เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๖
ภาษาพระ หัวใจพระ
คุณชายปั๋มบอกว่าวันที่ ๑๗ มิถุนายน ซื้อทองคำจำนวน ๑๕ ล้านบาทซื้อได้ ๓๑ กิโลกรัม วันที่ ๑๙ มิถุนา ซื้อทองคำจำนวน ๒๑ ล้านบาท ซื้อได้ ๔๔ กิโลกรัม รวมซื้อทองคำทั้งสองรายการนี้ได้ทองคำ ๗๕ กิโลกรัม วันเราลงไปนี้ก็จะโอนเงินซื้ออีก ๑๕ ล้าน มันอาจจะอยู่ใน ๓๐-๓๑ กิโลนี้ เราไปจะซื้ออีก จะโอนอีก ๑๕ ล้านซื้ออีกทีหนึ่ง ก็เป็นอันว่าหมดเงินในบัญชีจำนวนใหญ่ ยังเหลืออีกบาทสองบาท ไว้นั้นละให้เป็นนกต่อเอาไว้ ส่วนใหญ่หมดละ
สรุปทองคำและดอลลาร์วันที่ ๑๙ มิถุนา เมื่อวานนี้ ทองคำได้ ๒๗ บาท ๑ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๒,๑๒๙ ดอลล์ ทองคำที่มอบเข้าคลังหลวงแล้วนี้ ๖,๐๘๔ กิโลกรัม ดอลลาร์ ๗,๖๐๐,๐๐๐ ดอลล์ ทองคำที่ได้หลังจากการมอบแล้วนั้นได้ ๑๐๕ กิโล ๕ บาท ๓๒ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๑๗๘,๖๐๗ ดอลล์ รวมทองคำที่ได้แล้วทั้งหมด ที่มอบแล้วและยังไม่ได้มอบ เป็นทองคำ ๖,๑๘๙ กิโลครึ่ง ดอลลาร์ทั้งหมดทั้งที่มอบแล้วและยังไม่ได้มอบเป็นจำนวน ๗,๗๗๘,๖๐๗ ดอลล์
(สถาบันราชภัฏมหาสารคาม นิมนต์รับผ้าป่าช่วยชาติวันที่ ๓ สิงหาคม ๔๖ ณ สถาบันราชภัฏมหาสารคาม เวลาบ่ายสองโมงถึงห้าโมงเย็น) อันนี้ไม่ได้ค้างไม่เป็นไร ฉันเสร็จแล้วไปเทศน์ ตอนเย็นกลับมา วันพรุ่งนี้ก็จะได้ออกเดินทางไปกรุงเทพ วันที่ ๒๑ ไป วันที่ ๒๒ ก็ไปเทศน์ที่สะพานข้ามแม่น้ำแคว เมืองกาญจน์ ที่สงครามญี่ปุ่นหรืออะไรที่ทหารตาย นั่นละตรงนั้นจะตั้งงานที่นั่น เทศน์บำเพ็ญกุศล อุทิศส่วนกุศลผลบุญทั้งหลายให้ผู้ที่ตายไป ต่อจากนั้นก็ชนพรรษาถึงค่อยกลับมา ขึ้น ๑๔ ค่ำ คืองานมันติดๆ จนกระทั่งถึงเขตบังคับกันจะต้องกลับ ๑๕ ค่ำก็ประชุมเข้าพรรษา
เท่าที่เราสังเกตพิจารณาโดยลำดับมา ทั้งทำหน้าที่เพื่อโลกเพื่อสงสาร เพื่อชาติของเราเรื่อยมาในระยะหลังจากตั้งรัฐบาลใหม่ขึ้นมานี้ รู้สึกว่าสิ่งต่างๆ ฟื้นฟูขึ้นโดยลำดับๆ ในทางที่ดีๆ นี่ทางบ้านเมืองก็รู้สึกในหัวใจประชาชนยิ้มแย้มแจ่มใสทั่วหน้ากัน สำหรับผู้มีความรักชาติ ปรารถนาที่จะให้ชาติของตนซึ่งถ่อพายมาจากปู่ย่าตายายบรรพบุรุษ ได้มีความราบรื่นดีงามจีรังถาวรต่อไปนี้ รู้สึกว่าท่านเหล่านี้ทั้งหมดในชาติไทยของเราที่เป็นลูกหลานของท่านเหล่านี้ ยิ้มแย้มแจ่มใสทั่วหน้ากันในผลที่ได้มา ส่วนมากผลบวกๆ ที่ไม่เคยคาดเคยคิดก็เป็นขึ้นมาเรื่อยๆ เศรษฐกิจต่างๆ รู้สึกว่าดีขึ้นๆ นี้ทางบ้านเมือง
ทีนี้ทางศีลธรรม หลวงตาก็ได้เริ่มพร้อมกันมา ดูเริ่มก่อนรัฐบาลจะขึ้นด้วยซ้ำ นี่ก็ฟื้นฟูทางจิตใจและด้านวัตถุ เพื่อประชาชนชาวไทยและชาวพุทธทั้งหลาย ตั้งแต่แคบๆ ถึงกว้างขวางมากมาย เรียกว่าทั่วโลก โดยทางอินเตอร์เน็ต อย่างพูดอยู่เวลานี้ทั่วโลกได้เห็นกันนะ ได้เห็นกันทั่วโลกในขณะเดียวกันนี้ อันนี้หลวงตาก็เพียงจับได้ว่า ธรรมะนี้รู้สึกว่าประชาชนทางเมืองนอกเมืองนาตื่นเต้นกันมากอยู่จากอินเตอร์เน็ต จำนวนคนที่เข้ามาเกี่ยวข้องมากน้อยในอินเตอร์เน็ตนั้นเพิ่มขึ้นโดยลำดับ ก็คิดว่าจะเป็นประโยชน์ทางด้านจิตใจไม่น้อยเลย แล้วทางเมืองไทยของเราก็กอดคัมภีร์อยู่แล้ว ผู้จะฟื้นฟูคัมภีร์มาปฏิบัติดัดแปลงกายวาจาใจของตนให้เป็นลูกชาวพุทธที่ดี มีความสงบร่มเย็น ก็ควรจะได้รับประโยชน์มาโดยลำดับ
