เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม
เมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๖
ชาวพุทธควรจะมีศีล ๕
ขอให้พี่น้องทั้งหลายที่เป็นชาวพุทธ นำหลักเกณฑ์แห่งพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์ที่ถูกต้องแม่นยำ และเป็นไปเพื่อความผาสุกร่มเย็นมาใช้ประจำครอบครัวของตน และตัวของเราเอง คนมีขอบเขตมีหลักมีเกณฑ์ไปที่ไหนไม่ค่อยผิดพลาดนะ ความเสียหายมีน้อย ความทุกข์ก็มีน้อย ถ้ามีกฎเกณฑ์แล้วเป็นอย่างนั้นนะ ถ้าไม่มีกฎเกณฑ์ ปล่อยไปตามนิสัย นิสัยของกิเลสพาคนฉิบหาย พาสัตว์โลกให้ฉิบหายเดือดร้อนมากเป็นลำดับลำดาในการปล่อยตัวของเรา ปล่อยมากเท่าไรไปตามกิเลสจะไม่มีพอ เหมือนไฟได้เชื้อ ไสเข้าไปเท่าไรไฟไหม้หมดๆ เรื่องไฟจะกลัวเชื้อไม่มี กิเลสจะกลัวสัตว์โลกไม่มี สัตว์โลกนี้เป็นเหยื่อของกิเลส เป็นเชื้อของกิเลสให้กิเลสเผาตลอดเลย ถ้าใครกล้าหาญชาญชัยเข้าไป ก็เรียกว่าผู้นั้นกล้าหาญต่อการแบกกองทุกข์
เพราะเรื่องของกิเลสแล้วจะไม่พาไปตามร่องตามรอย จะปลีกจะแวะ จะแฉลบทางโน้น แฉลบทางนี้ หลอกอยู่ตลอดเวลา สัตว์โลกที่ไม่ได้คิดได้อ่าน ไม่มีธรรมเป็นเครื่องทดสอบแล้วจะผิดพลาดไปตลอด ตั้งแต่ต้นจนอวสานหาชิ้นดีไม่ได้นะ ไม่มีหลัก ใครจะเอาเงินทองข้าวของ บริษัทบริวาร ยศถาบรรดาศักดิ์มาอวดไม่มีความหมาย กิเลสเหยียบแหลกเลย กิเลสเหนือนั้น ถ้าไม่ตื่นกับสิ่งเหล่านี้เรียกว่าธรรม ถึงมันจะมีมันก็ไม่ได้กระทบกระเทือนกับเรามาก เพราะเรามีธรรมเป็นเครื่องป้องกันเป็นหลักเป็นเกณฑ์
ขอให้มีหลักมีเกณฑ์บ้างพี่น้องทั้งหลาย อย่าปล่อยเลยตามเลย รู้สึกว่าเมืองไทยเรานี่ ก็เป็นเมืองหลวงตาบัวนั่นแหละ แต่หลวงตาบัวเที่ยวรอบโลกนี่ว่าไง ไปที่ไหนตา หู จมูก ลิ้น กาย มี มันสัมผัสสัมพันธ์ จิตมันจะวิ่งของมัน พิจารณาๆ เรียกว่าธรรมจับโลก จับไปตลอดเลย เมื่อจับได้แล้วเมืองไทยเรานี้ไม่มีหลักมีเกณฑ์อะไรนะ เหลวๆ ไหลๆ ทุกอย่างไม่มีหลักเป็นของตัว พอเป็นหลักเกณฑ์ได้บ้างคือว่าเมืองไทยเป็นชาวพุทธ ไม่ค่อยตื่นเต้นกับศาสนาใดๆ อันนี้เราชมเชย แต่ขอให้ปรับปรุงพุทธศาสนาของตนที่ถูกต้องแม่นยำนี้ให้ดีขึ้นในตัวของเราเอง จะสมชื่อสมนามว่าเราเป็นลูกชาวพุทธ ให้จำข้อนี้ให้ดี เรื่องถือศาสนานี้เรายกให้ว่ามีหลัก ใครจะเอาศาสนาใดมาหลอก เฉย ไม่สนใจ เรียกว่า นี่พ่อของเรา นี่แม่ของเรา ใครจะเอาเทวดามาเป็นพ่อเป็นแม่แทนเราก็ไม่ยอมรับ เพราะไม่ใช่พ่อใช่แม่ของเรา นี่เรียกว่าจริงจังต่อพ่อต่อแม่ ต่อหลักเกณฑ์ของตน เรียกว่าคนมีหลักเกณฑ์ ถ้าอะไรมาคว้ามับๆ เรียกว่าเหลวไหล
ความเคลื่อนไหวไปมา การเที่ยวการซื้อการขายอะไรเหล่านี้ รู้สึกว่าไม่ค่อยมีหลักเมืองไทยเรา เตือนให้ท่านทั้งหลายทราบบ้างนะ จะสั่งจะซื้ออะไรๆ ให้พินิจพิจารณาก่อน ถ้าของเรามีและไม่สมควรที่จะซื้ออย่าซื้อ มันชินต่อนิสัย เป็นนิสัยหลักลอย อะไรๆ มาไหลไปหมดๆ อย่างนี้ไม่ดีเลย ขอให้มีหลัก พระพุทธเจ้าเป็นหลักใหญ่ แบบฉบับใหญ่ที่ถูกต้องดีงาม เช่นอย่างพระท่านนี่ แบบของพระที่ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้ามีอะไรบ้าง วางรากฐานเบื้องต้นไว้ว่าบริขาร ๘ บริขาร ๘ คืออะไร บาตร สบง จีวร สังฆาฯ มีดโกน ประคดเอว กล่องเข็ม ธมกรกกรองน้ำ มี ๘ ชนิด นี่เป็นพื้นฐาน ส่วนที่จะใช้มากน้อยเพียงไร พระท่านจะพินิจพิจารณาถึงความจำเป็นมากน้อย ส่วนหลักเกณฑ์ ๘ อย่างนี้ท่านไม่ให้เคลื่อนคลาดไปไหนเลย เป็นสมบัติของท่านโดยตรง
นี่ละแบบของพระท่านใช้มาตามแบบฉบับของพระพุทธเจ้านะ ไม่ใช่แบบหัวโล้นโกนคิ้ว เอาผ้าเหลืองห่อตัวแล้วโอ่อ่าฟู่ฟ่า กลายเป็นพระราชการงานเมือง เป็นพระอำนาจวาสนาป่าๆ เถื่อนๆ เอากิเลสเข้ามาแทรกมาเหยียบหัวพระพุทธเจ้าอย่างนั้นนะ พระอย่างนั้นไม่เรียกว่าพระของศาสดา เป็นพระกาฝากทำลายศาสนาได้เป็นอย่างดี โดยที่เขาไม่กล้าแตะต้องอะไร คือเขากลัวบาป แต่ตัวของพระหัวโล้นนั้นไม่ได้กลัวบาป ทำชั่วช้าลามก เลวไปหมด นี่ละจิตใจต่ำทรามเสียอย่างเดียวเลวไปหมดนะ ถ้าจิตใจมีหิริโอตตัปปะแล้วจะไม่ฝืน คำสอนของศาสดา ใครจะเลิศยิ่งกว่าคำสอนของศาสดา คำที่ไหนมาสอนไม่มี
ได้พิจารณาเต็มกำลังแห่งความสามารถแล้ว คำสอนพระพุทธเจ้าหาที่ค้านแม้นิดหนึ่งไม่มีเลย เอาความปฏิบัติความรู้ความเห็นจากการปฏิบัติ รู้ขึ้นมาเอาทดสอบกันซิ รู้ขึ้นมาเจ้าของยอมรับๆ แล้วเอียงเข้าไปหาธรรมพระพุทธเจ้าท่านสอนว่ายังไง ท่านเป็นมาแล้วรู้แล้วเห็นแล้วสอนไว้แล้ว ก่อนที่เราจะมารู้ท่านรู้ไว้ก่อนสอนไว้ก่อนแล้ว มันก็ยอมรับท่านๆ นี่คือแบบฉบับของศาสดา เวลาให้เป็นลูกตถาคตก็ประกาศขึ้นเป็นบริขาร ๘ เลย นี่สมบัติของพระ หลักใหญ่ของพระ สมบัติของพระมี ๘ ชิ้นด้วยกัน ผ้าสังฆาฯ ผ้าจีวร ผ้าสบง บาตร จากนั้นก็กล่องเข็มเย็บผ้า เพราะแต่ก่อนไม่มีจักรเย็บผ้า มีแต่เย็บด้วยมือๆ ธมกรกกรองน้ำ นี่ละบริขาร ๘ ท่านติดตัวของท่าน
บริขารบางอย่างจะขาดบ้างท่านก็ไม่ปรับอาบัติ บริขารบางอย่างขาดไม่ได้ปรับเป็นอาบัติ ต้องให้มีประจำตัว เช่น สังฆาฯ จีวร สบง ขาดไม่ได้ นอกจากนั้นอย่างอื่นๆ ก็มีขาดได้บ้าง กำหนดเป็นเดือน ขาดเท่านั้นเดือน เท่านี้เดือน เลยนั้นไปแล้วปรับโทษอย่างนี้ก็มี ท่านแสดงไว้เป็นกฎเป็นเกณฑ์ ผู้ปฏิบัติตามนั้นจะเป็นผู้มีขอบมีเขตตามเสด็จพระพุทธเจ้าทุกฝีก้าวแห่งการปฏิบัติของตน ซึ่งเทียบได้กับว่าตามเสด็จพระพุทธเจ้า ด้วยการปฏิบัติถูกต้องดีงาม นี่ละพระพุทธเจ้าของเรามีแบบมีฉบับ ออกมาเป็นพระก็ให้เป็นพระมีแบบมีฉบับ ถ้าเป็นพระเลอะเทอะแล้วก็อย่างที่ว่าพระเลอะเทอะก็ไม่ดี ยิ่งพระเลอะเทอะด้วยแล้วเลวมากยิ่งกว่าประชาชนเลอะเทอะนะ เช่นหลังหมีมันดำอยู่ตามธรรมชาติของมันแล้วก็ไม่มีใครถือสานะ คือหลังหมีดำเห็นไหมล่ะ มันดำอยู่ตามธรรมชาติของมันก็ไม่มีใครตำหนิติเตียน แต่ถ้าอย่างอื่นดำ เช่น ผ้าขาวกลายเป็นสกปรกดำอย่างนี้ดูไม่ได้ นั่นมันผิดกันนะ
เราควรให้มีหลักเกณฑ์ ทุกอย่างดูอะไรๆ ไม่ค่อยมีหลัก เลื่อนลอย นี่แสดงไปจากจิตใจเลื่อนลอย ไม่มีหลักมีเกณฑ์ ไม่มีเนื้อมีหนังเป็นของตัว ต่อไปมันจะหลงพ่อหลงแม่ไปแล้วนะ อะไรมาคว้าไปหมดนึกว่าพ่อว่าแม่ของตัวเอง อะไรมาคว้าหมดนึกว่าเมียของตัวเอง ผู้หญิงผ่านมาไม่ได้นึกว่าเมียตัวเอง คว้ามับๆ ผู้ชายผ่านมาไม่ได้นึกว่าผัวตัวเองคว้ามับๆ นี่ประเภทหมาเดือน ๙ เดือน ๑๒ ไม่อิ่มพอในกามราคะ คว้าโน้นคว้านี้ หาหลักเกณฑ์ไม่ได้ แล้วก็สร้างฟืนสร้างไฟเข้าในครอบครัวเหย้าเรือนของตน นี่ละการเลยขอบเขตแห่งความดีงามไปไม่ดี เอาไปเทียบอย่างที่ว่านี่ ผัวใครใครก็รู้ เมียใครใครก็รู้ ลูกของใครใครก็รู้ มันคว้าหาอะไรไม่ใช่ของเรา จิตที่มันโลเลนี้มันคว้าได้ทั้งนั้นนะ ลามปามไปเลยใช้ไม่ได้ ให้พากันจำเอา
การกินอยู่ปูวาย การใช้การสอยก็ขอให้มีการประหยัดมัธยัสถ์ความรู้จักประมาณบ้างดี อย่าใช้แบบที่ว่าฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมลืมเนื้อลืมตัว ประหนึ่งว่าเราอยู่ในท่ามกลางกองมหาสมบัติตลอดมาและจะตลอดไป กองมหาสมบัติเป็นมหาสมบัติ แต่ความเสียหายอยู่กับเรา มหาสมบัติมีมากมีน้อย เราผู้เป็นเจ้าของไม่มีประมาณ เป็นความลืมตัว เสียหายอยู่ที่เจ้าของ ไม่ได้เสียหายที่ทรัพย์สมบัติ สมบัติที่ได้มาเสียไปนี้เขาจ่ายกันทั่วโลก แต่เสียคนไม่ดีเลย เป็นความเสียหายมากทีเดียว จึงให้พยายามรักษาตัวของเราให้ดี ขอให้มีหลักเกณฑ์เถอะอะไรก็ดี อย่าโลเลโลกเลกเกินไป นี่ข้อสำคัญ ในเมืองไทยของเรามักจะไขว่คว้าทุกสิ่งทุกอย่าง คือไม่มีหลักเกณฑ์มันถึงไขว่คว้าคนเรา ถ้ามีหลักเกณฑ์เป็นที่ยึดที่เกาะแล้ว อะไรผ่านมาก็ตาม ควรจะยึดเป็นประโยชน์ก็ยึดเสีย ถ้าไม่เป็นประโยชน์ปัดออกๆ ที่จะให้มาทำลายเราไม่ให้มา จึงเรียกว่าผู้มีหลักเกณฑ์ ความโลเลไม่ดี
พระท่านมีกฎมีระเบียบของท่าน พระคือพระศากยบุตรของพระพุทธเจ้า พระสาวกอรหัตอรหันต์เป็นแบบฉบับที่ดีงามทั้งนั้น การอยู่กินใช้สอยบริขารของท่านอยู่ในขอบในเขต ท่านไม่ลามปาม นี่คือลูกศิษย์ตถาคต ส่วนพระกาฝากอย่านำมาพูดในเรื่องเหล่านี้ มันเลอะเทอะเต็มบ้านเต็มเมือง ไปที่ไหนก่อฟืนก่อไฟเผาบ้านเผาเมืองเผาศาสนาไปได้หมด ความเลอะเทอะของพระ ทำลายได้มากกว่าความเลอะเทอะของประชาชนที่เกี่ยวกับศาสนา พวกโจรผู้ร้ายเขาก็ไม่ค่อยไปทำลายพระอะไรมากนัก แต่พระทำลายศาสนาทำลายได้ เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปได้เลย นี่คือความลามปาม ความดื้อด้าน ความหน้าด้าน ไม่ดี ให้ระมัดระวัง
คำว่าธรรมนั้นคือความดีงามทุกอย่าง เวลาแปลออกมาแล้วคือความดีงาม งามหูงามตา ฟังเสียงจับใจไพเราะด้วยเหตุด้วยผล ไม่ใช่เสียงดังแล้วจะว่าเป็นของเสียไปเลยไม่ใช่ ฟ้าร้องบนฟ้า ฝนตกมาเย็น มันต่างกัน ฟ้าเป็นฟ้า ร้องอยู่บนฟ้า แต่เวลาฝนตกมาน้ำเย็น คนอาศัยน้ำฝนที่เกิดมาจากฟ้าร้องนั่นแหละ อันนี้เสียงไม่ค่อยมีประมาณนัก เสียงดังเสียงแผดเสียงเผา แต่เป็นเสียงฟ้าร้องเพื่อฝนจะตกให้โลกได้รับความร่มเย็น นี่เสียงอรรถเสียงธรรมออกมาเพื่อเป็นคติตัวอย่างแก่ผู้ฟัง ไม่ใช่เสียงระเบิดนิวเคลียร์นิวตรอน เสียงอรรถเสียงธรรมปราบความชั่วต่างหาก ส่วนเสียงระเบิดนิวเคลียร์นิวตรอนปราบได้หมด ไม่ว่าคนว่าสัตว์ สิ่งของอะไร เผาได้หมดทั้งนั้น มันต่างกัน ขอให้พากันพินิจพิจารณา
หลวงตาก็ผ่านโลกมานานแล้ว บวชมานี้ได้ ๗๐ ปีฟังซิ ดีไม่ดีท่านทั้งหลายเหล่านี้ยังไม่เกิดก็มีเยอะนะที่หลวงตาบวช ที่นั่งกันเต็มอยู่นี้ที่ยังไม่เกิดนี้มีมากนะ เราอุตส่าห์พยายามแหวกว่ายตามหลักธรรมหลักวินัยมาตั้งแต่วันบวชจนกระทั่งบัดนี้ บังคับบัญชาจิตใจ กาย วาจา กิริยามารยาท ให้เข้ากรอบของศีลของธรรม คือเข้ากรอบของธรรมของวินัยที่องค์ศาสดาสอนไว้ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา เลยกลายเป็นความเคยชิน นี่ละการรักษาไว้เป็นเวลานานก็เป็นความเคยชินแห่งการรักษาตัวเพื่อความเป็นคนดีพระดี ไปที่ไหนจะว่ามีศีลหรือไม่มีศีลก็ตาม ที่จะตั้งหน้าตั้งตากลัวจะผิดตรงนั้น กลัวจะผิดตรงนี้ มันตั้งหน้ามาแล้วรักษามาแล้วจนเป็นความเคยชิน ทีนี้เลยจะว่าระวังอะไรไม่ระวังอะไร ก็ไม่เห็นกระทบกระเทือนใจ แต่พออะไรเข้ามาผ่าน ถ้าผิดวินัยปั๊บหลบทันทีโดยไม่ต้องตั้งท่าไว้ก็ได้ นี่คือความเคยชินต่อการรักษา
อะไรที่ผิดวินัยข้อไหนๆ มันจะรู้ทันทีหลบทันที หลีกทันที นี่คือความเคยชินในการรักษา เอา พูดย่อๆ ให้เข้าใจเลยว่า ข้าวเย็นนี่จนไม่ระลึกกันเลย เหมือนเป็นคนละโลกนะ ก็ไม่ได้กินข้าวเย็นมาได้ ๗๐ ปีนี้ ทีนี้ข้าวเย็นก็เลยไม่เคยระลึกเลยนะ ระลึกไปมันก็หมดหวังแล้วระลึกไปหาอะไรใช่ไหม สุดท้ายมันก็ปล่อยเลยไม่ได้สนใจนะ พอเลยเวลาไปแล้ว แม้แต่เพลมันก็ไม่มี เป็นแบบเดียวกัน พอฉันเสร็จแล้วหายเลย ๆ ข้าวยงข้าวเย็นเหมือนอยู่คนละโลก เป็นอย่างนั้น นี่คือความเคยชิน เราฝึกของเรามาอย่างนั้น อะไรก็ตามถ้าเราฝึกไปนานมันก็เป็นความเคยชินต่อความดีทั้งหลาย คนเราจึงไม่ค่อยเสียได้อย่างง่ายดาย ถ้าเป็นความเสียหายจนเป็นความเคยชิน มีแต่ทางจะเสียถ่ายเดียวนะ อะไร ๆ ก็เสียเพราะเป็นความเคยชินในการเสียแล้ว ให้พากันระมัดระวัง
ให้เอาพุทธศาสนาไปบังคับบัญชาตนเอง ตามที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ที่เป็นหลักเกณฑ์ของชาวพุทธเราก็คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ หนึ่ง นี้ให้เป็นหลักใจประจำชาวพุทธ ฝากเป็นฝากตายกับพระรัตนตรัยทั้งสาม คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ นี้หนึ่ง นี่ละหลักใจของชาวพุทธ เป็นตายอย่าปล่อยอันนี้นะ จากนั้นก็เป็นเรื่องของศีลของธรรม ควรจะได้ศีล ๕ เป็นพื้นฐานของฆราวาสเรา ไม่มากนักศีล ๕ ก็รู้ไม่ใช่เหรอ ใครรู้จักศีล ๕ ไหม หรือตั้งแต่เกิดมาไม่เคยรู้จักเพราะไม่เคยรักษาอย่างว่าเหรอ ศีล ๕ คืออะไร ท่านก็บอก
ปาณาฯ คือหัวใจของโลก แปลให้ชัดๆ ปาณาฯ แปลว่าหัวใจของโลก รักสงวนเหมือนกันหมด นับแต่สัตว์ขึ้นมาหาตัวของเรา ไม่มีใครมีความด้อยในการรักชีวิตของตน มีเสมอกันหมด นี่พระพุทธเจ้าให้ความเสมอภาคแก่สัตว์ทั้งหลาย สัตว์เล็กสัตว์น้อยสัตว์ใหญ่ เรื่องวิชากลัวตายไม่ต้องเรียนกัน สัตว์รู้ทุกตัว เต็มตัวด้วยกันทุกคน ให้เห็นคุณค่าแห่งชีวิตของกันและกัน วางความเสมอต่อจิตใจของกันและกันแล้วก็ไม่ทำลายกัน จิตใจก็ไม่กำเริบ ไม่ก่อกรรมก่อเวร ไม่เคียดไม่แค้น สร้างกรรมบาปชั่วช้าลามกให้หนักไปเพราะการถูกทำลาย เคียดแค้นมาก เมื่อไม่ทำอันนี้เวรกรรมเหล่านี้ก็ไม่เกิด กรรมปัจจุบันก็ไม่เกิด คือไม่ทำลาย ไม่ฆ่าสัตว์ฆ่าเขาฆ่าเรา บาปอันนี้ก็ไม่เกิด เรื่องการก่อกรรมก่อเวรเพราะความเคียดแค้นให้กันและกัน ที่จะเป็นลูกโซ่ยาวเหยียดไปด้วยกองทุกข์ พัวพันกันด้วยการก่อกรรมก่อเวรนี้ก็ไม่มี
อทินนาฯ ของใครใครก็รัก ฟังซิน่ะ สมบัติของใคร เข็มเล่มเดียวก็ยังรัก ถ้าให้กันด้วยเจตนาแล้ว ให้เป็นล้านๆ ก็มีความปีติยินดี เป็นผลเป็นประโยชน์ทั้งผู้ให้และผู้รับ ผู้ให้ก็ให้ด้วยความเมตตาสงเคราะห์สงสาร และให้ด้วยความยินดี ผู้รับก็ยิ้มแย้มแจ่มใสไปด้วยกัน นี่ท่านว่า อทินนาฯ นอกจากไม่ฉกไม่ลักไม่ขโมยแล้วยังให้อภัยต่อกัน เฉลี่ยเผื่อแผ่ต่อกัน ไม่ล่วงเกินสมบัติของกันและกัน ให้กันด้วยความพออกพอใจยิ้มแย้มแจ่มใสทั้งสองฝ่าย
กาเมสุ มิจฉาจาร ตัวนี้ร้ายแรงมาก พระพุทธเจ้าเด็ดขาดในจุดนี้ สัตว์โลกอยู่ร่วมกันเป็นผาสุกเพราะรักษาศีลข้อนี้ได้ดี ถ้าศีลข้อนี้ได้ผิดพลาดลงไปจากบุคคลใดกลุ่มใดแล้วจะกระจายไปหมด เป็นไฟเผาโลกไปได้ เพราะเอาอย่างกันได้อย่างง่ายดายที่สุดเรื่องกามกิเลส เพราะมันหาช่องออกอยู่แล้ว พอมีช่องนิดหนึ่งจะออกเลยทันทีๆ ให้พากันรักษา พระพุทธเจ้าไม่ได้พาล่มจมเพราะรักษาศีล ๕ ข้อนี้ แต่พาให้มีความสงบเย็นใจทั่วหน้ากัน โลกมีความสงบเย็นใจทั่วหน้ากัน เพราะรักษาศีลอันนี้ไว้ กาเมสุ มิจฉาจาร เป็นที่ที่รักสงวนของทุกฝ่าย ไม่ว่าผัวใครเมียใครลูกใครหลานใคร เป็นสิ่งที่เขารักสงวนเต็มหัวใจทั้งนั้น จึงไม่ควรที่จะไปอาจเอื้อมกันเลย ให้วางไว้ตามสภาพของเขาเต็มส่วนของเราเต็มส่วน ต่างอันต่างจริง ต่างอันต่างเป็นของใครของเรา ต่างคนต่างรักสงวนไม่แตะต้องของกันและกันแล้วโลกก็เป็นสุข
คำว่า มุสา นี้ก็คือความโกหก ส่วนมากมันจะมานี่ละไอ้เรื่องโกหก คือความทุจริต จอมทุจริตออกไปเป็นคำโกหกหลอกลวงไปได้หมด คนชั่วจะเอาความจริงมาพูดไม่ได้ มีแต่ความโกหกหลอกลวงต้มตุ๋น ต้มตุ๋นเขาหลอกลวงเขาจนหมดเนื้อหมดตัวไม่มีอะไรเหลือ หน่วยงานใหญ่ๆ บริษัทห้างร้านต่างๆ ถูกต้มถูกตุ๋นแหลกไปได้ คำโกหกเป็นของเล่นเมื่อไร ท่านจึงห้ามไม่ให้โกหก พูดอะไรเป็นคำสัตย์คำจริงต่อกัน เชื่อถือกันได้ตลอดตายเลย พูดอะไรมีความเชื่อถือกันได้ ตายใจกันได้คนเรา ถ้าพูดมีแต่ความหลอกลวงต้มตุ๋น แม้ที่สุดในครอบครัวผัวเมียก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ ผัวก็โกหกเมีย เมียก็โกหกผัว นี่ละที่ไฟบรรลัยกัลป์มันเผาจากมุสา
สุรา ก็ฟังซิสุรา ใครเกิดมานี้เคยเห็นพ่อเห็นแม่เอาสุรายาเมามากรอกปากลูกตัวเองไหม ไม่มี เลี้ยงมาด้วยข้าวต้มขนมนมเนย อาหารเอร็ดอร่อย ราค่ำราคาแพงเท่าไรก็ตามพ่อแม่จะไม่แตะ มอบให้ลูกทั้งหมด พ่อแม่เป็นบ๋อยกินเศษกินเดนของลูกนะ ลูกอิ่มพอทุกสิ่งทุกอย่างแล้วพ่อแม่ถึงจะ เมื่อมันเศษมันเหลือจากลูกแล้วพ่อแม่ถึงจะเอามากินมาดื่มนะ ถ้าลูกยังไม่พอพ่อแม่ยังไม่แตะ นั่นเห็นไหม นี่ความรักลูก เข้าใจไหม แล้วเคยเห็นใครเอาสุรายาเมา พวกฝิ่น พวกกัญชา ยาเสพย์ติดมากรอกปากลูกตัวเอง เคยเห็นมีไหม แต่เวลาโตขึ้นมาแล้ว ทำไมมันถึงแหวกแนว มันไม่ได้สนใจกับคุณค่าของพ่อแม่ที่เลี้ยงดูมาด้วยความทะนุถนอม สละคุณค่าราคา เงินกี่บาทกี่สตางค์ สมบัติมีมากน้อยทุ่มให้ลูกหมด ครั้นเวลามันโตขึ้นมาแล้ว มันไปหาทำตั้งแต่สิ่งที่จะทำลายทั้งพ่อทั้งแม่ทั้งโคตรทั้งแซ่ไปหมดให้ฉิบหายวายปวง กลายเป็นสกุลยาเสพย์ติด สกุลบ้าไปหมดทั้งประเทศไทย เป็นยังไงน่าดูไหม ประเทศไทย ลองวาดภาพขึ้นดูซิ
ตั้งแต่เป็นเด็กมาพ่อแม่เลี้ยงดูอย่างที่ว่านี้ด้วยกันทุกคน พอโตขึ้นมาก็ไปหากินพวกยาเสพย์ติด เมาสุราต่างๆ ที่เป็นความทำลายคนทั้งประเทศให้ฉิบหาย ทีนี้เมืองไทยเอามากินทั้งประเทศ เลยหมาขี้เรื้อนไปเลย คุณค่าไม่มี เห็นไหม นี่ให้พิจารณา เพราะฉะนั้นสุรายาเมาท่านจึงตำหนิมาตั้งแต่กาลไหนๆ จอมปราชญ์พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ตำหนิสุรายาเมาทั้งนั้น แล้วพวกเราทำไมจึงไปส่งเสริมสิ่งที่เป็นฟืนเป็นไฟ ไม่สมควรกับเราเป็นลูกชาวพุทธเลย ให้พากันตัด ข้าวก็กินอิ่มแล้ว น้ำกินอิ่มแล้ว ขนมนมเนยอะไรก็กินอิ่มแล้ว มันยังจะหิวยาเสพย์ติดอีก ปล่อยให้มันตายไปเลย พ่อแม่เลี้ยงมาอายุยืนนานถึงขนาดเติบโตนี้ ไม่ได้เติบโตด้วยสิ่งเหล่านั้น เวลาโตขึ้นมาแล้วยังจะกระเสือกกระสนไปหายาเสพย์ติดกินเพื่อสังหารตนมีอย่างเหรอมนุษย์เรา.ให้แก้ไขตนเอง
มันจะอยากขนาดไหน หัวใจดวงเดียวนี้เท่านั้นพอ ตัดสินใจปุ๊บไม่ต้องยุ่ง เท่านั้นพอ มันอยู่ที่หัวใจนะ ถ้าใจอ่อนอ่อนไปเลยพังเลย ถ้าลงใจแข็งเสียอย่างเดียว คอขาดขาด หัวใจไม่ขาดจากความสัตย์ความจริงที่เด็ดเดี่ยว ตัดขาดจากสิ่งเลวร้ายทั้งหลายแล้วพ้นไปได้ นี่ละชาวพุทธเราควรจะมี ศีล ๕ ที่เป็นพื้นฐานตามหลักประเพณีของเราที่เป็นลูกชาวพุทธ ควรจะมี ไม่ได้มากก็ขอให้ได้เป็นหลักเป็นเกณฑ์ในข้อใดข้อหนึ่งในบรรดาศีลของเรา นี่ก็ยังดีนะ ให้พากันจำเอา
จากนั้นก็ระลึกถึงอรรถถึงธรรม ปฏิบัติตนเพื่อความเป็นคนดีเรื่อยไป แล้วก็จะกลายเป็นคนดีมีหลักมีเกณฑ์ หลักเกณฑ์ของเมืองไทยเราขอให้เป็นลูกชาวพุทธเป็นหลักเป็นเกณฑ์ มีเหตุมีผล การปฏิบัติตัวอย่าสุ่มสี่สุ่มห้า ให้มีอรรถมีธรรมเป็นเครื่องรับรอง แล้วจะดิบดีไปโดยลำดับนะ เอาเท่านั้นละ วันนี้พูดเท่านั้น ต่อไปนี้จะให้พร
ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาทุกวัน ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th