เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๖
นักภาวนาแท้
(กราบถวายทอง ๕ บาทเจ้าค่ะ) เออ พอดี เราเลยไม่อยากอ่านเมื่อวานนี้ ๖๒ สตางค์ เอามาลบบ้าง เราผู้เป็นหัวหน้านำพี่น้องทั้งหลายมาได้ทอง ๖๒ สตางค์ เลยแหงน ๆ ไม่อยากอ่าน มันจะขายกันทั้งประเทศ เข้าใจไหมล่ะ อ่านปั๊บขายปุ๊บเลย จึงไม่อยากอ่าน ทีนี้พอได้ทอง ๕ บาทมาอ่านปุ๊บทันที ลบกันไปเลย ๕ บาทใช่ไหม (เจ้าค่ะ) เออพอดีพอใจ ๕ บาท ๆ นิทานหนองกะปาดมาทันทีเลย ทอง ๕ บาท
(หลวงตาเจ้าขามีอีกเรื่องเจ้าค่ะ ข่าวจากสหรัฐอเมริกา รัฐเทกซัส คุณอู๊ดเจ้าของรายการวิทยุ ไทยเรดิโอยูเอส ที่รัฐเทกซัส กราบเรียนหลวงตาว่า ธรรมะรายการของหลวงตายังคงออกอากาศอยู่เป็นประจำตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์ ๙ โมงเช้าถึงเที่ยง และหนึ่งทุ่มถึงสองทุ่ม มีผู้ฟังมากมายทั้งไทยและลาว ได้ประโยชน์อย่างยิ่งเจ้าค่ะ) ที่เมืองไหน (เทกซัสเจ้าค่ะ) เออ (ที่เคยถ่ายทอดสดทางมือถือ ออกทางวิทยุให้คนไทยที่อเมริกาฟัง)
ประเทศของพุทธศาสนาที่ได้ประโยชน์จากธรรมะเหล่านี้ก็คือ เขมร เวียดนาม ลาว พวกไทยเราที่อยู่ต่างแดนๆ ถือพุทธศาสนา ได้ประโยชน์พอสมควร เพราะปกติจะไม่มีเสียงอรรถเสียงธรรมผ่านเข้ามาทางหูทางตา ก็มีแต่เรื่องโลก เรื่องสกปรก เรื่องยุ่งเหยิงวุ่นวาย กัดฉีกกันกินเหมือนหมูเหมือนหมาเต็มบ้านเต็มเมือง เราสลดสังเวชจริง ๆ นะมองดู เป็นผู้ใหญ่เท่าไรยิ่งลืมเนื้อลืมตัว เป็นบ้ายศ บ้าลาภ บ้าความโลภ จะกลืนพวกมนุษย์ทั้งหลายทั่วโลกดินแดนนี้หมด เข้าพุงตัวคนเดียว นี่คือความไม่มีธรรม มีแต่กิเลสเต็มหัวใจทำลายโลกได้อย่างนี้ เดือดร้อนทุกหย่อมหญ้าเวลานี้นะโลกเรา
ใครก็ทราบไม่ใช่เหรอ พูดคำนี้ไม่ต้องระบุ เป็นผู้ใหญ่ผู้โตมีความเฉลียวฉลาด อำนาจบาตรหลวงก็ใหญ่ แต่เวลาไปใช้ ไปใช้ในทางไม่ดีเป็นฟืนเป็นไฟเผาโลกไปหมด เวลานี้กระเทือนทั่วไปหมด นี่ละความไม่มีธรรม มีแต่กิเลสอย่างเดียวเป็นอย่างนี้ให้ฟังเอา ใครยังไปยกยอปอปั้นอยู่เหรอว่าเขาเป็นเมืองใหญ่เมืองโต เขามีอำนาจบาตรหลวง มีวาสนามาก เอาวาสนาของกิเลสไปเสริมเข้า จึงเป็นเหมือนเอามูตรเอาคูถโปะกันเข้าเพิ่มเข้าไปซิ อยู่ที่ไหนเดือดร้อนไปตาม ๆ กันหมด เราอดคิดไม่ได้ เป็นผู้ใหญ่ ๆ มีความเฉลียวฉลาด โลกเขายอมรับว่าเป็นเมืองฉลาด ทุกอย่างรวมอยู่ที่นั่นหมด
แล้วทีนี้กลับตรงกันข้าม ที่เลวทรามโหดร้ายทารุณ เห็นแก่ได้แก่กิน เห็นแก่อำนาจบาตรหลวงป่า ๆ เถื่อน ๆ ซึ่งไม่เคยปรากฏมาเลย ในสมัยที่หลวงตาเกิดมานี้ยังไม่เห็น พึ่งมาปรากฏขึ้นในเวลานี้ นี่เห็นไหมกิเลส ท่านทั้งหลายไม่เคยดู ให้ไปดูเมืองไหนที่เด่น ๆ อยู่เวลานี้ กำลังกลืนเมืองเล็กเมืองน้อย เหมือนปลาใหญ่กลืนปลาเล็ก กลืนไปหมด กลืนไปทุกแห่งทุกหน นี่ความไม่มีธรรมในใจเป็นอย่างนี้ ลองให้มากลืนเราซิ เราพอใจให้กลืนไหม นี้คนทั้งโลก เราเพียงเท่ากำปั้นไปหากลืนโลก พิจารณาซิเป็นยังไง นี่ละให้รู้เสียถ้าท่านทั้งหลายไม่เคยเห็นเรื่องของกิเลส อย่างนี้ละกิเลส สิ่งที่จะทำความดีงาม เจริญรุ่งเรือง สงบร่มเย็น ให้แก่ผู้อื่นนั้นไม่มีเรื่องของกิเลส มีมากมีน้อยจะแผลงฤทธิ์ขึ้นมาอย่างนี้ มีทุกสิ่งทุกอย่างเสริมเข้า เสริมความอยากความทะเยอทะยานแล้วยิ่งไปใหญ่เลยนะ
เรานี้กลัวเหลือเกินเรื่องโลกร้อนเพราะกิเลส ดีไม่ดีจะเอาไฟเผาโลกกันอีกก็ได้ นี่ละอำนาจของกิเลสเป็นของดีแล้วเหรอ พิจารณาซิ ทำไมจึงต้องส่งเสริมเอากันนักหนา โอ๋ย น่าทุเรศนะ เราเกิดมาก็ไม่เคยเห็น อุจาดบาดตา มือเขียนตีนลบ ๆ คือกิเลส ต้องการยังไงแล้วลบไปเลย เอาตามต้องการๆ นี่คือกิเลส ฟังเอาซิน่ะ เรื่องธรรมนั้นเป็นผู้ใหญ่เท่าไรยิ่งมีความสงบร่มเย็นภายในจิตใจ แผ่กระจายไปที่ไหนมีความสงบร่มเย็นๆ ยกตัวอย่างเช่นพระพุทธเจ้าของเรา นั่นเห็นไหม ใหญ่เหนือโลก คือพ้นโลกแล้ว ประสิทธิ์ประสาทน้ำคือธรรมกระจายทั่วโลก สามโลกนี้ได้รับผลประโยชน์จากพระพุทธเจ้า แล้วผู้ที่หลุดพ้นจากทุกข์ไปก็มีจำนวนมากมาย บรรดาพระพุทธเจ้าซึ่งมาตรัสรู้แต่ละพระองค์ๆ ทำประโยชน์ให้โลกมากมาย นี่คือเรื่องของธรรม ให้พากันนำไปคิด
โลกมีหัวใจทุกคนๆ แม้แต่สัตว์เขาก็มีหัวใจ ขอให้นำไปคิดบ้างเถอะมนุษย์เราน่ะ อย่ามีแต่หลับหูหลับตากัดฉีกกันเหมือนหมูเหมือนหมา มันดูไม่ได้นะ โลกมนุษย์ที่ว่าฉลาดเท่าไร ยิ่งโง่ยิ่งกว่าหมาเข้าไปอีก กัดไม่รู้หนักรู้เบา ไม่รู้ดีรู้ชั่ว ขอให้ได้อย่างใจๆ นี่หมาตัวใหญ่ นั่นละกิเลสเข้าไปแทรกตรงไหนเพิ่มอำนาจขึ้นไปเรื่อยๆ ทางเลวทรามนะ ฟังแล้วฟังไม่ได้นะ นี่ละภาษาธรรมฟังเอา เรื่องธรรมกับกิเลสเป็นอย่างนี้ละดูเอา ถ้ากิเลสไปไหนเป็นฟืนเป็นไฟไปหมด ก่อนั้นก่อนี้ ยุนั้นแหย่นี้ ทำคนนั้นให้แตกให้ร้าว ทำประเทศนั้นให้แตกให้ร้าว ยุประเทศนั้น ยุประเทศนี้ ยุเมืองนั้น ยุเมืองนี้ ยุกลุ่มนั้นกลุ่มนี้ แม้ในเมืองเดียวกันก็เที่ยวหายุหาแหย่กลุ่มนั้นกลุ่มนี้ โจมตีผู้ทำดี เอาความชั่วขึ้นไปโปะๆ สุดท้ายโลกก็มีแต่ความชั่ว เอาไฟเผากัน เป็นยังไงเลิศเลอแล้วเหรอ พิจารณาซิ นี่ละเรื่องกิเลสมันออกมันเป็นอย่างนั้น ท่านทั้งหลายไม่รู้เรื่องของกิเลสให้ฟังเสียงตามนี้ก็แล้วกัน
กิริยาของกิเลสที่แสดงออกแสดงอย่างนี้ ไม่มีชิ้นดีเลย มีตั้งแต่เรื่องความเหลวแหลกแหวกแนว มีแต่เถ้าแต่ถ่าน หนักเข้าๆ เป็นเถ้าเป็นถ่านเพราะกิเลสเผาได้ไม่สงสัย แต่ธรรมนี้ไม่เคยปรากฏ ไม่ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ใดตรัสรู้มา แถวแนวเดียวกันเลย จึงเรียกว่าธรรม จริงด้วยกันหมด ไม่มีคำว่าปลอมคือธรรมล้วนๆ นี่เรียกว่าธรรม แต่กิเลสไม่มีคำว่าจริง ปลอมล้วนๆ เหมือนกันร้อยเปอร์เซ็นต์ มันรบกันอยู่ในหัวใจของสัตว์โลกนั่นแหละ รบอยู่ในหัวใจของคน ฤทธิ์ของมันก็อย่างว่าแหละ มีแต่ความเดือดร้อนวุ่นวาย เดี๋ยวนี้มันจะทุกหย่อมหญ้านะ ให้รู้เรื่องของกิเลสออก มันออกอย่างนี้แหละ
เรื่องของธรรมออกมากน้อยจะสงบร่มเย็นไปตั้งแต่ต้นตอ คือตัวของเราแต่ละรายๆ ได้บำเพ็ญ มีความสงบร่มเย็นขึ้นโดยลำดับลำดา แล้วกระจายออกไปไหนก็ร่มเย็นไปเรื่อยๆ ธรรมมีมากเท่าไรยิ่งทำโลกให้ร่มเย็น มนุษย์เราสัตว์เราไม่เฟ้อ ถ้ามีธรรมในใจแล้วสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้นับแต่มนุษย์ลงไป ไม่มีคำว่าเฟ้อ มีมากมีน้อยดูแลทั่วถึงกัน ด้วยความเห็นอกเห็นใจ ความเฉลี่ยเผื่อแผ่ ทุกข์ยากลำบากทุกข์ด้วยกันยากด้วยกัน เป็นด้วยกัน ตายด้วยกัน เรียกว่าธรรม สุขด้วยกันไปเลย ไม่มีความทุกข์ความเดือดร้อน ก่อกรรมก่อเวรด้วยความเคียดความแค้นเพราะการทำลายกัน เหมือนกิเลสพาสร้างอยู่ตลอดมา
ท่านทั้งหลายยังไม่เคยทราบว่าธรรมเป็นยังไง กิเลสเป็นยังไง ให้ทราบวันนี้ประกาศอีกทีหนึ่ง วันนี้ก็รู้สึกว่าจะแจ้งชัดพอสมควรกระมัง เราพิจารณา ให้ดูเอาสด ๆ ร้อน ๆ นี่ละ กิเลสแผลงฤทธิ์เป็นยังไง เอ้าดูไปทั่วโลก กิเลสแผลงฤทธิ์ยังไง ธรรมไม่มีพอที่จะได้แผลงฤทธิ์ให้โลกร่มเย็นได้ จึงไม่มีใครประกาศออก โลกก็ไม่ค่อยเห็นกัน อันนี้โลกเห็นกันทุกหย่อมหญ้า ซึ่งกำลังเอาไฟเผากันอยู่เวลานี้ นี่คือฤทธิ์ของกิเลส ให้ดูเอา ถ้าไม่มีธรรมนี้แหลกเลยนะ นี้ยังมีธรรมจึงเป็นเกาะเป็นดอนที่ชุ่มที่เย็นบ้าง แม้จะร้อน ที่ชุ่มที่เย็นซุกหัว หลบหัว ซ่อนหัวนอน ยังพอได้นะ ถ้ามีตั้งแต่กิเลสซุกเข้าไปไหนก็เผาเข้าไปเลย เผาเข้าไปเลย
มันไม่ได้อยู่ที่ไหนนะ ธรรมก็อยู่ที่ใจ กิเลสก็อยู่ที่ใจ แผลงฤทธิ์ออกมาจากใจ ท่านจึงสอนให้อบรมใจ เพราะใจนี้เป็นมหาภัย เป็นมหาคุณอยู่ด้วยกัน แต่มหาคุณมักจะอยู่ใต้เสมอ มหาภัยอยู่ข้างบน เหยียบย่ำทำลายธรรม แล้วก็เหยียบโลกไปพร้อม ๆ กัน ถ้าธรรมได้โผล่ขึ้นบ้าง ก็มีความสงบร่มเย็นพอประมาณ นี่ละให้พากันเข้าใจเสียว่าธรรมเป็นยังไง ความตรงไปตรงมาไม่มีคำว่าเอียงว่าเอน ได้แก่ธรรม ผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูก นี่เรียกว่าธรรม แต่กิเลสมันผิดบอกถูก ถูกบอกว่าผิด ดีบอกว่าชั่ว ชั่วบอกว่าดี ของมีอยู่ลบล้างว่าไม่มี นี่คือเรื่องของกิเลส ตัวจอมปลอมล้วน ๆ มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์กาลไหน ๆ แล้วยังจะมีต่อไปไม่มีสิ้นสุดอยู่อย่างนี้ ธรรมก็เหมือนกันมีต่อไป ถึงจะมีน้อยก็มีต่อไปอยู่อย่างงั้นเช่นเดียวกัน
ส่วนมากกิเลสมักมีอำนาจกว่าอยู่เสมอ ธรรมมีน้อย เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้แต่ละพระองค์ ๆ นั้นละสมัยที่ธรรมรุ่งเรืองขึ้นมา โลกได้รับความสงบร่มเย็น รู้จักดี ชั่ว บุญ บาป พูดกันรู้เรื่องรู้ราว พอพระพุทธเจ้าสิ้นไปแต่ละพระองค์ ๆ นั้นคือไฟเผาโลก เริ่มก่อตัวขึ้นเต็มเหนี่ยว ๆ ท่านว่าสุญญกัป ๆ คือธรรมไม่มี มีแต่ไฟล้วน ๆ เรียกว่า สุญญกัป เช่นอย่างพุทธันดร ระหว่างพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้แต่ละพระองค์ เช่นต้นเสาต้นนี้ ต้นเสาต้นนี้เทียบกับพระพุทธเจ้าของเรามาตรัสรู้ ต้นเสาต้นนี้เทียบกับพระอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้ ระหว่างที่หมดศาสนาตรงนี้ นี่ละเดือดร้อนมากทีเดียว เรียกว่าพุทธันดร คือระหว่างพระพุทธเจ้าทั้งสองพระองค์ ตรงกลางนี้ร้อนมาก จนกว่าทางนั้นจะตรัสรู้เป็นน้ำดับไฟเข้ามา นี่เรื่องธรรม
นี้เราพูดเรื่องกว้าง ๆ ทีนี้ให้ย่นเข้ามาหาหัวใจของเรา ผู้คอยรับเหตุผลกลไกอยู่ตลอดเวลานี้คือใจ ให้สังเกตดู ถ้าวันไหนกิเลสมันแผ่อานุภาพมาก วันนั้นเจ้าของเดือดร้อนวุ่นวายมากนะ แต่ก็ไม่รู้ว่าอะไรทำให้เดือดร้อน ก็คือตัวเองนั่นแหละ กิเลสอยู่กับเรา เราไม่รู้ว่ามันเป็นกิเลส กิเลสมาเป็นเราเสียเอง มันก็พาเราเดือดร้อนในวันนั้น ๆ ทีนี้พอได้อบรมธรรมะเข้าสู่ความสงบเย็นใจนี้ ทีนี้ฝ่ายธรรมก็เย็นสบาย เช่น อย่างนักภาวนาท่าน ท่านเป็นนักสังเกตใจ ปกครองใจควบคุมใจ นี้คือนักภาวนา คำว่านักภาวนาคือนักฆ่ากิเลส ตัวเป็นข้าศึกต่อธรรมในหัวใจนั้นแหละ ท่านเป็นนักภาวนาคือมีความเข้มแข็งต่อสู้กับสิ่งที่เป็นภัยในใจของตน คืออารมณ์ของใจนั้นแหละ กิเลสผลักออกมาให้เป็นอารมณ์ อารมณ์ดีชั่ว อารมณ์ชอบไม่ชอบอะไรมันกวนใจทั้งนั้นแหละ นี่เรียกว่า กิเลส
ถ้าวันไหนจิตไม่ค่อยสงบ นักภาวนาท่านจะไม่สบายใจเลยนะ วันนี้จิตมันมีอะไรอารมณ์แปลก ๆ คำว่า อารมณ์แปลก ๆ คือข้าศึกได้แก่ กิเลสเกิดขึ้นจากใจ มันไปได้เรื่องมาจากไหน นั่น ท่านตามสืบหา อ๋อ ได้เรื่องมาจากนั้น ทีนี้พยายามปรับปรุงแก้ไข แล้วก็ระงับไปๆ เรื่อยๆ ระงับไปฆ่าไปเรื่อย ระงับไปเรื่อย นี่นักภาวนา ผู้นี้ละผู้ที่จะสั่งสมความสุขไปถึงบรมสุขคือผู้นี้แหละ ผู้ที่จะปลดเปลื้องทุกข์ไปโดยลำดับ จนกระทั่งปลดเปลื้องโดยสิ้นเชิงถึงนิพพานก็คือผู้นี้แหละ ผู้ที่ไม่ลืมหูลืมตาตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ ๆ ในภพหนึ่งชาติหนึ่ง อยู่ที่ไหนไม่รู้เนื้อรู้ตัว พวกนี้คือพวกที่จมไปเรื่อย ๆ พวกได้ถึงมหันตทุกข์ กิเลสนั่นละพาให้จม
นี่เราพูดถึงเรื่องนักภาวนา นักภาวนาท่านเป็นนักสังเกตใจ มาหากันปั๊บนี้คุยแต่เรื่องอรรถเรื่องธรรม เรื่องโลกไม่มีเลย บอกได้ว่าไม่มีเลย มีแต่เรื่องธรรมล้วน ๆ มาเป็นยังไง ไปภาวนาอยู่ที่นั่นเป็นยังไง ไปภาวนาอยู่ที่นั่นก็คือไปฟัดกับกิเลสอยู่ที่นั่นนั่นเอง รบกับกิเลส ไปอยู่ที่นั่นเป็นยังไงภาวนาดีไหม อยู่ที่นั่นภาวนาดีไหม ทีนี้เวลาท่านได้ผลมากน้อยหรือประสบเหตุการณ์อะไรขึ้นมาจากการภาวนา จะต้องมาเล่าสู่กันฟัง ก็เป็นคติของกันและกันได้เป็นอย่างดี ๆ ทีนี้ออกไปก็เอาอีกอย่างนั้นละ ผลของท่านมีแต่ความสงบเย็นใจ ๆ ตลอดเวลา
นี่ละธรรมเข้าสู่ใจสงบเย็น ถ้ากิเลสแผลงฤทธิ์ที่ใจแล้วเป็นไฟไปหมดไม่มีอะไรดี สมบัติเงินทองกองเท่าภูเขาไม่มีความหมาย ถ้าใจเป็นไฟเสียอย่างเดียวเท่านั้น ถ้าใจเป็นน้ำเป็นท่าชุ่มเย็นตัวเอง มีไม่มีอยู่ได้สบาย ที่พึ่งอยู่ที่หัวใจนี้แล้ว ธรรมนั้นละเป็นที่พึ่ง อันเหล่านั้นอาจเป็นที่พึ่งภายนอกชั่วกาลชั่วเวลา แต่หัวใจนี้เป็นที่พึ่งทุกภพทุกชาติไปตลอดถึงพระนิพพาน เมื่อมีธรรมในหัวใจมันเย็นตลอดอบอุ่นตลอด อะไรมีหรือไม่มีไม่ค่อยสนใจ คืออันนี้เป็นเครื่องหนุนตลอดให้มีความสุขความเย็นใจตลอด ๆ อย่างนั้น
นี้ละท่านเรียกว่า ธรรม ท่านทั้งหลายไม่เคยได้ยินเสียงธรรมให้ฟังเสียงเสีย นักภาวนาอย่างพระกรรมฐาน ท่านไม่ค่อยสนใจอะไรนัก กับการอยู่การกินการหลับการนอนทุกอย่างเพียงอาศัยเท่านั้นเอง ท่านไม่ได้เป็นอารมณ์กับสิ่งเหล่านี้ ซุกหัวนอนปั๊บตรงไหนได้เลย พอหลับครอก ๆ ระงับธาตุขันธ์ตื่นขึ้นมาฟัดกันแล้ว การกินก็เหมือนกันบิณฑบาตได้มาเท่าไร ๆ พอใจแล้ว พอยังชีวิตให้เป็นไปวันหนึ่งๆ เพื่อจะหนุนธรรมเข้าสู่ใจ กำจัดกิเลสไปเรื่อย ๆ การอยู่ อยู่ได้สบายอยู่ไหนอยู่ได้หมด การกิน กินได้สบายไม่สนใจอาหารว่าอะไรเป็นประเภทใดไม่สนใจ การใช้การสอยส่วนมากท่านไม่ได้ใช้ เขาทำกระต๊อบให้เล็ก ๆ หรือร้านเล็ก ๆ ให้อยู่เท่านั้นพอ จะไปใช้ทำงานนั้นทำงานนี้ยุ่งเหยิงวุ่นวายอันเป็นงานของกิเลสแทรกเข้ามานั้นท่านไม่เอา
นี่นักภาวนาแท้เป็นอย่างนี้ ท่านไม่ยุ่งกับงานนะนักภาวนา งานของท่านมีแต่เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาชำระกิเลส สติปัญญาจดจ้องอยู่ที่ใจซึ่งเป็นที่เกิดแห่งมหาเหตุทั้งหลาย มหาเหตุส่วนมากเป็นเรื่องของกิเลส ธรรมคอยปราบๆ กิเลสเกิดก่อน ๆ อยู่ตลอดเวลา ธรรมคอยแก้คอยไขคอยปราบปรามกันอยู่อย่างนั้น ท่านจึงไม่มีอะไรกังวล หน้าที่การงานทั้งหลายนี้เป็นเรื่องภายนอก พระพุทธเจ้าเองก็ไม่เคยมีในตำราว่าส่งเสริมหน้าที่การงาน ให้พระผู้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่อกำจัดกิเลส ให้ไปสั่งสมงานนั้นงานนี้ไม่มี มีแต่ตำหนิติเตียน เช่น เวลาสั่งสอนพระที่จะออกไปเที่ยวภาวนา ธรรมดาการก่อสร้างมันก็มีบ้าง แต่มันไม่หรูหราฟู่ฟ่าเหมือนศาสนาในปัจจุบันนี้ ศาสนาปัจจุบันวัดปัจจุบันนี้เอาเมืองไหนมาแข่งก็ไม่ได้ละ เพราะมันหรูหราฟู่ฟ่าด้วยการก่อการสร้าง เอาอิฐเอาปูนเอาหินเอาทรายมาเป็นเทวบุตรเทวดาแทน เป็นอรรถเป็นธรรมแทน ไปที่ไหนจึงเกลื่อนอยู่ด้วยสิ่งเหล่านี้
นี่เวลาพระพุทธเจ้าสอนพระที่จะออกเที่ยวกรรมฐาน ท่านบอกไปหาที่ให้สงบสงัดเป็นพื้นฐาน นั่นฟังซิ สถานที่ไม่ควรอยู่ควรไปนั้นคือ ที่ชุมนุมชนหนาแน่นอย่าไป ท่าน้ำเป็นที่ชุมนุมชนขึ้นลง ที่นั่นอย่าไปอย่าพัก สถานที่ใดมีการก่อการสร้างอย่าไป นั่น ท่านบอก นี่เห็นไหมคำสอนพระพุทธเจ้า แม้ที่สุดต้นไม้ใหญ่ที่มีดอกผลเต็มต้นของมัน พวกสัตว์ นก กา อะไรไปกินอึกทึกครึกโครมก็อย่าเข้าไปพัก อย่าเข้าไปอยู่สถานที่นั่น มันรบกวน ให้หาที่สงัดเป็นพื้นฐานตลอดไป นี่พระพุทธเจ้าสอนพระสงฆ์ที่ทูลลาพระพุทธเจ้าไปประกอบความพากเพียร นี่จำเอานะ ท่านไม่ได้ว่าให้ไปยุ่งเหยิงวุ่นวายสร้างนั้นสร้างนี้ เดี๋ยวนี้มันพลิกเป็นอื่นขึ้นมา ฝ่ามือเป็นหลังมือไปแล้ว
โลกทั้งหลายไปที่ไหนเห็นวัดหรูหราฟู่ฟ่าสวยงามด้วยโบสถ์ด้วยวิหารแล้ว โอ๊ย.วัดนี้สวยงามมากน่าเกรงขามไป มันเป็นวัตถุมันไม่ใช่ศาสนา ศาสนาแท้เป็นธรรมล้วน ๆ แก้กิเลสทำความสงบใจตัวเอง กระจายออกไปที่ไหนให้ความสุขแก่กันชุ่มเย็นทั่วหน้ากัน จากใจที่มีความสงบด้วยการบำเพ็ญตนด้วยดีมาแล้ว นั่นเป็นอย่างนั้นนะ ท่านไม่ได้สนใจกับการก่อการสร้างหรูหราฟู่ฟ่าอย่างนี้ นี่มีทีหลัง เมื่อมากต่อมากแล้วก็ไม่มีใครกล่าวถึง จึงประหนึ่งว่าศาสนาคือวัตถุที่หรูหราฟู่ฟ่า ความจริงแล้วไม่มี ตัดกันร้อยเปอร์เซ็นต์เลย จะมีที่ไหน
ท่านแสดงไว้ในตำราก็มีแต่ นางวิสาขา มาขอสร้างศาลา ศาลาใหญ่โตขนาดไหนก็ไม่รู้แหละ มาขออนุญาตจากพระพุทธเจ้าสร้างศาลา พระพุทธเจ้าก็รับสั่งให้พระโมคคัลลาน์ จัดการให้พวกช่างเขามาทำเสีย ส่วนพระไม่ได้ปรากฏในคัมภีร์ ว่าพระมายุ่งเหยิงวุ่นวายเป็นตัวการตัวงานอยู่นั้น ไม่มี ให้พระโมคคัลลาน์มาคอยดูแลแนะนำตักเตือนนายช่างทั้งหลายเพียงเท่านั้น แล้วพระโมคคัลลาน์ท่านก็เป็นพระอรหันต์ ท่านเสียหายที่ตรงไหนพระอรหันต์น่ะ ในโลกจะไปทำอะไรให้ท่านเสียหายไม่มี นั่นเห็นไหมพระพุทธเจ้ารับสั่งให้พระโมคคัลลาน์มาอย่างนั้น นอกนั้นไม่เห็นมี มีแต่ไปที่ไหนมีแต่เป็นยังไงป่านั้นเขาลูกนั้น มีแต่ที่หลบที่ซ่อนเพื่อความสะดวกสบายในการประกอบความพากเพียร
นี่ท่านผู้เสาะแสวงหาธรรม แล้วผู้นั้นแลผู้เย็นมากที่สุด อยู่ที่ไหนเย็นหมด ไม่ว่าอดว่าอิ่มว่าอะไร ว่าหน้าแล้งหน้าฝนท่านไม่มีฤดู กิเลสไม่มีฤดูฉันใด ธรรมที่ปราบกิเลสก็ไม่มีฤดู เมื่อกิเลสสงบลงไปธรรมก็ไม่มีฤดู มีความสุขตลอดเวลา อย่างนั้นนะ นี่พูดให้ท่านทั้งหลายฟัง ในคัมภีร์ใบลานมีหรือไม่มี นี้เอามาอ่านให้ฟังแล้ว ว่าเรื่องราวเป็นยังไงเพราะเรียนมาเหมือนกันนี่ คัมภีร์เดียวกันมาลบล้างกันได้เหรอ
นี่ละศาสนาเปลี่ยนแปลงมาอย่างนี้ละดูเอา ดูพระดูเณรก็กลายเป็นพระเจ้าชู้ขุนนาง พระเจ้ายศเจ้าลาภ เจ้าอะไรพูดไม่ถูกเลยว่างั้นเถอะน่ะ เดี๋ยวนี้ไม่ได้เป็นพระลูกศิษย์ตถาคตนะ มีความสำรวมระวังกาย วาจา ใจ อยู่ตลอดเวลา ความเคลื่อนไหวไปมามีสติ ปัญญาชำระกิเลสให้เป็นความชุ่มเย็นแก่ตนมันไม่ค่อยมีและไม่มีเวลานี้นะ มันมีแต่ลิงแต่ค่าง เอาผ้าเหลืองมาฟาดเข้าหัว โกนหัวโล้น ๆ แล้วก็เป็นพระ ทีนี้ก็เย่อหยิ่งจองหองไม่มีใครเกินพระนะ พระมีผ้าเหลืองครอบ ใครจะไปแตะต้อง ใครจะไปพูดอย่างนั้นอย่างนี้เขาก็กลัวผ้าเหลือง กลัวเป็นบาปเป็นกรรม แต่ตัวหัวโล้น ๆ ไม่กลัว ยิ่งคึกยิ่งคะนองยิ่งได้ใจสนุกทำบาปด้วยความเย่อยิ่งจองหองในผ้าเหลืองของตน ในเพศของตนนั่นแหละ มีอยู่อย่างนี้
นี่ละภาษาธรรมต้องพูดให้ตรงไปตรงมา ไม่ได้ยกเว้น นับตั้งแต่ผู้เทศน์นี้ลงไป เป็นผู้อยู่ในโอวาทของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น ผิดที่ไหนถูกตรงไหนพูดได้ธรรม แก้ไขได้สอนกันได้ถ้าหวังอรรถหวังธรรมต่อกัน ถ้าไม่หวังแล้วเทวดามาสอนมันก็ไม่ฟัง เข้าใจไหมล่ะ เป็นอย่างนั้นนะ
นี่ละที่ธรรมกระจายไปที่ไหน โลกจะค่อยรู้สึกบาปบุญคุณโทษขึ้นนะ อย่างที่ว่า อินเตอร์เน็ตอะไรที่ออกทั่วโลก นี่เป็นเสียงธรรมภาษาอรรถภาษาธรรม ซึมซาบเข้าไปตรงไหนโลกจะมีความสงบร่มเย็นเป็นลำดับลำดาไป ถ้ากิเลสไปตรงไหนเป็นภัยไปด้วยกันทั้งนั้น ขอให้พี่น้องทั้งหลายนำธรรมนี้ไปเป็นเครื่องพร่ำสอนจิตใจนะ จะมีความสงบเย็นใจ เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านั้นละนะ ไม่พูดมาก
ชมการถ่ายทอดสด ธรรมะหลวงตาวันต่อวัน ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th |