เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๓๓
ผู้นำเป็นกำลังใจ
จะให้เทศน์อย่างแต่ก่อนไม่ได้แล้ว นอกจากว่าไปธรรมดานี้ ยิ่งทำธุระหน้าที่เพื่อส่วนรวมเช่นช่วยหมู่เพื่อนไม่ได้ ก็ยิ่งทำให้เป็นความกังวลถ้าจะว่ากังวล นี้ก็ออกมาจากความสงสารนั่นเองไม่ใช่ออกมาจากอะไรนะ ทำให้คิดให้อ่านเกี่ยวกับเรื่องเพื่อนฝูงผู้ที่จะนำตนและประชาชนญาติโยม ไปในทางที่ถูกที่ดีสงบร่มเย็น เป็นความเชื่อความตายใจ ที่เขาจะก้าวเดินตามพระ นับถือพระด้วยความอบอุ่น นี่ละทำให้เป็นห่วงมากสำหรับพระเราเวลานี้
แบบแผนตำรับตำรามีก็จริง แต่เมื่อไม่สนใจที่จะทำตามแบบตามแผนตำรับตำราแล้ว ตำรับตำราก็อยู่อย่างนั้น ตัวเราก็เป็นอย่างนี้หาหลักหาเกณฑ์ไม่ได้ เมื่อหาหลักหาเกณฑ์ไม่ได้ ความประพฤติปฏิบัติตนเวลาจะทำให้เป็นมรรคเป็นผลขึ้นมาก็หาหลักเกณฑ์ไม่ได้อีกเช่นเดียวกัน ก็จะเอานิสัยไม่มีหลักมีเกณฑ์ในความประพฤติที่เห็นกันอยู่ด้วยตานี่แลไปใช้ แล้วก็หาหลักหาเกณฑ์ไม่ได้อีกนั่นซี
ศาสนธรรมของพระพุทธเจ้านี้ไม่มีอะไรจะเทียบแล้วในโลกนี้ พูดตามภาษาเราฟังกันชัดๆ ก็ว่าไม่เหมือนอะไร ว่างั้นเลย คำว่าธรรมๆ นั่นก็มีอยู่กับหัวใจท่านเอง ใจท่านเป็นธรรมล้วนๆ อย่างนี้จะเอามาเทียบกับอันใดไม่ได้ทั้งนั้น ไม่มีอะไรจะเทียบ คือธรรมนั้นเลยเสียทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ท่านนำมาแสดงนั้น เอากิริยาจากธรรมชาตินั้นต่างหากมาแสดงให้พวกเราฟัง ดังที่ว่าธรรมๆ เป็นกิริยาอันหนึ่งออกมาจากธรรมแท้ อันนั้นไม่มีจิตดวงใดที่จะทราบได้รู้ได้เห็นได้ นอกจากจิตของท่านผู้บริสุทธิ์เท่านั้น ไม่บอกก็ตาม เป็นธรรมชาติที่ทรงอยู่แล้ว นี้สำคัญมาก
ที่แสดงออกมาว่าธรรมว่าพระสงฆ์อย่างนี้ เป็นกิริยาอาการออกมา พระพุทธเจ้าอย่างนี้นะ หลักธรรมชาติที่แท้จริงของความเป็นพระพุทธเจ้าแท้ เป็นธรรมแท้ เป็นสงฆ์แท้ ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้อย่างนั้น เห็นได้อย่างนั้น เป็นได้อย่างนั้น ถ้าจิตไม่เป็นเสียเองแล้ว ดังจิตพระพุทธเจ้าจิตพระอรหันต์ท่านนั่นแล แต่เมื่อไม่มีสมมุติกรุยหมายป้ายทางพอเป็นแนวเป็นแถวให้ลูบให้คลำให้ก้าวเดินไปก็ยิ่งแล้วอีก ไม่ทราบว่าจะก้าวไปไหนเดินไปไหน บาปก็ไม่ทราบ บุญก็ไม่ทราบ เพราะไม่มีกิริยาออกมาแสดงให้เห็น นี่ละธรรมท่านจึงแสดงออกมาเพื่อรับสิ่งเหล่านี้ ซึ่งโลกทั้งหลายสั่งสมกันอยู่ตลอดเวลา ส่วนมากต่อมากก็คือสิ่งที่เป็นภัยแก่ตนนั้นแล
คำว่าพระเมตตาของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ได้เหมือนเมตตาของใครๆ ทั้งนั้นในโลกนี้ เป็นพระเมตตาที่บริสุทธิ์เต็มสัดเต็มส่วนไม่มีอะไรบกพร่อง การแนะนำสั่งสอนสัตว์โลกจึงทรงสั่งสอนด้วยพลังของธรรมพลังของใจจริงๆ มีพระเมตตาหนุนออกมา เพราะฉะนั้น การเทศนาว่าการจึงเต็มเม็ดเต็มหน่วย ตามหลักความจริงที่ทรงรู้ทรงเห็นทุกอย่างในบรรดาธรรมที่นำมาสั่งสอนสัตว์โลก ไม่ใช่สั่งสอนแบบด้นแบบเดาแบบคาดคะเน เหมือนเราทั้งหลายซึ่งฟังจากท่านแล้ว ก็ไม่พ้นที่จะเป็นความคาดคะเนออกมาจนได้เพราะไม่เห็น บอกแต่ชื่อแต่นามเฉยๆ ตัวจริงที่ได้ชื่อได้นามออกมานั้นไม่มีในเรา เราไม่เห็นท่านเห็น นี่ซิที่ต่างกันอย่างมาก
การประพฤติตัวของพวกเราที่ไม่มีเครื่องยืนยัน ไม่มีผู้ชักนำหรือไม่มีครูอาจารย์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเป็นแม่เหล็กเครื่องดึงดูดกันไปด้วยความปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ทั้งความรู้ภายในก็เป็นหลักเป็นเกณฑ์เป็นมรรคเป็นผล และเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งมรรคซึ่งผลมันลำบากนะ เพราะท่านเป็นความดึงดูดสำหรับผู้ปฏิบัติทั้งหลายให้เป็นไปด้วยความราบรื่นชื่นใจในอิริยาบถต่างๆ คือเกิดกำลังใจ เมื่อเกิดกำลังใจแล้วทุกสิ่งทุกอย่างจะหมุนไปตาม กำลังใจนั้นก็เป็นแม่เหล็กเครื่องดึงดูดความเพียรพยายาม ความตั้งอกตั้งใจในธรรมทุกประเภท ไม่ย่อหย่อนอ่อนกำลัง
ทีนี้เมื่อไม่มีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามหลักธรรมหลักวินัย และไม่มีผู้ทรงมรรคทรงผลเป็นสักขีพยาน เป็นเครื่องดึงดูดของผู้มาอบรมศึกษาแล้ว ใจก็นับวันจะอ่อนลงๆ ความอ่อนลงนั้นก็เป็นเรื่องของกิเลสนั่นแลกดถ่วงลงไม่ใช่เรื่องอะไร เพราะข้าศึกของธรรมนั้นมีมากต่อมาก ทั้งๆ ที่เราปฏิบัติอยู่ก็ไม่พ้นที่มันจะเข้าไปย่ำยีจนได้ภายในจิตใจและข้อวัตรปฏิบัติของเรา ตลอดความพากเพียรทุกด้าน มันเข้าไปแทรกไปแซงอยู่นั้นตลอด เราไม่เห็นนั่นซีที่น่าทุเรศนะ
สิ่งเหล่านี้แลจะทำจิตใจของเราให้เหินห่าง ให้อ่อนตัวลงไปในการประพฤติปฏิบัติ ตลอดถึงความพากความเพียรทุกด้าน เพราะกำลังใจไม่มีเนื่องจากไม่มีเครื่องดึงดูด คือผู้นำก็นับวันอ่อนไปๆ ร่อยหรอไป สุดท้ายศาสนาก็เลยมีแต่ชื่อของศาสนา คัมภีร์ใบลานก็บอกไว้เฉยๆ ชี้ไปอย่างนั้น ไม่มีใครมองดูเข็มทิศแห่งธรรมในตำราที่ชี้ไว้นั้น มีแต่กิเลสดึงไปลากไปตามความต้องการของมัน ไม่ทราบว่าเข็มทิศหรือไม่เข็มทิศ อันนี้สัตว์ทุกตัวมีด้วยกัน เป็นเพียงไม่สังเกตจึงไม่รู้ว่าตัวมี ศึกษาหรือไม่ศึกษาก็เป็นหลักธรรมชาติของกิเลสที่มันฝังจมอยู่แล้วๆ และฉุดลากไป นี่ซิจึงลำบากเอามากทีเดียว
เมื่อผู้นำที่เป็นสักขีพยานไม่มี กำลังของใจก็นับวันอ่อนลงๆ สุดท้ายท่านเหมือนเรา เราเหมือนท่าน พระเหมือนโยม โยมเหมือนพระ วัดเหมือนบ้าน บ้านเหมือนวัดไป เพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นสถานที่หรือเป็นเพศ เป็นเครื่องหมายเฉยๆ ไม่ใช่ตัวจริงเหมือนกับการตั้งใจประพฤติปฏิบัติตามหลักธรรมหลักวินัย ด้วยความมุ่งมั่นในอรรถในธรรมมีแดนพ้นทุกข์เป็นสำคัญ เมื่อไม่มีสิ่งเหล่านี้แล้วก็เหลวไหลๆ ไป นี่แลทำให้วิตกวิจารณ์อยู่ภายในหัวใจนี้แหละไม่เว้นไม่วายแต่ละวันเวลา
เพราะสิ่งที่เป็นภัยมีอยู่รอบด้านตลอดเวลา ไม่มีหน้าแล้งหน้าฝนฤดูกาลสถานที่อะไร เป็นอกาลิโกอยู่เช่นนั้น กล่อมอยู่เช่นนั้น ให้หลงอยู่เช่นนั้น ไม่ว่าจะออกมา ส่วนหยาบส่วนกลางส่วนละเอียดของกิเลสประเภทต่างๆ มีแต่เรื่องกล่อมให้เคลิ้มหลับไปตามมันทั้งนั้น ไม่มีช่องทางที่จะยิบแย็บให้รู้ว่ามันเป็นโทษบ้างเลยนี่ซิสำคัญ มันถึงกล่อมได้หมด พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้แต่ละพระองค์ๆ นี้ เท่ากับมาเปิดโลกธาตุให้ได้เห็น สิ่งที่มันปิดบังเอาไว้ก็เปิดขึ้นมาๆ เพราะสิ่งที่ทรงแสดงไว้เหล่านั้น มีแต่ของจริงซึ่งเป็นของมีอยู่ๆ แล้วทั้งนั้น แต่สัตว์โลกไม่เห็นแม้คลุกเคล้ากันอยู่ ถ้าว่าแกงก็แกงกับหม้อน้ำร้อนมันก็อยู่ด้วยกัน เดือดพล่านๆ อยู่นั่น สัตว์ก็จมอยู่ในหม้อแกงนั้น เช่นเขาแกงปูแกงปลาแกงเนื้อแกงสัตว์ต่างๆ นั้นเราก็เห็นอยู่แล้ว นั่นละมันติดแนบพัวพันกันอยู่อย่างนั้น นี่สัตว์ก็ไม่เห็นสัตว์ก็ไม่รู้
สิ่งเหล่านี้ไม่ได้นอกไปจากสัตว์จากบุคคล ที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องไปพัวพันไปสัมผัสสัมพันธ์ แต่ทีนี้สัตว์ตัวไหนก็ไม่รู้นี่จะทำยังไง นี่ซิมันน่าคิดน่าทุเรศเอาจริงๆ นะ ผมพูดตามความจริงให้เพื่อนฝูงฟังว่าผมสงสารจริงๆ ไม่ทราบเป็นยังไง แม้จะตัวเท่าหนูก็ตามแต่หัวใจมันไม่ได้เป็นหนู ว่างี้เสียให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ถ้าจะพูดแบบโลกๆ ก็เรียกว่ามันสนุกดูเรื่องของสมมุติเรื่องของกิเลส ที่มันเกลื่อนมันเผาสัตว์ทั้งหลายในโลกธาตุนี้ไม่มีเว้นแต่ละรายๆ เลยนี่ซิ เปิดออกให้เห็นหมดแล้วจะเอาอะไรมาสงสัย ก็เมื่อเห็นอยู่เป็นอยู่อย่างนั้น ผู้ทุกข์ผู้ลำบากส่วนมากมีแต่อย่างนั้นๆ รู้อยู่เห็นอยู่อย่างนั้นทำไมจะไม่สงสาร เพราะสิ่งที่เทียบที่เคียงกันคือธรรมมีอยู่
เหมือนอย่างผู้หนึ่งอยู่บนฝั่งคนหนึ่งตกน้ำ ผู้อยู่บนฝั่งเห็นอยู่ ผู้ตกน้ำจะเป็นจะตายแหล่อยู่อย่างนั้น ดิ้นกะป๋อมกะแป๋มอยู่ในน้ำ เสือกคลานอยู่ในน้ำ แล้วทำไมใครจะไปใจจืดใจดำ แม้ใจคนมีกิเลสก็ตาม นี่เป็นข้อเทียบเคียง จะต้องสงสารอย่างเต็มหัวใจจนทนอยู่ไม่ได้ ต้องช่วยฉุดช่วยลากขึ้นบนฝั่งนั่นแล ยิ่งใจพระพุทธเจ้าใจพระอรหันต์ท่าน ซึ่งเป็นผู้ถึงฝั่งแล้วคือพระนิพพาน นิพพานถ้าเทียบก็เหมือนกับฝั่งน้ำ แล้วเห็นสัตว์ทั้งหลายจมอยู่ในสมมุติประเภทต่างๆ จนกระทั่งมหาอเวจีโน่นอย่างลึกที่สุดของความทุกข์ความทรมานสัตว์ ทำไมพระองค์จะไม่มีความเมตตาสงสารเป็นอย่างมาก เพราะสิ่งที่พระองค์ทรงพระองค์ทรงอยู่แล้วเห็นอยู่แล้ว ผู้อยู่บนฝั่งไม่ได้รับความทุกข์ความทรมานอะไรเหมือนกับผู้ตกน้ำ นั่นเทียบกันอย่างนั้น ผู้อยู่ในหม้อน้ำร้อนกับผู้ที่ไม่ได้อยู่ในหม้อน้ำร้อนต่างกันยังไงพิจารณาดูซิ
นี่แลเป็นเหตุที่ให้พระองค์ทรงมีความสงสารสัตว์โลกมาก ก็เห็นอยู่อย่างนั้นจะให้เป็นอื่นไปที่ไหน ควรจะฉุดจะลากได้วิธีใดแบบใด ก็ต้องพยายามฉุดพยายามลากเต็มพระสติกำลังความสามารถตั้งแต่วันตรัสรู้แล้ว นี่เริ่มเห็นแล้วนั่น ตรัสรู้แล้วก็ทรงเห็นแล้วนั่น เห็นสิ่งเหล่านี้เห็นเรื่องเหล่านี้ และพระองค์ก็ครองไว้แล้วซึ่งธรรมที่ตรงกันข้ามกับสิ่งเหล่านี้คือบรมสุข นั่นเป็นพยานเทียบกันอยู่อย่างนั้น เหมือนกับผู้หนึ่งอยู่บนฝั่ง ผู้หนึ่งตกน้ำดิ้นกะป๋อมกะแป๋มอยู่ในน้ำ คนหนึ่งอยู่นอกหม้อน้ำร้อน คนหนึ่งตกอยู่ในหม้อน้ำร้อนเป็นยังไง นั่นละเทียบกันได้อย่างนั้น นี่แลที่ว่าพระเมตตาสุดส่วนๆ สุดอย่างนี้เอง
เพราะพระองค์ก็สุดสมมุติ อันนี้ก็เต็มสมมุติ สัตว์ทั้งหลายอยู่ในวงสมมุติเต็มสมมุติด้วยกันทุกรายๆ บาปกรรมมีมากมีน้อยต้องเสวยตามกรรมของตนทุกรายๆ ไม่มีใครเป็นอิสระได้แม้รายเดียว แต่ท่านพ้น-พ้นเสียโดยสิ้นเชิงจากแดนสมมุติ เรียกว่าร้อยทั้งร้อยเทียบกันได้ปึ๋งๆ สักขีพยานแห่งมหันตทุกข์กับบรมสุข แล้วทำไมพระองค์จะไม่ทรงเมตตาสงสาร
ปิดได้ยังไง สิ่งที่ควรรู้ควรเห็นจะไม่ให้พระญาณหยั่งทราบเป็นไปได้ยังไง ก็ทราบอยู่นี่จะว่าไม่ทราบไม่เห็นยังไง เห็นอยู่นี่รู้อยู่นี่ ว่ารายใดประเภทใดที่ควรจะฉุดจะลากด้วยวิธีการใด พระองค์ก็ทรงพระเมตตาสงสาร ภาษาของเราก็เรียกว่าตะเกียกตะกายสุดพระกำลังความสามารถ จนกระทั่งวันปรินิพพานแล้วยังไม่แล้ว ยังทรงมองย้อนหลังไปอีกก็ยังสงสารและประทานพระโอวาทไว้คือธรรม ว่าธรรมวินัยนั้นแลจะเป็นศาสดาของท่านทั้งหลาย เมื่อเราผ่านไปแล้วหรือเราตายไปแล้ว เรียกว่าพาดบันไดเอาไว้ให้ขึ้น ผู้ที่ควรจะขึ้นได้ยังมีอยู่ก็ขึ้นไปๆ ผ่านไปได้ๆ ผู้ที่สุดวิสัยก็ปล่อยให้จมไปตามกรรมของสัตว์
พระองค์ทรงสั่งสอนสัตว์โลก ทรงสั่งสอนสดๆ ร้อนๆ ไม่มีอะไรที่ว่าจืดจางเลย เพราะความจริงเป็นของจริงไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลา สัตว์ทั้งหลายเสวยกรรมเสวยจริงๆ อย่างนั้น ไม่ว่าจะตกนรกหมกไหม้ในขุมใด ก็เป็นความทุกข์ความทรมานตามอำนาจแห่งกรรมของตนในนรกขุมนั้นๆ อันนี้เป็นหลักใหญ่ส่วนใหญ่ของความทุกข์ ที่ผ่านพ้นจากนั้นขึ้นมาๆ เรื่อยๆ ว่าหมดกรรมนั้นแล้ว กรรมอันอื่นที่เป็นปลีกย่อยประจำอยู่ในจิตยังมีอีกๆ ก็ต้องเสวยไปตามบุญตามกรรม เหมือนอย่างพวกเรานี้ไม่ได้ไปตกนรก พวกเรามีทุกข์ไหมล่ะ มันก็มีอยู่อย่างนี้แล มีสุขมีทุกข์เรื่องนั้นเรื่องนี้ดังที่โลกเป็นกันอยู่นี้ นี่ที่ว่าสดๆ ร้อนๆ
เคยได้พูดเสมอว่า ถ้าได้เปิดตาดูความจริงทั้งหลายตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้แล้วนั้น ให้เห็นเพียงขณะเดียวคือ ๑๐ นาทีเท่านั้นทำไมจะไม่สลบไสลไป มนุษย์เราเป็นสัตว์ฉลาดแท้ๆ ความทุกข์เป็นยังไง เห็นอยู่อย่างประจักษ์ เห็นประจักษ์ขึ้นมาโดยลำดับลำดา เอา ดูไปรอบด้านให้เห็นประจักษ์ไปหมด เอ้า ฝ่ายดีก็ดูตั้งแต่พื้นๆ นี้จนกระทั่งถึงบรมสุขคือนิพพานเป็นยังไง
เทียบกันดูทั้งดีก็เห็นอยู่มีอยู่อย่างนี้ ชั่วก็มีอยู่เห็นอยู่อย่างนี้ประจักษ์กับตาของเราแท้ๆ ไม่ใช่ตาของใคร แล้ว ๑๐ นาทีหมดเวลาปิดกึ๊บถ้าว่าปิดสถานี ปิดประตูแห่งกรรมของสัตว์ไม่ให้เห็น หลังจากนั้นแม้เสวยอยู่ก็ไม่เห็นแล้วเป็นยังไง คนนั้นได้เห็นประจักษ์กับตัวเองมาแล้ว เหตุการณ์ทุกสิ่งทุกอย่างไม่สงสัย สัมผัสสัมพันธ์กับหัวใจดวงนี้เต็มหัวใจแล้วทำยังไงที่นี่ นั่นละที่ว่าจะสลบไสล มันทนได้ยังไง แล้วใครจะไปกล้าทำบาป ก็เห็นอยู่ชัดๆ นี้มีหรือไม่มีบาป บุญมีหรือไม่มี นรกมีหรือไม่มี สวรรค์มีหรือไม่มี มันประจักษ์กับตัวของตัวเองเต็มหัวใจแล้วจะอยู่ได้ยังไง
นี่ละผู้มีอุปนิสัยสามารถที่เชื่อพระพุทธเจ้า แม้เรายังไม่เห็นตามที่พระองค์ทรงสอนในหลักความจริงนั้นก็ตาม ก็มีความเชื่ออย่างฝังลึกๆ จนก้าวเข้าสู่อจลศรัทธา แล้วถอยได้ยังไงความเพียร นั่นฟังซิที่นี่ มีแต่จะบึกจะบึนจะไปให้พ้นๆ โดยถ่ายเดียว นั่นถึงขั้นที่ควรจะเป็นในบุคคลคนนั้นแล ก็อย่างสติปัญญาของเราๆ ท่านๆ เวลามันไม่เป็นหน้าเป็นหลังอะไร ตะเกียกตะกายล้มลุกคลุกคลานแทบเป็นแทบตายในวันหนึ่งๆ ก็ไม่ได้เรื่องได้ราว มันก็เป็นให้เห็นอยู่ประจักษ์ในตัวของเรา เวลาก้าวขึ้นสู่หลักสู่เกณฑ์ พอได้หลักได้เกณฑ์แล้ว ก้าวเข้าสู่ความเพียรเต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้ว ยิ่งได้รู้ได้เห็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับหัวใจนี้เป็นลำดับลำดาไปแล้วความเพียรถอยได้ยังไง
คนคนเดียวนี้ละ ในฐานะของจิตภูมิของจิตที่ต่างกัน ต่างกันที่ความรู้ของจิต สติปัญญาที่มีประจำจิตต่างกัน ดังที่ท่านแสดงไว้เรื่องมหาสติมหาปัญญานั่นเป็นยังไง ท่านเหล่านี้ถ้าเทียบก็เหมือนไปเห็นนรกด้วยตาเจ้าของ เห็นนิพพานด้วยตาเจ้าของแล้วกลับมานั่นเอง ไม่มีอะไรผิดกันเลย ท่านเหล่านี้ที่ว่ามหาสติมหาปัญญา นี้ละคือตายก็ตายคำว่าถอยไม่มีเลย อย่างไรก็จะให้หลุดให้พ้นโดยถ่ายเดียวเท่านั้น มีเท่านั้นๆ ไม่มีอย่างอื่นเข้ามาแทรกเลย มีแต่เท่านั้นๆ ท่านผู้นี้นับวันเวลาไว้เลยที่จะต้องผ่านพ้นแดนสมมุติโดยประการทั้งปวงไปได้ไม่สงสัย
คนคนเดียวนั้นแหละ เวลาเพลิดเพลินลืมเนื้อลืมตัวก็คนคนนั้น แต่เวลาได้เห็นโทษเห็นภัยแห่งความเป็นไปทั้งหลาย เพราะการประพฤติปฏิบัติตามแนวทางที่พระองค์ทรงสั่งสอนไว้แล้ว ก็ยิ่งเปิดไปๆ ยิ่งเห็นชัดไปๆ แล้วก็ถึงขั้นที่ว่านี้ คือเป็นก็เป็น ตายก็ตาย คำว่าถอย-ถอยไม่ได้แล้ว แพ้ไม่ได้แล้ว ถึงแพ้ก็ เอ้า ตายเท่านั้น แพ้ด้วยตายไม่ใช่แพ้ด้วยการยอมจำนน มีแต่ว่าตายเท่านั้น ทางการต่อสู้กับตายๆ เท่านั้น คำว่าแพ้ว่าถอยไม่มีอีกแล้ว
นี่เราเทียบในสามัญชนเราธรรมดา ถ้ากรรมเปิดหูเปิดตาให้พวกเราได้เห็นเพียงเท่านั้นแหละ อย่างไรก็เป็นแบบที่ว่านี้ หมุนติ้วเลย เมื่อไม่เห็นก็ต้องนอนใจ ดีไม่ดีก็ลบล้างด้วยว่าไม่มีนี่ซิ เมื่อไม่เห็นแล้วยังไม่แล้ว ยังลบล้างด้วยความไม่มีของกิเลสประเภทนี้อีก มันเป็นชั้นๆ ของกิเลสที่ปิดบังหุ้มห่อจิตใจสัตว์ทั้งหลาย จึงทำให้สัตว์ทั้งหลายนอนใจนอนจม ใครอยากนอนใจใครอยากนอนจมไม่มี แต่สิ่งที่กล่อมมันมีดังที่ว่านั่นซี มันกล่อมอยู่ตลอดเวลา
พระพุทธเจ้ามาอุบัติแต่ละพระองค์จึงทำประโยชน์ให้แก่โลก รื้อขนสัตว์ให้พ้นจากโลก ให้บรรเทาเบาบางในกรรมทั้งหลายที่ไม่ดีนั้นมีจำนวนมากมหาศาล ไม่มีใครเทียบแล้วในโลกนี้ที่ทำประโยชน์ได้มากมายอย่างพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ๆ ต่อจากนั้นมาก็พระสาวกทำประโยชน์ให้โลกแทนพระพุทธเจ้า ทำให้เบาพระภาระลงมากมาย ที่พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้แต่ละพระองค์เป็นกาลเป็นเวลา เป็นสมัยที่อัศจรรย์เอามากมาย ไม่มีสมัยใดเหมือนสมัยที่พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ธรรม สั่งสอนสัตว์โลกและรื้อขนสัตว์โลกให้พ้นจากความกันดารทั้งหลาย จนถึงขั้นยอดเยี่ยมเลย แม้ไม่ถึงขั้นนั้นก็ได้บรรเทาเบาบางทุกข์ลงไปจากกรรมไม่ดีทั้งหลาย และเพิ่มพูนบารมีความดีทั้งหลายขึ้นเป็นลำดับลำดา ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้เลยแล้ว สัตว์ทั้งหลายก็จะจมอยู่อย่างนี้ตลอดไปไม่มีทางออก ไม่มีใครบอกใครสอน ไม่มีใครรื้อใครฉุดใครลากก็จมอยู่อย่างนั้น
นี่พวกเราได้มาบวชในพระพุทธศาสนา ถ้าไม่รีบตักตวงเอาเสียในเวลาเช่นนี้ เราจะหาเวลาใดที่ดีที่เลิศที่เหมาะสม ยิ่งกว่าเวลาที่เราทรงเพศของพระอยู่เวลานี้ไม่มี โลกจะกว้างแสนกว้างไปหาที่ไหนก็ไม่เจอ ถ้าลงหาในเพศของพระเพื่อความสะดวกสบายในการประกอบความเพียรให้พ้นจากทุกข์ไม่เจอแล้ว ที่ไหนไม่มีทางเจอ ให้ท่านทั้งหลายทราบเอาไว้ โลกนี้กว้าง แต่จะไปเจอโอกาสวาสนาอำนวยในที่ใดแห่งใดอย่างเพศนักบวชนี้ไม่มี ถ้าไม่เจอในตัวของเรา ถ้าไม่ค้นหาในตัวของเรา ไม่ขวนขวายในตัวของเราเวลานี้แล้วจะไม่เจอ แม้มรรคผลนิพพานขั้นใดก็ตามไม่มีทางเจอ เพราะไม่มีอยู่ในที่อื่นใด จะมีอยู่ที่หัวใจของสัตว์โลกนี้เท่านั้น เพราะกิเลสอยู่ที่นี่ ข้าศึกอยู่ที่หัวใจ ธรรมที่เป็นคุณค่าอันประเสริฐจึงอยู่ที่หัวใจ แก้กันที่ตรงนี้ ชะล้างกันที่ตรงนี้
หากเราจะมาอยู่ด้วยความประมาทดังที่เคยเป็นมาแล้ว สัตว์ทั้งหลายเป็นมาอย่างนี้ เราก็จะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไม่มีวันตัดสินให้สิ้นสุดยุติลงไปได้ ว่าวันใดเดือนใดปีใดชาติใดภพใดกัปใดกัลป์ใด ก็จะเป็นอยู่ทำนองที่เป็นมาแล้วนี้ หาที่สิ้นสุดยุติไม่ได้เลย ประมวลเข้ามาซิ การอบรมสั่งสอนตนเองเมื่อได้อุบายจากครูจากอาจารย์แล้ว นำเข้ามาซักไซ้ไล่เลียงตัวเองให้มันถึงขั้นจนตรอกจนมุมบ้างซิกิเลส นี่มีแต่เราจนตรอกจนมุมให้กิเลส แล้วก็เพลินอยู่ด้วยความจนตรอกจนมุมของกิเลสโดยไม่รู้สึกตัว นี่มันขัดกับพระเราผู้ปฏิบัติกรรมฐานอย่างมากทีเดียว จงพากันรู้สึกตัว กลัวภัยของกิเลสแต่บัดนี้
ทำให้วิตกวิจารณ์กับเพื่อนกับฝูง แม้แต่ตัวเท่าหนูก็ตาม เราพูดกับหมู่กับเพื่อน เราพูดด้วยความเมตตา เราพูดได้อย่างองอาจกล้าหาญ ว่าหัวใจนี้ไม่ได้เป็นหนูว่างั้นเลย สิ่งที่มาเทศนาว่าการสั่งสอนหมู่เพื่อนนี้ก็เต็มหัวใจ ถอดออกจากความเต็มหัวใจนี้มาสั่งสอนหมู่เพื่อน จึงไม่มีความสะทกสะท้านว่าจะผิดที่ตรงไหน ถ้าหมู่เพื่อนจะดำเนินเดินตามนี้ก็สมควรที่จะเดินได้แล้ว มาประมาทนอนใจอยู่ทำไม
เพราะผู้สอนไม่ได้สอนด้วยความสงสัยสนเท่ห์ลูบดำกำตามาสอนหมู่เพื่อน เวลามืดก็บอกว่ามืด เวลาล้มลุกคลุกคลานก็เคยบอกเคยพูดให้ฟังไม่รู้กี่ครั้งกี่หน จิตเป็นยังไงค่อยเลื่อนไปยังไงตลอดความพากความเพียร เรื่องจิตใจค่อยเลื่อนฐานะขึ้นไปยังไงๆ เล่าไปจนตลอดทั่วถึงเต็มความสามารถของตน แล้วจะให้พูดอะไรอีกมันหมดเท่านั้น เราพูดด้วยความเต็มหัวใจเรา ว่าเราไม่สงสัยในธรรมของพระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนไว้แล้ว ตั้งแต่ขั้นเป็นมหันตโทษมหันตทุกข์จนกระทั่งบรมสุข เราไม่สงสัยทั้งสองเงื่อน
เงื่อนโทษกับเงื่อนคุณ โทษมหันตโทษเราก็ไม่สงสัย บรมสุขมหันตคุณเราก็ไม่สงสัย มีน้ำหนักเท่ากัน เพราะฉะนั้นจึงกล้าพูดว่าเต็มไปด้วยความสงสารหมู่เพื่อน ไม่ใช่ด้วยความโอ้อวดธรรมทั้งหลาย โอ้อวดไปหาอะไร เกิดประโยชน์อะไร เอาความจริงมาพูดเพื่อผู้ต้องการความจริงอยู่แล้ว ให้ได้ยึดได้เกาะให้ได้เป็นสักขีพยานฝังหัวใจไว้แล้วก้าวไปตามนั้น สิ่งที่ควรละก็จะได้ละเต็มหัวใจ สิ่งที่ควรจะให้เกิดให้มีก็จะได้ตะเกียกตะกายสุดกำลังความสามารถ ก็มีเท่านั้นการแนะนำสั่งสอนไม่มีอย่างอื่น
ยิ่งแก่เข้ามาเท่าไรๆ เรามองดูเพื่อนดูฝูง เฉพาะอย่างยิ่งในวัดของเรานี่ ผมไม่ค่อยได้แนะนำสั่งสอนหมู่เพื่อนเวลานี้ ก็เพราะเหตุดังที่กล่าวมาแล้วนี้แล ไม่อยากเล่นกับอะไร แต่เวลาตาแพล็บออกมามันทำไมถึงโดนเอาๆ ไม่ว่าทางหูทางตา กิริยาอันใดที่แสดงออกมาจากผู้ปฏิบัติ ทำไมจึงแสลงใจอย่างนั้น มันเป็นลักษณะคึกลักษณะคะนองอยู่ในนั้นแหละๆ เจ้าของยังเพลินยังไม่รู้ตัวเลย ทั้งๆ ที่เราไม่ได้เสาะแสวงหาโทษหาภัยของใครที่จะมาประจานแบบโลกๆ เขา แต่หลักธรรมชาติมันปิดไม่อยู่ซิ เห็นก็ต้องบอกว่าเห็น รู้ก็ต้องบอกว่ารู้ มันทราบเรื่องราวหนักเบาแค่ไหน ความผิดถูกดีชั่วประการใดของหมู่เพื่อน ทำไมจะไม่รู้ นี่ซิที่น่าทุเรศน่ะ
จึงได้พูดว่าต่อไปนี้จะรับพระรับเณรมากไม่ได้แล้ว รับมาก็มาอย่างนี้มีแต่ความหนักหน่วงถ่วงหัวใจ มองดูที่ไหนเหมือนซุงทั้งท่อนๆ กีดขวางอยู่ตามวัดตามวาตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งพระเณรไปอยู่ที่ใด สถานที่นั่นอันนั้นมันกลายเป็นซุงขึ้นมาให้เห็นชัดๆ ถ้าตั้งใจมาศึกษาอบรมจริงๆ ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น นี่ซิที่ทำให้คิดเอามาก สติปัญญามีไม่ใช้ กิริยาอาการเหล่านี้มันออกมาจากความเซ่อๆ ซ่าๆ ความไม่ใช้สติปัญญา
แบบหลับหูหลับตาเดิน หลับหูหลับตาทำ หลับหูหลับตาประกอบความพากเพียรเป็นแบบนั้น ไม่ได้ใช้สติปัญญาเลย มันจึงกระจายออกมากิริยาภายนอกให้เห็นอยู่ชัดๆ นั่นซิ ทำให้อดพูดไม่ได้ เพราะมันเห็นแล้วคิดแล้ว เห็นอยู่คิดอยู่ตลอดเวลาเกี่ยวกับหมู่กับเพื่อน รายไหนมีความแยบคายมันยากจะเห็นนี่ พอแย็บออกไปโดนแล้ว แย็บออกไปตรงไหนก็เห็นแล้วทั้งๆ ที่ไม่ตั้งใจจะเห็น ไม่อยากจะดู มันเบื่อจะเห็นแบบนั้น เบื่อจะได้ยินแบบนั้น ไม่อยากดูไม่อยากฟัง ทั้งๆ ที่ลูกศิษย์ลูกหาอยู่ในวัดเราแท้ๆ ทำไมมันถึงเบื่อ เห็นเมื่อไรมันก็เป็นอย่างนั้น ฟังเมื่อไรมันก็เป็นอย่างนั้น ไม่มีอะไรแยบคายที่เป็นอรรถเป็นธรรมขึ้นมาพอให้ได้อนุโมทนา ในผลแห่งการแนะนำสั่งสอนของตนแก่หมู่เพื่อนบ้างเลย นี่ซิที่อดคิดไม่ได้นะ แล้วทำยังไง
ถ้าก้าวเดินไม่มีแบบฉบับคือสติปัญญาคอยกำกับแล้ว ยังไงก็ไปไม่รอดนะ แบบคือหลักธรรมหลักวินัย แบบทางก้าวเดินทางความเพียรก็คือสติปัญญา นั่นสำคัญมากทีเดียว อันนี้สำคัญมากที่สุด สติๆ นี้สำคัญเอามาก จากนั้นก็เป็นปัญญา ต่อไปสติกับปัญญากลมกลืนเป็นอันเดียวกันแล้ว นั่นจะได้เห็นโทษของตัวเอง จิตใจนี้สั่งสมแต่โทษทั้งนั้น แสดงแต่โทษออกมาๆ มันสนุกดูเรื่องของตัวเอง ในขณะเดียวกันก็เห็นเรื่องจะแก้จะถอดจะถอนกันไปโดยลำดับลำดา ในขณะที่เห็นกิเลสมันก็เห็นธรรมไปด้วยกัน เจอกิเลสก็เจอธรรม
พอเจอกิเลสฟัดกันแล้วก็เจอธรรมขึ้นมา เปิดกิเลสออกก็เจอธรรมขึ้นมาเท่านั้น เมื่อสติปัญญาก้าวเดินแล้วเป็นอย่างนั้น สิ่งใดที่มีอยู่อย่างไร ที่พระพุทธเจ้าทรงตำหนิอย่างไร ทรงชมเชยสรรเสริญอย่างไร ย่อมเปิดขึ้นมาๆ ประจักษ์ในหัวใจของเราโดยไม่ต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้าแหละ เพราะท่านประทานหรือแสดงไว้แล้ว เป็นแต่เราไม่เห็นไม่รู้เฉยๆ เวลาเข้าไปสัมผัสสัมพันธ์แล้วเอาอะไรมาสงสัย พระองค์สอนหมดแล้ว ไม่รู้สอนได้ยังไง
จะค่อยหมดไปๆ แล้วนะเวลานี้กรรมฐาน จะกลายเป็นกรรมฐานหากินไปนะ เป็นมาแล้วเดี๋ยวนี้และยิ่งจะหนักหน้าขึ้นไป จะไม่สนใจในอรรถในธรรม ทางจงกรม เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาจะไม่สนใจ จะให้ทันสมัยแบบโลกเขาให้ทันโลกเขา เป็นพระล้ำยุคล้ำสมัยไป นี่ละกิเลสมันดึงหรือลากคอพวกนักปฏิบัติของเราไป-ไปแบบนี้ละพากันทราบแล้วยัง ตื่นไปหาอะไร เรื่องเกิดเรื่องตายมันกองกันเต็มโลกสงสารแดนสมมุติอยู่นี้สงสัยตรงไหน ว่าก้าวไปไหนจะไม่เจอป่าช้า ก้าวไปไหนจะไม่เจอความตาย แล้วตื่นหาอะไร ตื่นป่าช้าตื่นความตายตามเพลงของกิเลส ดิ้นไปหาอะไร
ดูหลักธรรมชาติของมันที่ผลิตความเป็นความตายขึ้นมามันมีเชื้อมาจากไหน ดูตรงนี้ซิ เห็นตรงนี้แล้วไม่ตื่น รู้หมดเสียทุกสิ่งทุกอย่าง ลวดลายของกิเลสมันออกแง่ใดมุมใดรู้มันหมด นั่นจึงเรียกว่าธรรมเหนือโลก เรียกว่าโลกุตรธรรมคือธรรมเหนือโลก แปลให้ได้ศัพท์ได้แสงให้มันเข้าถึงใจพวกเรา เมื่อธรรมเหนือแล้วเห็นหมด ซึ่งแต่ก่อนไม่เคยเห็น แต่เมื่อเวลาเหนือเข้าไปแล้วปิดไม่อยู่ เห็นหมดๆ รู้หมดๆ มันจะอยู่ในหัวใจใดปิดไม่อยู่ เพราะเป็นกิเลสประเภทเดียวกัน ธรรมเหนือกว่าๆ อยู่แล้ว มันเกลื่อนไปไหนก็เห็นหมด
ตอนที่กิเลสมันเหยียบย่ำทำลายธรรมนี่ซิมันไม่เห็น มันจึงสนุกสับสนุกยำพวกเรา วัตถุนี่สำคัญ กรรมฐานเรามันเป็นบ้ากับวัตถุนะ น่าทุเรศนะ เขานิยมอะไรก็เป็นบ้ากับเขาไป ธรรมกับโลกไม่ใช่อย่างเดียวกัน ถ้าเป็นอย่างเดียวกันแล้วจะมีคำว่าโลกว่าธรรมทำไม ยังเป็นบ้ากับโลกอยู่อย่างนั้นจะว่ามีธรรมยังไง
เทศน์ไปก็รู้สึกเหนื่อย เท่านั้นละพอ |