เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๖
ชอบเพศเดียวกัน
(ปัญหาทางอินเตอร์เน็ตครับ คนถามชื่อฝ้ายคำ เขาเรียนมาว่า หนูอยากกราบเรียนถามปัญหาหลวงตาค่ะ คือหนูมีเพื่อนคนหนึ่งเขามาปรึกษาปัญหาอย่างจริงจังกับหนูว่า เขาเป็นผู้หญิงที่ชอบคนเพศเดียวกัน กำลังตัดสินใจจะไปใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกัน เขาเป็นคนเคารพพุทธศาสนา เชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ พ่อแม่และญาติพี่น้องไม่เห็นด้วย และรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามธรรมชาติ แต่ก็ไม่มีใครกล้าตักเตือนและบอก เขาจึงปรึกษาเรื่องนี้กับเพื่อนสนิท ซึ่งมีหนูรวมอยู่ด้วย แต่ทุกคนก็ไม่ทราบจะตอบอย่างไร เขาบอกว่าถ้าเป็นสิ่งไม่ถูกต้องตามหลักศีลธรรม หรือขัดต่อคำสอนของพระพุทธองค์ เขาก็จะพยายามฝืนใจไม่ไปใช้ชีวิตคู่ และจะคบค้ากันอย่างเพื่อน แต่ถ้าไม่ผิดหลักธรรมะอะไร เขาก็จะเลือกชีวิตเช่นนั้น เพราะสังคมในปัจจุบันก็รู้สึกจะยอมรับได้มากขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งชีวิตคู่เช่นนี้ก็ไม่ต้องมีลูกเป็นภาระอีกด้วย
คนอื่นๆ ตอบก็ไม่เป็นที่แน่ใจแก่หนูและเพื่อนๆ แถมยังไม่มีใครสามารถยกหลักพุทธศาสนามาอธิบายอย่างชัดเจนได้ค่ะ หนูจึงขอกราบเรียนถามหลวงตามาแทนเพื่อนว่า หลวงตามีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไรบ้างคะ จะเป็นสิ่งที่ถูกต้องต่อหลักศีลธรรม หรือผิดจากหลักพุทธศาสนาอย่างไรไหมเจ้าคะ เพื่อนหนูเขาจะรอฟังคำตอบในเรื่องนี้จากหลวงตาเจ้าค่ะ และเขาจะใช้คำตอบจากหลวงตาเป็นแนวทางในการตัดสินชีวิต ถึงแม้จะต้องฝืนใจและอดทนขนาดไหนก็ตาม เขาบอกกับเพื่อนๆ ว่าจะปฏิบัติตามหนทางที่ถูกต้องและไม่ผิดต่อศีลธรรมเจ้าค่ะ)
เอาละ ตั้งแต่หมาเขายังมีตัวผู้ตัวเมียสมสู่อยู่ร่วมกัน คนมันหาไม่ได้เหรอ ผู้หญิงหาผู้ชายมาเป็นผัวไม่ได้เหรอ ถ้างั้นมันก็เลวกว่าหมา เข้าใจไหม นี่ละหลักธรรมเป็นอย่างนั้น นี่มันไม่ใช่หลักธรรม มันขัดมันแย้งออกมาอย่างนั้น หลักธรรมทั่วโลกดินแดนพระพุทธเจ้าก็สอนมาอย่างนั้น มีผัวมีเมีย ก็คือผู้หญิงกับผู้ชาย แม้แต่สัตว์เช่นหมาเป็นต้นก็มีตัวผู้ตัวเมีย ไอ้เราผู้หญิงวิ่งไปหาผู้หญิงด้วยกัน มาเป็นผัวเป็นเมียกันนี่มันเลวกว่าหมา มันหาผู้ชายไม่ได้เหรอ ให้รีบงดถ้าตั้งใจว่าจะงด ให้รีบหยุดเสียถ้าตั้งใจจะหยุด เข้าใจเหรอ (เขารอฟังคำสอนหลวงตาอยู่ครับ) นี่สอนแล้ว เอาละพอ
(คำถามต่อไปนะครับ ข้อที่หนึ่ง ทำจิตเหมือนผ้าเช็ดเท้าคืออย่างไรครับ และจะทำอย่างไรครับ?)
ทำจิตเหมือนผ้าเช็ดเท้า คือไม่ให้จิตมีฤทธิ์มีเดช แผลงฤทธิ์ในตัวเอง แล้วไปเหยียบย่ำทำลายคนอื่น กระทบกระเทือนคนอื่น นี่เรียกว่าจิตที่มีพิษมีภัย จิตไม่มีพิษมีภัยก็คือจิตมีธรรม ให้ทำตัวเป็นผู้น้อยต่อผู้อื่นอยู่เสมอ อย่ายกตน ยังไงก็ยอมฟังเสียงผู้อื่นอยู่เสมอ นี่เรียกว่าผ้าอะไร (ผ้าเช็ดเท้าครับ) เออเหมือนผ้าเช็ดเท้า ผ้าเช็ดเท้านี่คือทำตัวให้ต่ำ ต่ำเพื่อกราบธรรม ไม่ใช่ต่ำเพื่อกราบมูตรกราบคูถ คือกิเลส เมื่อทำตัวให้ต่ำ น้อมรับธรรม ๆ แล้วธรรมจะเข้าสู่ใจ จะสูงขึ้นโดยลำดับ ๆ นี่ทำตัวให้ต่ำเพื่อฟังโอวาท เพื่อฟังอรรถฟังธรรม ซึ่งเป็นธรรมชาติที่สูงอยู่แล้ว แล้วเราจะได้ปฏิบัติตัวตามธรรมนั้นๆ เราก็สูงขึ้นไปตามธรรม ๆ นี่เรียกว่าผ้าอะไร (ผ้าเช็ดเท้าครับ) เออ เรียกว่าผ้าเช็ดเท้า ทำตัวให้เป็นทองคำได้ เอาละพอนะ
(ข้อสองจะแก้นิสัยชอบบังคับจิตที่ไม่เป็นธรรมชาติอย่างไรครับ?)
มันบังคับเรื่องอะไร ไอ้บังคับจิตมันพูดกลาง ๆ (เขาถามมาอย่างงี้) ก็นั่นซิไม่ตอบ ไม่เกิดประโยชน์
(ข้อสาม ตัวชอบทำเสียเรื่อง ตัวดื้อ ที่อยู่ในเชื้อจิต จะล้างมันอย่างไรครับ? เหมือนกำลังไปได้ดีอยู่ มันจะดึงเอาส่วนที่ไม่ดีขึ้นมาด้วยกัน ชอบเป็นอุปสรรคขวางตัวเอง)
อันนี้มันก็มีอยู่ด้วยกันนั่นแหละ คือธรรมดากิเลสต้องขวางคนอื่นเสมอ แต่ไม่ขวางตัวซึ่งเป็นตัวพิษตัวภัย ตัวเองจึงเปิดโล่ง ปล่อยตัวไปเพื่อทำความเสียหายแก่ตัวเองในขณะเดียวกัน แล้วก็ทำความเสียหายแก่ผู้อื่น อะไรไม่มีหลักมีเกณฑ์ก็ไม่ตอบ เอ้าว่าไป
(มาจากประเทศนิวซีแลนด์ ข้อหนึ่งว่าที่ประเทศนิวซีแลนด์ มีวัดชื่อโพธิญาณาราม มีเนื้อที่พันกว่าไร่ ตั้งอยู่ในหุบเขา มีป่าแต่ไม่สมบูรณ์ อากาศเย็นจัด ขณะนี้มีพระจำพรรษาอยู่สองรูป มีคนเล่าว่าถึงความเพียรของพระฝรั่งสองรูป ว่าเคยธุดงค์จากเหนือสุดถึงใต้สุดของประเทศนิวซีแลนด์ เดินตลอด มีใครจอดรับก็ไม่ขึ้นรถ บางทีปฏิเสธคนไม่ได้ก็ขึ้นรถไปกับเขา แล้วก็เดินย้อนกลับมาที่เดิม แล้วค่อยเดินต่อไป จะเว้นก็ตอนขึ้นเรือข้ามฟากจากเกาะเหนือไปเกาะใต้ ระยะทางประมาณจากเชียงใหม่ถึงจังหวัดสงขลา ที่นี่จะมีกัณฑ์เทศน์ของหลวงตาลงพิมพ์เผยแพร่ด้วยครับ
ทำให้ผู้พบเห็นพระธุดงค์รู้สึกเย็นตาเย็นใจ ไม่ว่าฆราวาสหรือพระด้วยกันพบเห็นท่านเพียรเดินธุดงค์ในอิริยาบถที่สำรวมในระยะทางไกล ๆ ก็ทำให้รู้สึกว่าพวกเรามีวาสนาที่ได้มาพบเห็น ได้อยู่กับพุทธศาสนาแม้จะอยู่ในต่างประเทศ หรือแม้แต่พระฝรั่งที่ท่านเดินธุดงค์ด้วยอิริยาบถสำรวม เราก็ไม่เคยคิดแยกว่า ถือพุทธศาสนาต้องเป็นคนไทย พระธรรมท่านเข้าถึงผู้ตั้งใจปฏิบัติเข้าถึงมรรคผลนิพพาน จึงขอกราบเรียนหลวงตาเพราะความเย็นตาเย็นใจกับพระธุดงค์และพุทธศาสนาของเราในต่างประเทศ และทำให้มีกำลังใจในการปฏิบัติความดี ดำเนินชีวิตในต่างแดนด้วยการภาวนาตามคำสอนที่หลวงตาเมตตาเทศน์สอนมาตลอด
ข้อสอง ชาวต่างชาติที่นี่ได้รู้จักหลวงตา และรับฟังเทศน์ของหลวงตา มีความสนใจในการปฏิบัติตาม มีการตั้งเป็นกลุ่มการปฏิบัติธรรม เช่น ชาวมาเลเซียทั้งสามีและภรรยาเขาตั้งใจปฏิบัติภาวนา พอได้ทราบว่าหลวงตาเมตตาแสดงการตอบปัญหาธรรม ชาวต่างชาติที่นี่รู้สึกสนใจปีติยินดี ถึงแม้เขาจะอยู่ไกลจากหลวงตา แต่ผ่านคำถามมาทางอินเตอร์เน็ตรู้สึกได้ใกล้ชิดในธรรมะมากขึ้น จึงรบกวนเรียนถามปัญหาธรรมหลวงตา มาดังนี้
ดิฉันมีคำถามดังนี้ค่ะ ขณะที่ดิฉันนั่งสมาธิและฝึกการรับรู้ ให้สามารถรู้ถึงสิ่งต่างๆ ได้ และบางทีดิฉันได้ยินเสียง และมีความคิดต่างๆ ดิฉันก็จะพยายามกลับไปหาคำบริกรรม บางครั้งดิฉันรู้สึกถึงความนิ่ง ความสว่างและความว่าง ดิฉันขอถามว่า อะไรคือจุดประสงค์ของการนั่งสมาธิ เพื่อการให้สามารถรับรู้ทางกายและใจเร็วขึ้น หรือเพื่อความสว่าง ความว่างในใจนั้น กราบนมัสการมาด้วยความเคารพ ซิม ลู ชาวมาเลเซีย)
อันนี้ก็เป็นจุดประสงค์อันหนึ่งที่ปรากฏขึ้นกับตัวเอง เช่นความว่าง ความสว่าง เป็นต้น แต่การภาวนานี้จุดประสงค์ก็คือเพื่อน้ำดับไฟ จิตใจของเราเป็นฟืนเป็นไฟด้วยการคิดการปรุงแต่งเรื่องราวต่าง ๆ ส่วนมากมักจะมีแต่ความชั่ว ซึ่งเป็นฟืนเป็นไฟเผาตัวเอง เราภาวนานี่คือเพื่อระงับอารมณ์ทั้งหลายเหล่านั้นด้วยบทธรรม บทธรรมจะเป็นคำบริกรรมคำใดก็ได้ นั้นเท่ากับน้ำดับไฟ นำคำบริกรรมนั้นเข้ามากำกับจิต ให้จิตทำหน้าที่กับคำบริกรรมซึ่งเป็นบทแห่งธรรมนั้นอย่างเดียว มีสติควบคุมอยู่เสมอ ไม่ให้มีช่องสำหรับคิดปรุงของเรื่องกิเลสที่เคยก่อฟืนก่อไฟมาใส่ตัวเอง ให้มีแต่คำบริกรรมกับสติติดแนบอยู่นั้น
ที่ว่าความประสงค์ไม่อยากวุ่นวาย มันก็สงบเอง นี่เป็นความประสงค์อันหนึ่งของเรา ในเบื้องต้นเป็นอย่างนี้ก่อน ต่อจากนั้นถ้าได้ทำจิตของเราด้วยจิตตภาวนา หรือว่าด้วยการสงบอารมณ์อย่างที่ว่านี้แล้ว สิ่งที่เราต้องการไม่เคยคาดเคยหมาย ไม่เคยรู้เคยเห็นก็จะเป็นขึ้นมาจากใจ เพราะเหตุแห่งการทำที่ถูกต้องตามจุดหมายที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้แล้ว ว่าใจตัวพยศเพราะกิเลสพาพยศ เมื่อจิตได้รับการฝึกทรมานก็เท่ากับน้ำดับไฟ ไฟคือความทุกข์ทั้งหลายภายในใจก็สงบลงไป ไม่ต้องบอกความเย็นเย็นเอง สถานที่ไฟเคยไหม้ หรือแสดงเป็นเปลวจรดเมฆ เมื่อถูกน้ำดับลงไปแล้วสถานที่นั่นก็จะกลับเย็นขึ้นมา ก็เท่านั้น แล้วมีอะไรอีกที่ว่านี้นะ มันจำไม่ค่อยได้นะ
(ความสว่าง ความว่างแค่นั้นแหละครับ) เออ ความสว่าง ความว่าง เกิดจากจิตที่ไม่มีอะไรยุ่ง กิเลสนั้นแหละยุ่ง คิดปรุงนั้นคิดปรุงเรื่องนี้ สังขารตัวนี้เป็นสำคัญมากทีเดียว คือมีสมุทัย พื้นฐานของกิเลสท่านเรียกว่าอวิชชา ให้ชื่อว่าอย่างงั้น มันอยู่ในใจ ตัวนั้นแหละผลักดันออกมา ผลักดันออกมาให้คิดให้ปรุงไม่หยุดไม่ถอย ไม่เลิกไม่แล้ว หิวโหยตลอดเวลา คือธรรมชาตินี้ดันออก ๆ เมื่อเราระงับไม่ให้มันคิด ธรรมก็ดับเข้าไป เหมือนน้ำดับไฟ หินทับหญ้าเข้าไปเสียก่อน แล้วนั้นจะสงบ ๆ ใจก็เย็นขึ้นมาเลย เข้าใจ
(อีกคนหนึ่งใช้ชื่อ คนทุกข์ใจ กราบนมัสการหลวงตาที่เคารพ ปกติในชีวิตประจำวันไม่ว่านั่งหรือเดิน ผมจะภาวนาพุทโธ โดยให้สติอยู่กับคำบริกรรม ตอนนี้ผมมีข้อขัดข้องที่แก้ไม่ตกคือ ผมมักจะเกิดความคิดอกุศล ความคิดลบหลู่ครูบาอาจารย์ เกิดขึ้นในจิตใจบ่อย ซึ่งทำให้ผมเป็นทุกข์มาก รู้สึกเคียดแค้นกิเลสที่ขัดขวางจิตใจไม่ให้เข้าถึงธรรมะ อยากจะกราบเรียนถามหลวงตาดังนี้ ข้อที่หนึ่ง เมื่อความคิดไม่ดีเกิดขึ้นในจิตใจ ผมจะห้ามความคิด สลัดความคิดออกไป แล้วบริกรรมพุทโธ ให้สติอยู่กับพุทโธ อยากทราบว่าเป็นวิธีการปฏิบัติที่ถูกต้องหรือไม่ครับ)
ถูกต้อง เข้าใจเหรอ นี่คือวิธีที่ถูกต้อง ให้นำมาระงับเรื่อย ๆ โทษที่ไปเพ่งครูบาอาจารย์ก็คือโทษของเราเอง มันเป็นอยู่กับเรา แล้วมันกระจายออกไป เมื่อเราระงับต้นเหตุด้วยธรรมที่ว่านี่แล้ว อันนี้จะระงับ การเพ่งโทษใคร ๆ ก็ตามจะเบาลง ๆ และไม่มี เมื่อตัวเพ่งโทษนี้อ่อนตัวลงด้วยการระงับดับมันโดยวิธีภาวนา เข้าใจ เออว่าไป
(ข้อที่สองครับ ขอโอกาสหลวงตาช่วยแนะนำอุบายวิธี ที่จะกำจัดอภิสังขารมารให้หมดไปจากจิตใจด้วยครับ)
อภิสังขารมารมันคืออะไรล่ะ (คนทุกข์ใจเขาถามมา) ก็นั่นแล้ว นั่นแหละอภิสังขารมารตัวทุกข์ใจนั่นแหละ ให้ระงับดับมันด้วยวิธีการดังที่กล่าวมาเหล่านี้ เป็นวิธีการระงับดับความคิดนี้ทั้งนั้น มันถามมาเกินภูมิ อภิสังขารมาร หลวงตาบัวตั้งแต่เกิดมาแต่โคตรพ่อโคตรแม่ก็ไม่เคยได้ยินอภิสังขารมาร หากว่าจะได้ยินบ้างก็คือหลวงตาบัว แต่เราก็ไม่ตอบเพราะเราอยู่ในวงพ่อแม่ของเราที่โง่ ตอนนี้จะแสดงความฉลาดออกมายังไม่ได้ เข้าใจไหม
(อันนี้ท้าวความจากวันก่อนที่เขาถามหลวงตามาที่ว่าพ่อเลว ชอบฆ่าหมา แกล้งหมา ลูกได้รับคำตอบไปเรียบร้อยแล้ว เขาฝากกราบขอบพระคุณหลวงตามา เขาบอกว่าอยากจะช่วยพ่อ อยากจะถามหลวงตาว่า จะทำบุญอย่างไรจึงจะเข้าช่วยพ่อได้เจ้าคะ)
ให้ไหว้พระสวดมนต์ อย่าหาเรื่องหาราวใส่คนอื่น อย่ารังแกทำลายคนอื่นเหมือนพ่อที่เคยทำมาแล้ว ซึ่งถูกต้องติ แม้กระทั่งลูกก็ยังต้องติพ่อแม่ได้ ให้ทำภาวนาทำความดีนั่นแหละ ไม่ตอบมาก
(เขามีท้ายรายการอินเตอร์เน็ตนะครับ ผู้ที่ได้รับการตอบปัญหาธรรมะจากเมตตาธรรมของหลวงตา ล้วนขอน้อมสาธุในเมตตาธรรม และกลับไปตั้งใจปฏิบัติในสิ่งที่ได้รับคำแนะนำสั่งสอนในธรรมะนี้จากหลวงตา ตั้งใจจะไม่ให้ความเหนื่อยยากที่หลวงตาอุตส่าห์เมตตาเทศน์สอนมาเสียประโยชน์ และสามารถเป็นกำลังใจให้ลูกหลานผู้ปฏิบัติได้อีกมากมาย)
เออ เอาละ ให้พากันตั้งใจปฏิบัติ การถามการตอบธรรมะเป็นประโยชน์เฉพาะๆ ๆ ผิดกันกับการฟังเทศน์ มันจะกว้างขวางเทศน์ไปเรื่อย ๆ ฟังก็ฟังไปเรื่อยๆ จะสะดุดใจก็มีน้อย แต่การฟังคำตอบปัญหา จากการถามปัญหาที่ถูกต้องโดยเหตุโดยผลแล้วย่อมได้รับประโยชน์ แล้วสะดุดใจ กระเทือนใจ ในขณะเดียวกันก็กระเทือนกิเลสไปด้วย ๆ นี่จึงเป็นของดี เราเคยพูดมาตั้งแต่ต้น ว่าการเทศนาว่าการเริ่มมาตั้งแต่ ๒๔๙๓ เฉพาะอย่างยิ่งพระอันดับแรก เดินซอกซอนเข้าไปในป่าในเขา เราก็อุตส่าห์พยายามสอนเป็นระยะ ๆ มาเริ่มขยายตัวที่วัดป่าบ้านตาด เพราะเพื่อนฝูงมีมาก ประชาชนพระเณรเรื่อยมา
แน่ะลืมแล้วอย่างงั้นพูด จำไม่ได้ก็ไม่ต้องจำ กรุณาทราบเวลานี้หลวงตาหลงหน้าหลงหลังแล้วอย่างนี้แหละ ว่าจะตอบหรือจะพูดคำไหนมันตกหายไปเสีย ก็เลยเป็นโมฆะไป
เราเคยได้พูดตั้งแต่นู้น การเทศนาว่าการมาเรื่อย ๆ เราก็เทศน์มามากต่อมาก แต่การตอบปัญหาจะมีเป็นบางกาล เฉพาะวงปฏิบัติของพระก็มี อันนี้มีเกี่ยวกับเรื่องภาวนาล้วน ๆ จากนั้นประชาชนกว้างขวางออกไป ตามแต่ผู้มีปัญหาข้อใด ๆ มาถามก็ตอบเป็นระยะ ๆ ไปอย่างนี้ เรียกว่าเป็นคู่เคียงกันมา ไม่มากก็มี แต่สำคัญที่มาเทศน์อบรมประชาชน เฉพาะอย่างยิ่งพี่น้องชาวไทยเรา เป็นเวลาห้าปี มีแต่เทศน์ล้วน ๆ ห้าปีกว่า ถ้านับเป็นกัณฑ์เทศน์จะเป็นสักกี่ร้อย กี่พัน กี่หมื่นกัณฑ์ ก็เป็นเทศน์ธรรมดา ๆ ส่วนที่บกพร่องคือปัญหา ไม่ค่อยมีใครถาม จึงไม่ได้ตอบ แล้วผู้ที่รับประโยชน์จากการถามการตอบปัญหาจึงไม่ค่อยมี นี่เราเคยพูดเสมอ
อันนี้เมื่อมีปัญหามาอย่างนี้ เราก็จะเริ่มตอบตามเหตุการณ์ที่สมควร ไม่สมควรมากน้อย เราก็จะเริ่มตอบสงเคราะห์บรรดาพี่น้องทั้งหลาย ให้ได้เข้าอกเข้าใจ ปัญหานี่มันเป็นจุด ๆ แล้วเข้าใจถึงขั้นสะดุดกึ๊ก ๆ ก็มี การตอบปัญหา ถ้าตอบถูกหลักถูกเกณฑ์แล้ว เพราะฉะนั้นการตอบปัญหา อย่างพระพุทธเจ้าทรงตอบปัญหาของพวกทวยเทพทั้งหลาย นี่มีมาแล้ว อฑฺฒรตฺเต เทวปญฺหากํ ตั้งแต่หกทุ่มล่วงไปแล้ว ทรงตอบปัญหาและเทศนาว่าการสอนพวกเทพ คือมีพวกเทพทั้งหลายถามปัญหา แล้วพระองค์ก็ทรงตอบปัญหาชี้แจง จากนั้นก็เทศน์อบรมพวกทวยเทพ นี่ก็มีมาตั้งแต่นู้นแล้ว
การถามปัญหานี้ถามเพื่อผลเพื่อประโยชน์ เราก็พอใจตอบ แต่ถามเป็นแบบ เลอะ ๆ เทอะๆ ถามเป็นเครื่องหยอกเล่น เป็นเครื่องแหย่ไปอย่างงั้นไม่ได้ ไม่เอา ขอให้ท่านทั้งหลายได้นำปัญหาที่เข้าใจแล้วนี้ไปปฏิบัติต่อตัวเอง ส่วนมากเรามันติดปัญหาตัวเองทั้งนั้นแหละ แต่ไม่รู้จักวิธีแก้และไม่รู้จักอุบายวิธีที่จะให้ผู้อื่นช่วยแก้ เช่นถามปัญหาครูบาอาจารย์ ว่าจิตใจเรา ตัวของเรา เป็นอย่างไรบ้าง และจะควรแก้ไขอย่างไรอย่างนี้ มันไม่มีอุบายวิธีที่จะนำอันนี้ออกไปเล่าให้ครูบาอาจารย์ฟัง เพื่อท่านจะได้ช่วยแก้ช่วยไขแนะนำสั่งสอนเรา
การถามการตอบปัญหาจึงเป็นของสำคัญดังที่มีมาแล้วตั้งแต่ครั้งพุทธกาล เฉพาะอย่างยิ่งแม้แต่แม้ทวยเทพ เทวบุตรเทวดาก็ยังต้องมาถามปัญหา แต่เขาถามปัญหานั้นจะมีหัวหน้านะ พวกทวยเทพทั้งหลายมานี้เขาจะมีหัวหน้าถามปัญหา กระซิบปัญหากับหัวหน้าให้หัวหน้านำมาทูลถามพระพุทธเจ้า พระองค์จะทรงตอบให้เข้าใจทั่วถึงกันๆ การถามปัญหาของเทวดาเขาไม่ได้ถามสุ่มสี่สุ่มห้า พวกเทวดาจะมีมากขนาดไหนนี้เงียบนะ จะมีตั้งแต่หัวหน้า เทวดานี้เคารพหัวหน้ามากทีเดียว เคารพจริงๆ คอยฟังหัวหน้าตลอด รายใดๆ มีข้อข้องใจก็พูดหรือฝากปัญหา พูดภาษาของเราว่าฝาก คือทางนี้แย็บปั๊บ ทางนั้นรับกันแล้ว ออกแล้ว อันนี้มันพูดไม่ได้
ภาษาของคนกับภาษาของเทวบุตรเทวดาซึ่งเป็นกายทิพย์นี้จึงต่างกันมาก ด้วยเหตุนี้เองเวลาท่านแสดงแก่พวกเทพเทวบุตรเทวดาชั้นใดก็ตาม ท่านจึงไม่มาเกี่ยวกับมนุษย์ ท่านจะเป็นภาษาใจภาษาธรรม จะออกรับกันพับ ๆ เข้าใจๆ ไม่มีคำที่จะมาโต้แย้งๆ โต้เถียงกัน คอยฟังเป็นลำดับลำดาไป นี่เรียกว่าระหว่างเทวดากับพระพุทธเจ้า
เทวดากับพระพุทธเจ้า หรือครูอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญโต้ตอบปัญหาซึ่งกันและกัน จากนั้นท่านก็อบรมแนะนำสั่งสอน การเทศน์สอนพวกกายทิพย์ท่านสอนอย่างนั้น ยกตัวอย่างขึ้นมาก็ อฑฺฒรตฺเต เทวปญฺหากํ ทรงตอบปัญหาและแนะนำสั่งสอน เทศนาว่าการแก่พวกทวยเทพทั้งหลาย ทั้งเทศนาว่าการทั้งแก้ปัญหาโดยเฉพาะ ท่านก็ทำหน้าที่โดยเฉพาะ ทีนี้เวลาจะเทศน์สอนประชาชนที่เป็นกายหยาบท่านก็สอนเป็นอย่างที่เราสอนกันเวลานี้ เป็นขั้น ๆ ตอน ๆ
ด้วยเหตุนี้เวลาท่านสอนประชาชน ท่านจึงไม่ได้นำเรื่องราวของเทวบุตรเทวดามาพูดมาเกี่ยวข้องกัน เวลาท่านเกี่ยวข้องกับพวกเทพเหล่านี้ท่านก็ไม่เอามนุษย์เข้าไปเกี่ยวข้อง หน้าที่คนละหน้าที่ อรรถธรรมคนละสัดละส่วนเป็นอย่างนั้น ให้พากันเข้าใจเอานะ สอนเทวดากับสอนมนุษย์นี้สอนคนละประเภท แล้วทีนี้ไอ้พวกตาบอดพวกขนโค ขนโคมีมากไหม โคตัวหนึ่งมีเขากี่เขา เคยเห็นโคมีถึง ๓ เขา ๔ เขาไหม โคตัวไหนปู่โคย่าโค ลูกหลานโค ก็มีแต่สองเขา ๆ ดีไม่ดีเขาเรียกอะไรโคไม่มีเขานั่น โคหัวโล้นเหรอ อย่างนั้นอีกด้วยซ้ำ จะให้เป็น ๓ เขา ๔ เขา ไม่มี นี่แหละมีน้อย แต่ขนโคนี้เต็มตัว ๆ พวกเรานี้พวกขนโค ธรรมะพระพุทธเจ้ากระจ่างแจ้งครอบแดนโลกธาตุ แต่มนุษย์ของเราที่เป็นขนโคคือพวกตาบอดนี้มันไม่ยอมเชื่อ มันยังบอกว่าเทวบุตรเทวดาไม่มีๆ หัวชนต้นเสาไปอย่างนั้นตลอด นี่ละที่ว่าหนาพวกขนโคนี่พวกหนามากนะ พวกเขาโคนี้พอมีทางที่จะขยับ ๆ ฟังแล้วแก้ไขดัดแปลงตัวเองไปเรื่อย ๆ เรียกว่า จะเพิ่มเขาโคให้เขาโคใหญ่ขึ้นโตขึ้น มากขึ้น ๆ เรื่อย ๆ แล้วขนโคของคนนั้นก็จะค่อยลดลง ๆ เขาโคก็จะเพิ่มพูนขึ้นเข้าใจไหม
ให้เราเห็นเสียบ้างซิว่า โคตัวหนึ่งมีเขาเต็มหัวมัน เราเคยได้ยินตั้งแต่โคตัวหนึ่งมีขนเต็มตัวมัน มี ๒ เขา เอาให้เห็นในภาคปฏิบัติของเรา ให้มีเขาโคเต็มตัว คำว่าเขาโคเต็มตัวได้แก่มรรคแก่ผลที่ปฏิบัติตามอรรถธรรมของพระพุทธเจ้า แล้วเพิ่มคุณงามความดี มรรคผลขึ้นมา สุดท้ายจิตใจนี้มีตั้งแต่ความสว่าง เขาโคเต็มตัวรอบด้านเข้าใจเหรอ นี่คือเขาโค พระพุทธเจ้าเทียบกับเขาโคเพียงพระองค์เดียวสอนพวกขนโคนี้มากขนาดไหน ฟังซิน่ะ นี่ละเขาโคจึงมีคุณค่ามาก ให้พยายามเอาเขาโคตัวให้ดี ฝึกฝนอบรมเขาโค เสี้ยมแหลมเขาโคลงให้มันแหลมปิ๊บ ฟาดกิเลสขาดสะบั้นพุงทะลุเข้าใจไหม ไปเรื่อย ๆ นะ
นี่พูดถึงพวกเทพพวกอะไร คือพวกเทพกับพวกเรานี้ ถ้าพูดถึงเรื่องมนุษย์นะ มนุษย์เราในโลกนี้มีกี่พันล้าน เทวบุตรเทวดาเพียงชั้นใดชั้นหนึ่งเพียงเท่านั้นก็มีมากยิ่งกว่ามนุษย์แล้ว เรายังอวดก้ามอยู่เหรอในความโง่ของตน ว่าเทวบุตรเทวดาไม่มี ก็เท่ากับเหยียบหัวพระพุทธเจ้านั่นเอง เหยียบหัวพระพุทธเจ้าทั้งหลายด้วย พระสาวกทั้งหลายผู้เชี่ยวชาญในทางนี้ด้วย เป็นของดีไหม คิดออกแง่ไหนมุมใดมีแต่เหยียบหัวพระพุทธเจ้า เหยียบหัวพระธรรมที่สอนไว้โดยถูกต้อง เหยียบหัวพระสงฆ์ที่เป็นธรรมชาติที่เลิศเลอของเราตลอดเวลา ด้วยความคิดผิดพลาด ลบล้างคำสอนพระพุทธเจ้าในหัวใจของเราที่เป็นเทวทัต ให้แก้ตัวเทวทัตนี้ให้ดีนะ
สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม ธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ตรัสแล้วชอบแล้ว คือไม่มีอะไรที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขว่าไม่ถูกหรือบกพร่องไป ในคำสอนของพระพุทธเจ้าถูกต้องทุกอย่าง ที่มันบกพร่องก็คือตัวของพวกเราเอง มองดูคน ๆ หนึ่งมันไม่ได้เต็มบาท มีแต่คนบกพร่องเต็มเนื้อเต็มตัว บกพร่องในความถูกความดีงามทั้งหลาย แต่ความผิดพลาดนี้เต็มตัว ๆ คือพวกเราเอง ให้พากันไปแก้ไขดัดแปลงตนเองนะ อย่าไปมองแต่พระพุทธเจ้าในทางที่ไม่ดีซึ่งจะทำลายตัวเอง อย่าไปมองพระสงฆ์สาวก เรียกว่าอย่าไปมองธรรมที่ท่านสอนไว้ด้วยความถูกต้องแล้ว ว่าผิดนั้นพลาดนี้ ถูกนั้นไม่ถูกนี้ ลบล้างนั้นลบล้างนี้ ให้ยิ่งกว่าที่จะมาลบล้างความผิดพลาดของตัวเอง ด้วยความคิด ความเห็น คำพูดคำจากิริยาแห่งการทำทั้งหลายซึ่งเป็นของเลวร้ายประจำตัวของเราทุกคน ๆ ออกโดยลำดับลำดานะ ถ้าไม่อย่างนั้นมันจะมีแต่ขนโคเต็มตัว ๆ นะ
พากันเข้าใจทุกวี่ทุกวันไป ควรจะดีขึ้นเรื่อย ๆ พวกเรานะ ขอให้ทราบชัด ๆ ให้ถึงใจด้วยอันหนึ่งนะ พระพุทธเจ้า พระสงฆ์สาวก และธรรมของพระพุทธเจ้า หรือธรรมธาตุไม่ใช่บ๋อยของเราทั้งหลายนะ เป็นยอดเจดีย์ที่ควรจะกราบไหว้ด้วยความเคารพนับถือและปฏิบัติตามท่านเข้าใจเหรอ ให้จำคำนี้ให้ดี ไม่อย่างนั้นจะเหลวแหลกไปเรื่อย ไม่เห็นเรื่องธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นของสำคัญ นั่นละเสียตรงนั้นเสียไปทุกวัน แล้วมิหนำซ้ำ เอ้า ยกตัวอย่างอีก อย่างเราเทศน์สอนพี่น้องทั้งหลายนี้เป็นเวลา ๕ ปีกว่ามาแล้วที่สอนอย่างเปิดเผยเต็มเม็ดเต็มหน่วย อันนี้เราก็พูดตรง ๆ เราไม่ใช่เป็นบ๋อยของพี่น้องทั้งหลายนะ เราตั้งหน้าตั้งตามาสอนด้วยความเมตตา ขอให้ยึดธรรมนี้เป็นเครื่องปฏิบัติดัดแปลงตัวเอง บืนตามคำสอนของพระพุทธเจ้า นั้นจะเป็นความถูกต้องดีงาม บ้านเมืองเราจะสง่าราศีด้วยการฟังอรรถฟังธรรม ฟังเสียงครูเสียงอาจารย์นะ เอาละ จุดนี้เป็นจุดสำคัญมาก ฝากอันนี้ไว้นะ
โยม สาธุ ทองคำครับ มีแหวน ๓ วงครับ
หลวงตา เออ พอใจ ๆ มาจากไหนละ
โยม ยโสธรครับ
หลวงตา เออ ดีแล้ว ยโสธร เป็นยังไงการพูดการตอบปัญหาวันนี้ก็พอจะเข้าใจแล้วนะ
โยม ดีมากครับ เข้าใจครับ
หลวงตา ถ้ามีปัญหาเรื่อย มันก็ออกเรื่อยของมัน เราจึงบอกว่าบกพร่องอยู่ที่การตอบปัญหา เทศนาว่าการมาก ธรรมทุกขั้นเราบอกตรงๆ เลย เราไม่บกพร่อง ไม่ว่าธรรมขั้นไหนที่เราเทศน์ไปแล้วไม่มีที่ว่าจะต้องไปแก้ไข ขั้นใดก็ตาม และเทศน์อย่างมากมายไม่บกพร่องเช่นเดียวกัน มาบกพร่องปัญหาที่ว่า ซึ่งควรจะได้รับประโยชน์เป็นพิเศษ ๆ แบบสะดุดใจ ๆ มีน้อยมากนะ
เมื่อวานนี้ได้ทอง ๑ บาท ดอลลาร์ได้ ๒๐ ดอลล์ วันนี้ได้ ๑๐ กว่าบาทแล้วนะ ๆ เอาละเรามีธุระ เมื่อวานนี้เราไปโน้น ไปด่าน ๒ ด่าน ด่าน ๒ ด่านนี้รักษาสมบัติของชาติเอาไว้ที่น้ำหนาว เราช่วยมาตั้งแต่เราไปสร้างโรงพยาบาลหล่มสัก เราเดินไปเดินมาสังเกตดู เกิดความสงสารไปเรื่อย ๆ เวลาผ่านไปผ่านมาไปดูโรงพยาบาลไปดูตึกก็เอาของไปแจกเขาเรื่อย จากนั้นมาแจกตลอดจนกระทั่งทุกวันนี้ มันกี่ปีแล้วนะ คงไม่ต่ำกว่า ๗ ปี นี่เราไปให้เดือนละหนๆ ทุกครั้งเลย ทุกเดือนจนกระทั่งบัดนี้ เมื่อวานนี้ก็เราจะไปกรุงเทพฯ เขาคงผิดสังเกต คือธรรมดาไปเดือนละหน ๆ คือไปต้นเดือน เราเอาเขตที่เราไปให้นั่นละเป็นขอบ ครบนั้นแล้วก็เป็น ๑ เดือน เราก็เอาไปให้เดือนละหน ๆ ทุกครั้ง แต่เมื่อวานนี้ไปหนแรกวันที่ ๒ เมื่อวานนี้วันที่ ๑๗ เพียง ๑๔-๑๕ วันเราไปแล้วเมื่อวาน เขาคงผิดสังเกต เราก็ได้ชี้แจงให้ฟังว่า หลังจากนี้ยังอีก ๒-๓ วันเราจะไปกรุงเทพ ถ้าไปกรุงเทพฯ กว่าจะกลับมาก็เป็นเวลานานจึงรีบมาให้เสียวันนี้ เขาถึงได้เข้าใจ เขาคงงงบ้างเหมือนกัน แต่เขางงด้วยความดีใจ เห็นเราเอาของไป มีเท่านั้นละนะ
ชมการถ่ายทอดสด ธรรมะหลวงตาวันต่อวัน ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th |