และมาระยะนี้เราก็ได้ออกสอนธรรมแก่พี่น้องทั้งหลายเป็นเวลา มันจะร่วม ๖ ปีแล้วแหละ ๕ ปีกว่าแล้ว การเทศนาว่าการคราวนี้ เราก็พูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังอย่างชัดเจน การเรียนเราก็เรียนเหมือนกัน ดังที่ท่านทั้งหลายทราบมาแล้ว ทีนี้การปฏิบัติเราออกปฏิบัติ ผลก็สืบทอดมาจากการเรียนที่เราได้แบบแปลนแผนผังมาแล้วออกมากาง ปลูกบ้านสร้างเรือน ปลูกจิตปลูกใจปลูกข้อปฏิบัติ กำจัดสิ่งเลวร้ายทั้งหลายที่อยู่ในจิตใจของเรานี้ออกเป็นลำดับลำดามาด้วยข้อปฏิบัติของเรา ผลก็ปรากฏมาตั้งแต่เริ่มต้นเลยเรื่อยๆ มา จนกระทั่งได้ประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบ ว่าได้ผลเป็นที่พอใจหาที่ตำหนิไม่ได้แล้ว เจ้าของจะไปคิดตำหนิในแง่ใดในธรรมที่ได้มา ตามทางของศาสดาที่สอนไว้แล้วนั้น ไม่มี
เราได้นำธรรมอันนี้ออกแสดงแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลายว่า แสดงด้วยความมั่นใจแน่ใจทุกอย่างไม่ว่าธรรมขั้นใด ที่แสดงแก่โลกคราวนี้ เราถอดออกมาจากจิตใจด้วยภาคปฏิบัติของเราจริงๆ หยิบออกมาจากหัวใจจริงๆ ไม่ไปคว้าเอาตำรา อันนั้นเป็นแปลน ปลูกบ้านแล้วก็อยู่บ้านซิใช่ไหมล่ะ จะไปนั่งทับตำรับตำราอยู่ยังไง ตำรับตำราท่านสอนไว้ในพระไตรปิฎก ดึงเข้ามาในหัวใจ ให้ปลูกมรรคปลูกผลขึ้นมาที่หัวใจ เมื่อได้มากน้อยก็เอาอันนี้ออกแสดง บ้านเรือนนี้สวยงามอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่จำเป็นต้องไปดูแปลน เพราะแปลนบอกเรียบร้อยไว้แล้ว บ้านเป็นยังไง สวยงามขนาดไหน น่าอยู่มากน้อยเพียงไร
อันนี้มรรคผลที่เราได้มานี้มากน้อยเพียงไร เราก็บอกว่าเราได้เต็มเปี่ยม บอกตรงๆ ให้พี่น้องทั้งหลายทราบ บอกว่าเราไม่มีที่ตำหนิ จนกระทั่งถึงได้บอกว่า ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา เราจะไม่กลับมาเกิดอีก ซึ่งเราเกิดตายกองกันมานี้ตั้งกัปตั้งกัลป์ จิตใจเวลามันจ้านี้มันมองทะลุไปหมดเลย เรื่องราวเป็นยังไงมันรู้ของมันหมด เป็นแต่เพียงว่าจะนำมาพูดได้เพียงนิดๆ ที่ควรพูดบ้างเล็กน้อย นอกจากนั้นมันก็เป็นอยู่ในนั้น เวลามันรู้มันรู้ไปหมด กระจายจนกระทั่ง สาธุ ว่าอย่างนี้เลย เรื่องพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้มานี้เป็นยังไง มันสาวกันยาวเหยียดไปเลยทีเดียว เราถึงได้หมอบกราบพระพุทธเจ้า ไม่เห็นองค์ศาสดาก็ตาม มันจ้าอยู่ในหัวใจ
เหมือนอย่างเราไปดูน้ำมหาสมุทร ก็มันจ้าอยู่แล้วจะไปถามใครน้ำมหาสมุทร อันนี้จิตใจมหาวิมุตติมหานิพพาน ธรรมธาตุ จ้าอยู่นี้แล้วก็แบบเดียวกัน แล้วไปถามพระพุทธเจ้าองค์ไหนอีก มันก็อันเดียวกันนี่ คือจ่อลงไปนี้ปั๊บกระเทือนถึงกันหมด แล้วไปถามกันหาอะไร นี่ได้รู้ได้เห็นอย่างนี้ที่นำมาสอนพี่น้องทั้งหลาย ในธรรมทุกขั้นเราจึงไม่มีสงสัย บาปบุญ นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน เปรตผีประเภทต่างๆ ทั่วแดนโลกธาตุ มีมากน้อยเพียงไรเราไม่สงสัยเลย เป็นไปตามที่ศาสดาสอนแล้วทุกอนุกระเบียด ไม่มีผิดพลาดไปเลย เราทั้งหลายที่เป็นชาวพุทธจะฟังเสียงศาสดาหรือจะฟังเสียงกิเลส มันกระซิบกระซาบอยู่ในหัวใจของทุกคนๆ นี้ให้พาจม
มันหลอกว่าจะพาไปนู่นน่ะ คือพระพุทธเจ้าสอนถึงนิพพาน กิเลสมันจะหลอกเราสอนเราให้เลยนิพพานไป เราจะไปกับกิเลสหรือกับอะไร เลยนิพพานก็ลงนรกน่ะซี นี่ที่มันจะลง กิเลสมันหลอกให้ไปเลยสวรรค์ ไปเลยนิพพาน เลยนิพพานก็ลงนรก นั่นเป็นอย่างนั้น ให้พากันจำดีๆ นะ ศาสดาเอกไม่มีแล้วในโลกนี้ โลกทั้งสามเราพิจารณาเต็มหัวใจแล้ว พูดมาอย่างอาจหาญชาญชัย มันจ้าอยู่ที่หัวใจ จึงไม่ได้สงสัยพระพุทธเจ้าทุกพระองค์มีจำนวนมากน้อยเพียงไร อย่ามาพูดน้ำมหาสมุทรที่ว่ากว้างแสนกว้าง ธรรมธาตุนี้ครอบโลกธาตุเลย จะเอามาเทียบกันได้ยังไง อันนี้มันเท่ากำปั้นน้ำมหาสมุทร ธรรมธาตุของศาสดาแต่ละองค์ๆ ที่ตรัสรู้มานี้จ้าไปหมดครอบโลกธาตุแล้ว เวลาจ่อปั๊บมันกระเทือนถึงกันหมดเลย
จิตเวลาได้รู้มันรู้อย่างนั้นนะ เวลามืดมันก็มืด ต้นไม้มีอะไรมีมันก็ไม่สนใจ ชนเลยๆ เวลามันมืดนะ ขวากหนามมันไม่กลัวเวลามันมืด มันเหยียบดะไปเลย ตกเหวตกบ่อจมลงนรกอเวจีไปได้ทั้งนั้น ความมืดบอดพาสัตว์โลกให้ไป แต่ความสว่างกระจ่างแจ้งภายในใจนี้หลบหลีกปลีกตัวจนพ้นภัยไปเลย นี่ธรรมะที่นำมาสอนพี่น้องทั้งหลายคราวนี้ เรียกว่าเราสอนอย่างเต็มหัวใจของเราตามแต่ผู้ที่จะมารับ จะรับได้หนักเบามากน้อยเพียงไร ธรรมะนี้จะออกเองๆ ก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอ หรือว่าคุยเหรอ ควรจะออกหนักเบามากน้อยเพียงไร ทางนู้นถามมา หรือจะมองดูด้วยวิธีใดก็ตาม สมควรที่จะออกรับกันมากน้อยเพียงไร มันจะออกเองๆ สมควรที่จะทุ่มหมดไม่ต้องบอก ผึงทีเดียว ออกเลย ถ้าไม่ควรจะออก ดึงก็ไม่ออก ธรรมะความรู้จักประมาณไม่มีอะไรเกินธรรม
นี่ก็ได้สอนโลกมาที่เปิดเผยอย่างเต็มที่นี้ก็ได้ ๕ ปีกว่าแล้ว ใครจะยึดก็ให้ยึดนะ นี่บอกชัดๆ ด้วยว่าพูดสอนท่านทั้งหลาย ไม่มีทางสงสัยอะไรเลย ถอดจากหัวใจมาสอน เจ้าของก็ดำเนินมาอย่างนี้ รู้อย่างนี้ เห็นอย่างนี้ ประจักษ์ใจแน่ใจทุกสิ่งทุกอย่างในตัวเองแล้วนำมาสั่งสอนโลกด้วยความแน่ใจเช่นเดียวกัน ใครจะยึดให้พากันยึด
แล้วการเทศนาว่าการนี้ เราเรียนมาตามตำรับตำรา ก็เป็นแปลนมาโดยลำดับ ทีนี้ยกตึกรามบ้านช่องที่เราปฏิบัติมา ได้ผลขึ้นมาเป็นมรรคเป็นผล นี้ออกแสดงแก่พี่น้องทั้งหลาย ออกจากปริยัติมาเป็นภาคปฏิบัติก็เป็นภาคปฏิเวธ นำปฏิเวธออกแสดงแก่พี่น้องทั้งหลายให้ได้เข้าอกเข้าใจในธรรมทั้งหลายของพระพุทธเจ้า ว่าไม่ผิดหวังเราเกิดมาในชาตินี้มีวาสนาเต็มตัวแล้วนะ ถึงได้มาพบพระพุทธศาสนา ใครอย่านอนหลับทับอรรถทับธรรม เหยียบหัวพระพุทธเจ้าอยู่เฉย ๆ ไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย ตายแล้วผู้รับเคราะห์รับกรรมก็คือเรา พระพุทธเจ้าไม่รับ พอทุกอย่างแล้วคือศาสดาองค์เอก
นี่เราได้สอนโลกเต็มเม็ดเต็มหน่วย สอนคราวนี้พอหยุดนี้แล้วก็จะเลิก เป็นอันว่าเลิก ๆ ล้มทั้งหงายไปเลยไม่เอาละ เวลานี้ธาตุขันธ์มันก็อ่อนเต็มที่แล้ว ยังเหลือแต่จิตใจซึ่งไม่มีวัย อุตส่าห์พยายามสั่งสอนพี่น้องทั้งหลาย สิ่งที่ควรรู้อยู่ในวิสัยของมนุษย์เราก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ควรจะขวนขวายให้รู้ให้เห็นได้มากน้อยตามสติกำลังความสามารถของเรา ดีกว่าจะนอนจมกับกิเลส เพราะมันพาจมลงในนรกตลอดมาเป็นไหน ๆ นะ ขอให้พากันคิดกันอ่าน
เทศน์สอนพี่น้องทั้งหลายนี้เทศน์จริง ๆ หลวงตาไม่เคยหวังอะไรแม้เม็ดหินเม็ดทรายจากโลกามิสของโลกนี้ ไม่มี เห็นหน้าไหนก็ไหนทองคำ ไหนดอลลาร์ ไหนเงินสด ถามมาเพื่อชาติบ้านเมืองเพื่อโลกเพื่อสงสาร เราไม่ได้ถามมาเพื่อเรา เราพอทุกอย่าง ไม่มีอะไรแล้วในโลกอันนี้ พออันนี้ไม่ได้พอธรรมดา พออย่างเลิศเลอ พอนอกสมมุติอีกด้วย สอนพี่น้องทั้งหลายเต็มเม็ดเต็มหน่วย ถ้าจะปฏิบัติก็ให้พากันปฏิบัติ การสอนเหล่านี้เรียกว่า เราไม่มีอะไรสงสัยแล้วในการสอนทุกด้านทุกด้านทุกทาง จึงเรียกว่า การทำประโยชน์คราวนี้เป็นคู่เคียงกันกับทางบ้านเมือง ก็ควรจะมาเทียบเคียงกันได้ ทางศาสนาก็ฟื้นจิตใจ ทางบ้านเมืองก็ฟื้นวัตถุ เรียกว่า เศรษฐกิจของบ้านเมือง ทางด้านจิตใจก็เศรษฐกิจของใจ ใจมีแต่ยาพิษมันมาเผาหัวใจ ทีนี้เอาอรรถเอาธรรมเข้าเป็นเศรษฐกิจภายในเข้าใจไหม ให้รื้อฟื้นจิตใจของตนให้มีความสง่างามด้วยอรรถด้วยธรรม
เรื่องกิเลสนี้เราจะทำอะไรก็ตาม ให้เข้าใจทันที เพราะมันอยู่กับใจมันคอยจะปิดกั้นประตูทางเดินเพื่อบุญเพื่อกุศล เพื่อมรรคผลนิพพานมันจะกั้นทันที ๆ ให้จำอันนี้ให้ดี อะไรมันจะมีแต่ความขัดข้องยุ่งเหยิง ถ้าไปในทางดีมันจะออก ให้ดูหัวใจตัวเองนะ อย่าไปดูผู้ใดให้ดู พอเราจะคิดไปทางบุญทางกุศลมรรคผลนิพพานนี้มันจะสกัดปั๊บ ติดนั้นข้องนี้ยุ่งนั้นยุ่งนี้มันจะหาเรื่องมาทันที ไม่ต้องไปแต่งทนาย มันเป็นทนายของมันเสร็จ แล้วตัดสิน มันตัดสินทีไรเราหมอบราบเลย ไม่มีใครต่อสู้อุทธรณ์มันนะ อุทธรณ์ฟัดกับกิเลสอีกไม่มี มีแต่หมอบราบ ๆ มันเป็นอย่างนั้นนะ เพราะฉะนั้น ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาจึงไม่มี มีศาลต้นอันเดียวคอขาดแล้วมนุษย์ กิเลสตัดคอขาดไปหมด ยอมราบด้วยกัน ไม่ต้องไปขึ้นศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาอะไรละนะ นี่กิเลสมันเก่งนะ
นี่ได้ผ่านมาหมดแล้ว จึงได้พูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ผ่านมาจริง ๆ ถึงขนาด เอ้า ตายก็ตายเอาชีวิตเข้าแลกเลยในเวลาปฏิบัติ ตั้งแต่ขึ้นเวทีมา ดังที่ว่าพรรษา ๗ สอบเปรียญได้แล้วขึ้นเวทีเลย ตั้งแต่บัดนั้นจนกระทั่งพรรษา ๑๖ ล่วงไปแล้วถึง ๒๔๙๓ เป็นเวลา ๙ ปี ไม่ได้ลงเวที ไม่ได้ให้น้ำกัน นักมวยเขาก็ให้น้ำ อันนี้ซัดกันกับกิเลสไม่มีการให้น้ำ ยืนก็ซัด นั่งก็ซัด นอนก็ตี เว้นแต่หลับเท่านั้น ถ้าให้น้ำก็ให้น้ำเวลาหลับ นอกจากนั้นมีแต่การฟัดการต่อยกันตลอดเวลา เป็นเวลา ๙ ปี ถึงได้ม้วนเสื่อกิเลสลง แล้วธรรมชาตินี้จึงได้จ้าขึ้นมา ตั้งแต่บัดนั้นมา โลกธาตุนี้ไม่มองก็เห็นจะว่ายังไง เป็นยังไงเมื่อถึงเวลามันเปิดเผยแล้ว
แล้วก็แนะนำสั่งสอนพระเณรเป็นอันดับแรกอยู่ในป่าในเขา วิ่งซอกซอนเข้าไปหาในป่า เพราะเราไม่เคยยุ่งกับใครแต่ไหนแต่ไรมา เมื่อมีพระเณรมากเข้า ๆ ต่อมาก็เลยมาเอาโยมแม่บวช มันก็เลยพะรุงพะรังมาอย่างนี้ เราไม่เคยคาดคิด นิสัยวาสนาเรามันอาภัพ ไปที่ไหนไม่ค่อยจะอะไรแหละ มีตั้งแต่ความอยู่คนเดียวไปคนเดียวตามนิสัยวาสนาอาภัพ แต่ครั้นแล้วมันก็มาเป็นอย่างนี้ ฟังซิ อยู่ที่ไหนก็เต็มไปหมดๆ ไปที่ไหนก็ตามไปรถนี้ต้องเอาผ้ากั้นเอาไว้ข้างใน ม่านในรถกั้นผ้าไว้ไม่ให้ใครเห็น ถ้าเห็นมันรุม มองเห็นมันจำได้หมด เนื่องจากมันดูในโทรทัศน์เทวทัตแล้วมันจำเราได้ พอมองเห็นปั๊บจ้อเลยนะ จ้อเลย นี่ละมันก็เป็นถึงขนาดนี้เวลานี้
เราก็ภูมิใจที่เราสอนโลกทั้งหลายไม่ผิดพลาดจากคำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะได้ถอดออกมาจากจิตใจจริง ๆ สอนมรรคสอนผล สอนทุกสิ่งทุกอย่าง เราไม่มีอัดมีอั้นไม่ได้คุย นี่ละภาษาธรรม ต้องเอาความจริงมาพูด ภาษากิเลสนี่อ้อมแอ้มร้อยสันพันคม พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงหลอกกันตลอดมา อยู่ด้วยกันมากมายขนาดไหนหาความไว้วางใจกันไม่ได้ คืออยู่กับกิเลส เขาก็กิเลสเราก็กิเลส เขาก็หลอกเราก็ลวง เขาก็ต้มเราก็ตุ๋น เข้าใจไหม ต่างคนต่างหลอกต่างลวงกัน อยู่กันด้วยกลมายาทั้งนั้น ทางกิเลสอยู่ด้วยกันโลกกิเลสอยู่ด้วยกันเป็นอย่างนี้
เราดูซิบ้านเมืองทุกวันนี้ มันเป็นยังไง รบราฆ่าฟันกันแหลกเหลวไปหมด ไม่ว่าที่ใกล้ที่ไกลที่ไหน ๆ ถ้าเรื่องอรรถเรื่องธรรมแล้วจะไปรบกันหาอะไร ตั้งแต่สัตว์เขาก็รู้จักตายเขากลัวตาย ทำไมมนุษย์จะกล้าหาญต่อความตาย กล้าหาญต่อความทุกข์ ความลำบาก ความทรมาน เบียดเบียนกัน ไปกล้าหาญหาอะไร นี่ธรรมเป็นอย่างนั้นนะ แต่กิเลสมันให้กล้าหาญชาญชัยในสิ่งที่จะฉิบหายวายปวง อย่างกัดฉีกกันอยู่เวลานี้ ร้อยสันพันคมมีแต่หลอกล่อแล้วเหยียบย่ำทำลาย กลืนคนอื่น ๆ สัตว์ใหญ่กลืนสัตว์เล็ก ๆ โดยไม่มีอย่างอื่นอย่างใด พอจะมาเทียบเคียงให้เป็นเหตุเป็นผลซึ่งควรจะยอมรับกันได้เลย มีแต่แบบตื้น ๆ เขิน ๆ แบบหน้าด้านทั้งนั้น จะกินจะกลืนจะเอาให้ได้ นี่ละกิเลสอยู่ด้วยกันเป็นอย่างนี้ละ
แล้วผู้ที่ได้มาตามความสำคัญตนว่าอำนาจบาตรหลวงนั้น นั่นละ คือกองทุกข์ พวกนี้ทุกข์มากกว่าเขา ระเวียงระวังตลอดเวลารอบด้าน นี่มันเป็นความทุกข์ทั้งนั้น นี่กิเลสอยู่ด้วยกัน ถ้าธรรมอยู่ด้วยกันแม้จะไม่สิ้นกิเลส แต่มีธรรมเป็นเครื่องคัดค้านต้านทาน เราอยู่ด้วยกันไม่มีอะไรกัน มาจากชาติชั้นวรรณะใด ถามกันหาอะไร ก็คนด้วยกัน ชื่อว่าชาตินั้นชั้นนี้ วรรณะนั้นมันตั้งชื่อไว้เฉย ๆ ตัวธรรมชาติที่มองเห็นกันอยู่นี้คือคนหญิงชายก็รู้ แล้วพูดกันรู้เรื่อง สอนกันรู้เรื่องยอมรับกันแล้วอยู่ด้วยกัน ด้วยความสะดวกสบายไปหมด สงบร่มเย็นไม่มีอะไรที่เกินมนุษย์ที่มีธรรมในใจ จะเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งความสงบสุขร่มเย็นและเห็นอกเห็นใจกัน เฉลี่ยเผื่อแผ่มีความเมตตาสงสารกัน และโลกนี้ไม่ว่าส่วนไหนอยู่ด้วยกันเย็นหมด
แม้แต่หมาอยู่ในบ้านในเรือนเรา อยู่ในวัดเรามันก็เย็น หมาบางตัวไม่เคยถูกไม่เรียวเลยนะ มันทำไมไม่เคยถูก ก็ไม่มีใครตีมัน มันจะถูกอะไรใช่ไหม แน่ะ มันก็อยู่สบาย ๆ ไอ้คนก็รักสัตว์ สัตว์ก็รักเจ้าของ ไปที่ไหนหมาวิ่งตามเข้าใจไหม ไปไหนหมาวิ่งตาม คนขึ้นรถไปหมาวิ่งตาม สุดท้ายเจ้าของต้องจอดรถลงมาอุ้มมันขึ้นรถไป นี่ถ้ามีธรรมเป็นอย่างนั้นนะ สัตว์กับคนก็อยู่ด้วยกัน สัตว์ประเภทไหนอยู่ด้วยกันได้สบายทั้งนั้น
นี่ธรรม แล้วก็กำลังนำมาสอนโลกเวลานี้ หลวงตานี้แหละเป็นผู้สอน ภาษาของหลวงตานี้ไม่ค่อยจะเหมือนภาษาที่ท่านสอนเทศนาว่าการกันนักนะ มันต่างกันยังไง ขอให้ท่านทั้งหลายวินิจฉัย เราจะแยกออกมาแต่เพียงว่า ภาษาของธรรมกับภาษาของกิเลสต่างกัน ภาษาของธรรมจะพูดแบบตรงไปตรงมา ภาษาของกิเลสมันจะโจมตีว่า พูดดุด่าว่ากล่าว พูดกระแทกแดกดันพูดหยาบโลน นี่คือกิเลสนี้มันเป็นตัวกระแทกแดกดัน ตัวทำลายตัวหยาบโลนอยู่แล้ว มันไม่ให้ไปแตะมัน ให้เอาแต่ความนิ่มนวลอ่อนหวานเพราะกิเลสนี้ชอบยอมากที่สุด ไม่มีอะไรเกินกิเลสเรื่องการชอบยอ แม้แต่สัตว์มันก็ชอบยอ แต่ส่วนธรรมนั้นผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูกเพื่อจะได้แก้สิ่งที่ผิดให้เป็นถูกขึ้นมา ๆ จะพูดดุด่าว่ากล่าว ดุก็ดุเพื่อดีไม่ได้ดุเพื่อความฉิบหาย ว่าหยาบ พูดต่อสิ่งที่หยาบนำสิ่งที่หยาบมาชะมาล้างแก้ไข ตัวนั้นมันหยาบอยู่แล้ว ธรรมเป็นน้ำที่สะอาดชะล้างสิ่งที่สกปรกนั้น แล้วกิเลสมันก็หาเรื่องว่า ธรรมนี้พูดหยาบโลน ตัวมันหยาบโลนไม่ให้เข้าไปแตะต้องมัน ธรรมเป็นของสะอาดชะล้างเข้าไปสิ่งหยาบโลน มันก็หาว่าธรรมะนี้หยาบโลน
นี่ภาษากิเลสกับภาษาธรรม มันคอยตบคอยต่อยกันอยู่เสมอ จึงแยกออกว่าภาษากิเลสเป็นอย่างหนึ่ง ภาษาธรรมเป็นอย่างหนึ่ง ภาษาธรรมต้องพูดตรงไปตรงมาตามภาษาธรรม ภาษาพระ พระผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรม ทรงอรรถทรงธรรมก็ต้องพูดเป็นภาษาพระ ภาษาธรรมไป ถ้าพระเป็น อลัชชี หาความละอายบาปไม่ได้ มีแต่หัวโลน ๆ โกนผมโกนคิ้วเอาผ้าเหลืองหุ้มเจ้าของแล้วหลอกหากิน อย่างนั้นมันเป็นได้ทุกแบบพระแบบนี้นะ มันออกมาได้ทุกแบบ แบบไหนที่จะหลอกลวงต้มตุ๋นโลก มันออกมาได้ทั้งนั้น แต่ภาษาพระจริง ๆ ผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรมจะออกไม่ได้เลย ให้พากันเข้าใจเอานะ เดี๋ยวจะพูดว่าภาษาโลกภาษาฆราวาส พระก็มีกิเลสพูดแบบพระมีกิเลสก็ได้ หยาบโลนกว่าคนธรรมดาก็ยังมีเยอะ พระเรานะ จึงแยกแยะ นี่ก็เรียกว่าภาษาธรรม เป็นยังไงพูดตามหลักความจริงของภาษาธรรม ให้พากันเข้าใจเอานะ มันต่างกันอย่างนี้
สรุปความลงมาว่า เวลานี้กำลังสอนพี่น้องทั้งหลายด้วยถอดออกมาจากจิตใจจริง ๆ หาความสงสัยไม่ได้แล้ว เป็นภาษาก็จึงเรียกว่า แปลกต่างกว่าภาษาทั้งหลายอยู่บ้าง ถึงจะแปลกต่างก็เป็นภาษาของเราเอง ของเราก็ของธรรมเอง เราจึงไม่สะทกสะท้านว่าจะผิดไป เพราะเราพูดตามภาษาธรรม ธรรมกับหัวใจเราครองกันไว้แล้ว เมื่อพูดออกจากเราก็เป็นภาษาเรา เป็นภาษาธรรมไปด้วยกัน เราจึงไม่เคยสะทกสะท้าน ให้ท่านทั้งหลายจำเอา ให้พากันยึด ภาษาธรรมหรือหลวงตาที่แสดงนี้ไม่ค่อยจะเหมือนภาษา เหมือนใคร ๆ เทศน์นัก ให้ยึดเอาหลักความจริงก็แล้วกัน เทศน์แบบไหนก็ตาม ถูกหรือผิดให้จับจุดนั้น ๆ แล้วนำไปแก้ไขดัดแปลงตนเอง แล้วผลประโยชน์ก็จะได้
เพราะการที่พูดออกมาเหล่านี้ออกมาจากการปฏิบัติแล้ว ตรงไปตรงมาอย่างนี้ เราไม่ได้มีร้อยเล่ห์ร้อยเหลี่ยมร้อยสันพันคมเหมือนกิเลส ปฏิบัติแบบธรรม รู้ก็รู้แบบธรรม พูดจึงพูดแบบธรรมมาให้ท่านทั้งหลายได้ทราบ นี่เราสรุปความเลยว่า บ้านเมืองของเราเวลานี้ก็รู้สึกว่ามีความยิ้มแย้มแจ่มใสทั่วหน้ากัน บรรดาพี่น้องที่รักชาติไทยทั้งหลายมีความยิ้มแย้มแจ่มใส จิตใจส่งพุ่งไปหานายกท่าน เราเองซึ่งเป็นพระเราก็หาที่ตำหนิท่านไม่ได้ นี่ก็คือตาพระเข้าใจไหม ภาษาพระ หัวใจพระ ผิดถูกประการใดจะมองดูด้วยความเป็นพระ ๆ ๆ ตลอดไป ควรยกยอก็ยกยอสรรเสริญ นี่รู้สึกว่าท่านจะไม่มีเวล่ำเวลาเราเห็นใจท่านนะ
หนักมากนะ เป็นหัวหน้านี้หนักมากทีเดียว หลับครอก ๆ ครู่เดียวเท่านั้น จากนั้นมาก็หมุนเพื่อชาติบ้านเมือง ๆ ตลอดเวลาเลย แล้วผลประโยชน์เป็นยังไงบ้าง พี่น้องทั้งหลายเห็นไหม เวลานี้คลังหลวงของเราก็เต็มตื้นขึ้นมามากมาย จะใช้หนี้สินที่ไหน ๆ เอาเลย ๆ ท่านสั่งจ่ายไปเลยทีเดียว ติดหนี้ติดสินที่ไหน ๆ แต่ก่อนจนจะไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัวเมื่อ ๓-๔ ปีผ่านมานี้ จนกระทั่งเมืองไทยจะสลบเลยทีเดียว เห็นต่อหน้าต่อตากันไม่ใช่เหรอ หรือมาหลอกกันหลวงตาหลอกไหม นี่เป็นภาษาหลอกหรือเป็นภาษาธรรม เราก็เห็น
แม้ที่สุดในคลังหลวงก็จะไม่มีเงินสักบาทเดียวติดคลังหลวงเลย เวลานี้ก็ทะนุถนอมคลังหลวงของเราขึ้น ก็เต็มตื้นขึ้นมา ๆ ติดหนี้ติดสินที่ไหนใช้ไป ๆ อย่างรวดเร็วเพียง ๒ ปี เท่านั้นละ ตั้งแต่ท่านเป็นนายกมานี้ ใช้หนี้ใช้สินไปมากมายรอบประเทศเกือบจะหมดไป ๆ แล้วเวลานี้ รวดเร็วขนาดไหนพิจารณาซิ ใครตั้งแต่ตั้งนายกมานี้กี่สมัย เอามาพูดกันจัง ๆ อย่างนี้ซิ มีกี่สมัยเป็นยังไงบ้าง ก็ธรรมดา ๆ เราเรื่อย ๆ มา เราไม่พูดมากอันนี้นะ แต่ที่เด่นเวลานี้คือเด่นจากสิ่งที่จะล่มจมกลายเป็นความฟื้นฟูขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดในสายตาของประชาชน จนกระทั่งเมืองนอกเขา เขาพออกพอใจด้วยอุบายวิธีการวิ่งเต้นขวนขวายของนายกท่าน นี่ก็เป็นผลอันหนึ่งขึ้นมาให้เห็นชัดเจนแล้วในยุคปัจจุบันนี้ ที่ตั้งตนตั้งตัวขึ้นมาใหม่นะ
แล้วทางศาสนาเราก็ดีดดิ้นเต็มกำลังความสามารถของเรา เป็นอย่างที่เห็นนี่แหละ เวลานี้ธรรมก็ออกทั่วโลกแล้ว เอ้า ท่านผู้ใดจะยึดก็ยึดนะ สำหรับหลวงตาบัวนี้ไม่เอาอะไรบอกตรง ๆ เลย สอนโลกสงเคราะห์โลกด้วยความเมตตาสงสาร ใครจะเอาก็เอา ใครไม่เอาก็เป็นกรรมของสัตว์เท่านั้น เราไม่มีอะไรเราพอทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว สอนโลกด้วยความเมตตาโดยถ่ายเดียว จึงขอให้ยึดไปเป็นข้อปฏิบัติกำจัดความชั่วช้าลามกทั้งหลาย จะสมชื่อสมนามว่าเรามาเกิดเป็นมนุษย์นี้เรียกว่าเรามีวาสนาบารมี จึงได้มาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วขอให้ยึดหลักพุทธศาสนาซึ่งเป็นศาสนาที่ตายใจได้เลยทั่วโลกทั่วสงสาร ไปเข้าสู่จิตใจ นำไปแก้ไขดัดแปลงตนเองนะ วันนี้ก็คงจะพูดเพียงเท่านี้เห็นจะพอเหมาะพอดีกับเวล่ำเวลา เรียกว่าเวลานี้พวกเราทั้งหลายก็รู้สึกว่าได้ความภาคภูมิใจ ทางบ้านเมืองก็เป็นที่ภาคภูมิใจดังที่เห็นที่รู้ทั่วหน้ากัน ทางศาสนาใครจะภาคภูมิใจไม่ภาคภูมิใจ หลวงตาบัวพูดได้เลยว่า หลวงตาบัวสอนโลกนี้แทบสลบไสล ผลจะได้เท่าไรไม่ว่า แต่ว่าแทบสลบไสล เอาละพอ
(มีปัญหาครับ แต่กลัวจะเหนื่อย) เอ้า ปัญหาอะไรมากมาย วันนี้มันพอแล้วแหละ วันพรุ่งนี้ยังอยู่นี่ ( ไม่อยู่แล้วครับ เดินทางแล้วครับ) นี้มันมีกี่หน้าล่ะ มีมากไหม( ไม่มากครับ) เอ้าว่ามา ฟัง
(กราบนมัสการหลวงตาที่เคารพอย่างสูง เนื่องด้วยกระผมรู้สึกสงสัยวิธีการอานาปานสติที่กระผมกำลังทำอยู่ว่าเป็นไปถูกต้องหรือไม่ ซึ่งพอเกิดความสงสัยตัวนี้ขึ้นมาทีไร ความหยั่งในความละเอียดของสมาธิ ดูเหมือนถูกสกัดกั้นขอรับ วิธีเดียวที่กระผมทำได้เพื่อทำลายความสงสัยตัวนี้ก็คือ พยายามสังเกตสติที่จับอยู่ที่ปลายจมูกว่าเป็นจุด ๆ เดียวหรือไม่ พอทดลองจนแน่ใจแล้วก็ดำเนินวิธีนั้นต่อไปขอรับ ผลที่ได้รับก็คือลมหายใจจะเบาลง พร้อมกับความปีติ อิ่มเอิบใจที่เพิ่มขึ้นจนกระทั่งถึงจุด ๆ หนึ่ง รู้สึกความอิ่มเอิบมีมากจนบอกไม่ถูก บางครั้งรู้สึกเหมือนขนลุกด้วยขอรับ จากที่สังเกตผลที่กระทำมากระผมเข้าใจว่าทำถูกทางขอรับ แต่พอมาทำอีกความสงสัยก็เกิดขึ้นอีกแล้วก็เป็นอุปสรรคเหมือนเดิม กระผมจึงใคร่ขออนุญาตหลวงตาได้โปรดพิจารณาวิธี
หลวงตา มันสงสัยอะไร ว่ามาซิ สงสัยมันสงสัยอะไร
โยม ก็สงสัยวิธีอานาปานสติที่เขาอยู่นี่ครับ ว่าเป็นวิธีที่ถูกต้องหรือไม่ วิธีที่เขาทำอยู่คือเอาสติไว้ที่ปลายจมูก
หลวงตา เออ ถูกต้องแล้วอันนั่นน่ะถูกแล้ว
โยม ดักความรู้สึกของลมที่เข้าและออกขอรับ ในขณะเดียวกันก็รับรู้ในตัวด้วยว่า ลมที่เข้าสั้นแค่ไหนยาวแค่ไหน บางครั้งก็รับรู้ถึงปริมาณลมว่ามากแค่ไหนน้อยแค่ไหน บางครั้งก็จับภาพเป็นเหมือนแผ่นเยื่อบาง ๆ เข้าและออกตามลมหายใจขอรับ วิธีที่กล่าวมากระผมทำแล้วได้ผลขอรับ แต่จุดเดียวที่กระผมสงสัยคือ กระผมกลัวว่าตอนที่พิจารณาว่าลมสั้นแค่ไหน ยาวแค่ไหน หรือปริมาณลมเข้ามากแค่ไหน ออกมากแค่ไหน สติของกระผมจะไม่เป็นจุด ๆ เดียว เพราะว่ามันจะตามเข้าไปด้วย ซึ่งไม่เป็นไปตามได้อ่านมาขอรับ แต่กระนั้นวิธีที่กระผมได้ปฏิบัติ ได้ผลดังที่กระผมได้กราบเรียนไปแล้วขอรับ กราบนมัสการขอบพระคุณหลวงตาเป็นอย่างสูงขอรับ จากปั้ม
หลวงตา เออ อันนี้ถูกต้องแล้วนะ อย่าไปสงสัย สิ่งสงสัยคือกิเลส มันมากีดขวางทางสะดวกและทางถูกต้องของเราให้เขวไปตามมันเข้าใจไหมล่ะ ทางที่เราดำเนินมาแล้วถูกต้องแล้ว ลมหายใจละเอียดเท่าไรจะรู้ในตัวเอง ละเอียดจนกระทั่งหมดลมมันก็รู้เอง นี่ละการภาวนาพระพุทธเจ้าก็เจริญอานาปานสติ กำหนดลมหายใจเข้าออก ๆ ใครจะเจริญธรรมบทใดก็ตาม ตามแต่จริตนิสัยได้ด้วยกันทั้งนั้น แล้วผลสุดท้ายที่ได้ก็คือความสงบ ความสว่างไสวของจิตจะเกิดขึ้นด้วยกัน เช่น อย่างคนนี้ทำนา คนนี้ทำสวน คนนี้ค้าขาย ประเภทต่าง ๆ ตามแต่หน้าที่ที่ถนัดตัวเองไปทำ ผลรายได้คือตัวเงินสำเร็จการครองชีพด้วยกันเข้าใจไหม อันนี้ก็เหมือนกัน ผลรายได้คือความสงบเย็น เอาเท่านั้นละ มีอะไรอีก
โยม อันนี้เกี่ยวกับเรื่องศีลนะครับ เอาสั้น ๆ เลย เอาเนื้อหา เขาบอกว่าเขานี่มีข้อหนึ่งเกี่ยวกับศีลนี่ที่เขาได้บกพร่องไป ทีนี้ก็กราบเรียนถามว่า โปรดให้ความกระจ่างเรื่องศีลไม่บริสุทธิ์ คือว่าผู้ที่มีศีลไม่บริสุทธิ์นั้นสามารถปฏิบัติสมาธิให้เกิดผลได้หรือไม่อย่างไร และเริ่มต้นด้วยวิธีใดขอรับ ลงชื่อ ชีโร่
หลวงตา ถ้าศีลไม่บริสุทธิ์แล้ว ยังจะทำสมาธิไม่ได้ ต้องแก้จิตใจใหม่ อย่าไปทำลายศีลทำลายตนจากการจำศีลก็แล้วกัน เอ้า ให้ทำสมาธิต่อไปมันก็ดีต่อไป เพราะคนเราไม่บริสุทธิ์มาแต่วันเกิด ต้องเป็นลุ่ม ๆ ดอน ๆ ผิด ๆ ถูก ๆ เวลารู้สึกตัวเราแก้ไขตัวทางที่ถูกก็ไปได้เลย อันนี้เรื่องการทำลายศีลก็เป็นอันหนึ่งที่เราทำความไม่ดี ทีนี้เวลาเราจะบำเพ็ญความดีก็ปัดออกการทำลายศีล มีแต่การรักษาบำรุงศีลให้ดีขึ้น แล้วศีลก็เป็นขึ้นในตัวของเราก็ผ่านไปได้สบายเข้าใจไหมล่ะ เป็นความดี เอาละ
ชมการถ่ายทอดสด ธรรมะหลวงตาวันต่อวัน ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th |