พุทธศาสนาเทียบกับเขาโค
วันที่ 10 มิถุนายน 2546 เวลา 8:00 น. ความยาว 51.02 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)   วิดีโอแบบ(Win High Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๖

พุทธศาสนาเทียบกับเขาโค

 

         (ตอนนี้อะไรของเมืองไทยก็ขายดีไปหมดแล้วครับ ไก่แช่แข็งก็ขายดี อาหารต่างๆ ข้าวก็ขายดี พวกยางก็ดี ทุกอย่างละครับ) เพราะอะไร (โรคหวัดมรณะอย่างหนึ่งครับ เขากลัวกินของประเทศอื่นแล้วจะได้รับเชื้อ ของไทยเราไม่มี นี่ตามความเชื่อเขา ข้อสองเขาไว้วางใจว่าการเมืองนิ่ง ไม่โยกเยก นายกก็ดีเด่นในเอเชีย) นั่นเห็นไหมล่ะพอฐานจุดศูนย์กลางแน่นหนามั่นคงขึ้นเท่านั้น ทั้งชาติมั่นคงตามๆ กันหมด พอฐานเอนเท่านั้นเอน เอนจะล้ม สำคัญตรงนี้นะ อะไรๆ ก็ดีขึ้นคือความไว้วางใจของคนอื่นเขา ประเทศอื่นเขา เขาไว้วางใจ เรามีเครื่องประกันตัว คือหัวใจของชาติไทยเราได้แก่สมบัติของชาติเรามั่นคง ใครก็ไว้ใจ

นี่เราพยายามที่จะหาทองคำเข้าสู่คลังหลวงของเรา ความแน่นหนามั่นคงนี่สำคัญ ความสง่าราศีของชาติไทยเราก็กระจายออกไป นี่สำคัญตรงนี้นะ คือโลกจะได้รู้ทั่วถึงกัน คือศักดิ์ศรีดีงามแห่งชาติไทยเราที่ได้ช่วยชาติของตน มีเครื่องหมายแห่งความรักชาติ ความเสียสละอะไรบ้าง ยกขึ้นมาก็ทองคำ โลกยอมรับทั่วกันหมด นี่สำคัญมาก แล้วดอลลาร์ก็คู่เคียงกันไป แต่ดอลลาร์นี้เราไม่ค่อยวิตกวิจารณ์เพราะเบา ยกง่ายกว่ากัน ไม่เหมือนทองคำซึ่งซึ่งหนัก เหมือนก้อนหินก้อนเดียวเล็กๆ ยกหนัก จึงต้องได้สนใจจดจ่อในจุดนี้ให้มาก ๆ

ทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตันนี่เท่ากับหมื่นกิโล ไม่ใช่เล่นนะ ถ้าคิดเทียบเป็นเงินไทยแล้ว ทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตันนี้จะเป็นเงินไทยประมาณเท่าไร (ตันละ ๕๐๐ ล้านบาท ๑๐ ตันก็ประมาณ ๕,๐๐๐ ล้านบาทครับ) นั่นของเล่นเมื่อไร ๕,๐๐๐ ล้านบาท นี่เรียกว่าอย่างน้อย ยังจะเขยิบขึ้นไปอีก ได้เศษได้เลยเราแน่ใจว่าต้องมี เพราะขาดนี้ขาดไม่ได้ว่างั้นเลย ขาดสตางค์หนึ่งไม่ได้เลย เพราะเวลานี้หลวงตาขึ้นยืนอยู่บนเวทีแล้ว มีแต่โบกมือ เพราะฉะนั้นจึงถอยไม่ได้ว่างั้นเลย ถ้าลงได้ปักตรงไหนแล้วขาดไปเลยเทียว นี่เราปักเพื่อเมืองไทยของเราให้เด่นซี ความเด็ดความเดี่ยวก็เด่น ส่วนกระจายออกไปจากเงินสดของเรานี้ ก็เรียกว่าทั่วประเทศแล้วเวลานี้ มีทุกแห่งทุกหน เป็นแต่เพียงว่ามากน้อยต่างกัน เงินสดเรานี่กระจายออกไปทุกหนทุกแห่ง

ไปที่ไหนไม่ได้นะเขารุมมาขอ ยิ่งเข้าโรงพยาบาล โอ๋ย เหมือนพ่อกับลูกมาเยี่ยมกัน รุมใส่เลยนะ อันนั้นขาดนั้น อันนี้ขาดนี้ เดี๋ยวตีปากเอานะเราว่างั้น มันโมโห ยังไม่ถึงไหนเลยมาขอแล้ว เราไม่ได้เตรียมตัวไว้ เดี๋ยวตีปากเอานะ ว่าตีปากเขาครั้นกลับมาแล้วให้เขาไปอีก ตีแบบนี้ใครก็อยากให้ตีซี ยกตัวอย่างเช่น บุ่งคล้า เราก็ช่วยอยู่แล้วเต็มเม็ดเต็มหน่วย ตึกก็ตั้ง ๓ ชั้น กว้างขวางมาก ใหญ่โต ให้คนงานอยู่ได้ด้วยกันหมดเลย ทำถนนจากโน้นมาหาโรงพยาบาล นี่หมายถึงส่วนใหญ่นะ พอไปปั๊บเท่านั้น ขอรถพยาบาล จะฟาดปากเอานะว่างี้เรา ยังไม่ถึงไหนนี่น่ะ พอก้าวเข้ามานั่งเท่านั้นมาขอแล้ว ดุเขาอย่างนั้น

คือเขาพูดถึงเรื่องความจำเป็นของรถ เขาพูดทีหลังแหละ เป็นอย่างนั้นๆ เราฟังเราก็นิ่งเลย ว่าตีปากเท่านั้น เขาก็พูดอะไรๆ มา ฟังเหตุฟังผลไว้แล้วก็กลับมาเลย พอกลับมาถึง อย่างมาเมื่อวานนี้ วันนี้สั่งไปแล้วว่า ให้แล้วรถ แน่ะอย่างนั้นแล้ว เขาก็อยากให้ตีปากเขาล่ะซี นี่ก็ยังมีหลายคันรถนะ เรายังให้ไม่ได้ นี่เราหมายถึงเงินสดเรากระจายออกไปจนไม่หวาดไม่ไหว ไม่ทัน แล้วจะเข้าหาทองคำได้ยังไง เข้าเพียง ๑,๑๑๒ ล้านเท่านั้นนะ เงินตั้งมากมายเข้าได้เท่านั้น นอกนั้นลูกของชาติเอาไปกินหมด พ่อเลยไม่ได้ พ่อของชาติเลยได้ ๑,๑๑๒ ล้าน นอกนั้นลูกเอาไปกินหมดทั่วบ้านทั่วเมือง

วันนี้จะพูดธรรมะเครื่องเตือนใจ ให้พี่น้องลูกหลานทั้งหลายฟัง จากธรรมที่ศักดิ์สิทธิ์วิเศษอยู่ในโลกนี้มานานแสนนาน แล้วก็ไม่มีใครจะสนใจไขว่คว้าจับยึดไว้พอบรรเทาทุกข์ได้บ้าง ก็คว้าเอาแต่กับกิเลส ความรุ่มร้อนจึงทั่วบ้านทั่วเมืองเต็มไปหมด เพราะไม่มีธรรมที่ตายใจได้ภายในใจ คำว่าธรรมที่ยึด อะไร ๆ ที่ยึดกันทั่วโลกดินแดนที่เขาให้นามว่าศาสนานั้น มันมีแต่โครงการของกิเลสออกจากหัวใจของผู้เป็นหัวหน้าศาสนา โครงการนี้ออกไป เขาเชื่อถือเขาก็ทำตามๆ ส่วนมากต่อมากไม่ใช่โครงการของศีลของธรรม เพื่อจะบรรเทาทุกข์และพ้นทุกข์ไปโดยลำดับ จนกระทั่งพ้นทุกข์ได้โดยสิ้นเชิงเหมือนธรรมแท้จากพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ที่ตรัสรู้มาเป็นแบบฉบับเลย

นี่พิจารณาเต็มเหนี่ยวแล้วนะจึงเอามาพูด นอกนั้นไม่มี เราบอกตรง ๆ เลย นี่สายทางแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายเดิน ปราบกิเลสที่อยู่สายทางด้านนั้น จิตใจอยู่ตรงกลาง กิเลสจากฝั่งนั้นรุมเข้ามาตีจิตใจ ธรรมะอยู่ฝั่งนี้ก็ตีกิเลสออกจากจิตใจไปเรื่อยๆ มีเท่านั้นที่แก้กันได้ มีพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ และธรรมของพระพุทธเจ้านี้แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ ล้านเปอร์เซ็นต์เลย เป็นที่แน่ใจ ขอให้พี่น้องทั้งหลายยึดนะ เราได้ปฏิบัติเต็มเหนี่ยวของเราแล้ว ความรู้เช่นนี้เราก็ไม่เคยรู้เคยเห็น เวลามันรู้ขึ้นมาหาที่สงสัยไม่ได้ ทางของศาสดาแต่ละองค์มาเป็นสายเดียวกันเลย ไม่มีแยกมีแยะ ทางเพื่อบรรเทาทุกข์ จนกระทั่งถึงความพ้นทุกข์ เป็นทางของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ นำธรรมมาประกาศสอนโลก

ที่นี่ทางกิเลสก็มีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้ทั่วดินแดนรอบฝั่ง ใจเหมือนลำคลอง ทางธรรมะอยู่ฝั่งทางนี้ กิเลสอยู่ฝั่งทางนั้น ทางนั้นกิเลสตีเข้ามาหาหัวใจให้ได้รับความทุกข์ความทรมาน ทางด้านธรรมะก็ตีย้อนกลับลบล้างกันเป็นยุคเป็นสมัยที่มีมากน้อยไปโดยลำดับ แล้วก็ไปเรื่อยๆ อย่างนี้ ไม่มีสิ้นสุดนะ เป็นอย่างนี้ตลอดไป เป็นแต่เพียงว่าพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้นั้นเป็นวรรคเป็นตอน ธรรมหนาแน่นขึ้นเป็นบางกาล ทรุดลงไปเป็นบางสมัยเรื่อยๆ แต่กิเลสนี้มันจะอ่อนตัวลงเวลาธรรมขึ้นมา พอธรรมอ่อนลงไปกิเลสจะขึ้นทันที อย่างนี้ละมันมักได้เปรียบอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นโลกจึงมีความทุกข์มากยิ่งกว่าความสุข เพราะกิเลสมีกำลังมาก สร้างฟืนสร้างไฟเผาไหม้จิตใจของสัตว์ ส่วนธรรมซึ่งเป็นน้ำดับไฟมีน้อย

เราคิดดูซิศาสนามีทั่วโลก พุทธศาสนามีคนนับถือมากน้อยเพียงไร นอกจากนั้นเต็มบ้านเต็มเมืองเต็มโลกเต็มสงสารมีแต่ศาสนา ถ้าเทียบแล้วก็เหมือนกับขนโคกับเขาโค พุทธศาสนาเท่ากับเขาโค ดึงสัตว์โลกให้พ้นจากทุกข์ได้อย่างแน่นอนเป็นลำดับลำดา เป็นเขาโค มีจำนวนน้อยมาก แต่ขนโค กิเลสมันลากสัตว์โลกลงไปนั้น มิหนำซ้ำยังมีศาสนาต่างๆ ช่วยสนับสนุนเข้าไป โดยอ้างว่าศาสนาๆ ความจริงเป็นโครงการของกิเลส ออกจากหัวใจผู้เป็นเจ้าของศาสนา บ่งออกไปด้วยความพอใจของตนซึ่งเป็นหัวหน้าเขา เขายอมรับเขานับถือก็ปฏิบัติตาม โครงการนี้ก็แหวกไปตามแถวแนวของกิเลส บาปบุญเป็นหลักธรรมชาติ อันไหนที่มาพาดพิงกับธรรมเราบ้างก็มีหวัง เพราะธรรมเป็นหลักธรรมชาติไม่ขึ้นอยู่กับศาสนาใด ขึ้นอยู่กับหลักธรรมชาติ ใครถูกก็เรียกว่าธรรม อันนั้นมีจำนวนมากนะ

นี่เราทั้งหลายก็ได้เกิดมาท่ามกลางแห่งศาสนาทั่วโลก เหตุใดจึงได้มาประสบพบเห็นพุทธศาสนาซึ่งเป็นศาสนาที่เลิศเลอสุดยอด นำสัตว์ให้พ้นจากทุกข์เป็นลำดับลำดาได้ตลอดมาและจะตลอดไป จึงพากันตั้งอกตั้งใจนะ การให้ทานรู้สึกว่าเป็นพื้นฐานของชาวพุทธเราอยู่แล้วก็ไม่ได้แนะนำสั่งสอนอะไรนัก การรักษาศีลนั้นก็อย่างว่าแหละ ศีลหรือศูนย์เราก็ไม่ทราบ มันติดอยู่กับผู้รักษาศีลนั่นแหละ มันรักษาศูนย์มากกว่า ยิ่งจิตตภาวนาด้วยแล้วไม่ค่อยมีใครสนใจ นี่ละที่จะแสดงผลให้เด่นขึ้นกับใจของเราโดยตรงนะ

พระพุทธเจ้าเด่นขึ้นถึงขั้นศาสดาเพราะการภาวนา พระสงฆ์สาวกทุกองค์ของพระพุทธเจ้า สาวกของพระพุทธเจ้ามีจำนวนมากขนาดไหน บรรดาพระสงฆ์เป็นสาวกอรหันต์ขึ้นมาด้วยการภาวนา นี่หลักใหญ่ของพุทธศาสนาเราจึงมารวมตัวอยู่ที่คำว่าภาวนา เหมือนกันทำนบใหญ่ที่เป็นที่รวมแห่งน้ำสายต่างๆ ไหลมาแล้วก็มาเต็มอยู่ที่เขื่อนใหญ่นั้น การให้ทาน การรักษาศีล ทุกประเภทแห่งความดีทั้งหลาย ซึ่งเป็นเหมือนแม่น้ำสายต่าง ๆ ไหลรวมลงมา รวมลงมาเข้าสู่จุดภาวนา พอได้รวมเข้าภาวนาแล้วเป็นอันว่ารวมความดีทั้งหลายเข้ามาๆ พอรวมนี้ได้เป็นสัดเป็นส่วนแล้วก็พุ่งเลยเทียว นี่ละเรื่องภาวนาจึงเป็นเรื่องสำคัญ

         เรามองไปกลางค่ำกลางคืนเห็นฟืนเห็นไฟอยู่ตามในป่าในครัวเหล่านั้น เราก็ภูมิใจ อย่าว่าเราไม่เห็นเราไม่ดูนะ เราไม่พูดเฉย ๆ เราเป็นผู้นำ เป็นผู้รับผิดชอบในวงวัดวงวา ผู้ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับเราอยู่ในความรับผิดชอบของเราทั้งหมด เพราะฉะนั้นการสอดส่อง การพินิจพิจารณาใคร่ครวญต่าง ๆ เกี่ยวกับเพื่อนกับฝูง ลูกศิษย์ลูกหาจึงต้องมีเป็นประจำใจ ไม่ใช่ว่าตาก็เถ่อมองเฉยๆ หูฟังเฉยๆ ก้าวเดินๆ ไปเฉยๆ หัวหน้าจะเป็นอย่างนั้นไม่ได้ ถ้าเป็นหัวหน้าด้วยความชอบธรรม ตาต้องเป็นธรรม เพื่อความสุขแก่โลก ความเฉลียวฉลาดรอบคอบ บกพร่องตรงไหนเห็นแล้วมาเตือน ได้ยินได้ฟังคำไหนเหมาะไม่เหมาะต้องเตือน ได้คิดได้อ่านตรงไหนเกี่ยวกับเรื่องหมู่เพื่อนมาอยู่ด้วย รวมประมวลความได้เห็นได้ยินได้ฟังมา มาคัดเลือกผิดถูกประการใด นำเหล่านี้มาชี้แจงให้ทราบทั่วๆ ไป นี่คือหัวหน้า ฟังซิ

         พระพุทธเจ้าท่านปกครองเพียงธรรมดานี้เมื่อไร ปกครองธรรมดาเรานี่ท่านก็ปกครอง ปกครองด้วยญาณวิถีของท่านพินิจพิจารณา ท่านเรียกว่า ภพฺพาภพฺเพ วิโลกานํ เล็งญาณดูสัตวโลก นี่ก็เป็นอันหนึ่งของพระพุทธเจ้า ใครที่จะมาต้องในตาข่ายของพระพุทธเจ้า ผ่านตาข่ายคือพระญาณของพระพุทธเจ้า ควรจะแนะนำสั่งสอนได้ใกล้ไกลช้าเร็วขนาดไหน พระองค์จะทำตลอดมา นั่นแหละผู้ใหญ่หัวหน้าเป็นอย่างงั้น แม้แต่หัวหน้าเราธรรมดานี่ก็ต้องมีการพินิจพิจารณา จะทำอะไรๆ ไม่ใช่ทำสุ่มสี่สุ่มห้า นี่เรามองไปตามฟืนตามไฟเห็นบรรดาลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายภาวนา เราก็อบอุ่นใจ แต่มันก็อดคิดไม่ได้ มีแง่หนึ่งแทรกขึ้นมา ไอ้ไฟนั่นมันจุดไว้แต่เจ้าของนอนหลับครอกๆ อยู่หรือยังไง มันก็มีอีกอันหนึ่งเหมือนกัน

จุดไฟด้วย สำรวมจิตด้วยสติ ภาวนาด้วย เดินจงกรมบ้าง นั่งภาวนาอยู่บ้าง ด้วยการจุดไฟไว้ อย่างนี้เราพอใจ แต่จุดไฟไว้นั่งหลับครอกๆ นอนหลับครอกๆ นี้ดูไม่ได้เลย ให้ระวังจุดนี้ให้ดีนะ มองไปมันเห็นไปหมดกลางคืนมืดๆ เราก็เคยพูดแล้วว่า เราไปไหนมาไหนไม่ค่อยมีฟืนมีไฟ แม้แต่ไปดูพระในวัดนี้ก็ไม่ได้จุดไฟนะ เป็นอย่างนั้น เป็นแต่เพียงว่าทางครัวไม่เคย เพราะไม่ใช่วิสัย ขัดต่อหลักธรรมหลักวินัย ทุกสิ่งทุกอย่างขัด สิ่งใดขัดสิ่งนั้นผิด ไม่ทำ ส่วนไม่ขัดไม่ผิดนั่นทำ

เช่นอย่างไปดูพระเณรเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาอย่างไรบ้าง เดินฉากไปไม่ให้รู้นะ พระเณรเหล่านั้นไม่รู้นะว่าเราไป นู่นเวลามาโดนโทษเข้านู้น ชี้เลย ไปเจอแล้วหลับครอก ๆ องค์นี้จับจุดได้แล้ว พอดึก ๆ แล้วมาอีก แน่ะ ถ้าได้เห็นจุดแล้วนะมาอีก ดึกเข้าไปเท่าไรมาอีก ย้ำเข้าอีกจนกระทั่งสว่าง นี่นอนเวลาไหน ภาวนาเวลาไหน แล้วมีการงานอะไรบ้างกลางวี่กลางวันพอจะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า หิวหลับหิวนอนจนกระทั่งถึงนอนตลอดรุ่งอย่างนี้ มีงานอะไรมาเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกัน พอจะให้มาทดสอบบวก ลบ คูณ หาร ไม่มี เอาอีกวันหลังไปอีก ไปอีกเห็นอีก พอคืนที่สามไล่เลยไม่มีอุทธรณ์ เป็นอย่างนั้นนะ เพราะรับพระเณรไว้นี้รับเพื่อปฏิบัติจริง ๆ ไม่ได้รับไว้เฉยๆ ด้วยเหตุนี้เวลามามากจึงได้พูดกันอยู่เรื่อย ๆ คะคานเอาไว้ไม่งั้นมันจะมากแล้วก็จะเฟ้อ ความเฟ้อไม่เป็นของดี พระเณรมีมากให้มากด้วยของดีแล้วไม่เฟ้อ ถ้ามากเฟ้อไม่ดีเลยจึงต้องระมัดระวัง ของมีมากมันมีเหลวไหลแทรกเข้ามาจนได้ละ

ท่านทั้งหลายมาอบรมศีลธรรมในวัดนี้ ขอให้พากันตั้งอกตั้งใจ มุ่งหน้ามุ่งตามาสั่งสมคุณงามความดีต่อหัวใจเรา เพราะใจนี้มีความรุ่มร้อนตลอดเวลา หาความสุขความสบายไม่ได้ ไม่ว่าใจใคร ใจนักบวช ใจฆราวาส ถ้าห่างเหินจากการดูจิตใจ สำรวมจิตใจ ระมัดระวังจิตใจ บำรุงจิตใจตัวเองแล้ว จะหาความสุขความสงบเย็นใจไม่ได้นะ

ถ้าจิตใจได้รับการบำรุงด้วยสติสตัง ความพากความเพียรเสมอ สมกับเราที่มาอบรม เช่นในวัดในวาอย่างนี้เป็นสำคัญ แล้วเราก็จะมีทุนมีรอนติดจิตติดใจออกไป ไปถึงบ้านถึงเรือนก็มีธรรมเป็นเครื่องสะกิดติดตาม คอยสะกิดเราอยู่เรื่อย ๆ คนเราก็ไม่ลืมเนื้อลืมตัวนะ ธรรมจึงเป็นของสำคัญ ยิ่งภาวนาให้ปรากฏธรรมภายในใจแล้ว จะไม่มีอะไรชนะใจที่มีธรรมนี้ได้เลย โลกเหล่านี้เป็นโลกของส้วมของถาน โลกสกปรก โลกคลุกเคล้าด้วยความทุกข์ความทรมานของสัตว์ทั้งนั้น ไม่มีความสุขที่ดีเด่นตรงไหนพอจะไปติดไปยึดไปเกาะกับมัน แต่โลกก็ต้องยอมรับเพราะความโง่เง่าเต่าตุ่นกว่ากิเลสทั้งหลาย ซึ่งมันฉลาดมากมาย กล่อมตลอดเวลา หลงตลอดเวลา ทุกข์มากน้อยเพียงไรก็หาความสุขด้วยการเสาะแสวงหาที่ถูกจากอรรถธรรมไม่ได้ มันก็ต้องเจอแต่ความทุกข์เป็นธรรมดา

เวลาเราเข้ามาอบรมศีลธรรมนี้ การภาวนาให้พากันตั้งใจ สติเป็นสำคัญอย่าลืมนะ สตินี่เป็นพื้นฐานในธรรมทุกขั้น ตั้งแต่เริ่มต้นล้มลุกคลุกคลาน สติยิ่งเหนียวแน่นมั่นคงยิ่งตั้งอกตั้งใจเอากันอย่างหนัก ตั้งหน้าตั้งตาตั้งสติให้อยู่กับตัว ให้อยู่กับใจ ให้อยู่กับคำบริกรรมติดไว้ นี่เรียกว่าสกัดกิเลสที่มัน ส่วนมากเราจะว่ามันมาจากภายนอก มันเข้ามารบกวนจิตใจ ความจริงโดยธรรมแล้ว สิ่งภายนอกทั้งหลายเขาไม่มีปัญหาอะไร มันเป็นปัญหาอันใหญ่โตที่สุดก็คือจิตใจของเรานี้มันหิวโหย มันอยากตลอดเวลา อยากคิดอยากปรุง อยากรู้ อยากเห็น ดันออกมาจากภายในใจ

ทีนี้เราจะภาวนานี้ก็ต้องกดมันลง เอาคำภาวนาเอาสตินี้ทับตัวมันดันขึ้นมานี้ ลงให้มันสงบไม่ให้มันคิดมันปรุง เอาความคิดปรุงของธรรมเข้าแทนที่ โดยมีสติบังคับบัญชาไว้เสมอ จิตใจของเราเมื่อเอาจริงเอาจังแล้ว จะเห็นความสงบร่มเย็นปรากฏขึ้นในท่ามกลางแห่งความวุ่นวายของกิเลสก่อขึ้นนั้นแหละ สำคัญอยู่ตรงนี้นะ เมื่อพยายามตั้งสติเข้าไปด้วยดี แล้วจะมีวันหนึ่งวาระหนึ่งจากการทำอยู่ไม่หยุดไม่ถอยของเรานี้ จะปรากฏเป็นความสงบและสงบแบบอัศจรรย์ภายในจิตใจของเราขึ้นมาจนได้นั้นแหละ

ทีนี้เมื่อปรากฏเป็นสักขีพยานขึ้นมาแล้ว ถึงจิตนี้จะไม่เป็นอย่างเก่าก็ตาม แต่สักขีพยานเป็นเชื้ออันสำคัญแล้วฝังลึกภายในใจ แล้วเกิดความเชื่อความเลื่อมใสในธรรมที่ตนได้รู้ได้เห็น ไม่จืดจาง ต่อจากนั้นก็พยายามทำลงไป แล้วจิตใจมีความสงบ สงบจากอารมณ์ที่ก่อกวนตนเอง ที่ว่ากิเลสอยู่กับใจคือมันอยู่ในใจ มันผลักดันออกมา เพราะกิเลสนี้เป็นความหิวโหยตลอด คำว่าได้พอแล้วไม่มีในกิเลส ได้เท่าไรยิ่งไม่พอ เหมือนไฟได้เชื้อก็คือกิเลสนั้นแหละ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องเอาธรรมเข้าบังคับ เช่น พุทโธ ธัมโม หรือสังโฆ ตามแต่จริตนิสัยชอบในธรรมบทใด ให้นำมาบริกรรม กำกับใจรักษาใจด้วยสติควบคุมอยู่ไม่ถอย เราจะเห็นความสง่างาม จิตนี้จะค่อยสงบลง

ถ้าสติบังคับคำบริกรรมติดไม่ให้มันห่างกันได้นะ พอห่างกิเลสจะโผล่ขึ้นมา เพราะมันผลักดันตลอดเวลาที่จะคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ นั้นเป็นอารมณ์ของกิเลสอยู่ในใจอันเดียวกัน แล้วก็เอาคำบริกรรมซึ่งเป็นอารมณ์ของธรรมเข้าทับมัน นานเข้าๆ อันนั้นก็จะค่อยเบาลงๆ ทางนี้ก็จะเด่นขึ้นๆ แล้วจิตสงบเย็นขึ้นมาๆ นี่เรียกว่าตั้งฐานในเบื้องต้น ต้องหนักบ้างเป็นธรรมดา เพราะกิเลสกำลังแรง ธรรมะไม่แรงไม่ได้ ต้องแรงต่อแรง หนักต่อหนักใส่กัน สุดท้ายก็สู้ธรรมไม่ได้ ต่อไปธรรมก็ก้าวเดินได้สะดวก ไม่หิวโหยกับการคิดปรุงแต่งสิ่งนั้นสิ่งนี้ เช่น จิตของผู้เป็นสมาธิเต็มที่แล้วไม่อยากคิดนะ ทั้ง ๆ ที่แต่ก่อนความอยากคิดอยากปรุงเต็มหัวใจ ไม่มีเวลาอิ่มพอเลย อิ่มอะไรก็อิ่ม แต่กิเลสไม่อิ่มตัว กินข้าวก็อิ่ม.นอนก็อิ่ม อะไรก็อิ่ม แต่กิเลสไม่เคยอิ่มตัว นี่แหละจึงเรียกว่ากิเลส คือความหิวโหย

ทีนี้เวลาเราได้ธรรมเข้าไปทับหัวมันไว้เรื่อย ๆ แล้วมันจะสงบลง ๆ จากนั้นแล้วจิตเข้าสู่ความสงบ เอ้า ผู้ที่จะเป็นไปในทางหลุดพ้นจริง ๆ สงบแล้วแนบแน่นเข้าไป ทีนี้เราจะเห็นตอนจิตสงบนี้ไม่อยากคิดนะ มันกวนใจเรื่องคิด แย็บขึ้นมานี้กวนใจแล้ว เพราะจิตที่ไม่คิดนี่แน่วอยู่งั้น มีแต่ความรู้อันเดียวดิ่งอยู่ด้วยสมาธิ ความคิดปรุงขึ้นมาอะไรนี้มันรำคาญ เพราะฉะนั้นมันถึงไม่อยากคิด ด้วยเหตุนี้เองผู้มีจิตเป็นสมาธิ ท่านอยู่ไหนท่านจึงอยู่ได้สบายๆ แล้วก็ติดในสมาธิด้วย ถ้าไม่มีผู้แนะนำออกทางด้านปัญญา ซึ่งเป็นธรรมขั้นสูงกว่านี้แล้วติดสมาธิ ด้วยเหตุนี้จึงต้องมีครูมีอาจารย์คอยแนะนำสั่งสอน อยู่ในสมาธิเพียงพักเอากำลังวังชา

ออกทางด้านปัญญาเป็นงานการที่จะถอดถอนกิเลสเป็นลำดับลำดาไป สำหรับสมาธินี้ไม่ถอดถอนนะ เป็นแต่ว่าตีสมาธิทับลงให้มันสงบตัว เพื่อปัญญาจะได้ก้าวเดินคุ้ยเขี่ยหาดูเรื่องของกิเลสได้เป็นลำดับลำดา ปัญญาต่างหากแก้กิเลส สมาธิไม่ได้แก้ เพียงพักเอากำลัง ให้จิตใจมีทุนมีรอนแล้วก็พอคิดพออ่าน เมื่อจิตใจไม่หิวโหยในอารมณ์ เพราะจิตเป็นสมาธิแล้ว ทางด้านปัญญาก็สนุกเดิน พิจารณาเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ ก็ธาตุเขาธาตุเรา ภูเขาภูเรา หญิงชายในโลกนี้แหละที่มันหนาแน่นมากที่สุด โลกทั้งหลายติดกันทั้งนั้น ภูเขาที่ไหนๆ ไม่เคยเห็นใครไปติด ถ้าว่าไปหามันก็ขึ้นเหยียบหัวมันเสีย ภูเขาสูงขนาดไหน ตีนเรานี่ขึ้นไปเหยียบหัวมันได้สบาย ๆ

แต่ภูเขาภูเราไม่มีใครกล้าเหยียบได้ และไม่สนใจจะเหยียบภูเขาภูเรา นั้นหญิงนี้ชาย นั้นสวยนี้งาม นั้นมีราค่ำราคา มิหนำซ้ำหาอะไรมาตกแต่งเข้าไปเสียจนมองหาตัวคนไม่เห็น นี้ประดับประดาภูเขาภูเรา ตัวนี้ตัวสำคัญ จึงต้องเอาปัญญาฟันเข้าไปตรงนั้น ภูเขาที่ไหนภูเราที่ไหน มองดูตั้งแต่ผิวหนัง ดูเข้าไปซิ ผิวบาง ๆ เท่านั้นละหลอกตาโลกจนกลายเป็นภูเขาภูเรา เป็นตัวเย่อหยิ่งจองหองขึ้นมาจากผิวหนังบาง ๆ ที่ห่อไว้เข้าใจว่าเป็นความสะอาดนี้เท่านั้น ห่อเอาไว้

         ข้างในมันเป็นยังไง ๆ จึงมองไม่เห็น แล้วก็ติดกันงอมแงมทั่วโลกดินแดนตั้งกัปไหนกัลป์ใดมาตลอด ไม่มีใครจะทำลายได้เลย นอกจากสติธรรม ปัญญาธรรม ด้วยความพากความเพียรของเราพิจารณาคลี่คลาย ดู นี่เรียกว่าดูทางด้านปัญญาเกี่ยวกับเรื่องรูปกาย เข้าตรงนี้ก่อน ปัญญาขั้นหยาบเข้าส่วนร่างกายก่อน พิจารณาดูตั้งแต่ผิวหนัง ผิวเขาผิวเรามันหนาขนาดไหน มันไม่ได้หนาเท่าใบลาน ไม่ได้หนาเท่ากระดาษ ทำไมมันติดเอานักหนาโลกตาบอดนี้น่ะ คลี่คลายออกไปด้วยปัญญา พอถัดจากผิวหนังเข้าไปแล้วเป็นยังไงที่นี่ ดูเข้าไปข้างในเท่าไร ๆ ลึกเท่าไร ไหนภูเขาภูเราอยู่ไหน มันก็ไม่มีละซิ

         ถูกปัญญาทำลายเข้าไป อันนั้นก็หนัง อันนี้ก็เนื้อ อันนั้นเอ็น อันนี้กระดูก อันนั้นตับไตไส้พุง อันนั้นอาหารเก่าอาหารใหม่ มันมีแต่กองมูตรกองคูถทั้งนั้น แล้วภูเขาภูเราพอจะยึดมีที่ไหน นั่นปัญญา หยั่งเข้าไปตรงนี้ นี่เรียกว่าทางด้านปัญญา ถ้าพูดถึง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา มันก็เต็มอยู่ในนั้นแล้ว นี่เรียกว่าทางด้านปัญญาพิจารณา นี่ละแก้กิเลสแก้ตรงนี้นะ มันยึดมันถือตรงไหนเป็นกิเลสตรงนั้น พิจารณาคลี่คลายรู้เรื่องของมันมากน้อยเพียงไรค่อยถอนตัวเข้า ๆ ถอนตัวคือความหลงของตัวนั้นแหละเข้ามา แล้วก็ไม่ยึด ถึงแม้จะยึดอยู่ก็เบาบางลงไปๆ ด้วยปัญญา นี่การพิจารณาที่จะเห็นความเลิศเลอของธรรม ซึ่งพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายท่านครองอยู่แล้ว ครองไปด้วยทางสายนี้แหละ เหยียบภูเขาภูเรานี้ไป

เรื่องร่างกายนี้เมื่อมันหมดทุกสิ่งทุกอย่างที่จะพิจารณาแล้ว มันก็ปล่อยได้หมด ร่างกายนี้ปล่อยหมด ที่ว่าอุปาทานรูปขันธ์ ปล่อยอุปาทานในขันธ์นี้หมดโดยสิ้นเชิง ทุกข์อันนี้ก็เบาไป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทีนี้เข้าเป็นนามธรรมเกี่ยวข้องเข้าไปกับจิต ๆ กระชั้นชิดเข้าไปเรื่อย ๆ เรียกว่าปัญญา ปัญญาขั้นนามธรรม เวทนา สัญญาความจำได้หมายรู้ มันจะจำอะไร จะมีจะสุขทุกข์ก็เกิดแล้วดับไป ทุกข์ก็เป็นทุกข์ เป็นความจริงอันหนึ่ง ร่างกายเป็นความจริงอันหนึ่ง ความทุกข์หรือความสุขเป็นความจริงอันหนึ่ง ใจเป็นความจริงอันหนึ่ง แต่มักไปหลงเขาอยู่เสมอ

         เพราะฉะนั้นจึงพิจารณาแยกแยะ ให้เห็นกายเป็นกาย เวทนาสุขทุกข์เฉยๆ เป็นเวทนา จิตเป็นจิต ต่างอันต่างดู ต่างอันต่างรู้ ต่างอันต่างจริงแล้วไม่กระทบกัน พิจารณาเข้าไปอย่างนี้ แล้วตีเข้าไป พอร่างกายหมดปัญหาก็คือหมดเรื่องกามกิเลส กามราคะ อยู่ที่กองร่างกายนะ ร่างกายนี้เป็นกองกามกิเลสตัณหาพาสัตว์โลกให้จมดิ่ง ๆ ฟื้นไม่ได้เลย คือกามกิเลสตัวติดรูป ติดเขา ติดเรา ภูเขาภูเรานี้แหละ พอทำลายนี้ลงไปแล้ว ภูเขาภูเราเป็นส่วนร่างกายหมดปัญหาไป จิตที่หมดปัญหาในส่วนร่างกายจะบังคับให้พิจารณาก็ไม่พิจารณา

         ดังที่เคยพิจารณาอสุภะอสุภัง ทุกฺขํ อนตฺตา พอเข้าใจแล้วปล่อย ปล่อยนี้แล้วพวกเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันเกี่ยวโยงกับจิต มันจะติดตามเข้าไป ๆ หาจิต  จิตอวิชชาเป็นสุดท้าย นี้เรียกว่าปัญญา พิจารณาเข้าไป จิตยิ่งเบิกกว้างออกๆ  อุปาทานขันธ์นี้หนักมากทีเดียว โลกนี้จมอยู่ด้วยอุปาทานขันธ์นี่เป็นสำคัญ ติดรูป ติดขันธ์ ติดเขา ติดเรา จมดิ่งอยู่ในนี้ไม่มีฟื้นได้เลยคือตัวนี้เอง พอตัวนี้ขาดสะบั้นลงไปจากใจเท่านั้น จิตนี้จะเบาขึ้นเป็นสำลี ลอยขึ้น ๆ ไม่มีดิ่งลง เหมือนกามกิเลสที่ผูกมัดและดึงลง ๆ พออันนี้ขาดจิตก็ขึ้นเลย

         ด้วยเหตุนี้เอง พระอนาคาท่านจึงไม่กลับลงมาเกิดอีก ได้ระดับเบื้องต้นว่าสอบได้แล้ว ฆ่าตัวใหญ่มันได้แล้วกามราคะ ที่นี่ที่เป็นสนิมหรือผิว ๆ ผง ๆ มันติดอยู่นั้น ยังไม่ตายหมด เรียกว่าตัวใหญ่ สอบได้แล้ว ๕๐% นี่เรียกว่าฆ่าตัวใหญ่ของกามกิเลสขาดไปแล้วจากอสุภะอสุภังนี้เอง จากนี้แล้วก็ฝึกซ้อมอสุภะอสุภัง เอาอันเก่านั้นแหละมาฝึกซ้อมให้ชำนิชำนาญ แล้วละเอียดลงไป ๆ แล้วกายอันนี้เรียกว่าหมดสภาพไป มันก็ดิ่งเข้านามธรรม

         ที่ว่าอนาคามีก็ตั้งแต่ชั้นอวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี  นี่ก็ขัดกันเรื่อย ฝึกซ้อมกันเรื่อย มันก็เลื่อนขึ้นไป ๆ ให้เลื่อนลงไม่มี ลงสอบได้อนาคามี กามราคะอันเป็นส่วนใหญ่ขาดลงไปแล้ว ได้ระดับแล้ว ให้ลงไม่ลง แต่ต้องขัดต้องซักต้องฟอกไปเรื่อย ๆ จึงเป็น อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี ตามขั้นแห่งความละเอียดของจิต พอสิ้นสุดก็ถึง อกนิฎฐา จากนั้นก็ก้าวเข้าสู่นิพพาน เห็นประจักษ์อยู่ในหัวใจของผู้ปฏิบัติ จะไปทูลถามพระพุทธเจ้าที่ไหน มันประจักษ์อยู่ในใจ นี่แหละการภาวนา 

         นี้เป็นสักขีพยานเต็มหัวใจของพระพุทธเจ้าและสาวกมาสอนเรา ผู้ปฏิบัติตามก็ได้รู้ได้เห็นอย่างนี้เรื่อยมา จนกระทั่งหลุดพ้นจากทุกข์ได้ด้วยการภาวนา อย่างน้อยเราเป็นฆราวาสญาติโยมขอให้นำภาวนาเข้ามาสู่จิตใจ เพื่อรักษาและบำรุงจิตใจของเราให้มีความสงบร่มเย็น พอซุกหัวนอนได้ในวันหนึ่ง ๆ เพราะเราอยู่กับงานกับการทั้งหลาย คลุกเคล้ากันตลอดเวลา ความทุกข์จึงเป็นไฟเผาหัวใจตลอดเวลาเช่นเดียวกัน จึงต้องมีการพักผ่อนด้วยจิตตภาวนา เมื่อมีการภาวนา การพักส่วนธาตุส่วนขันธ์ในการงานทั้งหลายก็พัก ตามธรรมดาจิตไม่พัก เพราะฉะนั้นจึงต้องมาพักจิตด้วยจิตตภาวนา

สงบอารมณ์ อย่ายุ่งกับงานภายนอก ให้เอางานภายในเข้ามา คือพุทโธ ธัมโม สังโฆ กำกับใจ ให้ใจได้รับความสงบร่มเย็น อย่างนี้เป็นประจำ เราจะได้ปรากฏว่าพุทธศาสนาเป็นยังไง จะเด่นขึ้นที่หัวใจเรานะ ไม่ได้เด่นขึ้นที่ไหน จะเด่นขึ้นที่ใจ สง่างามขึ้นที่ใจ เลิศเลอขึ้นที่ใจ จนกระทั่งเลิศสุดยอดอยู่ที่ใจนี้ทั้งนั้น นี่ละพากันจำเอานะการปฏิบัติ การเทศนาว่าการท่านทั้งหลาย หลวงตาไม่ได้มีข้อข้องใจสงสัยในการแนะนำสั่งสอน เพราะผ่านมาหมดแล้ว สอนด้วยความแม่นยำ เพราะฉะนั้นผู้ฟังขอให้ตายใจได้เลยว่า ไม่ผิดในการสอนนี้ เราดำเนินมาแล้วไม่ผิด ได้ผลเป็นที่พอใจ แล้วนำมาสั่งสอนลูกศิษย์ลูกหาให้นำไปประพฤติปฏิบัติ

ยังไงให้พากันตะเกียกตะกายนะ กิเลสมันจะสด ร้อน เรื่อย นะ ใหม่เอี่ยมมาเรื่อยนะกิเลส ไม่มีคำว่าอันนี้ครึอันนี้ล้าสมัย อันนี้เคยผ่านมาแล้ว อันนี้เคยเสียใจมาแล้ว อันนี้เคยดีใจมาแล้ว เป็นของเดนเป็นของบูดของเน่าไปแล้วไม่ยุ่งอย่างนี้ไม่ได้นะกิเลส สด ร้อน ถ้าลงกิเลสได้ปรุงแต่งเรื่องใด เคยโกรธเคยเคียดแค้นให้ผู้ใดขึ้นมาสด ร้อน ปรุงขึ้นมาใหม่เผาเจ้าของอีก ถ้าว่าดีใจแล้วเพลินเป็นบ้าในขณะนั้น เผาเจ้าของอีกเหมือนกัน

นี่แหละกิเลสสด ร้อน ไม่เก่าได้แก่นะ ถ้าทางด้านธรรมะมันตีเรื่อย นี่ศาสนาล่วงเท่านั้นปีเท่านี้เดือน ศาสนาหมดเขตหมดสมัย มรรคผลนิพพานอ่อนตัวลง แล้วว่ามรรคผลนิพพานไม่มี นี่กิเลสหลอก ความจริงแล้วทุกสิ่งทุกอย่างสด ร้อน ด้วยกัน ใครนำเรื่องใดมาปฏิบัติได้ผลเช่นเดียวกัน จึงเรียกว่า อกาลิโก เป็นผลดีสด ร้อน ทางฝ่ายธรรม แล้วเป็นผลชั่วสด ร้อน ทางฝ่ายกิเลสสร้างขึ้นมา ให้เราระวังอันนี้อย่าไประวังอะไร อย่าไปสนใจกับดิน ฟ้า อากาศ เขาไม่ใช่ตัวมรรคตัวผล สวรรค์ นิพพาน ตัวเรานี้เองตัวนรกเอวจีก็อยู่กับเรา ตัวมรรคตัวผล สวรรค์ นิพพานอยู่กับเรา ให้ปรับปรุงจิตใจของเราให้ดี จำให้ดีนะ

วันนี้ก็พูดเพียงเท่านี้ พูดถึงเรื่องการภาวนาให้บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายฟัง การภาวนาให้ตั้งอกตั้งใจ ใครอยู่ที่ไหนตั้งใจภาวนา ใจของเราจะสงบเย็นไปเรื่อย เมื่อได้รับการบำรุงรักษาอยู่ด้วยการภาวนาแล้ว จิตจะสงบเย็นไปเรื่อย นะ เอาละ พอ

 

ชมการถ่ายทอดสด ธรรมะหลวงตาวันต่อวัน  ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก