เวลานี้ใจเรามันเป็นบ๋อยของกิเลส
วันที่ 19 มิถุนายน 2546 เวลา 8:00 น. ความยาว 42.52 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)   วิดีโอแบบ(Win High Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๖

เวลานี้ใจเรามันเป็นบ๋อยของกิเลส

 

         แต่ก่อนวัณโรคโลกกลัวมากทีเดียว พอว่าเป็นวัณโรคนี้ โอ๋ย หมดกำลังใจเลย คือไม่มีทางหายถ้าว่าเป็นวัณโรค เพราะยายังไม่มี ยาแก้ไม่ตก ทีนี้ก็มาถึงขั้นตอนที่หลวงปู่มั่นท่านเป็นวัณโรคด้วย เวลาท่านป่วยหนักวัณโรคก็ขึ้นพร้อมๆ กัน ไอ เสลดเสมหะ วัณโรค ถ้าธรรมดาไม่มีใครเข้าไปใกล้เลย พิจารณาซิ มันน่าอัศจรรย์เหมือนกันนะ คือท่านเป็นวัณโรค หมอเขามาตรวจเรียบร้อยแล้วว่าเป็นวัณโรค แล้วเวลานี้เริ่มรุนแรงเข้าด้วยกันกับวัยกับโรคของท่านนะ หนักเข้า ทีนี้เวลากลางคืนวันไหนที่อากาศหนาวมาก เดือนพฤศจิกา หน้าหนาวเริ่มแล้ว ถ้าวันไหนหนาวมากวันนั้นไม่ได้นอนทั้งคืน ไอตลอด ต้องได้หาสำลีใส่กาละมังพูนเลย เอาจากนั้นห่อนี้กว้านๆ ไม่งั้นไม่ออก ต้องได้ช่วย มันเหนียวขนาดนั้น

            ทีนี้ก็มาสรุปความลงว่า คือเรานี้แลที่คลอเคลียอยู่กับท่านตลอดเวลาทั้งๆ ที่วัณโรคของท่านรุนแรงมาก เราเป็นคนกว้านเองๆ ตลอด ไม่เคยสนใจกับเรื่องวัณโรคนะแรกอะไรนะ จิตมันอยู่กับท่านอย่างเดียวเท่านั้น โลกเขากลัวกัน ถ้าใครได้เป็นวัณโรคแล้วบอกว่าหวังตายไปเลย ความหมาย แต่เรามันไม่มี ไม่มีเลยจริงๆ นะ เพราะอำนาจแห่งธรรมของท่าน อำนาจแห่งความรัก ความเคารพเทิดทูนสุดหัวใจ เกินกว่าที่โรคเหล่านี้จะมาผ่านได้ ว่างั้น ทีนี้เวลาท่านล่วงไปแล้วเราก็ไม่เห็นมีอะไร ใครๆ ก็มาพูด แหมเป็นเรื่องอัศจรรย์เหลือเกิน คือเขามาพูดเรื่องของเราว่าอัศจรรย์เหลือเกิน ลงขนาดอย่างเรากับท่านที่คลอเคลียกันอยู่นี้ ร้อยทั้งร้อย เขาบอก ไม่มีเหลือเลย

         เพราะเสมหะกับเรามันก็พันกันอยู่ แล้วเสมหะกับเชื้ออันนั้นใช่ไหมล่ะ พันกันอยู่ เขาบอกว่าร้อยทั้งร้อย ใครๆ ก็อัศจรรย์ทั้งนั้นๆ  คือเราไม่มีอะไรเลย มันแปลกอยู่นะ เรารักษาท่านเอาจริงเอาจังมากนะ การรักษาท่าน เวลาท่านหนัก เฉพาะที่ออกมาอยู่บ้านภู่ เป็นเวลาที่ท่านหนักมากขึ้นทุกทีๆ นั่นละเป็นระยะที่เราจะห่างท่านไม่ได้เลย เฉพาะกลางคืน คือกลางคืนมันหนาว นั่นละจะไอกลางคืนตอนหนาวๆ กลางวี่กลางวันก็ไม่เป็นไร มีพระมีอะไรที่ พูดง่ายๆ ว่าที่มีความเฉลียวฉลาด ไม่ให้ท่านหนักใจในเวลาอุปถัมภ์อุปัฏฐากดูแลท่านให้อยู่ แล้วนอกนั้นก็อยู่ห่างๆ ผู้ที่อยู่ใกล้กับท่านบ้าง กลางวันไม่ค่อยมีอะไรแหละ ก็ให้อยู่อย่างนั้น

