อย่าลืมว่ากรรมเป็นของเรา
วันที่ 6 มิถุนายน 2546 เวลา 8:00 น. ความยาว 31.4 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๖

อย่าลืมว่ากรรมเป็นของเรา

 

         เมื่อวานนี้ไปบึงกาฬ อำเภอบึงกาฬนั้น โรงพยาบาลนั้น ๙๐ เตียง เราเคยช่วยมาหลายปีมาแล้ว จากนั้นก็ไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องเลย โรงพยาบาลนี้ใหญ่ถึง ๙๐ เตียง ดูว่าหมอ ๗ คนหรือไง ไปก็รุมมาเลย มีแต่ความบกพร่อง ไม่พอๆ จะทำไง อย่างนั้นละเรา เราก็ได้ให้รถพยาบาลคันหนึ่ง ให้อันเดียวเท่านั้นเมื่อวาน เพราะมันไม่พอ หมุนตลอดๆ  ฟ้าฝนดีตลอดเลย น้ำเต็มไปหมดทุกแห่งทุกหนไม่บกพร่อง คนไข้ที่บึงกาฬนั้นมีทั้งสองฝั่ง ฝั่งนี้กับฝั่งโน้น คือประเทศลาวก็ข้ามมารักษาอยู่ที่นี่เป็นประจำเลย เพราะฉะนั้นคนไข้ถึงมากมาตลอด เมื่อวานนี้ก็เยอะ วันละตั้งสามร้อยสี่ร้อยคนไข้นะ เมื่อวานดูว่าสามร้อยกว่า ถามเมื่อวาน สามร้อยนี่รู้สึกจะเป็นประจำ คนมาก ทางโน้นก็ข้ามมารักษาพยาบาลทางนี้ นี้เราได้ช่วยมาแต่นานแล้วนะ แต่ไม่ได้ย้อนกลับไปอีกเพราะข้างหน้าก็หนักของเราไปเรื่อยๆ เมื่อวานนี้ตั้งหน้าไปเลย

ออกจากนี้ก็ตรงเข้าไปบึงกาฬ เพราะเป็นจุดรวมของประชาชนทั้งสองฝั่ง ฝั่งลาวฝั่งไทย โรงพยาบาลนี้โรงใหญ่เราจึงเข้าไป จะได้ให้ไม่ได้ให้มากน้อยเพียงไร เราก็ขอได้ทราบเหตุการณ์ ไปก็ทราบจริงๆ ยังบกพร่องอยู่มาก เราได้ให้เพียงรถคันหนึ่งเท่านั้นก่อน รถคันหนึ่งมันก็ ๙๗๕,๐๐๐ ตั้งแต่ต้นที่เราเคยให้ทีแรกเพียง ๘๐๐,๐๐๐ แล้วก็ขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเวลานี้ได้ ๙๗๕,๐๐๐ รถแต่ละคันๆ มันขึ้นของมันไปเรื่อย จึงได้ให้คันเดียวเมื่อวานนี้

เราไปที่ไหนเราพูดจริงๆ เราไม่โอ้ไม่อวด เอาของจริงออกแสดงต่อโลกว่าเราไปด้วยความเมตตาล้วนๆ ตลอดเลย ควรจะสงเคราะห์ได้มากน้อยเพียงไรจะออกทันทีๆ เป็นแต่เพียงว่าสิ่งที่จะสงเคราะห์มีมากน้อยเพียงไรเท่านั้น สำหรับความเมตตาสงสารเป็นพื้นฐานอยู่เลย นี่เราเอามาเทียบกันนะคำว่าโลกกับธรรม ตามธรรมดาของโลกก็เรียกว่าเป็นพื้นเพของกิเลส ซึ่งผสมผเสไปด้วยความทุกข์มากยิ่งกว่าความสุข ความสุขได้มาจากกิเลสที่มันล่อลวงต้มตุ๋นให้เพลิดให้เพลิน ให้หวังนั้นหวังนี้ จิตใจของสัตว์โลกก็ต้องวิ่งไปตามๆ เพราะหาที่ยึดที่เกาะ ก็วิ่งไปตาม ที่ปรากฏผลขึ้นมาก็มักมีแต่ความผิดหวังๆ เป็นทุกข์มาก แล้วยังสร้างความหวังให้ตลอดนะ เรื่องความหวังมีตลอดเลย สร้างในหัวใจสัตว์ หวังนั้นหวังนี้ไม่มากก็น้อย มันมีความหวัง เป็นความหิวโหยอยู่ด้วยความหวังตลอดเวลา มากน้อยต่างกันเพียงเท่านั้น ความทุกข์มันจึงดีดตัวของมันไปอยู่เรื่อยๆ นี่เรียกว่าโลก หวังก็หวังตามกิเลส

ที่เรียกว่าธรรมนั้น หวังไปทางอรรถทางธรรม หวังมากหวังน้อยความสุขหนุนกันไป ๆ ไม่มีความทุกข์สอดแทรกไปตามเหมือนความหวังของกิเลส ที่สร้างไว้บนหัวใจสัตว์ แล้วดึงใจสัตว์ออกไปตามความหวังนั้น แล้วก็มีตั้งแต่ความทุกข์ ส่วนความหวังในธรรม หวังมากหวังน้อยนี้ไม่มีพิษแทรกซึมๆ หวังมากหวังน้อยนั้นละเชื้อแห่งความสุขจะติดไปด้วยๆ คนเราเมื่อมีความหวังมากน้อย ความขวนขวายต้องเป็นไปตามความหวัง ถ้าไม่หวังเลย มันก็ไม่ใช่คนตาย มันก็ต้องมีอยู่เป็นธรรมดา แต่ส่วนมากต่อมากมีแต่ความหวังไปทางกิเลส เพราะมันมีอำนาจมากในหัวใจสัตว์ นี่เอาธรรมมาเทียบมาจับ ให้พี่น้องทั้งหลายฟัง หลวงตาตายแล้วจะไม่มีใครพูดนะ นี่เอาออกจากนี้ยันกันเทียบกันทันทีๆ ไม่สงสัย ไม่ไปถามใครเลย

พูดแล้วสาธุ พระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้าก็ไม่ทูลถาม พระองค์สอนให้รู้จริงเห็นจริงอย่างนี้ไปถามพระองค์ยังไง พอเจอเข้าไปปั๊บ สนฺทิฏฺฐิโก ๆ จะบอกอยู่ในตัวพร้อมๆ เลย ถ้ายังไปทูลถามพระพุทธเจ้าอยู่ คำว่า สนฺทิฏฺฐิโก ก็ไม่มีความหมาย ไม่ศักดิ์สิทธิ์ซิ นี่ละความหวังในธรรมกับความหวังทางโลกต่างกันอย่างนี้ ความหวังนี่เป็นสาเหตุที่จะให้สัตว์หมุนไปตาม หวังไปทางไหนมากน้อยเพียงไร มันก็หมุนไปตามนั้น ถ้าหวังไปทางธรรมก็ไปตามธรรม มากน้อยเพียงไรก็ไปตามธรรม แล้วเพิ่มความสุขขึ้นเรื่อยๆ หวังบุญหวังกุศลมรรคผลนิพพาน แม้ไม่ได้ไปสวรรค์นิพพานดังที่ท่านแสดงไว้ก็มีความสุขในภพชาติของตน ด้วยอำนาจแห่งบุญกุศลที่สร้างไว้ก็ยังดี เบื้องต้นหวังแค่นี้ก่อน

พอได้มา ความหวังเพิ่มพูน หนุนความหวังให้เป็นความสุขนี้มากขึ้นๆ หนุนขึ้นๆ นะ นี่เราก็พูดเพราะเป็นอาจารย์ของท่านทั้งหลาย เรียกว่าธรรมนี้เป็นครูเป็นอาจารย์ แล้วเรานำธรรมมาเป็นอาจารย์สอนท่านทั้งหลาย ดังที่เคยพูดว่าบวชทีแรกก็อยากไปสวรรค์ บวชไปอ่านธรรมวินัยไป ไปสวรรค์ชั้นนั้นๆ ความสุขยิ่งกว่ากันเป็นอย่างนั้น อายุยืนนาน ท่านบอกไว้ในสวรรค์ยืนนาน จากนั้นก็พรหมโลก แม้ชั้นต่ำของพรหมโลกยังสูงกว่าสวรรค์เสียอีก ทีนี้อยากไปพรหมโลก นี่พูดออกมาถอดออกมาในหัวใจที่มันริเริ่มคิดเบื้องต้นตั้งแต่เข้าไปบวช ทีนี้พอถึงชั้นพรหมโลก พรหมโลกนี้ก็มีอายุยืนนานยิ่งกว่าสวรรค์ ๖ ชั้นขึ้นไปอีก แม้ชั้นต่ำของพรหมโลกก็สูงกว่านี้ ก็คิดอยากไปพรหมโลก ๗ หมื่นปี ๘ หมื่นปี ๙ หมื่นปีทิพย์ ไม่ใช่ปีเรานะ สูงขึ้นๆ แล้วถึงจะเคลื่อนย้ายๆ นี่อันหนึ่งมันมาสะดุดใจ

แล้วท่านก็บอกนิพพาน นิพพานนี้ไม่มีอะไรบกพร่องเลย สมบูรณ์พูนผล เมื่อใครถึงนิพพานแล้วเรียกว่าหมดทุกข์ ถึงบรมสุข จิตมันก็หมุนเข้ามาหานิพพาน โอ๊ย อยู่นี้มันยังจะกลับมาอีก กี่ปีกี่เดือนยังจะกลับมา ไปนิพพานไม่กลับดีกว่า นี่ละมันหมุนจิตนะ หมุนไปทางธรรม จากนั้นก็ได้ศึกษาไปปฏิบัติไป จนกระทั่งเข้าถึงจุดที่มุ่งต่อนิพพานอย่างเดียว อย่างอื่นไม่ไป นิพพานก็คืออรหันต์เท่านั้น ถึงนิพพานเสีย มันจึงหมุนติ้วละที่นี่ หมุนเข้าไปเรื่อยๆ หมุนติ้วธรรมดาด้วยความหวังนี้เป็นอย่างหนึ่งนะ หมุนติ้วทั้งความหวังทั้งเหตุทั้งผลหนุนกันไปๆ ให้เห็นผลประจักษ์ๆ  อันนี้ยิ่งหมุนใหญ่เลยนะ

ความหวังอันนี้หวังอย่างแรงกล้า หวังเอาชีวิตเข้าแลกเลย ตายเท่านั้นๆ ไม่ตายให้ถึง ให้ถึงอย่างเดียว ที่จะถอยกลับไม่มีแล้ว นี่เรียกว่าความหวัง ความหวังเท่าไรยิ่งหมุน หมุนจนเป็นความเพียรอัตโนมัติ ดังที่พูดให้ท่านทั้งหลายฟัง ท่านว่าสติปัญญาอัตโนมัติ นี่ละถึงความเพียรที่ก้าวนี้เรียกว่าถอยไม่ได้เลย ความหมุนอันนี้เรียกว่าแรงกล้าสุดยอดเลยเทียว หมุนติ้วๆ สุดท้ายจนไม่มีเวลาจะหลับจะนอน ความหมุนมันไม่ถอย ฆ่ากิเลสละที่นี่ จะไปนิพพานต้องเหยียบกิเลส ฟันกิเลสซิ ไม่มีถอยการฟันกิเลส โผล่มาหน้าไหนฟาดขาดสะบั้นๆ เรื่อย ความมุ่งยิ่งประหนึ่งว่านิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ นี่ละที่มันรุนแรงมาก ท่านทั้งหลายให้ฟังเสียนะ คำพูดอย่างนี้จะไม่มีใครพูด เรารู้สึกจะเป็นอย่างนั้น จะมีบ้างแต่เราก็ไม่เคยได้ยิน

มีตั้งแต่ท่านแสดงไว้กลางๆ ว่าอัตโนมัติเท่านั้น เวลามาเข้ากับตัวมันก็แยกได้เลยทีเดียว สติปัญญาอัตโนมัติ มหาสติมหาปัญญา ท่านก็พูดไว้เพียงเท่านั้นในตำรา ตำราท่านพูดไว้แล้ว แต่เมื่อไม่มีสักขีพยานมันก็ไม่มีรสมีชาติอันแหลมคมและดื่มด่ำใช่ไหมล่ะ เมื่อมันรับกันแล้วมันก็มีรสมีชาติ หมุนกันเข้าเลย นี่ละความหวัง พูดให้ท่านทั้งหลายฟัง หวังจนกระทั่งถึงที่ว่ากิเลสขาดสะบั้นลงไป พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปนั้น ความหวังดับเองเป็นเอง พอ เอาความพอมาแทนปุ๊บ คำว่าพอนี่ก็ไม่ใช่พออย่างโลกเขากัน พอที่เลิศเลอ พอนอกสมมุติ ไม่ใช่พอในสมมุติอย่างโลกที่รู้กันเห็นกันเป็นกันอยู่ ความพอในความสิ้นกิเลสนี้พออย่างเลิศเลอ

ทีนี้ความหวังหมด ไม่มีอะไรเหลือเลย ในโลกธาตุนี่ไม่ปรากฏว่าอยากอะไรอีกเลย แล้วเมื่อไม่มีความอยากทั้งฝ่ายดีฝ่ายชั่วก็ไม่มีอะไรกวนใจ ฝ่ายดีก็กวน กวนเพื่อดีขึ้นไปนั่นเอง ฝ่ายชั่วก็กวน ท่านจึงบอกว่า ปุญญปาปปหินบุคคล ผู้มีบุญและบาปอันละเสียแล้ว คือบุญก็ตาม บาปก็ตาม เป็นสมมุติทั้งหมด หนุนเพื่อพระนิพพาน เมื่อถึงพระนิพพานแล้ว บุญก็เหมือนบันได ก็ปล่อยกันเอง เข้าถึงบ้านแล้วปล่อยบันไดเอง บุญบาปละหมดเลย ไม่มีอะไรเหลือ ท่านว่าถึงนิพพานด้วยปุญญปาปปหิน การละบาปละบุญปล่อยหมดไม่มีอะไรเหลือ

         ทีนี้เรียกว่าความหวังอะไรหมดโดยสิ้นเชิง ความต้องการอะไรในสามแดนโลกธาตุไม่มี เหลือแต่ความพออันเลิศเลอ อยู่ไหนเลิศเลอ แต่ไม่เลิศเลอผาดโผนแบบโลกเลิศเลอ เลิศเลอแบบธรรม แบบพอ ความพอของธรรมเป็นอย่างงั้น จึงไม่มีอะไรเทียบได้แล้วในสามแดนโลกธาตุนี้เข้ากันไม่ได้เลย ความพอของธรรม สุดยอดของธรรม กับความพอของโลก พอระยะนี้ไปหิวระยะนั้นอยู่อย่างงี้ มีอิ่ม มีพอ มีหิว มีโหย แต่ความอิ่มในธรรมนี้อิ่มไปเรื่อย ๆ อิ่มไปเรื่อย พออิ่มเต็มที่แล้วอิ่มไปหมดโดยประการทั้งปวง

         นี่พูดตั้งแต่เรื่องความหวังของกิเลสมันพาดีดพาดิ้น ทีนี้จะมีแต่กิเลสอย่างเดียวหรือความหวัง ธรรมก็มี นั่น เมื่อธรรมมีแล้วก็ดีดดิ้นตามธรรมก็ดีไปเรื่อยๆ กิเลสมีก็ดีดไปทางกิเลส ก็มีความทุกข์ความลำบากลำบน หมุนไปเรื่อย ๆ เพื่อความทุกข์ตลอดสายไม่มีต้นมีปลาย คือกิเลสพาหัวใจสัตว์โลกหมุนนั่นเอง ทีนี้ธรรมพาหัวใจสัตว์โลกหมุน หมุนเพื่อความสิ้นทุกข์ ไม่มีอะไรเหลือ ต่างกันอย่างนี้ มันหมุนอยู่ในหัวใจเรา ถ้าทางใดได้รับการบำรุงส่งเสริมมาก ทางนั้นจะมีกำลังมาก ทางกิเลสมีกำลังมากก็เพราะการส่งเสริมมัน มันดึงอะไรก็ไปตามมันก็มาก ทุกข์ของสัตว์ก็มาก

         ในโลกนี้ไม่มีอะไรบกพร่องเรื่องทุกข์ของสัตว์ ทุกหย่อมหญ้า ไม่ว่าสัตว์น้ำ สัตว์บก บนฟ้าอากาศซึ่งอยู่ในแดนสมมุตินี้ทุกข์ทั้งนั้น ทีนี้คำว่าความสุขท่านก็เอาชื่อไปใส่ความสุขนี่เสีย คือเลยแล้ว ท่านก็เอามาเทียบกัน บรมสุข นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ บรมสุข คำว่าบรมสุขก็เป็นสมมุติอันหนึ่ง พอเข้าถึงอันนั้นแล้วบรมสุขหายไปเอง เหลือแต่ธรรมชาติล้วน ๆ ไม่ต้องเสกสรรปั้นยอ มีชื่อไม่มีชื่อไม่สำคัญ อันนั้นพอดีอยู่ทุกอย่างแล้ว จึงเรียกว่าพอ คือพอทุกอย่าง พอดีทุกอย่าง นี่ละการสร้างความดี การฝึกฝนอบรมตน

         ถ้าจะปล่อยให้เป็นไปเฉย ๆ นี้กิเลสไม่ได้ปล่อยนะ กิเลสยิ่งเหนียวแน่นเข้าทุกวัน ๆ หมุนไปเรื่อย เราเป็นเจ้าของของหัวใจดวงนี้ เราต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ต้องฝ่าต้องฝืนกับกิเลสไปเรื่อย ๆ แล้วก็ค่อยหนักเข้า ดีเข้า ๆ ต่อไปความหมุนของธรรมมีกิเลสมาเป็นข้าศึกไม่ได้เลย โล่งไปเลยทีเดียว โล่งนี้ก็คือโล่งตอนที่ว่าไม่รู้จักหลับจักนอน มีแต่จะหมุนออกเรื่อย ๆ โล่งเลยทางที่จะไปนิพพาน จึงเรียกว่านิพพานอยู่ชั่วเอื้อม ๆ หวุดหวิด ๆ จับผิดจับถูกอยู่นั้น จึงขยันจับใช่ไหมล่ะ ลืมหลับลืมนอน ลืมทุกอย่างไปเลย

         นี่ละความเพลินไม่ใช่มีแต่กิเลส ทางธรรมเหมือนกัน มีเหมือนกัน มีทางธรรมเพื่อความสิ้นสุด มีกับทางกิเลสไม่มีทางสิ้นสุด อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ต้นกับปลายไม่มี แต่เรื่องหมุนไปทางธรรมะนี้ ถึงต้นไม่มี ปลายมี จะสุด กิเลสจะกุดด้วนไปวันหนึ่งแล้วสุดทางเดินตามวัฏจักร จะไม่เดินอีกต่อไป เรียกว่าธรรม หมุนไปทางธรรมเป็นอย่างนี้ หมุนไปทางโลกเป็นอย่างนั้น ต่างกัน ผลก็หนุนมาเป็นลำดับลำดา เราได้สุดกำลังของเราแล้ว ช่วยโลกคราวนี้ ช่วยหยาบ ๆ ก็ช่วย ช่วยทางด้านนามธรรม คือวัตถุธรรมหนึ่ง นามธรรมหนึ่ง วัตถุธรรมได้แก่ เชิญชวนพี่น้องทั้งหลายขวนขวายสมบัติเงินทองเข้ามา เพื่อหล่อเลี้ยงอัตภาพร่างกายชีวิตจิตใจของเราซึ่งเป็นส่วนรวมแห่งคนทั้งชาติ ให้พออยู่พอเป็นพอไปเหมือนกับโลกเขา เรียกว่าด้านวัตถุ

         ดังเราเสาะแสวงหาทองคำ ดอลลาร์ เงินสด นี้เพื่อเป็นหลักเป็นเกณฑ์แห่งชีวิตจิตใจของพี่น้องชาวไทยเราทั้งชาติ นี่เรียกว่าด้านวัตถุ ส่วนด้านธรรมะเพื่อเป็นหลักเป็นเกณฑ์ของทั้งวัตถุและนามธรรมคือจิตใจเอง หมุนตัวขึ้นด้วยอำนาจแห่งอรรถแห่งธรรม ฝึกฝนอบรมตนให้เป็นคนดี หนาแน่นขึ้นด้วยศีลด้วยธรรม มีความสุขความเจริญ สมบัติภายในยิ่งเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากยิ่งกว่าสมบัติภายนอกคือวัตถุ ก็ยิ่งเด่นขึ้นภายในจิตใจ สุดท้ายบางรายเอาตัวรอดได้ ไปจากธรรมะของพระพุทธเจ้า นี่ที่เราช่วยโลกคราวนี้เราช่วยเต็มกำลัง นี่เราก็พอทราบบ้างแล้วว่า เวลานี้ธรรมะของเรากำลังออกในประเทศไทยเรายังไม่แล้ว ยังออกทั่วโลกอีกโดยทางอินเตอร์เน็ต

นี่เราก็คาดคิดเอาไว้ว่าจะพอเป็นประโยชน์แก่พี่น้องชาวไทยเราพอสมควร ที่อยู่เมืองไหนๆ ซึ่งเป็นชาวพุทธ มีความสนใจใคร่อรรถใคร่ธรรมอยู่เสมอแล้ว เมื่อได้ยินได้ฟังเข้าแล้วจะเป็นเครื่องดูดดื่มทางด้านจิตใจ เพิ่มธรรมภายในใจให้มากขึ้น ๆ ทุกแห่งทุกหน เรียกว่าทั่วโลกในการช่วยชาติคราวนี้บ้างพอประมาณ เราแน่ใจว่าจะได้รับผลรับประโยชน์ จะพอเป็นไปกับค่าแห่งความพากความเพียร ความสละตายของเราที่ทำเพื่อตนเองก่อนอื่นใด เรียกว่ามุ่งต่อมรรค ผล นิพพาน เป็นตายไม่คำนึง เมื่อปรากฏผลขึ้นมาแล้วแจกจ่ายไปกับบรรดาชาวโลกทั้งหลาย ก็คิดว่าจะได้ผลพอประมาณ แม้ไม่มากก็ได้ ไม่เสียคุณค่าไปโดยถ่ายเดียว

ถึงจะเสียภายนอก ส่วนภายในของเราคุณค่านี้ก็เต็มหัวใจแล้ว ถ้าใครจะไม่เอาเลย จะไม่ฟังเสียงอรรถเสียงธรรมเสียเลย มันก็เป็นกรรมของสัตว์ ผู้สอนสอนด้วยเจตนาเมตตาสงสารอย่างแท้จริง ไม่ได้สอนแบบลอย ๆ สอนแบบสินจ้างรางวัล หรือสอนแบบเห็นแก่โลกามิสเราไม่มี  โลกอันนี้เราไม่มี แม้เราช่วยโลกเต็มเม็ดเต็มหน่วย ใครจะขนสมบัติเงินทองมาให้เรา เราก็ไม่เคยมีกับสมบัติเงินทองเหล่านี้ยิ่งกว่าที่จะหนุนชาติไทยของเรา ให้เข้าสู่จุดมีความแน่นหนามั่นคง อันนี้มากในหัวใจเรา สำหรับผลที่จะได้มาเพื่อเราเรียกว่าเราไม่มี

เราพอทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว มีแต่สงเคราะห์โลกไปเต็มกำลังในขณะที่มีชีวิตอยู่เท่านั้น เพราะฉะนั้นพี่น้องทั้งหลายเมื่อได้ยินได้ฟังแล้วควรจะพินิจพิจารณา บอกว่าหลวงตานี้ไม่นานนะจะตาย ก็บอกแล้ว ก่อนตายขอให้พี่น้องทั้งหลายได้รับอรรถรับธรรม ตามเจตนาที่เต็มไปด้วยเมตตาสั่งสอนตลอดมาอยู่เวลานี้บ้างพอประมาณ หลวงตาจะไม่ตายเปล่า ๆ ตายตาแห้ง ๆ ธรรมะปฏิบัติมาแทบเป็นแทบตาย แทนที่จะเป็นประโยชน์แก่โลกบ้างกลับไม่มีอย่างนี้ ขออย่าให้มีในหัวใจของหลวงตาเลยนะ

         ขอให้อุตส่าห์พยายาม บืนเถอะ เราบืนเพื่อเราไม่ได้บืนเพื่อใครนะ หนักก็หนักเพื่อความสุขและผลอันดีต่อเรา เอ้าหนักไป กิเลสทรมานเราหนักมากต่อมากกี่กัปกี่กัลป์มาแล้วเรายังทนมันได้ ทำไมเราทนต่อความหนักเพื่อคุณงามความดีที่จะส่งเราให้ถึงวิมุตติหลุดพ้น หรือความดีสูงขึ้นไปโดยลำดับจนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้น ทำไมจะบึกบึนไม่ได้ ให้คิดอย่างนี้เพื่อตัวเอง อย่าไปเพื่อผู้หนึ่งผู้ใด จะทำให้กำลังวังชา ศรัทธา ความเพียร ที่อุตส่าห์พยายามนั้นเบาลง ผลจะมีน้อยมากนะ ให้อุตส่าห์พยายามทุกคน ช่วยตัวเองทั้งนั้นแหละ

         เกิดมาก็เกิดมาด้วยบุญด้วยกรรมของเรา ไม่ได้เกิดมาจากบุญจากกรรมของผู้หนึ่งผู้ใดในสามแดนโลกธาตุนี้ เกิดมาด้วยบุญด้วยกรรมของเรา บุญกรรมก็คือดีและชั่ว ตามที่ท่านแสดงไว้ว่า กมฺมํ สตฺเต วิภชติ ยทิทํ หีนปฺปณีตํ กรรมย่อมจำแนกแจกสัตว์ให้มีความประณีตเลวทรามและสุขทุกข์ต่างกัน นี่เป็นกรรมของสัตว์แต่ละราย ๆ นี่เราเกิดมาแต่ละคน ๆ เรามาด้วยบุญด้วยกรรมของเรา เมื่อเป็นเช่นนั้นเราจึงควรอย่างยิ่งที่จะทะนุถนอมตัวเองด้วยคุณงามความดี หนักเอาเบาสู้ตลอด เราทำเพื่อเรา สมกับว่ากรรมเป็นของเรา ที่ท่านเรียกว่า กมฺมสฺสโกมฺหิ กรรมเป็นของเราทุกคน ๆ กรรมดีกรรมชั่วเป็นของเรา  ท่านบอก กลฺยาณํ วา ปาปกํ วา ตสฺส ทายาโท ภวิสฺสามิ กรรมเป็นของเรา บาปก็ดี บุญก็ดี เป็นของเราทั้งนั้น ที่จะต้องได้รับผลแห่งกรรมของตน

         เมื่อเป็นเช่นนั้น เรียกว่าเรารับรอง หรือเรารับผิดชอบตัวของเราร้อยเปอร์เซ็นต์ จึงขออย่าลืมคำว่าเรารับผิดชอบเราร้อยเปอร์เซ็นต์ ทั้งไปทั้งอยู่ อยู่ก็อยู่ในโลกนี้ ไปก็ไปโลกหน้า โลกชีวิตต่อไป เปลี่ยนแปลงในทางที่ดี ไปด้วยการรับผิดชอบของเราด้วยดีมาแล้ว เราจะมีความสุขความเจริญเรื่อยไป อย่าลืมคำว่ากรรมเป็นของเรานะ ไม่มีใครช่วยใครได้ เกิดมากี่รายก็ตาม มาด้วยอำนาจแห่งกรรมของตัว ๆ หนุนมา กดลงก็กรรมของเราเองกดเรา เพราะความดื้อด้านหาญทำในสิ่งไม่ดีทั้งหลาย กรรมดีหนุนเราขึ้นก็เพราะเราเป็นผู้ทำเอง

         อย่าลืมคำว่าเรา ๆ ว่ากรรมเป็นของของเราทุกคน ถือเป็นความจำเป็นทั่วหน้ากัน จะบึกจะบึน เหมือนเราตกน้ำ ตกน้ำผู้อื่นยังมาช่วยได้อยู่นะ แต่ในระยะที่ไม่มีผู้อื่นเราก็ต้องช่วยเราเต็มเหนี่ยว นี่มันยังมีแยกอยู่ ถ้ามีผู้อื่นช่วยก็ยังดี แต่สำหรับการเกิด การตาย ความสุข ความทุกข์ทั้งหลายไม่มีใครช่วยเลย เราเป็นผู้ช่วยเราร้อยเปอร์เซ็นต์ จึงให้หนักแน่นในเราเป็นผู้รักเราช่วยเราร้อยเปอร์เซ็นต์นี้ก็แล้วกันนะ วันนี้ก็ไม่พูดอะไรมากนักละพอสมควร เอาละพอ เอาข้อคิดเหล่านี้ไปคิดนะ เอาอรรถธรรมไปคิด

วันไหนว่าจะไม่เทศน์ ก็ได้เทศน์ทุกวัน วันนี้ก็พอ กันกับทุกวันละนะ ว่าจะไม่เทศน์มากอะไร ไม่เทศน์มากแต่เอาแทบตายแล้วหยุด หมดกำลังแล้วหยุดทุกวัน

โยม พระหลวงตาเจ้าค่ะวันนี้ผ้าป่าหน้าศาลา ,๒๙๐ บาท แล้วก็ ดอลลาร์เจ้าค่ะ

หลวงตา เออ พอใจ

โยม หลวงตาเจ้าค่ะถวาย ๒๐ เหรียญ แล้วกราบลากลับบ้านเจ้าค่ะ

หลวงตา ให้เอาไปด้วยนี่ มัดคอจูงเลย เข้าใจไหม

โยม อยู่วัดเจ้าค่ะ

หลวงตา อยู่วัดอะไร บอกให้ไปแล้วให้มัดคอไปด้วยจูงไปด้วย เคยได้ยินไหมล่ะคำพูดอย่างนี้ไม่มี ใครพูด มีหลวงตาองค์เท่านี้พูดไม่มีผิดมีถูก คือองค์เดียวนี้ พูดได้ทุกแบบทุกฉบับ พูดปั๊บ หายไปพร้อม ไม่ว่าหนักว่าเบา ว่าดุ ว่าด่า ว่าดี แบบเดียวกันหมด พูดแล้วหายเงียบเลย ที่อื่น เขาพูด พอพูดแล้วพูดดีก็ชมตัวเองว่าวันนี้พูดดี ถ้าพูดที่สมมุติว่าไม่ดีเจ้าของสะดุดใจ เอ๊ วันนี้พูดเขาคงจะเสียอกเสียใจ นี้เอาไปคิดเอาไฟเผาเจ้าของตลอดเวลานะ อันนี้เฉยเลย เหมือนหมาปล่อยหำ เข้าใจไหมหมาปล่อยหำ เฉยเลย พูดไม่ว่าอะไร เพราะเป็นธรรมล้วน แล้วเข้าใจไหมล่ะ ไม่ว่าหนักว่าเบา ว่าดุ ว่าด่า ว่าดีเป็นธรรมทั้งนั้น แล้วเสมอกันหมด พอพูดแล้วผ่านปุ๊บหายเงียบเลย เข้าใจ อย่างที่ว่านี่ละ ให้เอานี้เอาเชือกมัดคอจูงไปเลย ไม่มัดเราก็ไม่ว่าอะไรเราว่าเฉย เข้าใจไหมละ แน่ะ ก็เท่านั้นเอง เอาละให้พรนะ

 

 

ชมการถ่ายทอดสด ธรรมะหลวงตาวันต่อวัน  ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก