เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๖
เถียงพ่อเป็นบาปหรือไม่
(คำถามทางอินเตอร์เน็ตครับผม) ถามว่าไง ลองว่ามาซิ
เรื่องคนในครอบครัว พ่อแม่ ลูก นะครับ เขาบอกว่า นมัสการหลวงตาบัว หนูมีเรื่องทุกข์ใจ และมีปัญหาจะกราบเรียนขอความเมตตาหลวงตาชี้ทางสว่างด้วยค่ะ ครอบครัวของหนูเป็นครอบครัวมีฐานะปานกลาง มีพี่น้องทั้งหมด ๕ คน พ่อแม่ประกอบอาชีพค้าขาย ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ตั้งแต่หนูเป็นเด็กจนเติบโตขึ้น ได้เห็นความทุกข์ใจของแม่ ความรักของแม่ที่มีต่อพ่อ พ่อได้ทำลายจิตใจแม่ตลอด คือพ่อมีภรรยาใหม่ นำทรัพย์สินของแม่ไปปรนเปรอผู้หญิงอื่นกับลูก พ่อเหินห่างครอบครัวไม่ได้มาใกล้ชิดสนิทสนมเหมือนเดิม พวกพี่น้องก็รับรู้การกระทำที่ไม่ดีของพ่อ
พ่อชอบทำบาป ตกปลา เล่นการพนัน เที่ยวโสเภณี สร้างความทุกข์ใจให้กับแม่ แม่ก็พร่ำสอนลูกว่า อย่าไปว่าพ่อมันเป็นบาป เวลาพ่อทำไม่ถูก แม่สั่งให้ลูกเงียบๆ ไม่ต่อล้อต่อเถียงกับพ่อ ที่บ้านหนูเลี้ยงสุนัข พี่น้องหนูทุกคนรักสุนัข บ่อยครั้งที่พ่อจะทำร้ายความรู้สึกของลูกๆ เช่น นำสุนัขที่ลูกนำมาเลี้ยงไปปล่อยวัดบ้าง ไปปล่อยข้างถนนบ้าง โดยที่ลูก ๆ ไม่รู้ ทุกครั้งที่สุนัขของหนูถูกนำไปปล่อย ก็จะเกิดทะเลาะมีปากเสียงกับพ่อ พ่อบอกว่าไม่อยากทำความสะอาดมันเป็นภาระ นี่เป็นข้ออ้างของพ่อ บางครั้งพ่อก็ทำร้ายสุนัขถึงตาย และมีการวางยาให้สุนัขกิน แล้วมันก็ตายสมใจพ่อ
ครั้งสุดท้ายที่หนูคิดว่าไม่ไหว คือพ่อนำสุนัขพุดเดิ้ลตัวเล็กๆ ไปปล่อย สุนัขตัวนี้เป็นสุนัขที่คุณปู่ของหนูซึ่งท่านชรามากแล้ว และเป็นเพื่อนเล่นของท่าน พ่อก็นำไปปล่อย หนูคิดว่านับวันพ่อก็ยิ่งทำบาปมากขึ้น หนูอยากจะคุยกับพ่อบอกพ่อว่า เมื่อไรพ่อจะหยุดทำบาปเสียที แล้วเมื่อไรจะเห็นใจในความรู้สึกของคนในครอบครัว เมื่อไรจะรู้สึกเมตตาต่อบุคคลอื่นบ้าง
หนูก็บอกกับแม่ว่า หนูเหลืออดแล้ว ถ้าไม่คุยไม่พูดไม่บอกกับพ่อ พ่อก็ไม่มีวันได้รับรู้ แม่ก็บอกกับหนูว่า ถึงพูดกับพ่อก็ไม่รู้สึก แม่บอกว่าอย่าไปต่อความยาวสาวความยืด หนูเห็นว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกไม่ควร และเกิดบันดาลโทสะ ก็บอกพ่อว่า พ่อคิดโง่ๆ ทำโง่ๆ แม่ก็บอกว่า หนูไม่ควรจะว่าพ่อเพราะว่ามันเป็นบาป หนูเป็นคนที่ละอายต่อบาป เข้าใจว่าบาปเป็นอะไร แต่หนูก็ย้อนกลับถามแม่ว่า หนูเข้าใจคำว่ากตัญญู และหนูก็มีให้เต็มร้อย แต่ความผิดความถูกความชอบธรรมนั้น เราว่ากล่าวตักเตือนกันได้ ใครผิดก็ต้องว่าไปตามผิด ใครถูกก็ต้องสนับสนุน แต่แม่บอกว่า ไปว่าพ่อนั้นมันเป็นบาป หนูก็อยากกราบเรียนถามหลวงตาว่า สิ่งที่หนูต่อว่าพ่อของหนูที่พ่อทำผิด เป็นบาปต่อบุพการีหรือไม่ ขอหลวงตาเมตตาชี้ทางสว่างให้แก่หนูในเรื่องนี้ด้วยเทอญ กราบขอบพระคุณ
หลวงตา เรื่องที่กล่าวมานี้ แม่ก็ดี ลูก ๆ ก็ดี เป็นแม่ตัวอย่างของลูกทั้งหลาย ลูกๆ ทั้งหลายก็เป็นตัวอย่างของลูกทั่วๆ ไป ควรจะยึดเป็นคติสอนตนเองให้ประพฤติเหมือนแม่กับลูกที่มาเล่าอยู่เวลานี้ทั่วหน้ากัน จะเป็นความดีมาก ส่วนพ่อนั้นเรียกว่าเลวเป็นลำดับลำดา อย่าเอามาเป็นตัวอย่าง ที่เลว พ่อคนนี้ถ้าเป็นพ่อหมาหรือก็น่ากลัวว่ามันจะไม่รับเป็นพ่อมัน เพราะมันเลวกว่าหมา ให้พากันระมัดระวัง พ่อประเภทที่กล่าวมาเหล่านี้ ไม่ใช่พ่อของคนดีทั่วๆ ไป ขอให้พี่น้องทั้งหลายทราบทุกคน ที่เด็กมาพูดเหล่านี้กระจายทั่วโลก ควรจะได้เป็นคติตัวอย่าง โดยนำเอาเรื่องของแม่และเรื่องของลูกนี้มาเป็นคติเครื่องเตือนใจ
ส่วนเรื่องของพ่อเป็นพ่อที่เลว อย่านำมาเป็นคติจะเป็นคนเลวกันทั่วโลกไปหมด นี่เราพูดเฉพาะเรื่องแม่ดี ลูก ๆ ดี พ่อเลว ทีนี้เมื่อย้อนแล้วพ่อดี แม่ไม่ดี ลูก ๆ ไม่ดี ลูกเลวก็เป็นความเสียหายเช่นเดียวกัน จึงอย่านำมาใช้ให้เป็นพ่อดี เป็นคติตัวอย่าง พ่อดี ลูก ๆ ดี เป็นคติตัวอย่าง แล้วทั่วโลกนี้มีพ่อมีแม่มีลูกทั่วหน้ากัน ซึ่งใครก็มีโอกาสที่จะทำผิดหรือทำถูกได้เต็มตัวเช่นเดียวกัน ส่วนมากมักจะทำผิด เพราะสิ่งที่ผิดนี้มีกำลังมากกว่าสิ่งที่ถูกอยู่ภายในใจดวงเดียวของเรา จึงขอให้พากันพินิจพิจารณาให้ดี
เรื่องของเด็กกับแม่นี้เป็นคติอันดีงาม เรื่องของพ่อนี้เป็นผู้ที่เลวอย่านำมาใช้ ทุกคนผู้ชายเราให้เห็นใจ อยู่ร่วมกันในครอบครัว อยู่กับเมียให้เห็นใจเมีย เมียมีหัวใจ ผัวมีหัวใจ ลูก ๆ ทั้งหลายมีหัวใจ แม้ที่สุดสัตว์เลี้ยงในบ้านเขาก็มีหัวใจ เอาไปปล่อยไปทิ้งไปขว้าง หรือไปฆ่าด้วยวิธีการต่าง ๆ ซึ่งทำลายจิตใจและร่างกายของสัตว์นั้นไม่เป็นสิ่งที่ควรอย่างยิ่ง ให้นำธรรมอันนี้ไปปฏิบัติทั่วโลก สมกับนามว่าเราเป็นชาวพุทธนะ นี่เป็นข้อหนึ่ง แล้วมีอะไรที่ยังบกพร่อง
(ลูกเขาถามว่าเขาทนไม่ไหว ที่พ่อเขาทำบาป เขาถามว่าที่เขาต่อว่าพ่ออย่างนี้เป็นบาปไหมครับ) ต่อว่าพ่ออย่างที่ต่อว่าในทางที่ถูกอย่างนี้ไม่เป็นบาป พระพุทธเจ้าก็เคยต่อว่าสัตว์มามากแล้ว เป็นแต่เพียงว่าสัตว์มันดื้อด้าน มันไม่ยอมฟังคำพ่อใหญ่คือพระพุทธเจ้าเท่านั้นเอง ให้เราฟังคำพ่อของเราคือพระพุทธเจ้าทุกคนๆ นะ ต่อไปว่าไป (ไม่มีครับ มีข้อเดียวนี่ครับเขาข้องใจอยู่ ) ว่าเขาจะเป็นบาปไหมว่างั้น ไม่เป็นบาป ควรว่าต้องว่าซิ พ่อกับลูก แม่กับลูก มีความรับผิดชอบกันอยู่เต็มตัวด้วยกัน ใครผิดใครถูกต้องแนะนำ ต้องดุต้องว่ากันเป็นธรรมดา คนเราถ้าว่าถ้าสั่งสอนกันไม่ได้ โลกนี้เรียกว่าไม่มีธรรมเลย ถ้าเป็นสัตว์ก็เป็นสัตว์ไม่มีเจ้าของ ไม่มีใครต่อว่า ไม่มีใครรับผิดชอบ จึงอย่าให้เป็นดังที่ว่านี้
ให้แนะนำตักเตือนกันได้ ไม่ว่าแต่ในครอบครัวเหย้าเรือนของเรา เพื่อนฝูง ญาติมิตร คนร่วมงาน รวมแล้วทั่วโลก เห็นหน้ากันแล้วใครผิดใครถูกให้แนะนำบอกกล่าวกันได้ เพราะความดิบดีทั้งหลายนี้เป็นธรรมทั่วโลก โลกเราถ้าต่างคนต่างคอยฟังเสียงถูกต้องดีงามคือเสียงอรรถเสียงธรรมต่อกันอยู่แล้ว จะมีความสนิทสนมกันทั่วประเทศ เช่นอย่างประเทศไทยสนิทกันทั่วประเทศ ในวงงานต่าง ๆ ก็มีความสนิทตายใจกันทั่ววงงาน เข้ามาครอบครัวเหย้าเรือนก็สนิทสนมตายใจกันด้วยทั้งครอบครัว เพราะต่างคนต่างฟังเสียงเหตุเสียงผล เสียงอรรถเสียงธรรม เพื่อการแก้ไขในสิ่งไม่ดี และปฏิบัติตัวให้ดีต่อกัน
มีเท่านั้นหรือถามมาอีก (เขาว่าปรกติปัจจุบันนี้ผู้ใหญ่จะชอบเอ็ดเด็ก เวลาเด็กจะต่อว่าผู้ใหญ่ก็จะอ้างว่าเป็นพ่อเป็นแม่ เด็กมาว่าพ่อแม่ไม่ถูก เป็นบาปไม่สมควรครับผม) พ่อเช่นนี้เรียกว่าพ่ออันธพาล แม่เช่นนี้ก็ว่าแม่อันธพาล เข้าใจเหรอ ถ้าลูกคอยจะต่อว่า จะเถียงพ่อเถียงแม่ โดยความประพฤติของตัวที่เลวนี้ไม่ยอมแก้ไข นี่ก็เรียกว่าลูกอันธพาล ถ้าตรงกันข้ามดีแล้ว พ่อก็เป็นคนดี แม่เป็นคนดี ลูกเป็นคนดี ไปสังคมกับใคร ๆ ก็กลายเป็นคนดีด้วยกัน เอ้า ถามมา ถ้าเตรียมจะตอบแล้วถามมาก็ตอบเลยแหละ (อย่างนี้ให้ยึดหลักธรรมะเป็นหลักนะฮะ ถ้าทำถูกต้องตามหลักธรรมะ จะเป็นลูกเป็นผู้น้อยก็ต่อว่าผู้ใหญ่ที่ไม่มีธรรมได้)
ได้ เพราะธรรมใหญ่กว่าอยู่แล้ว อยู่กับเด็ก ธรรมก็ใหญ่ เพราะฉะนั้นเด็กนำธรรมมาแนะนำสั่งสอนจึงถูกต้องดีงาม เพราะธรรมใหญ่อยู่แล้ว ไม่มีอะไรใหญ่เกินธรรมไป ใครจะหยิบขึ้นมาตักเตือนสั่งสอนซึ่งกันและกันได้ทั้งนั้น เอ้า ถามมา (ให้หลวงตาอธิบายให้ลึกซึ้งไปอีกครับ) แล้วแน่ใจหรือยังว่าที่ถามนี่ลึกซึ้งขนาดไหน ถามมานี่ เอะอะจะให้ผู้ตอบตอบลึกซึ้งเลย เราตอบไม่ได้ เราต้องคอยฟังเสียงคำถามมาก่อน ว่าผู้ถามถามอะไรและลึกซึ้งอย่างไรหรือไม่ จะมาบังคับให้เราตอบคนเดียว เอาลึกซึ้งทีเดียวเลยไม่ได้ เดี๋ยวเราจะพาไปขุดส้วมขุดถาน มันลึกซึ้งตรงนั้นนะ เข้าใจ เอ้าว่าไป
เออ ชี้ทางสว่าง ให้พากันฟังเหตุฟังผล เราเป็นลูกชาวพุทธ พ่อของเรานั้นเรียกว่าเลิศเลอแล้ว ในโลกทั้งสามนี้ไม่มีใครเกินพระพุทธเจ้าแหละ ขอให้พากันยึด เด็กยึด ผู้ใหญ่ยึด น่าเคารพเลื่อมใส เด็กก็น่ารัก ผู้ใหญ่น่าเคารพเลื่อมใส ยึดมาปฏิบัติ ประสับประสานกันด้วยความดีทั้งหลายคือธรรม จะเป็นคนดีทั่วโลก เวลานี้ที่มันเกิดเรื่องเกิดราวตลอดเวลาทั่วโลกดินแดนกันนี้ มีตั้งแต่เรื่องกิเลสออกทำงานอาละวาด ผู้ใหญ่ยิ่งอาละวาดหนัก ไม่มีเหตุมีผลมีกฎมีเกณฑ์ ถืออำนาจป่าเถื่อนมาเป็นผู้สั่งการสั่งงาน ทีนี้โลกก็เลยเดือดร้อนไปหมด ถ้ามีอรรถมีธรรม ผู้ใหญ่เท่าไรยิ่งมีความเมตตาสงสาร เฉลี่ยเผื่อแผ่แก่ผู้น้อยได้เต็มกำลังของตนๆ ผู้น้อยก็มีความเคารพรัก ไปที่ไหนเป็นอย่างนี้ด้วยกัน ตามหลักของผู้ใหญ่แล้วดี เช่นประเทศชาติต่างๆ นี้ มีประเทศใหญ่ประเทศเล็ก มีทั่วไป นี่ก็เท่ากับเป็นพ่อเป็นพี่เป็นน้องกันมาโดยลำดับ แล้วต่างคนต่างให้อภัยเฉลี่ยเผื่อแผ่กัน เป็นธรรมด้วยกันทั้งนั้น ตอบนี้ลึกไหมนี่ ตอบนี้ลึกหรือไม่ลึก
เอา ให้ถามมาลึกๆ กว่านี้ลองดูซิ จะตอบว่ายังไงผู้ตอบน่ะ คอยฟังคำถาม ถามมาเสียก่อนซิ (ในจดหมายนี้นะครับ แม่ก็คอยจะห้ามลูกอยู่ตลอดเวลา เวลาลูกจะต่อว่าพ่อ กรณีที่พ่อทำบาปทำผิดนี่นะครับ) แม่นี้ถูกต้องดีมากทีเดียว ถึงขั้นดีมากของขั้นฆราวาสเรา เราฟังเสียงมาโดยลำดับ ไม่มีอะไรแสลงหูเลย เอ้า ว่าไป (ลูกก็อธิบายกับแม่ว่า ลูกเข้าใจคำว่ากตัญญู แล้วเขาก็มีให้เต็มร้อยกับพ่อแม่ แต่ทีนี้ความถูกความชอบธรรมนั้น ควรจะว่ากล่าวกันได้ ใครผิดก็ว่าไปตามผิด ใครถูกก็ต้องว่าไปตามถูก แต่แม่ก็ชอบอ้างว่าอย่าไปต่อว่าพ่อ เพราะจะเป็นบาป)
อันนี้แม่คงเห็นว่าพ่อมันเป็นเสืออยู่แล้ว ใครเดินผ่านมามันจะงับเอา แม่ก็เลยเตือนลูก กลัวลูกตายเพราะพ่องับเอา แม่ไม่ได้ผิดนะ แม่มีแง่คิดอยู่ภายในลึกๆ ว่าจะเกิดเรื่อง ความหมายว่างั้น เอ้าว่าไป วันนี้เอาสนทนาละมา เอ้า ถามมาจะตอบ การเทศน์สอนโลกคราวนี้ ๕ ปีกว่า บกพร่องที่การถามการตอบธรรมะ เราพูดมาโดยตลอด ถ้ามีการถามการตอบธรรมะกันแล้ว ธรรมะทั้งหลายเหล่านี้จะมีรสชาติสูงขึ้นโดยลำดับ เพราะการถามการตอบธรรมะนี้ เป็นสิ่งที่ไม่เคยรู้เคยเห็นมาก่อน ออกจากความรู้สึกของแต่ละคนที่ถามมา การตอบไปก็ตอบไปตามเหตุตามผลหลักเกณฑ์ของการถาม เพราะฉะนั้นคติตัวอย่างอันดีจึงมักจะเกิดจากปัญหา ธรรมนี้ท่านไปกลางๆ ยึดได้เป็นลำดับๆ แต่ปัญหานี้มักตอบเข้าสะดุดใจกึ๊กๆ ไปเลย
(เหตุผลของพ่อที่ทำร้ายสุนัขก็ดี เอาสุนัขไปปล่อยก็ดี บอกว่าสุนัขมันชอบทำสกปรก พ่อไม่อยากทำความสะอาด มันเป็นภาระของพ่อ) ถ้าหากพ่อว่าสุนัขสกปรก ก็ชำระพ่อตัวสกปรกใหญ่ ๆ นั้นเสียก่อนซี พ่อทำทุกอย่างที่เป็นความสกปรกแก่ครอบครัวเหย้าเรือน มิหนำซ้ำอาจทำต่อเพื่อนฝูงต่อไปก็ได้ ด้วยความสกปรกจากความประพฤติอันนี้ พ่อควรจะทำความสะอาดให้พ่อเสียบ้าง หมาทำความสกปรกไม่เหมือนพ่อทำความสกปรก ซึ่งเป็นความเสียหายมากยิ่งกว่าหมาทำความสกปรกในบ้านในเรือน ไม่เห็นมีความเสียหายอะไร เป็นตามประสาหมาเฉยๆ ถ้าว่าขี้เขาไม่มีส้วม เขาก็ขี้ระไป จะไปว่าเขาทีเดียวก็ไม่ได้ เราคนมีส้วมอยู่มันยังไปขี้ใส่หัวคนได้ ขี้รดหัวคนก็ได้ ความประพฤติชั่วนั่นแหละรดหัวใจของคนให้บอบช้ำมากมาย ยิ่งกว่าหมาทำความสกปรกต่อคน เอ้า แล้วมีอะไรอีก
(มีอีกนิดหนึ่ง เขามีปู่อยู่ด้วย ปู่ก็รักหมา แต่พ่อก็เอาหมาของปู่ไปปล่อย) นี่ละพ่อตัวอันธพาล ไปทำลายจนกระทั่งปู่ หมาปู่ก็ทำลาย ปู่ก็ทำลาย พ่อคนนี้เลวมากใครอย่าเอามาเป็นตัวอย่าง พ่อคนนี้ถ้าลงเป็นปู่แล้วมันยังจะร้ายยิ่งกว่านี้ มันเป็นขนาดนี้ก็ยังเลวมากอยู่แล้ว ถ้าได้เป็นปู่คนนี้โลกนี้พินาศเลยนะ ปู่คนนี้น่ะ เข้าใจไหม เอาแค่นั้นก่อน เอ้า ถามมา ถ้าเตรียมจะตอบเอาจริงนะ พอถามปั๊บมันจะใส่ปั๊วะเลย พูดจริงๆ เพราะฉะนั้นเราถึงว่าบกพร่องในเรื่องปัญหา การไปเทศนาว่าการ ถ้ามีปัญหามามันจะรับกันทันที ออกทันที ขนาดไหนออกมา เว้นแต่อะไรควรไม่ควรมันก็รู้เอง เท่านั้นเอง
ปัญหาเหล่านี้เป็นกัณฑ์เทศน์อันใหญ่หลวงสำหรับเราชาวพุทธ ควรจะได้ถือเป็นคติตัวอย่างในครอบครัวเหย้าเรือนของกันและกัน ให้ดูใจกัน ผู้หญิงฝ่ายแม่บ้านก็ให้ดูใจพ่อบ้าน พ่อบ้านดูใจแม่บ้าน ดูใจลูกเล็กเด็กแดงตลอดไปหมด ต่างคนต่างอ่านเข้าอ่านออก กระจายออกไปแล้วจะมีส่วนดีออกใช้มากกว่าส่วนที่เสียหายนะ ส่วนมากคนเราไม่ค่อยคิด อยากทำอะไรก็ผลุนผลัน เพราะอำนาจของกิเลสมันรุนแรง เกินกว่าที่จะได้ไตร่ตรองหรือห้ามปรามไว้เสียก่อน มันผางออกไปแล้ว ๆ เสียหายมาแล้วมันก็เสียไปแล้ว แก้ไม่ตก แล้วก็ไม่สนใจจะแก้ด้วย นี่ที่สำคัญ มีแต่ทำเรื่องสกปรกไปเรื่อย ไม่มีการแก้เลย
(ขอประทานเมตตา การตอบคำถามของหลวงตาได้คิดไว้ล่วงหน้าหรือเปล่าครับผม) นี่เราพูดตามหลักความจริงแล้วเราไม่ได้คิด แต่นี่เจ้าคุณอุปัชฌาย์ถามเรา เพราะท่านฟังเทศน์เรามาตั้งแต่เราอายุหนุ่มน้อย การเทศน์ท่านฟังมาตลอด ไปที่ไหนต้องเอาเราไปเทศน์ทั้งนั้น ๆ เฉพาะอย่างยิ่งคือ วัดโพธิสมภรณ์ ที่ซ่อมโบสถ์ท่านไปกู้เงินเขามา แล้วพวกบรรดาลูกศิษย์ลูกหาเป็นห่วงใยท่าน รีบหาเงินช่วยท่าน นำมาคืนให้เขา แล้วงานไหนก็ตามเมื่อเขามาทอดผ้าป่าวัดโพธิแล้ว จะต้องมาเอาเรา แล้วท่านมาเองด้วยนะ ไม่ให้คนอื่นมา คือคนอื่นมาท่านก็เคยเห็นแล้ว
ถ้ามาแล้วยาแก้เราอยู่ในย่ามนี้ พอมาปั๊บได้ยาแก้ปุ๊บรอดตัวไปเลย คราวหลังท่านก็ใส่มา เอาแบบนั้นเลย มา เราไม่สบาย โอ๊ยไม่สบายไปวัดแล้วหายเลย ไปด้วยกันเดี๋ยวนี้ เอารถมาพร้อม ให้ขึ้นรถไปพร้อม ไปเทศน์ทั้งนั้น ไม่ว่างานไหนเรียกว่าทุกงาน เราไม่เห็นมีเว้นเลย ที่เขามาช่วยวัดโพธิ ทอดผ้าป่า ๆ จังหวัดไหน ๆ เพราะท่านเป็นเจ้าคณะภาค ทางไหนภาคอีสานนี้มาหมด ว่างั้นเลยนะ แล้วท่านก็เอาเราไปเทศน์ในงานผ้าป่า ๆ การเทศน์ก็เป็นทุนสมทบ คือเทศน์จะได้มากได้น้อยเราทุ่มเลย ๆ เพิ่มขึ้นเยอะนะไปเทศน์แต่ละแห่ง ท่านฟังเทศน์เรามานานขนาดนั้น
แล้วการตอบปัญหาก็เหมือนกัน ท่านเป็นนักสื่อของปัญหาที่จะให้ปัญหาเกิดด้วย เวลาเทศน์จบลงแล้วใครมีปัญหาอะไรก็ให้สนทนากัน เอ้าถามมา เหมือนว่าท่านจะเป็นคนรอตอบ พอเขาถามมา เอ้า บัวตอบ ว่างั้นนะ มันเป็นอย่างงั้น ท่านจึงได้ฟังการตอบปัญหาของเรา คือมันมากต่อมาก คนที่ถามปัญหามันหลายคนแล้วแต่ความคิดเห็นยังไง รู้สึกยังไงก็ถามมา เราก็ตอบตามปัญหานั้น ๆ ท่านก็มาถามเราแหละเห็นตอบมามากต่อมาก นี่เวลาเธอตอบปัญหาจำนวนมาก ๆ อย่างนี้ เธอได้คิดไว้ไหม เราไม่เคยตอบท่าน เราเฉย ไม่เคยตอบ ตอบเฉพาะวันนี้ บอกเราไม่ได้คิด บอกตรง ๆ อย่างนี้เลย คิดในเวลาที่คิดตอบเท่านั้นเอง ที่จะคิดเตรียมนั้นเตรียมนี้ไม่ทันแล้ว
ก็อย่างท่านถามเราว่า มีคนถามมาจำนวนมาก ๆ มากมาย ปัญหาหลายข้อหลายคนนี้เธอได้คิดไว้ไหม การตอบปัญหา เราก็ไม่ตอบ สุดท้ายท่านก็รวบรวมมาตอบคนเดียว ตอบอย่างเด็ด ๆ ด้วยว่า ไม่คิด ท่านว่างี้นะ ถ้าคิดตอบไม่ทัน ท่านตอบเอง ไม่คิด ถ้าคิดตอบไม่ทัน เราก็เฉยอีก ท่านบอกว่าการตอบปัญหาของเธอนี่ เทศน์เรายกให้ ท่านพูดมาตั้งแต่นู้นแล้วการเทศน์ เพราะแต่ก่อนธาตุขันธ์ดี ธาตุขันธ์พร้อม เพราะจิตใจก็เป็นจิตใจอยู่แล้ว ธาตุขันธ์ก็พร้อม ออกเลย ๆ เทศน์ การตอบปัญหาก็เหมือนกัน นี่ท่านเห็นเหตุผลอย่างนี้ ท่านจึงได้เอาเรื่องเหล่านี้มาถามถึงการเทศน์การตอบปัญหา
เธอเทศน์นี้เรายกให้ แต่การตอบปัญหานี้เป็นที่หนึ่งในการเทศน์ของเธอคนเดียวกัน เทศน์เป็นที่สอง ท่านว่างั้น การตอบปัญหาเป็นที่หนึ่ง เราชอบมากทีเดียว นี่เรื่องของท่านเจ้าคุณอุปัชฌาย์ ท่านมีบุญมีคุณต่อเรา เราไม่เคยแตะนะไม่ว่าจะไปเทศน์ที่ไหน ถ้าท่านไปด้วยแล้วเราจะยกให้ท่านหมดเลย เราไม่เคยแตะ ถึงกับท่านว่า เอ้า เธอจะเอาอะไรไปใช้ไปสอยล่ะ กระผมมีแล้ว เท่านั้นพอ ยกให้ท่านหมดเลย ยิ่งวัดโพธิด้วยแล้วแม้แต่งานศพเขานิมนต์เราไปเทศน์ในงานใหญ่ๆ ไปเทศน์แล้วก็ถวายทั้งหมดเลยเราไม่เคยรับ เราตอบสนองบุญคุณกตัญญูต่อท่าน เป็นพ่อเรา เราเป็นพระเป็นสัทธิงวิหาริกท่าน ท่านเป็นผู้บวชเรา เราจึงสนองคุณท่านด้วยวิธีการเหล่านี้
(ท่านอาจารย์สิงห์ทองก็พูดว่าพ่อแม่ครูอาจารย์ตอบคำถามดีกว่าเทศน์ เทศน์ก็ดีอยู่แล้วแต่ว่าตอบคำถามเป็นที่หนึ่ง) นั่นแล้วที่ท่านเจ้าคุณท่านว่า ทั้งสองนั่นแหละ ทั้งเทศน์ทั้งตอบปัญหา ถ้าไม่มีปัญหาเทศน์ของเธอน่ะดี ท่านบอกว่าดีเลยแหละ ดีบอกเต็มปากเลย แต่ถ้ามีปัญหาแล้วเทศน์เป็นที่สอง การตอบปัญหาเป็นที่หนึ่ง (อย่างนี้เรียกว่านิรุตติปฏิสัมภิทา) นิรุตติ แตกฉานในความขี้เกียจขี้คร้าน เข้าใจหรือเปล่า หมอนแตกเย็บวันหนึ่งกี่ลูกก็ไม่รู้ นี่นิรุตติ เข้าใจไหม เอ้าถามมาอีก เสื่อขาดหมอนขาด ทั้งวันเย็บแต่หมอน ทั้งคืนมีแต่นอน เข้าใจไหม นี่เรียกว่านิรุตติปฏิสัมภิทา แตกฉานมาก
มักเอามาตีเราอยู่เรื่อยๆ นะ นิรุตติ มักเอามาตีเราอยู่เรื่อย ๆ คำว่านิรุตตินี้ ปฏิสัมภิทาญาณ ๔ ท่านแสดงไว้ในธรรม อัตถปฏิสัมภิทา แตกฉานในอรรถ เหมือนอย่างกระทู้ที่มัดไปอย่างนี้ แก้กระทู้ออก ตีกระจายออกไปหมด เหมือนเอาไม้มามัดกันไว้ เรียกว่ากระทู้ คือมัดเอาไว้ คืออรรถ มัดเอาไว้นี้ แล้วตีความหมายของอรรถนี้กระจายออกไป ๆ เป็นธรรม ทีนี้ธรรมแตกแขนงออกไปเรื่อย ๆ เรียกว่า อัตถปฏิสัมภิทา แตกฉานในอรรถ ขยายความย่อให้พิสดารไปได้มากมาย ธรรมก็แตกแขนงออกไปอีก จากกิ่งอันนี้ไปอีก อัตถปฏิสัมภิทา ธัมมปฏิสัมภิทา แตกฉานในอรรถ แตกฉานในธรรม นิรุตติปฏิสัมภิทา แตกฉานในคำพูดคำจา วาทะการโต้การตอบ ทุกสิ่งทุกอย่างแตกฉานไปเรื่อยๆ นี่เรียกว่านิรุตติ การเทศนา การโต้การตอบ การพูดจาทันกาลทันสมัย
แตกฉานครอบไปหมดทั้งสี่นี้ เรียกว่า ปฏิภาณปฏิสัมภิทา เข้าใจเหรอ มีแต่ว่านิรุตตินั้นนิรุตตินี้ คนอื่นเขาไม่ทราบว่าปฏิสัมภิทาหมายความว่าไง เราจึงแยกออกมาถึงสี่ ปฏิภาณปฏิสัมภิทา เรียกว่า แตกฉานรอบสี่ประการนี้หมด ท่านว่าปฏิสัมภิทาญาณสี่ บางองค์เด่นทางปฏิสัมภิทานี้ บางองค์เด่นทางนั้น บางองค์เด่นทางนั้น ๆ บางองค์เด่นครอบไปหมดก็มี ความหมายว่างั้น ให้พากันเข้าใจนะ
(มีถามมาจากข้างหลังครับผม เกี่ยวกับศีลห้าครับ ถ้ารักษาศีลห้าไม่ครบทั้งห้าข้อ แต่อยากจะให้เกิดสมาธิ ปัญญา สมาธิปัญญาจะเกิดได้หรือไม่อย่างไร ลงชื่อนายเจษฏาบดีบายศรี) อันนี้มันก็มีแยก ถ้าพระผู้บวชมาแล้วเป็นผู้ตั้งหน้าตั้งตารักษาศีลให้บริสุทธิ์นี้ ศีลด่างพร้อยเท่านั้นก็เกิดโทษมากแล้วเข้าใจไหม ผู้รักษาศีลห้าตั้งหน้าตั้งตารักษาศีลห้า แต่ศีลไปขาดเสียข้อใดข้อหนึ่ง ผู้นั้นก็แป้วใจเป็นลำดับ ไม่สมบูรณ์ ผู้ไม่ได้รักษาศีลเลย โง่เง่าเต่าตุ่นไปเป็นอีกแง่หนึ่งนะ พอพูดเรื่องศีลธรรมจิตใจติดปั๊บนี้ เข้าเลยได้เหมือนกัน เป็นขั้น ๆ อย่างนี้นะ
ถ้าต่างคนต่างมีเจตนาเพื่อดีแล้ว จะขาดมากขาดน้อยมันสุดวิสัยบางทีระลึกไม่ได้ก็มี เป็นอีกขั้นหนึ่งเข้าใจหรือ มันเป็นขั้นเป็นตอนนะเรื่องศีลเรื่องธรรม อย่าเอามาบวกกันทีเดียวไม่ได้ ศีลได้แค่ไหนก็ให้เอานะ ผู้ถามมามันมีศีลในตัวหรือเปล่าก็ไม่รู้ละ หรือถามมาโก้ ๆ เราตอบไม่ได้ตอบโก้ ๆ มีสันพร้าตีคนด้วยนะ เข้าใจหรือเปล่า นี่เป็นนิรุตติไหมนี่ มีสันพร้าด้วยตีด้วย ตีขึ้นข้างหลังด้วย
ธรรมะพระพุทธเจ้านี้ไม่มีอะไรเทียบแล้วนะ เพียงแต่เราตัวเท่าหนูนี้มันยอมรับหมดแล้ว เช่น เรานั่งอยู่ในนี้ ในบึงนี้ก็ว่าน้ำมากพอแล้ว แล้วไปดูบึงนั้นใหญ่กว่านี้ บึงนั้นใหญ่กว่านี้ ฟาดไปดูมหาสมุทรว่ายังไง แต่จะตำหนิอะไรไม่ได้ บึงหรือโอ่งนี้มันโอ่งเล็ก มันก็เต็มโอ่งของมัน โอ่งนี้ใหญ่ก็เต็ม บึงก็เต็ม หนองเต็มหนอง มหาสมุทร เต็มมหาสมุทร ไม่มีใครต้องติใครได้เลย ต่างตัวต่างเต็มด้วยกัน นี่ละภูมิวาสนาตั้งแต่สาวกขึ้นไปหาพระพุทธเจ้า น้ำเต็มตุ่ม ๆ ของตัว ๆ เต็มนิสัยวาสนาของตัวอย่างนั้น พระพุทธเจ้าจึงไม่เคยตำหนิผู้ใดเลยนะ องค์นี้นิสัยวาสนาน้อยไม่เคยมี บรรดาที่เป็นพระอรหันต์แล้ว ยกยอให้เป็นไปตามภูมิของตัว ๆ เท่านั้นเอง
เว้นแต่ผู้ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร อย่างพระเทวทัต แต่ก็ยังดีนะพระเทวทัต สุดท้ายก็ยอมโทษของตัว มาลงพระพุทธเจ้า ต่อไปนี้ก็จะได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ชื่ออัฏฐิสาระ หมดกรรมนี้แล้วสุดท้ายก็เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า คือถึงนิพพาน ท่านยังเห็นโทษของท่านพระเทวทัต ผู้ไม่เห็นโทษจนกระทั่งวันตาย ตายด้วยบาปด้วยกรรมพันกันไปตลอด อันนี้น่าวิตกวิจารณ์มากนะ ให้พิจารณาทุกคน ไปตำหนิผู้ใดก็ตาม ให้เห็นโทษแห่งการทำชั่วสำหรับตัวเองโดยหลักธรรมชาติ ทำให้ผู้ใดก็ตามเป็นการทำชั่วเพื่อตัวเอง นี่ตรงนี้ให้เห็นโทษการทำชั่วเสีย ก็จะเห็นโทษในความชั่วของตัวเอง ละความชั่วไปได้ เข้าใจ ให้กลับมาเห็นโทษของตัวเอง พิจารณาใคร่ครวญบ้างซิวันหนึ่ง ๆ อันไหนไม่ดีให้รีบแก้ไขดัดแปลงเสียมันก็ดี
วันนี้เราเอาเพียงแค่นี้ ดูว่าจะเหมาะพอสมควร มีทั้งปัญหา มีทั้งเทศน์นะ ฟาดจนกระทั่งถึงขั้นปฏิสัมภิทาญาณสี่ ไปใหญ่โตเทียว ไปใหญ่นะวันนี้ เอาเท่านั้น ทีนี้จะเรียกกัณฑ์เทศน์
(สุญญกัปคืออะไรค่ะ) คือสุญญกัปว่างเปล่าจากอรรถจากธรรมโดยประการทั้งปวง สัตว์โลกเป็นมนุษย์ก็ตาม เรียกว่าสมัยมิคสัญญี ไม่มีบาปมีบุญ แต่การทำลายกันนี้แหลกเหลวตลอด ไม่มีอะไรชิ้นดีเลย เรียกว่าธรรมะไม่มีแทรกเลย ว่างเปล่าจากความรู้สึกว่าบาปมีบุญมี แต่ทำชั่วไม่หยุด เรียกว่าสุญญกัป ครั้นยังรู้อยู่ว่าบาปมีบุญมีอยู่นั้น คนเรามีหิริโอตตัปปะอยู่บ้าง ไม่มากก็มี ผู้นี้ไม่ค่อยทำบาปอย่างรุนแรงและเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่ผู้ที่ว่าไม่ระลึกเลยเรื่องบาปเรื่องบุญนี้ทำนี้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ผู้ไม่เชื่อได้ยินอยู่ก็ยังมีอยู่บ้างจิตใจคน แต่ผู้ไม่รู้เลยว่าธรรมเป็นยังไงแล้วก็ต้องไม่รู้เลยว่าบาปบุญเป็นยังไง ผู้นี้ทำ นี่เรียกว่าสุญญกัป
(คำเดียวกับสุญญตโลกันต์หรือเปล่าค่ะ) สุญญตโลกันต์ โลกนรกรับผลของสุญญกัปนี้ไป โลกนรกมันสูญไปหมดเรื่องความสุขนี้ไม่มี มีแต่ความทุกข์เต็มตัว สุญญตนรก เรื่องบุญเรื่องกุศล นี้ไม่มีเลย หายเงียบ หรือจะว่าว่างไปหมด มีแต่ทุกข์เต็มตัวก็ได้ เอ้าว่าไป
(พุทธันดรค่ะ) พุทธันดรก็ระหว่างพระพุทธเจ้า ใช้ชื่อเฉย ๆ ระหว่างนี้ต้นเสาต้นนี้ ๆ ต้นเสาต้นนี้คือพระสมณโคดม ต้นเสาต้นนี้คือพระอริยเมตไตรย ระหว่างนี้เรียกว่าพุทธันดร และระหว่างนี้ตีย้อนลงไป นั่นแหละสุญญกัป อยู่ตรงไม่มีศาสนานั้นแหละ ระหว่างพระพุทธเจ้านี้แล ที่เป็นสุญญกัป ในท่ามกลางนี้
(สุญญกัปฟังแล้วยังงงๆ เจ้าค่ะ) สูญกัปในช่วงนี้มันสูญ ว่างหมดเลย คำว่าบาปว่าบุญไม่มีความรู้สึก สัตว์ไม่มีความรู้สึก เป็นสัตว์ล้วน ๆ เลย ว่างั้น เต็มเม็ดเต็มหน่วย คำว่าคนธรรมดามันก็ควรมีดีมีชั่ว เมื่อมีแล้วก็อาจจะมีบุญมีบาปอยู่ในนั้น เชื่อหรือไม่เชื่อว่ามีหรือไม่มี มันก็ต้องมีอยู่ในนั้นใช่ไหมล่ะ แต่สัตว์นี้ไม่มีอะไรเลยเข้าใจไหม เอาละให้พร
ชมการถ่ายทอดสด ธรรมะหลวงตาวันต่อวัน ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th |