่งนี้พอฉันเสร็จแล้วอาจจะได้ไปวัดอโศฯ นะ ไปดูเจดีย์ เกี่ยวกับเรื่องท่านทอง ถามท่านทองเรื่องเจดีย์เป็นยังไง แล้วการเงินการทองได้มากน้อยเพียงไร ตกลงเราก็เลยได้เข้าช่วยเจดีย์ เพราะมีพระธาตุอัศจรรย์มาเรื่อย จนกระทั่งของครูบาอาจารย์ทั้งหลายจะอยู่ที่นั่นหมดเลย ตกลงเราก็เลยได้เข้าช่วย ลำพังท่านทองจะไม่ไหว เราก็เลยพูดกับท่านทองไว้แล้วว่า เราจะช่วยตลอดไป แล้วก็บอกท่านด้วยว่า จะจ่ายงวดเดือนไหนเท่าไร ๆ ให้บอกไป ถ้าเงินไม่พอเราจะโอนมาให้ เราว่างั้น เราไม่บอกว่าได้เท่านั้นเท่านี้แล้วเราจะหยุด เราไม่ได้บอก มีแต่หนุนเรื่อยไปจนกระทั่งเสร็จ ไม่ได้คิดมันก็เป็นเองนะบทเวลามันจะเป็น หมู่เพื่อนใครต่อใครนั้นแหละไปทำขึ้น แล้วมันก็เกี่ยวโยงกันกับเรา เราก็เกี่ยวโยงกับครูบาอาจารย์ แน่ะ มันก็เลยไปแบกกันอยู่จนได้นั้นแหละ
นี่กำลังเร่งทองคำเข้าถึง ๑๐ ตัน เร่งตอนนี้ เริ่มเร่งตั้งแต่บัดนี้ต่อไป ไม่อ่อนนะ ต้องหนักเข้าเรื่อย ๆ เดือนสิงหานี้ยิ่งหนักเพื่อแบ่งเบาข้างหน้า ซึ่งจะหนักมากยิ่งกว่านี้อีก คือที่หนักมากก็เพื่อจะให้ถึงจุดที่หมาย ให้ทองคำพอในช่วงนั้นแหละ เราจึงเร่ง ๆ ตั้งแต่บัดนี้ไป (โยมมาถวาย) นี่ก็ท่านพ่อลีไม่ใช่เหรอ (เจ้าค่ะ) เราก็จะได้ไปช่วย เจดีย์ ต้องเอาแบบถึงไหนถึงกันเลยแหละ เพราะได้บอกกับท่านทองไว้แล้ว เราไปเห็นคราวนั้น เราไปเทศน์ช่วย ถึงขนาดที่ว่า วันนี้ให้งดทั้งหมดการช่วยชาติ ได้ยินไม่ใช่เหรอ
คือทุ่มลงในเจดีย์นี้ทั้งหมดเลย ตั้งแต่เราเริ่มไปก็บอกเลย มาวันนี้มาช่วยเจดีย์ ใครมีเท่าไรให้เอามา ไปอยู่สองคืนหรือไง ได้ปัจจัยตั้งสี่แสนนะ วันหนึ่งก็ได้สองแสน อีกวันหนึ่งได้สองแสน รวมกับกัณฑ์เทศน์ ดูเหมือนเทศน์ทั้งหมดได้หนึ่งล้านห้าแสนหรือไง อันนี้เรียกว่าเราช่วยร้อยเปอร์เซ็นต์เลย ตั้งแต่ไปนั่งทีแรกขึ้นเลยเชียว วันนี้เรามาช่วยเจดีย์เราบอก มีเท่าไรเอามาให้หมด มิหนำซ้ำเวลาขึ้นธรรมาสน์ก็บอกว่า วันนี้เป็นวันเจดีย์ เรื่องชาติที่เราช่วยมาเป็นลำดับให้งดให้หมด แน่ะ ใครมีเท่าไรรวมมาที่นี่ให้หมดอีกเหมือนกัน นั่นละจึงได้ ปัจจัยดูเหมือนล้านห้าแสน
ทีนี้เรายังเบาหวิวแหวว ๆ ไม่มีน้ำหนัก เพราะฉะนั้นจึงได้พูดกับท่านทองอีกที เหตุที่จะพูดก็เพราะว่า เรามีอะไรเป็นอารมณ์กับเจดีย์นี่ จะจ่ายเงินตั้งมากมาย แล้วเงินได้เพียงหนึ่งล้านห้าแสนนี้รู้สึกว่าน้อยมาก จึงต้องถามท่าน จะทำเจดีย์นี้ตั้ง (๔๖ ล้านครับ) นู่นน่ะฟังว่า ๔๖ ล้าน โถ ไม่ใช่เล่น ลำพังท่านทองคนเดียวจะไม่ไหว รายได้มาจะไม่ทันกับเจดีย์ที่กำหนดตายตัวไว้เรียบร้อยแล้ว ว่าจำนวนเท่านั้นถึงจะเสร็จ เราจึงเข้าช่วยท่าน ก็บอกให้ท่านเป็นที่ตายใจเลย ว่า อ้าว ตั้งแต่บัดนี้ต่อไปผมจะช่วย ก็ว่างั้นเลย แล้วเขาจ่ายงวด งวดหนึ่งเท่าไร ๆ เป็นจำนวนเท่าไร ถ้าเงินไม่พอให้บอกไป ผมจะโอนมาทันที ๆ ทุกงวด บอกอย่างงี้เลยนะ ท่านทองก็รู้สึกจะเบาใจมากคราวนี้ แล้วกะว่าไปวันพรุ่งนี้จึงจะไปซ้ำให้อีก เรื่องราวออกแง่ไหนบ้าง เพื่อให้ได้ตามที่มุ่งหมายด้วยความแน่ใจ
วันนี้ได้หลายบาทแล้วนะ เอาให้ได้นะ หนุนกัน จากนี้ถึงวันเรากลับให้ได้ทองคำมาก ๆ ทีเดียว คราวนี้ตั้งหน้ามาใส่ทองคำ หมุนติ้วเลยคราวนี้ ให้ท่านทั้งหลายได้ทราบว่าหัวหน้าท่านทั้งหลายจริงจังมากนะ เวลานี้กำลังหมุนเข้าสู่ทองคำในจุดที่ว่านี้แล้ว ซึ่งได้ขึ้นเวที ถอยไม่ได้ถ้าลงขึ้นเวที ประกาศออกแล้ว นี้ ๑๐ ตัน ประกาศแล้ว คอขาดขาดเลยเชียว เป็นยังไงถึงไหนถึงกันเลย ถ้าลงได้ออกแล้วเป็นไม่ถอยว่างั้นเลย นี่ให้ได้ทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตัน ดอลลาร์อย่างน้อย ๑๐ ล้าน แล้วเราพอใจ สง่างามเมืองไทย
ของเรา เราทำเพื่อชาติไทยของเรา สำหรับสมบัติในคลังหลวงก็พอบืนพอเป็นพอไป แต่เมื่อเราได้ช่วยงานถึงขนาดชาติไทยของเราจะล่มจม เราฟื้นฟูกันทั้งประเทศ ไม่มีเครื่องหมายแห่งความเป็นสิริมงคลแล้วเข้ากันไม่ได้ เข้าใจไหมล่ะ จึงต้องให้มีเครื่องหมายเป็นสิริมงคล ได้แก่ทองคำที่กล่าวนี้ นี่เราตั้งจุดไว้ตรงนี้ เข้าใจทุกคนนะ
(หลวงตาเจ้าคะ ดิฉันเจริญธรรมแล้วเห็นดอกบัวในตัวเองสองดอก บานดอกหนึ่ง แล้วก็ตูมดอกหนึ่ง เห็นธรรมจักรที่หน้าผากมีสีฟ้าปนสีขาวแล้วก็หมุนติ้ว แล้วทีนี้มาเห็นสภาวะของจิตพุ่งตลอดเวลาเลยเหมือนกับน้ำพุ่งไม่มีขาดสาย) มันพุ่งไปไหนล่ะ มันพุ่งให้มันพุ่งดูร่างกายเจ้าของ เข้าใจเหรอ (เห็นมันสว่างหมุนติ้ว) ให้มันสว่างไปตามส่วนร่างกาย ดูอวัยวะมีอะไรบ้าง มันเห็นแต่สิ่งอื่นสว่างไสว ส้วมถานอยู่ในร่างกายมันไม่เห็น ให้ดูส้วมดูถาน มันจะสว่างยิ่งกว่านั้นอีก เข้าใจเหรอ พิจารณาร่างกาย (แล้วจะบวชได้หรือยังคะ) อย่าด่วนพูดไอ้บวชไม่บวช ให้ฟังเสียงที่เราพูดเสียก่อน บวชเมื่อไรมันยากอะไร เอาจะให้พร
ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตา วันต่อวัน ได้ที่ www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th |