         แต่พอตกกลางคืนมาเริ่มหนาว ทีนี้ไอแล้วนะ ต้องเอาสำลีมาตั้งเอาไว้ในมุ้ง ในมุ้งมีแต่ท่านกับเราอยู่ด้วยกัน พระทั้งหลายนั่งล้อมรอบอยู่ข้างนอก มีแต่เรากับท่านอยู่ด้วยกันๆ ตลอดนะ ถ้าวันไหนท่านไม่ได้นอนเพราะไอกำเริบมาก เราก็ไม่นอน บางคืนตลอดรุ่งก็มี ต้องเอา(สำลี) ออกจากนี้พัน กวาดๆ จนสำลีจะหมด ท่านไม่มีอะไร เฉยเลย เป็นอยู่งั้นแหละ ท่านไม่เคยพูดเรื่องอะไรต่ออะไร ถ้าวันไหนกำเริบมาก ท่านไม่ได้นอนก็มีเป็นบางคืน เราก็ไม่ได้นอน อยู่อย่างนั้นเป็นประจำๆ เรื่องโรคท่านกับเรานี้เอากันอยู่อย่างนั้นตลอดๆ คลอเคลียกับท่านอยู่ตลอด เอ๊ ไม่เห็นมีอะไรนะ

คือโรคอันนี้ตอนนั้นไม่มียา แก้ไม่ตก พอเป็นเข้าใครก็หมดหวัง เหมือนเขากลัวมะเร็งทุกวันนี้ พอว่าเป็นมะเร็งแล้วหมดหวัง นั่นครั้งนั้นวัณโรคหมดหวัง เดี๋ยวนี้ยาแก้ตกแล้วนะ มันก็มาอยู่ที่มะเร็ง นี่พูดถึงเรื่องหลวงปู่มั่น โรคอันนี้ที่เราคลอเคลียกับท่าน ใครก็พูดเป็นเสียงเดียวกัน ร้อยทั้งร้อยเลย ผ่านไปไม่ได้เลยลงขนาดนี้ แต่เราก็ผ่านมาเพราะอำนาจแห่งธรรมนั่นเอง เจตนาของเรานี้มันล้นพ้นไป ไม่มีอะไรมาผ่านได้เลย จิตอยู่กับท่านอย่างเดียว เพราะฉะนั้นคำว่าวัณโรคจึงไม่เคยไปสนใจนะ หายไปเลย

เรื่องหลวงปู่มั่นนี้ โอ้โห จอมปราชญ์ในสมัยปัจจุบัน ใครที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับท่าน คือเรานี้เป็นคนที่คอย ใครที่จะเข้าใกล้ชิดกับท่านเรื่องอะไร ข้อวัตรปฏิบัติ เราเป็นคนสั่งคนจัดให้ๆ องค์นี้ทำนั้น องค์นั้นทำนั้น คือไม่ให้ไปทำกับท่านสุ่มสี่สุ่มห้า เพราะนั้นคือจอมปราชญ์ฉลาดแหลมคม แล้วพวกเรามันจอมโง่ เข้าไปจะไปขวางหูขวางตาให้ท่านรำคาญ จึงต้องได้คัดได้เลือกก่อนที่ใครจะไปทำหน้าที่เกี่ยวกับท่าน เราต้องจัดให้ๆ ๆ อย่างนั้น

         ทีนี้เวลาท่านป่วยหนักนี้เลยไม่จัดให้ใครเลย ตกลงเราเป็นผู้เอาเขียงรองเลยเชียว เป็นก็เป็น ตายก็ตาย มอบถวายหมดแล้วด้วยความเคารพเทิดทูนบูชา รักสุดยอด ด้วยเหตุนี้เวลาท่านหนักเข้าอย่างนี้ เราจึงอยู่ในมุ้ง ๆ ตลอดเลย ไม่ให้ใครไปเกี่ยวข้อง ที่ใกล้ชิดติดพันกับท่านเราคนเดียวเท่านั้น เช่น ถ่ายหนัก ถ่ายเบา นี้จะไม่ให้ใครเข้าไปยุ่งเลย เราจะทำงานคนเดียว จนกระทั่งเสร็จแล้วถึงจะยื่นออกมา พระล้อมรอบอยู่แล้วนอกมุ้ง ล้อมอยู่ อยู่ข้างในกับเรากับท่านเท่านั้น พอยื่นออกมานี้ก็ปั๊บๆ รับไป แต่ส่วนกับองค์ท่านจริง ๆ แล้วไม่ให้ใครเข้าไปยุ่ง การถ่ายหนักถ่ายเบานี่สำคัญ เราจะทำหน้าที่คนเดียวทั้งหมดเลย ไม่ให้ใครไปยุ่ง แต่พระก็ไม่มีองค์ใดที่จะไปทะลึ่งนะ      ถ้าเราไม่ให้โอกาสเข้ามา พระท่านก็ไม่ได้ติดใจกับเรา ที่ว่าให้โอกาสหรือไม่ให้โอกาสใช่ไหม พระท่านก็ต้องเห็นความจำเป็นระหว่างท่านกับเรา กับพระทั้งหลาย

         คือว่าจะโง่จะฉลาด ขอให้เราเป็นผู้ทำเอง โง่เอง ฉลาดเอง ให้เห็นต่อหน้าต่อตา ของเราให้เราเป็นคนทำเอง อย่าให้คนอื่นมาทำ องค์นั้นทำอย่างงั้น องค์นี้ทำอย่างงี้ เราไม่สนิทใจ โง่ฉลาดขอให้เรามอบถวายเลย ท่านตำหนิติเตียนอะไรให้ได้ตำหนิเรา  ว่างั้นพูดง่าย ๆ เรียกว่าทุ่มลงหมดเรื่องสติปัญญา มีความรู้ความฉลาดแค่ไหนที่จะปฏิบัติบูชาท่านมอบลงหมดเลย เพราะฉะนั้นเราจึงมอบเข้าเลยคนเดียว คือเราคิดเฉย ๆ ที่อยู่กับท่านก็หลายวันต่อหลายวัน ถ้าท่านหนักเราก็หนัก ท่านเบาเราก็เบา พูดง่ายๆ ท่านได้นอนเราก็ได้นอน ท่านไม่ได้นอนเราก็ไม่ได้นอน นี่เราก็คิด แต่มันคิดธรรมดาเฉย ๆ

         อันนี้มันก็มีแง่หลายแง่ ท่านไม่ได้ว่านะว่า นี่ท่านมหาก็มาปฏิบัติดูแลอยู่นี้ไม่มีเวล่ำเวลา นาน เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ควรจะเปลี่ยนพระมาทำแทนบ้าง อย่างนี้นะ ให้ไปหาพักผ่อนพอประมาณ ให้องค์อื่นมาแทน อย่างนี้ท่านก็ไม่เคยบอก เราก็ไม่เคยสนใจจะให้ใครมาเปลี่ยนเรา มันก็เข้าถึงกันอย่างนี้ละว่างั้น ท่านก็ไม่เคยพูด จนกระทั่งท่านมรณภาพจากไป ท่านไม่ได้เคยพูดอย่างนี้เลย เราก็ไม่เคยสนใจที่จะให้ใครมาเปลี่ยนตัว เป็นก็เป็น ตายก็ตายไปด้วยกันเลย นี่ละท่านสำคัญอย่างนี้ละ ประการหนึ่งเราก็พูดตามความรู้สึกของเรา คือเช่นอย่างใครมาเกี่ยวข้องกับเรา องค์ใดมีความฉลาด มีความโง่ขนาดไหน มันจะบอก แล้วมันจะขวางหูขวางตามากน้อยอยู่งั้น ใช่ไหมล่ะ ถ้าราบรื่นมันก็ไม่ขวาง

         อันนี้เวลาเข้าไปเกี่ยวข้องกับท่าน มันต้องคัดต้องเลือก ผู้ที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับท่าน ทีนี้เราก็เลยไม่ได้พูดว่าคัดเลือกหรือไม่คัดเลือก เรามอบถวาย เอาตายบูชาเลย ว่าอย่างงั้นแหละ เราไม่สนใจว่าจะเอาใครมาเปลี่ยนไม่เปลี่ยน นี่อันหนึ่ง ท่านก็ไม่เคยบอกนะ อีกประการหนึ่งเวลาท่านหลับงีบไปบ้างกลางคืน นี่หมายถึงกลางคืน พอท่านลืมตาขึ้นมา “ท่านมหาไปไหน” คำนี้จะขึ้นก่อนเลย “ท่านมหาไปไหน” ทีนี้คำว่า “ท่านมหาไปไหน” นี้เราได้สั่งเสียพระไว้เรียบร้อยแล้ว คือวัดบ้านภู่แต่ก่อนมันเป็นดงทั้งหมด เราทำทางจงกรมไว้ข้าง ๆ จะผ่อนคลายเวลาว่างจากท่านแล้ว จะเข้าไปเดินจงกรมในนั้น แล้วก็สั่งเสียพระไว้ว่า “นี่ถ้าท่านตื่นแล้ว ท่านถามถึงให้ไปตามผม ผมเดินจงกรมอยู่ทางนั้น”

        ธรรมดาทางจงกรมเราเราบอกใครที่ไหนเมื่อไร แต่นี้บอกไว้เลย ถ้าท่านตื่นท่านถามถึง ว่าท่านมหาไปไหน ให้ไปตามผมนะ ผมเดินจงกรมอยู่ตรงนั้น ทีนี้พอลืมตาขึ้นมาแล้ว “ท่านมหาไปไหน” นี่ละสำคัญอันนี้นะ การพูดเหล่านี้เราไม่ได้ยกยอตัวนะ เราพูดถึงเรื่องท่านคงจะเบาใจ และท่านก็ไม่เคยได้ตำหนิเราอะไร ๆ เลยว่า ท่านมหาทำไมทำอย่างงั้น ทำไมทำอย่างงี้ หรือทำไม่ถูกอย่างงี้ ที่เกี่ยวกับท่านนี้ไม่เคยมี นี่ละเรื่องจอมปราชญ์สมัยปัจจุบัน โถ ใครจะไปฉลาดแหลมคมเกินท่าน เพราะข้างในก็จ้า แล้วกระจายออกมานี้มีแต่ความรอบคอบขอบชิดหมดเลย ทีนี้ใครจะหลับหูหลับตาให้ท่านที่จ้าอยู่นั้นได้ดู หรือทิ่มลูกตาท่านแตกได้ใช่ไหมล่ะ กับความโง่ของเรา กับความจอมปราชญ์ของท่าน นี่ซีมันได้คิดมากนะ เกี่ยวกับท่านแล้วต้องได้คัดได้เลือกพระเณร

เวลาจนตรอกจนมุมจวนเข้ามา เรามอบเลยเราคนเดียว นี่เราไม่ได้พูดทวงบุญทวงคุณหรืออาจเอื้อมประการใดนะ เราพูดด้วยความเทิดทูน คือเวลาถ่ายเบาก็ดี ถ่ายหนักก็ดี เราจะจัดการคนเดียวไม่ให้ใครเข้าไปเห็นเลย ยื่นกระป๋องเล็กๆ ถ่ายเบานี้เราจัดให้เรียบร้อย แล้วถ่ายหนักเวลาไหลเอามือรองเลยนะ ท่านถ่ายออกมาใส่มือเรา เราก็ใส่กระโถนเลย พอเสร็จเรียบร้อยแล้วเราจัดเราล้างอะไร ทำความสะอาดให้ท่านเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราถึงจะยื่นนี้ออกไป ไม่ให้ใครเข้าไปยุ่งเลย เพราะความรักความสงวน ความเทิดทูนสุดหัวใจทุกอย่าง ด้วยเหตุนี้เองจึงไม่อาจที่จะให้ผู้ใดเข้าไปอาจเอื้อม หรือไปทะลึ่งกับท่านด้วยความเซ่อ ๆ

เราฉลาดเหรอ ถึงจะฉลาดไม่ฉลาดเรามอบแล้ว ความหมายก็ว่างั้น เรามอบแล้ว เราเป็นอย่างนั้นกับพ่อแม่ครูจารย์ เรื่องราวขึ้นมาจากวัณโรคนะ ต่อมาถึงนี่ ทุกอย่างหาที่ตำหนิไม่ได้นะ คือเราอยู่กับท่าน ๘ ปี ไม่เคยจะได้มีข้อตำหนิติเตียนภายในใจแม้นิดหนึ่ง ไม่เคยมี ท่านทำอะไร ๆ นี้ เราก็เรียนมาแล้วนี่ ผิดถูกกับหลักธรรมวินัยข้อใด ๆ มันก็รู้ ๆ ตามที่เราเรียนมาแล้ว ท่านเก็บหอมรอมริบไม่ให้มีอะไรเรี่ยราดเลย ตกหลุดออกไปอย่างนี้ไม่มี ท่านเทิดทูนศาสดาองค์เอก คือหลักธรรมหลักวินัย นี่เป็นศาสดาแทนพระพุทธเจ้าเรา ท่านประทานให้แล้ว ท่านก็เทิดทูนด้วยการปฏิบัติถูกต้องตามหลักธรรมวินัยทุกข้อทุกกระทงเลย ทั้ง ๆ ที่ท่านก็เลิศเลอไปแล้ว ท่านยังเทิดทูนอยู่นี้ จนกระทั่งวันท่านมรณภาพจากไป เราหาใครไม่ได้นะ ไม่มี เท่าที่ผ่านมานี้ถึงเวลา ๘ ปี หาที่ตำหนิไม่ได้เลย มีอย่างที่ไหนใช่ไหมล่ะ

         วันนี้ไม่มีปัญหานะ (ไม่มีครับ) ปัญหาถามมาเราก็เริ่มตอบปัญหาให้โลกทั่วไปได้ทราบ เรื่องปัญหาเป็นเรื่องความรู้พิเศษ ๆ นี่ก็เรียกว่าเริ่มตอบปัญหาละ ต่อไปนี้ก็เริ่มตอบปัญหา (อินโดนีเซียมีครับ เดี๋ยวจะมากราบเรียนครับ) มา ตัวปัญหาใหญ่มาเลยเหรอ ว่ามา (ลูกมีนิมิต ผีมาหาจะเอาตัวไปอยู่ด้วย มีเจ้าแม่กวนอิมบอกไม่ต้องกลัวจะช่วย หลังจากนั้นก็มาจริงๆ เป็นผีมาแสดงตัว แล้วก็มาลักษณะเหมือนกับจะทำท่าบิดไส้ ทางนี้ก็กลัว อีกครั้งก็มาหลอกหลอนแบบนี้ครับ ทางนี้ใช้ภาวนาลมหายใจเอา จากนั้นก็หายไป ทีนี้มาบ่อย ๆ เขาถามว่าจะให้ทำยังไงครับ)

         เขามาบ่อย ๆ ก็เอาพุทโธปราบเขาเรื่อย ๆ ซิ พอว่าพุทโธเขาถอยใช่ไหม เขาถอย เราก็เอาพุทโธไล่เลย ให้มันเผ่นตกห้าทวีป เข้าใจไหม นั่นละอะไรไม่เหนือธรรม เรื่องนิมิตนี้สำหรับนักภาวนามักเป็นนิมิตที่ส่อแสดงมาเตือนเจ้าของ สอนเจ้าของ แต่เจ้าของไม่ค่อยรู้เรื่องแก้ไม่ได้แก้ไม่ตก เวลาผ่านไปแล้วเราถึงรู้ทีหลัง ถึงเรื่องนิมิตเราแปลก ๆ ต่างๆ บางทีงงงันอั้นตู้ก็มี พอแก้กันผ่านไปได้ก็มี แต่เวลาเรื่องมันผ่านมาแล้วมันย้อนรู้หมด เป็นอุบายวิธีของธรรมท่านแสดงขึ้นมาในแง่ต่างๆ เพื่อจะเป็นอุบายให้เราแก้เหตุการณ์ต่างๆ แต่เราไม่ค่อยทราบ เหล่านี้ก็เหมือนกันเรื่องนิมิตมันแสดงออกมาก็แก้อันนี้ด้วยพุทโธก็ถูกต้องแล้ว

         เอาพุทโธให้ดีนะ ถ้าเราพุทโธอยู่กับใจ ไม่มีอะไรเข้ามาใกล้เลย พุทโธสำคัญมาก กระเทือนทั่วพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์เลย คำว่าพุทโธคำเดียวกระเทือนหมด ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เราจึงต้องเอาพุทโธ ธัมโมหรือสังโฆ อันใดกระเทือนเหมือนกันหมด สังโฆ กระเทือนทั้งพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ กระเทือนหมดเพราะเป็นธรรมธาตุด้วยกัน คือคำว่าธรรมธาตุแล้วนั้น จะไม่มีพุทโธ ธัมโม สังโฆ การพูดทั้งนี้ท่านทั้งหลายจะมีความเข้าใจกับหลวงตาว่ายังไง หลวงตาก็ถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาตั้งแต่วันเริ่มรู้เรื่องรู้ราวที่มีผู้แนะนำพุทโธ ธัมโม สังโฆ ถึงติดหัวใจมาตลอด จนกระทั่งวาระสุดท้ายที่ว่านั่น

         พอมันลงผึงที่ว่าหลังวัดดอยธรรมเจดีย์ แล้ว พุทโธ ธัมโม สังโฆ เข้าสู่ธรรมธาตุอันเดียวกันหมดเลย ไม่มีอะไรเหลือ มีแต่ธรรมธาตุจ้า ว่าพุทโธ คำเดียวกระเทือนหมด ธัมโม หรือสังโฆ ก็เป็นอันเดียว คืออันเดียวนี้เท่านั้น จ้าหมดเลย สรุปความลงมาแล้วว่า เหอ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง นี่เห็นไหมล่ะ เราเคยคิดเมื่อไร ตั้งแต่ก่อนขณะที่มันจะเป็นนี้ พุทโธ ธัมโม สังโฆ ก็ติดอยู่ในหัวใจอย่างฝังลึก ประหนึ่งว่าไม่มีอะไรถอนขึ้นนะ แต่เวลาจะถอนขึ้นก็อันนี้ละ อันฟ้าดินถล่ม ผางขึ้นมาเท่านี้ พุทโธ ธัมโม สังโฆ เปรียบเหมือนฝนที่ตกมาจากท้องฟ้ามหาสมุทร หรือแม่น้ำลำคลองไหลมาที่ไหน รวมเข้าเป็นมหาสมุทรแห่งเดียวกันหมด นี่บรรดาผู้สร้างบารมีมามากน้อย ซึ่งเท่ากับฝนตกลงมาจากบนฟ้าและแม่น้ำไหลมาจากลำคลองต่าง ๆ

         ผู้สร้างบารมีด้วยวิธีการใด ๆ ก็ตาม ซึ่งเป็นเหมือนกับฝนที่ตกมาจากท้องฟ้าบ้าง ไหลเข้ามาสู่ลำคลองต่าง ๆ บ้าง  นี่ก็คือว่าบารมีของแต่ละคน ๆ ที่ผ่านเข้ามา ก้าวเข้ามาหาจุดนี้ นี่ก็เรียกว่านั้นน้ำ ฝนตกมาจากบนฟ้า นี้ลำคลองมาจากสายนั้นสายนี้ ยังจำได้นับได้ พอเข้าถึงมหาสมุทรแล้วก็เป็นมหาสมุทรอันเดียวกัน ทีนี้ผู้สร้างบารมี เวลาสร้างใกล้เข้ามา ๆ ก็ยังเป็นน้ำลำคลอง พอสร้างเข้ามาถึงธรรมธาตุนี้ผางเท่านั้นแหละ ทีนี้คำว่าบารมีสูงต่ำสั้นยาวของใครต่อใครนี้ เมื่อเข้าถึงนี้แล้วเป็นธรรมธาตุด้วยกันหมด จึงไม่มีว่าธรรมธาตุนี้เป็นของใคร นี้เป็นของคนนั้นของคนนี้ พูดไม่ได้เลย เป็นอันเดียวเท่านั้น นี่ละธรรมธาตุแท้เป็นอย่างงั้น

         เรื่องธรรมที่ว่าเลิศอยู่ที่จุดนี้ นี่เราก็ไม่เคยพูด เวลาผางขึ้นมาแล้วมันก็ลงทันทีเลย ลบพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์เข้ามาอยู่จุดเดียวกัน คือธรรมธาตุล้วน ๆ หมดปัญหา นี่ละจึงเรียกว่าธรรมแท้มีอันเดียว พุทโธ ธัมโม สังโฆ รวมเป็นอันเดียวกัน นี่เราพูดเรื่องอะไรก็ลืมไปแล้วนะ มันสืบต่อมาไม่ได้ มาลงอันเดียวกัน (ให้ภาวนาพุทโธ) เอาพุทโธละนะ ตั้งใจพุทโธให้ดี เราอยากเห็นพี่น้องชาวไทยชาวพุทธเราได้ตั้งหน้าตั้งอบรมจิตใจ ซึ่งเป็นแหล่งใหญ่แห่งความทุกข์และมหันตทุกข์ด้วย เป็นแหล่งใหญ่แห่งความสุขและบรมสุขด้วย รวมอยู่ที่ใจดวงเดียวนี้

         เวลานี้ใจดวงนี้บรรจุไว้ทั้งสอง คือทั้งทุกข์ ทั้งสุข คือทั้งกิเลส ทั้งธรรม ทีนี้เวลาชำระกิเลสเข้าไปโดยลำดับ จิตนี้ที่ได้รับความทุกข์มากน้อย จะหดตัวเข้ามา เป็นทุกข์น้อยลงไป ๆ เพราะกิเลสจาง กิเลสเป็นตัวสร้างทุกข์ กิเลสค่อยเบาไป ความทุกข์จะเบาไปๆ ทีนี้ทางนี้บำเพ็ญธรรม ธรรมเพิ่มขึ้น ๆ กำลังของธรรมมีมากเท่าไร ความสุขจะเพิ่มขึ้น ๆ  กำลังของกิเลสลดน้อยลงไป ทุกข์น้อยลงไป จนกระทั่งถึงธรรมท่วมหมดเลย กิเลสหายโดยสิ้นเชิง แล้วความทุกข์ไม่มีในใจตั้งแต่ขณะกิเลสที่เป็นตัวสร้างทุกข์ภายในใจได้สิ้นซากลงไปเท่านั้น

ทีนี้ก็มีแต่บรมสุขแทนที่ บรมนี้เป็นธรรมธาตุไม่มีการเปลี่ยนแปลงท่าน จึงเรียกว่านิพพานเที่ยง ดูปัจจุบันกับอนาคตกี่กัปกี่กัลป์ก็เป็นอันเดียวกันเท่านั้น จะแยกไปเป็นอดีตอนาคตอะไรไม่ได้ ก็มีอันเดียว ก็พูดได้อย่างเข้าใจชัดว่า เที่ยงเท่านั้นเอง ไม่เอนไม่เอียง นี่ละที่รวมความสุขความทุกข์ทั้งหลายอยู่ที่ใจ แต่กิเลสมันหลอกให้เราดีดเราดิ้นไปหาสิ่งนั้นสิ่งนี้ ดิ้นไปด้วยความหวัง อยู่ด้วยความหวัง หวังอย่างนั้นหวังอย่างนี้เป็นเรื่องกิเลสหลอกไป ถ้าสมหวังก็ได้ความสุขมานิดหนึ่ง ส่วนมากมีแต่ผิดหวัง โกยความทุกข์เข้ามาเผาตลอดเวลา ใจดวงนี้ถ้าหากว่าเป็นสิ่งที่ฉิบหายได้ฉิบหายไปนานแล้วนะ แต่จิตนี้ไม่เคยตายไม่เคยสูญไม่เคยฉิบหายจึงฉิบหายไปไม่ได้ ทุกข์ยากลำบากขนาดไหน มหันตทุกข์ก็ยอมรับว่าทุกข์ แต่ไม่เคยฉิบหายคือจิตดวงนี้ นี่ละจิตดวงนี้ละรับความทุกข์ความทรมาน จากกิเลสทั้งหลายเข้ามาแบกอยู่ตลอดเวลากี่กัปกี่กัลป์

ทีนี้เวลาสร้างคุณงามความดีก็เป็นน้ำที่สะอาด ชำระล้างสิ่งเหล่านี้ออกเรื่อย มันจะค่อยเบา ความสุขก็จะมีขึ้นเรื่อย นี่จะไปทางฝ่ายสุขนะ จะลงในจิตดวงเดียวกันนี้ละ ความทุกข์จางไปเพราะความดีสร้างมาเป็นน้ำที่สะอาดชำระล้างของสกปรก ความสุขจะปรากฏขึ้น รวมแล้วทั้งสุขทั้งทุกข์จะไม่อยู่ที่ไหนเลย มีอยู่ที่หัวใจของโลกแห่งเดียวเท่านั้น ไม่มีที่อื่นเป็นที่อยู่แห่งความสุขและความทุกข์ เพราะฉะนั้นจึงอย่ามองข้ามใจตัวเอง เวลานี้ใจเรามันไม่ได้เป็นใจเรา มันเป็นบ๋อยของกิเลส เป็นภาชนะสำหรับรับรองให้กิเลสสับยำตีแหลกแตกกระจายอยู่ตลอดเวลาทั้ง ที่มันไม่ฉิบหายนั่นแหละ แต่มันก็เป็นความทุกข์ความทรมานตลอดมา

จึงพากันชำระจิตใจของเราด้วยทาน ด้วยศีล ด้วยภาวนาเป็นสำคัญมาก เอาอันนี้ให้ดีจิตดวงนี้จะเด่นขึ้นมา ทีนี้รวมลงแล้ว เรื่องความทุกข์ทั้งหมดเกิดจากกิเลส คือใจเป็นผู้แบกหามมารวมที่ใจนี้ทั้งหมด เอ้า ที่นี่พลิกปั๊บเรื่องความสุขทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากคุณงามความดีที่เราสร้างมา จะมารวมอยู่ใจนี้ทั้งหมด ทีนี้ครั้งสุดท้ายนี้ทุกข์ทั้งมวลนั้นถูกกำจัดไปหมดโดยสิ้นเชิง เพราะกำจัดกิเลสตัวสร้างทุกข์ให้หมดสิ้นไปแล้วจากใจ ใจจึงหมดทุกข์โดยสิ้นเชิงเหลือแต่บรมสุข เป็นธรรมธาตุ นั่น

ทีนี้จึงรวมได้ว่า ความสุขก็ดีความทุกข์ก็ดีจะไม่อยู่ที่ไหน อยู่ที่ใจดวงเดียวกัน แต่เวลานี้ตัวเองไม่รู้ตัวเองจึงแบกแต่เรื่องความทุกข์ ความทรมานมากมาย วิ่งตามสิ่งต่าง เป็นบ๋อยของอารมณ์ต่างหาก อารมณ์ออกมาจากกิเลส กิเลสผลักดันให้คิดให้อะไร เหมือนฟุตบอลกลิ้งตลอดเลย เวลากิเลสมีอำนาจมากมันเตะจิตใจของเราให้กลิ้งไปตามอารมณ์ต่าง แล้วก็สร้างความทุกข์ความทรมานให้เรา จงพากันสร้างความดี เฉพาะการอบรมจิตตภาวนาเห็นประจักษ์ในใจเลยนะ จะไม่ไปเห็นที่ไหน จะเห็นอยู่ที่นี่ ความทุกข์มากน้อยเห็นอยู่นี่ ความสุขมากน้อยเห็นอยู่ที่นี่ จนกระทั่งจ้าขึ้นมาภายในจิตใจนี้แล้ว สุขทั้งมวลในสามแดนโลกธาตุนี้มารวมอยู่ที่ใจดวงเดียว นั่น ไม่อยู่ที่ไหนเลยอยู่ที่ใจดวงเดียวนั้น เด่น ใจดวงที่ว่าได้รู้ชัด อย่างนี้ครอบโลกธาตุแล้ว

ความสว่างกระจ่างแจ้งก็คือใจดวงนี้ครอบโลกธาตุ ความสุขก็คือใจดวงนี้ครอบโลกธาตุ นี่เวลาใจได้มีอำนาจเพราะการบำรุงรักษาให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้วแสดงความอัศจรรย์ให้เจ้าของได้เห็นประจักษ์ ดังพระพุทธเจ้าทรงประจักษ์มาแล้วสอนโลกทั้งหลาย ให้รู้เห็นตามพ้นทุกข์ตามพระพุทธเจ้าแล้วมีจำนวนเท่าไร บรรดาสาวกทั้งหลายก็เหมือนกัน นี่เพราะอำนาจแห่งการชำระซักฟอกจิตใจให้เป็นตัวของตัวขึ้นมาบ้าง แล้วก็ให้เป็นตัวของตัวขึ้นมาเรื่อย จนกระทั่งเป็นตัวของตัวเต็มสัดเต็มส่วนแล้วไม่มีติดข้องอะไรในโลกอันนี้ไม่มี หมดสามแดนโลกธาตุนี้ไม่มีความหมายอะไรเลย ใจครอบหมด ใจที่วิเศษ ใจที่เลิศเลอ ใจที่สว่างกระจ่างแจ้ง ใจที่เป็นธรรมธาตุครอบหมดทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรเหลือหลอเลย ที่จะเหนือใจดวงที่บริสุทธิ์เป็นธรรมธาตุแล้วนี้ไปได้เลย ให้พากันอุตส่าห์พยายามนะ

ศาสนาขอชี้นิ้วเลย เราเอาหลักความจริงมาพูด มีพุทธศาสนานี้เท่านั้นที่จะถอดถอนความทุกข์ทั้งหลายออกจากจิตใจของโลกได้ นอกนั้นเราไม่ได้ไปสนใจ เอ้า จับจุดเอาอันที่ว่าถูกต้องแม่นยำคือพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าทุก พระองค์สอนเป็นแบบเดียวกัน แถวเดียวกันแก้กิเลสถอดถอนกิเลสที่เป็นตัวทุกข์อย่างเดียวกันหมด เมื่อกิเลสสิ้นซากลงไปหมดแล้วเป็นบรมสุขเหมือนกันหมด จากคำสอนของพระพุทธเจ้า ให้พากันจับให้ดีนะ อย่าเห็นแต่อะไรก็มีคุณค่าอันนั้นมีราคา มีแต่กิเลสเสกสรรปั้นยอหลอกเราทั้งเพนะ สิ่งที่มีคุณค่ามากเลยเผยอตัวไม่ขึ้น กิเลสเหยียบไว้ ทีนี้พอเวลาเราแหวกเราว่าย เราต้านทานหลายครั้งหลายหนธรรมะก็ค่อยโผล่ขึ้นได้ก็มองเห็นโทษของกิเลส ทีนี้มองเห็นโทษของกิเลสแล้ว ฝ่ายธรรมะนี้ก็ต้องดีดต้องดิ้นหาทางออก หรือหาวิธีการทำลายกิเลสตัวข้าศึกนั้นไปลำดับลำดา จนกระทั่งทำลายได้โดยสิ้นเชิง หมด อยู่ที่ไหนแสนสบายละที่นี่ ให้พากันจำเอานะ เอาแค่นั้นละวันนี้ พูดเท่านี้พอ

โยม มีปัญหาต่อครับ

หลวงตา เออ มีอะไร เอ้า ว่ามา

โยมอินโดนีเซีย (กราบเรียนถามปัญหาภาวนา) พอภาวนาตัวเบาแล้วรู้สึกลอยขึ้นครับ

หลวงตา เหอ มันลอยขึ้น ร่างกายขึ้นจริง ไหม

โยมอินโดนีเซีย ไม่ จากศีรษะลงมาเปิดออก มีไฟออกจากตัวมา ร่างกายก็เป็นไฟด้วย ร่างกายไหม้หมดไปเลย

หลวงตา นั่นละ นี่ละคือใจ ใจไม่มีอะไรทำลายได้ ใจจะเป็นผู้รู้ผู้เห็นเป็นฟืนเป็นไฟเป็นน้ำเป็นท่า ดับไปอะไรก็เป็นกิริยาที่ออกไปจากใจนำเข้ามาสอนใจเข้าใจไหม อาการที่เกิดที่ดับถูกไฟเผานี้ พิจารณาเข้ามาภายในตัวของเราเป็นสัจธรรม คือตาย ได้เผาได้ฝังกันอะไร อย่างนี้เป็นอาการของจิตที่เป็นธรรมออกไปแสดงแล้วก็เข้ามาสอนตัวเอง เราพิจารณาแก้ตามนั้น ถูกต้องแล้วนะ เอ้า พิจารณาไป ใจเป็นของไม่ตายอย่าไปกลัวตาย อะไรจะเป็นให้ดู ถนัดชัดเจน อันนั้นมันจะเปลี่ยนแปลงของมันไปเรื่อย ใจนี้ไม่ตายจะสนุกดู อย่าหวั่นเรื่องตาย ความตายนี้มันมาทำลายความจริงไม่ให้รู้ให้เห็น กลัวตายเสียหยุดเสียบ้างอะไรบ้าง เอนเอียงจิตไปทางอื่นเสียบ้างนี่นะ ถ้าใจไม่กลัวตายแล้ว เอ้า มันเป็นอะไรให้รู้มันจะเป็นฟืนเป็นไฟเผาทั้งโลกก็ให้เห็น มันเผาจิตไม่ได้ จิตเป็นผู้รู้ นั่น ให้เข้าใจจุดนี้นะ เอาให้แม่นยำ นี่เข้าท่าอยู่นะ อะไรมันขัดข้องตรงไหนจึงค่อยมาถาม เอาละทีนี้จะให้พร

 

ชมการถ่ายทอดสด ธรรมะหลวงตาวันต่อวัน  ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก