เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๖
ศาสนาเวลานี้แทบจะไม่มีเหลือ
วันนี้จะให้โอนที่โรงพยาบาลศรีเชียงใหม่ ให้โอนวันนี้เลย ทีแรกว่าประมาณ ๓ ไร่เราก็ให้ ๓ ล้าน ทีนี้ฟังว่าประมาณ ๔ ไร่ เราก็เลยบอกเมื่อวานนี้ว่าให้ ๔ ล้าน ให้ขยายออกไปบ้าง ๔ ไร่นี่กว้างพอสมควรนะ เข้าไปคับแคบจนจะหายใจไม่ได้ โรงพยาบาลศรีเชียงใหม่น่ะ ของเดิมของเขา ๙ ไร่ ทีนี้เราให้เพิ่มเข้าอีก ๔ ไร่ มันก็มีเท่านั้น ที่ว่าอีก ๒ ไร่มันก็เกี่ยวกับเสาไฟเสาอะไรที่เขาทำสัญญากันกี่ปีกี่เดือน เราบอกเราไม่เข้ายุ่งด้วย เราจะเอาที่บริสุทธิ์เรียบร้อยทีเดียวเลย มี ๔ ไร่เราก็เอาหมดเลย ให้เขาไร่ละ ๑ ล้าน เขาไม่เอานะ เขาไม่บอกราค่ำราคา นอกนั้นเขายังจะไม่เอา บอก ไม่ได้ว่างั้น บังคับเอาเลย ทีแรกจะให้ ๓ ล้าน พอเมื่อวานเอานี้มากางว่าประมาณ ๔ ไร่ เราก็ให้ ๔ ล้านเลย เพราะฉะนั้นวันนี้จึงจะให้ไปโอนให้เสร็จเรียบร้อย
โรงพยาบาลนี้เราช่วยหลายแบบมากนะ อย่างนี้ละที่ซื้อที่ขยายให้ มีเยอะนะ บางแห่งซื้อให้หมดเลย ที่ให้เป็นโรงพยาบาลหมด เป็นแต่เพียงว่าเราไม่มีวัตถุก่อสร้าง เรามีแต่ที่ดิน เราจะซื้อให้ ถ้ามีเครื่องก่อสร้างวัตถุก่อสร้างเราก็จะซื้อให้ ทางโน้นเขาก็รับรองเลย ขอทางรัฐบาลแน่ใจว่าจะได้ เอ้า ถ้าอย่างนั้นก็จะซื้อให้เลย นี่ซื้อให้หมด อันนี้ก็โรงพยาบาลอำเภอฝาง จังหวัดขอนแก่น ใช่ พอเข้าไปแล้วเหมือนเข้าไปในครัว ดูว่าอันนั้นก็ ๘ ไร่ เหมือนเข้าไปในห้องครัว มองเข้าไปในห้องเห็นเอาผ้าคลุมไว้แล้วมีอะไรโผล่ขึ้นมา มองดูก็คือเอกซเรย์นั่นแหละ แล้วนั่นอะไรที่ผ้าคลุมไว้นั้น ถ้าเป็นคนก็เรียกว่าคนตาย เอาผ้าคลุมไว้ อันนี้เครื่องมือไม่ใช่เครื่องมือตายเหรอ ใช่แล้ว แล้วอะไรล่ะ เอกซเรย์ มันใช้ไม่ได้แล้ว อันนี้ปั๊บให้เลยเทียวนะ ไม่ต้องเปิด ดูรอบๆ ก็รู้ เพราะฉะนั้นเราถึงถามทันที เขาก็ตอบว่ามันเสียแล้ว อันนี้ให้ปุ๊บเลย เอกซเรย์เครื่องหนึ่ง
จากนั้นก็พูดถึงเรื่องที่เรื่องฐาน เขาบอกว่ามี ๙ ไร่ อู๊ย แคบนิดเดียว อำเภอฝางนี้เป็นอำเภอใหญ่พอสมควร ซึ่งควรจะได้โรงพยาบาลมีเนื้อที่กว้างกว่านี้ มันจำเป็นอยู่อย่างนี้เหรอ ได้ถามถึงเรื่องสถานที่ที่จะมีคนขายที่ไหนๆ เขาบอกว่ามี ก็เลยติดตามไปดู พอดีที่ตรงนั้นบริเวณดูเหมือนประมาณ ๒๕ ไร่ เป็นเนินสูง เป็นโรงพยาบาลได้หมดเลย เราก็ซื้อหมดเลย ยกไปเลย แต่โรงพยาบาลเก่าอาจจะเป็นอนามัยหรือสาธารณสุขอะไรก็ไม่รู้แหละ อย่างนี้ละช่วยทางโรงพยาบาลหลายแห่ง ทางวาริชภูมิก็ตัดครึ่งให้เลย ซื้อให้หมดเลย เพราะที่มันแทงเข้ามานี้มันไม่งามตา เราก็ถามว่าเป็นที่ของใคร ติดต่อเขา เขาบอกไม่ขาย เลยปิดทาง เขาไม่ขาย ที่เขาขายก็เอาหมดเลย แบ่งได้ครึ่งหนึ่งกับโรงพยาบาล อย่างนั้นละช่วยไปทุกแห่งทุกหน
ไม่ช่วยกันไม่ได้มนุษย์อยู่ร่วมกัน ใครอย่าเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้อย่างเดียว ไม่เห็นแก่หัวใจคนอื่นซึ่งอยู่ร่วมกันนี้ มีหัวใจด้วยกันทั้งนั้น แม้แต่สัตว์ในบ้านของเราเขาก็มีหัวใจ อาศัยพึ่งเจ้าของ มนุษย์อยู่ร่วมกันก็ต้องพึ่งกัน ไม่เห็นแก่ได้แก่เอาอย่างเดียว ต้องเห็นแก่ใจ คนเรามีความสุขอยู่ที่จิตใจนะ วัตถุเงินทองข้าวของมีมากมีน้อยนั้น ไม่ได้อำนวยประโยชน์ให้โดยตรงนะ ต้องจิตใจเป็นผู้บงการเสียสละ เอานี้ไปทำประโยชน์อะไรๆ บงการไปก็เกิดประโยชน์ ออกจากจิตใจ เพราะฉะนั้นใจจึงต้องได้รับการอบรม ไม่อบรมไม่รู้จักวิธีปฏิบัติตัวเองต่อสิ่งทั้งหลาย มันก็บกพร่องเรื่อยๆ ไป
มนุษย์อยู่ร่วมกันขอให้เห็นอกเห็นใจกัน เฉพาะอย่างยิ่งพี่น้องชาวไทยเรา คือการเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน ถือเป็นชาติ เฉพาะอย่างยิ่งว่าเป็นชาติเดียวกันด้วยแล้ว ก็เหมือนอวัยวะเดียวกัน ครอบครัวเดียวกัน แล้วต่างคนต่างเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน มีความเฉลี่ยเผื่อแผ่ทั่วถึงกันตามสถานที่ต่างๆ ไม่เป็นคนคับแคบตีบตัน ทั้งๆ ที่มนุษย์เรานี้เป็นสัตว์ขี้ขลาดอยู่คนเดียวไม่ได้ ต้องอาศัยเพื่อนฝูง แม้ที่สุดไม่มีอะไรเป็นที่อาศัยก็ต้องเล่นกับไอ้ตูบ เอาไอ้ตูบมาเลี้ยงไว้ มันอยู่คนเดียวไม่ได้ เมื่ออยู่กับหมู่กับเพื่อนกับฝูง ก็ควรเห็นคุณค่าของเพื่อนฝูง และเห็นโทษแห่งความขี้ขลาดของตน แล้วคนเราก็เฉลี่ยเผื่อแผ่กันได้ อยู่ไหน กว้างแคบขนาดไหนเถอะน่ะ ถ้าต่างคนต่างมีจิตใจต่อกันแล้ว เหมือนครอบครัวเดียวกันแล้ว กว้างแคบขนาดไหนแน่นหนามั่นคงมากที่สุด ไม่มีครอบครัวไหนที่จะมีความแน่นหนามั่นคงยิ่งกว่าครอบครัวที่มีความปรองดองสามัคคี เป็นธรรมต่อกัน แล้วขยายออกทั่วประเทศเขตแดน ต่างคนต่างมีธรรมนำไปปฏิบัติ แล้วจะประสานกันเข้าให้มีความแน่นหนามั่นคง
เช่นอย่างชาติไทยของเรานี้ ถ้าปฏิบัติตามธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว จะเป็นชาติที่แน่นหนามั่นคงสงบร่มเย็น ไปไหนไปได้ทั้งนั้น เพราะใจเขาใจเรามีธรรมเหมือนกัน ไม่อดตาย สำคัญตรงนี้นะ สำคัญที่หัวใจ ที่จะประสานกันนี้ออกจากหัวใจ ถ้าใจคับแคบมันกีดมันขวาง ถ้าใจกว้างขวางแล้วเบิกออกไป ประสานกันไป ให้พากันจำคำนี้เอาไว้ คำว่าความสามัคคี ความพร้อมเพรียงกันนี้ พระพุทธเจ้าแสดงไว้มากทีเดียว สำคัญที่น้ำใจ เราอยู่ด้วยกันให้มีน้ำใจนะ อย่าอยู่ด้วยกันเพียงร่างเฉยๆ ไม่ค่อยมีรสมีชาติ จืดชืดนะ ให้อยู่ด้วยกันด้วยความมีน้ำใจต่อกันแล้วชุ่มเย็น มีรสมีชาติทั่วถึงกันหมด จำให้ดีนะคำนี้
อย่าไปคิดดูถูกเหยียดหยามคนนั้นคนนี้ยิ่งกว่าดูตัวเอง ที่มันคิดแย็บออกไปนั้นมันผิดแล้วนะนั่น ให้ดูตัวนี้ ว่าคนนั้นไม่ดี คนนี้ไม่ดี แล้วกระจายออกไปก็มีแต่คนไม่ดีๆ หมด ตลอดทั่วประเทศไทยเลยมีแต่คนไม่ดีหมด ก็หมายความว่าคนดีคือเราคนเดียว เมื่อเวลาธรรมจับเข้าไปปุ๊บ ก็เราคนเดียวเท่านั้นทำโลกให้เลอะเทอะสกปรกอยู่เวลานี้ คือคนที่เป็นฟืนเป็นไฟ ไปที่ไหนเผาไหม้ไปที่นั่น ไปที่ไหนหาความเป็นสิริมงคลจากตัวเอง เฉลี่ยเผื่อแผ่ออกเพื่อนฝูงไม่ได้ มีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้ไปหมด ใครไม่อยากคบค้าสมาคม คนนั้นก็เป็นคน เขาเรียกว่า รกโลก ลงเป็นคนมีจิตใจกว้างขวาง โลกจะกว้างขวาง ไปที่ไหนกว้างขวางหมด
ไปทั่วเมืองไทยไปเถอะไม่อดตายคนเรา ถ้ามีธรรมในใจด้วยกันแล้ว ไปที่ไหนพึ่งกันได้หมดเลยเทียว นี่ธรรมในใจ ถ้าไม่มีธรรมเสียอย่างเดียว แม้แต่ครอบครัววงศ์สกุลเดียวกันก็เข้ากันไม่ติด ตระหนี่ถี่เหนียว ต่างคนต่างแน่นต่างเหนียวยันกันอยู่อย่างนั้น เลยเข้ากันไม่ได้นะ ถ้าความกว้างขวางนี้ออกไปไหน มีความเมตตา คิดเห็นอกเห็นใจเขา เฉลี่ยกัน เข้ากันได้แล้วไปได้หมด จำอันนี้ให้ดี
คนเราไม่ได้ดีและเลิศด้วยความที่ว่าเกิดมาเป็นชาติมนุษย์เท่านั้นนะ อันนี้มันเกิดมาด้วยบุญด้วยกรรม ใครตกแต่งไม่ได้ เกิดที่ไหนใครเป็นพ่อเป็นแม่มันก็รู้ เวลาเกิดขึ้นมาถึงมารู้ทีหลัง แล้วก็อยู่กันไปตามบุญตามกรรม เป็นอย่างนั้น ไม่ว่าครอบครัวเขา ครอบครัวเรา ไม่ว่าเขาว่าเรา เป็นแบบเดียวกันนี้ ใครตกแต่งให้เกิดอย่างนี้ไม่ได้ ท่านจึงไม่ให้ดูถูกกัน สพฺเพ สตฺตา อันว่าสัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น อย่าเบียดเบียน อย่าทำร้าย อย่าอิจฉาบังเบียดซึ่งกันและกัน ให้มีความเฉลี่ยเผื่อแผ่เมตตาถึงกันและกันเสมอ ผู้มีธรรมในใจเป็นอย่างนี้แล้วเย็นไปหมดนะ
เรื่องธรรมพระพุทธเจ้าแล้ว รวมลงแล้วว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าแง่ใดพิจารณาเต็มกำลังความสามารถ หาที่ต้องติไม่ได้เลย ยอมรับๆ ตลอดไปเลย ไม่ว่าส่วนหยาบ ส่วนกลาง ส่วนละเอียดของธรรม ธรรมขั้นไหน ๆ สอนโลกขั้นไหน ๆ พอดีพอเหมาะเป็นขั้นๆ ไป ความพอดีอยู่กับสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบ พอเหมาะพอดีกับฐานะของสัตว์ของบุคคล ของสถานที่ต่างๆ ขั้นภูมิ ตรัสไว้อย่างชอบธรรม ผู้ที่ยังอยู่ในโลก ไปไม่ได้ ก็สอนให้เป็นผู้รักศีลรักธรรม คำว่ารักธรรมนี้ ธรรมในใจ ทุกอย่างให้มีธรรม รักศีลรักธรรม เข้มงวดกวดขันในตัวเองเสมอ เป็นผู้รักศีลรักธรรม ต่างคนต่างรักศีลรักธรรมก็ต่างคนต่างสวยงามชุ่มเย็น ไปไหนประสานกันได้ทันทีๆ
คนเราดีด้วยบุญด้วยกรรม จากนั้นมาประดับทีหลังนี้ก็คือ ดีด้วยศีลด้วยธรรม ทีแรกเราเกิดมาด้วยบุญด้วยกรรม เป็นมนุษย์ก็เรียกว่าดีด้วยบุญด้วยกรรมของเราที่สร้างมายังไงก็เกิดมาอย่างนั้นๆ ตกแต่งเอาไม่ได้ ทีนี้เราตกแต่งของเราด้วยศีลด้วยธรรม ก็กลายเป็นผู้ดีด้วยศีลด้วยธรรม จะเป็นชาติชั้นวรรณะสูงอะไร เอาธรรมเข้าเป็นเครื่องประดับแล้วเรียบไปหมด ถ้าความชั่วเข้าไปประดับแล้วเลวด้วยกันหมด ไม่ว่าชาติชั้นวรรณะใดเลวได้ด้วยกัน ดีได้ด้วยกัน นี่ละให้เอาธรรมเข้าไปจับซิ ถ้าไม่มีธรรมแล้วมันจะปีนเกลียวกันตลอดเวลา ใครก็อยากดีอยากเด่นทั้ง ๆ ที่หาความดีไม่ได้แต่อยากดี อยากดีตัวเองไม่มีความดีก็เอาเขามาเป็นความดีของตัวเอง ก็ไปกระทบกระเทือนโลกละซี มันไม่ดีอย่างนั้น ดีต้องเป็นคนสร้างความดีขึ้นในตัวเองมันถึงจะดี ถ้าไม่สร้างไม่ดีนะ
นี่ดูซิพระท่านมาอยู่ในวัดนี้ นี่มีทุกภาคนะวัดนี้ มาประจำตั้งแต่เริ่มสร้างวัด พระมีทุกภาคเลย ทั่วประเทศไทยอยู่นี้หมด เป็นประหนึ่งว่าลูกพ่อแม่เดียวกัน ไม่มีใครมาทะเลาะเบาะแว้งกันด้วยเย่อหยิ่งจองหองต่าง ๆ ไม่มี เอาหลักธรรมหลักวินัยซึ่งเลิศเลอพอแล้วเข้ามาประดับตัวด้วยกัน ใครบกพร่องตรงไหน ๆ เตือนกันด้วยความหวังดี ผู้รับก็รับด้วยความจงใจ ด้วยความหวังดี เรียกว่า ยื่นสมบัติให้กัน คนนั้นยื่นสมบัติคือเตือนเขาว่าท่านบกพร่องอย่างนั้นนะ ยื่นสมบัติให้ ทางนี้ก็รับเอาเลย รับคำพูด นั่นเรียกว่า ต่างฝ่ายต่างยิ้มแย้มแจ่มใสต่อกัน อยู่ด้วยกันได้ทั้งนั้น
เจ้าอาวาสนี่เหมือนเป็นพ่อเป็นแม่ในครอบครัว เจ้าอาวาสก็เป็นเจ้าอาวาสที่ดี เป็นผู้รักศีลรักธรรม ถือธรรมวินัยเป็นหลักเป็นเกณฑ์ บรรดาลูกวัดมาจากที่ต่าง ๆ เข้ามาก็มายึดเอาคติอันดีงามจากครูจากอาจารย์ เพราะตนเองไม่สามารถจะศึกษามาได้ก่อน และปฏิบัติได้ก็ต้องมาศึกษาจากครูจากอาจารย์แล้วไปปฏิบัติ ก็สวยงามไปเรื่อยๆ พอพูดมาถึงขั้นนี้ก็ไม่พ้นที่จะพูดถึงเรื่องวงศ์สกุลของกรรมฐานสายพ่อแม่ครูจารย์มั่นนะ นี่ละอำนาจแห่งความดีของท่าน ท่านล่วงลับไปแล้วกิตติศัพท์กิตติคุณของท่านฟุ้งขจรไปทั่วโลก ไม่ว่าทั่วเมืองไทยละทั่วโลกเลยคือหลวงปู่มั่น องค์ท่านเองท่านอยู่ในป่าในเขา เป็นคติอันดีเยี่ยมอีก พระสมัยนี้เรียกว่าไม่มี มีองค์เดียวเฉพาะหลวงปู่มั่น ตั้งแต่บวชมาเข้าป่าเลย ศึกษากรรมฐานตลอดจนกระทั่งวันท่านนิพพาน เอ้า ว่านิพพานเลย พระพุทธเจ้าท่านนิพพานได้ท่านสิ้นกิเลส พระสาวกเรียกว่า นิพพานได้เพราะท่านสิ้นกิเลส
หลวงปู่มั่นก็เรียกว่า ท่านนิพพานได้เพราะท่านสิ้นกิเลสเช่นเดียวกัน จนกระทั่งถึงวันท่านนิพพาน ท่านอยู่ในป่าในเขาสงบงบเงียบ รักสงวนในศีลในธรรมเป็นชีวิตจิตใจเลยเทียว ปฏิบัติอย่างนั้น บรรดาพระเจ้าพระสงฆ์ก็บุกเข้าไปหาท่าน เดินซอกซอนเข้าไปอยู่ในป่าในเขา ลึกขนาดไหนก็ไป ได้รับการศึกษาอบรมที่ดีที่เด็ดจากท่านออกมา ๆ ๆ จึงมีครูบาอาจารย์ขยายออกกว้างขวางจากหลวงปู่มั่นเพียงองค์เดียวเท่านั้นแหละ นี่เรียกว่าทั่วประเทศไทย วัดกรรมฐานสายหลวงปู่มั่นรู้สึกจะมีอยู่ทั่วไปเป็นกิ่ง ก้าน สาขาไป มีมาก ให้ประโยชน์แก่โลกทุกวันนี้ ออกมาจากหลวงปู่มั่นนะ ไม่ออกมาจากไหน เป็นอันดับหนึ่ง
ทั้งความเป็นอยู่อย่างนั้นก็ไม่มีใครเหมือนท่าน เป็นอยู่ด้วยความสงบเสงี่ยม ความสงบสงัด ความไม่ยุ่งเหยิงวุ่นวายกับอะไร มีตั้งแต่เรื่องธรรมครองใจ ๆ ตลอดไปเลย นี่ก็หายาก ตามที่เราผ่านมานี้เราไม่เคยเห็นที่จะเป็นเหมือนหลวงปู่มั่น เพราะเราก็เป็นนักล่าอาจารย์องค์หนึ่งเหมือนกัน เสาะแสวงหาครูอาจารย์ที่ดีนั่นแหละ พูดแบบโลกเขาเรียกว่า นักล่าอาจารย์ ไปทุกแห่งทุกหน จึงว่าบึ่งเข้าไปหาหลวงปู่มั่นยอมทันทีเลย ยอมจนกระทั่งวันตายจนกระทั่งบัดนี้ไม่มีฟื้น ยอมอย่างราบคือยอมหลวงปู่มั่น เพราะหาที่ต้องติไม่ได้ นี่ละลูกศิษย์ของท่านเป็นวงกระจายออกไป พอเป็นเกาะเป็นดอนให้เกาะให้ยึดบ้าง
เราทั้งหลายก็ต่างคนต่างหวังความสุข ความเจริญ แล้วอย่าไปหวังความสุข ความเจริญจากสิ่งอื่นนอกจากทางเดินของธรรมพระพุทธเจ้า ให้เอาธรรมนี้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวเกาะไปตามอรรถตามธรรม ทุกข์จนหนโลกก็ เอ้า ทุกข์ไป พระพุทธเจ้าพาสัตว์โลกให้จมเคยมีที่ไหน ธรรมพาสัตว์โลกให้จมไม่เคยมี มีแต่กิเลสพาสัตว์โลกให้จมเต็มโลกธาตุ ให้พากันคิดข้อนี้ให้ดีแล้วนำไปปฏิบัติตัวเอง ความอุตส่าห์พยายาม ความบึกความบึนนั้นเป็นทางของผู้ที่จะหลุดพ้นจากทุกข์ ของผู้เห็นภัยของทุกข์ ค่อยบึกบึนไป ครูบาอาจารย์นับแต่พระพุทธเจ้าลงมา บึกบึนมาเป็นตัวอย่างอันดีงามแก่พวกเราอยู่แล้ว ควรจะยึดเป็นคติเครื่องเตือนใจด้วยดี
พระพุทธเจ้าก็สลบถึง ๓ หนฟังซิ เวลาจะเสด็จออกทรงผนวชเป็นยังไง เป็นขนาดพระเจ้าแผ่นดิน ไพร่ฟ้าประชาชีเต็มพระราชวัง นี่เฉพาะในพระราชวังเต็มไปหมด ถึงกาลเวลาที่จะเสด็จออกทรงผนวช ก็มีเทวทูตนั่นละมาแสดงให้ท่านทรงเป็นนิมิตเครื่องพินิจพิจารณา เพื่อความหลุดพ้นจากทุกข์เป็นลำดับลำดาไป
เสด็จออกเยี่ยมพระนครทีแรกก็พบคนเกิด พบคนแก่ พบคนเจ็บคนทุกข์แล้วพบคนตาย พบสมณะ นี่ท่านก็นำมาคิดทุกวัน ๆ พอเจอเรื่องเดียวกลับมาได้ความแล้ว วันหลังไปอีกเจออีก ๆ รวมเข้าไปแล้วเป็นผลที่จะให้ท่านอยู่โลกนี้ไม่ได้แล้ว นั่น จึงเสด็จออกทรงผนวช ทรงผนวชก็พระเจ้าแผ่นดินทรงผนวช ก็เหมือนเทวดาที่ตกจากสวรรค์ลงแดนนรกนั่นเอง จะมีความสะดวกสบายที่ไหน ไปบิณฑบาตที่ไหนก็จะเสวยไม่ได้ ๆ พระองค์ก็เอาธรรมตีเข้าไป ๆ เขากินได้เราทำไมกินไม่ได้ เขาก็คนเราก็คน ทำไมเขากินได้เรากินไม่ได้ เราต่างจากเขาอะไร ทุกสิ่งทุกอย่างภายในร่างกายของเขากับของเราต่างกันยังไง มันก็เหมือนกัน แต่ทำไมอาหารเหล่านี้ก็เหมือนกัน เป็นอาหารที่มนุษย์กินได้ เราก็เป็นมนุษย์ทำไมกินไม่ได้ นั่น ฟัดกันลงไปนั้นพระองค์ก็เสวยได้สบาย ๆ
ไปหาขอทานแล้วแต่จะได้ยังไงมา นี่ละที่ว่าเทวดาตกจากสวรรค์ลงมาแดนนรก คือ พระสิทธัตถราชกุมารเราเสด็จออกจากหอปราสาท เหมือนกับเสด็จออกจากสวรรค์ตกลงแดนนรกคือไปที่สมบุกสมบัน ได้รับความทุกข์ความลำบากด้วยการอยู่การกินทุกอย่าง พระองค์ไม่ถือเป็นอารมณ์ มุ่งแต่ธรรมเป็นอารมณ์ จนกระทั่งถึงขั้นสลบ ทุกข์ไหมพิจารณาซิ มาถึงขั้นสลบนี้ก็พอแล้ว พอเป็นคติได้ดี เราไม่ได้ถึงขั้นสลบก็ตาม ก็ควรปฏิบัติตนให้เป็นลูกศิษย์ที่มีครูสอน เดินตามร่องรอยครูบ้างดี
นี่ละท่านผู้ที่จะดี ท่านฝึกท่านทรมานท่านเป็นทุกข์ก่อน ท่านจึงเรียกว่า ทุกฺขสฺสานนฺตรํ สุขํ ทุกข์เป็นเครื่องหนุนให้เกิดความสุข ทุกข์เพราะปฏิบัติความดีนี้เป็นเครื่องหนุนให้เกิดความสุข สุขสฺสานนฺตรํ ทุกฺขํ คนเอาแบบสุกเอาเผากินอะไรก็สุกก่อนห่าม กินสุกก่อนห่าม เอาความสุขสด ๆ ร้อน ๆ นี้แล้วก็เป็นทุกข์เมื่อภายหลัง นี่ท่านว่า สุขสฺสานนฺตรํ ทุกฺขํ ทุกข์มาเกิดลำดับจากสุขก่อนห่ามนั้นแหละ อย่าไปสงวน เสาะแสวงหามัน ให้อุตส่าห์พยายามบึกบึน นี่ครูของเราศาสดาของเราท่านปฏิบัติมาอย่างนั้น รู้อย่างนั้นแล้วได้ผลอย่างนั้น แล้วก็มาสอนพวกเราให้ฝึกฝนทรมานตน อย่านอนเป็นขอนซุงอยู่เฉย ๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร
จากนั้นบรรดาสาวกที่ได้ยินได้ฟังซึ่งเป็นกษัตริย์มีจำนวนไม่น้อย เวลาออกมาบวชแล้วกษัตริย์ปัดออกหมดไม่มีเหลือ เหลือแต่คนขอทานอย่างเดียวแบบพระพุทธเจ้า ก็มาเป็นสรณะของพวกเรา นี้ล้วนแล้วตั้งแต่ท่านฝึกทรมานท่านนะ ท่านไม่ได้อยู่ ๆ กิน ๆ สบาย ๆ ไปวันหนึ่ง ๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไรอย่างนั้น เพลินไปวันหนึ่ง ๆ ไม่ได้คิด เหมือนอย่างสัตว์ที่เขาขังไว้ในกรง เขารอที่จะฆ่าอยู่นั้น ทางนี้ยังเพลินกันอยู่ในกรงใช้ไม่ได้ พวกเราอยู่ในกรงแห่งวัฏจักรแห่งกองทุกข์ทั้งหลาย ดิ้นรนกระวนกระวายไปตามกงจักรนั้นเสีย เพลินไปตามกงจักรไม่รู้เนื้อรู้ตัว ถึงวันก็ตายไป ๆ แล้วก็จมลงนรก ๆ เหมือนเขาเอาสัตว์ไปฆ่า ไม่เกิดประโยชน์อะไร ให้พากันฝึกฝนอบรมเสีย ไม่เช่นนั้นจะไม่ดีนะ
ศาสนาเวลานี้ ชาติไทยของเราก็แทบจะไม่มีเหลือ ไปที่ไหนก็เห็นแต่ร่องรอยของศาสนา เห็นแต่วัดวาอาวาสที่ใดเห็นแต่พระเณรเป็นรูปเป็นร่างของพระของเณรไปเสีย วัดก็ไม่ใช่วัดจริงเป็นวัดกาฝากไปเสีย เป็นวัดปลอม ๆ ไปเสีย มีแต่รูปร่างของวัด ผู้ไปครองวัดก็มีแต่พระแต่เณรที่กาฝาก กัดตับกัดปอดศาสนาแหลกไปทุกวัน ๆ ไม่มีพระที่ดีเทิดทูนศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองเลย ครั้นมองไปทางประชาชนก็มีแต่เปรตแต่ผีแต่ยักษ์แต่มารกัดฉีกกันทั่วโลกดินแดน มีแต่ความทุกข์เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ทั่วโลกดินแดน แล้วหาทางออก ออกที่ไหนมันก็ไม่มี ดิ้นก็ดิ้นเข้าทั้งนั้นไม่ใช่ดิ้นออก ถ้าไม่ใช่ธรรม ธรรมดิ้นเพื่อออก ให้เราจับเอาจุดของธรรม ทุกข์ ๆ เหมือนกันหมด ทั้งเขาก็ทุกข์ทั้งเราก็ทุกข์ ทุกข์ไม่หาทางออกก็มี หาทางเข้าไปตลอดก็มี ทุกข์เพื่อหาทางออกก็มี จนออกได้ก็มี ให้เรามาคิดในตัวของเรานะ ไม่อย่างนั้นจะจมไปเฉย ๆ
หลวงตาพูดจริง ๆ สงสารพี่น้องทั้งหลายสงสารมากจริง ๆ นะ ไม่ใช่ธรรมดา ไอ้ที่จะมาสงสารตนเองเราบอกตรง ๆ เลย บอกเราไม่มี ไม่มีคำว่าเกิด ว่าตาย กาลนั้นกาลนี้ นรกสวรรค์ นิพพาน เราไม่มีเลยในหัวใจเรา ครองไว้ซึ่งธรรมที่พออย่างเลิศเลอล้วน ๆ แล้ว จึงไม่มีอะไรที่จะต้องติ นี่ปฏิบัติถึงขั้นหาที่ต้องติไม่ได้แล้ว ก็ต้องติไม่ได้เลย จะต้องติอะไร พอก็ว่าเลิศเลอเสีย ๆ อย่างนี้ นั่นละธรรมแท้เป็นอย่างนั้น ขอให้พากันตั้งใจประพฤติปฏิบัติ วันนี้ก็พูดธรรมะเพียงเท่านี้แหละ
บรรดาลูกหลานก็ดี ที่มาเมื่อเช้าเห็นมีมากมีมาย ให้เอาลัทธิประเพณีของปู่ ย่า ตา ยาย เราไปประพฤติปฏิบัติบ้าง อย่าเอาลัทธิของเปรตของผีของนรกอเวจี ของหมาเดือน ๙ มาใช้ เข้าใจไหมหมาเดือน ๙ ถึงฤดูเดือน ๙ เดือน ๑๒ มันเห่าหอนอึกทึก เพราะราคะกามกิเลสมันคึกคะนองตัวผู้ตัวเมียพันกันไปเลย ไม่รู้บาปรู้บุญ ไม่รู้ดีรู้ชั่ว ไม่รู้ผิดรู้ถูก พวกเราเรียนแต่วิชาหมาเดือน ๙ นะเดี๋ยวนี้ ไม่ได้เรียนวิชาธรรม วิชาหมาเดือน ๙ นี้เต็มบ้านเต็มเมือง เพราะฉะนั้นโลกมันถึงเห่าหอนกันด้วยความทุกข์ความทรมานบ่นเพ้อกันละซี เข้าใจไหม มันไม่ได้มีความสงบเย็นใจ เพราะมันแต่เดือน ๙ เต็มไปหมด เราก็เดือน ๙ เขาก็เดือน ๙ ไปที่ไหนมีแต่โลกเดือน ๙ เดือน ๑๒ โลกหมาเดือน ๙ หมาคึกหมาคะนอง คนคึกคนคะนองเข้าใจไหม
เมื่อคนคึกคนคะนองแล้วก็เป็นเหมือนหมาเดือน ๙ ไม่เหมือนหมาก็เพราะไม่มีหาง ถ้าเอาหางมาใส่ปั๊บเป็นหมาร้อยเปอร์เซ็นต์เลย ใครอยากเป็นหมา ถ้าไม่อยากเป็นหมาให้ปลดเปลื้องออก สิ่งใดเป็นเครื่องแต่งตัวกิริยาเหมือนหมาอย่าเอามาใช้ในเมืองมนุษย์ ปู่ ย่า ตา ยาย จะนอนไม่หลับนะ ตายแล้วเป็นห่วงเป็นใย ลูกเป็นเปรตเป็นผีเป็นหมาเดือน ๙ ไม่รู้จักความพอดิบพอดี ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมตลอดไป ไม่ดีเลยนะ ให้ลูกหลานยึดไปปฏิบัติ
การแต่งเนื้อแต่งตัวให้พอเหมาะพอสมพอดีพองาม ตามประเพณีของเมืองไทยเรา นี่พ่อเรานะนี่แม่เรา เราเป็นลูกของท่าน แน่ะ ที่ไหน ๆ ก็มีอย่างนั้นประเพณีอันเดียวกัน ปฏิบัติให้สวยงามก็งามไปหมด นี่อะไรมาคว้ามับ ๆ ไม่มีหลักมีเกณฑ์ไม่ได้ เสีย เมืองไทยเราเป็นเมืองทั้งเมือง เป็นประเทศทั้งประเทศ ชื่อเสียงก็ได้ยินมาเหมือนประเทศทั้งหลายมาเป็นประจำ การประพฤติเนื้อประพฤติตัวควรจะมีหลักมีเกณฑ์ให้น่าดูน่าชม มีแต่แต่งมาอวดกันด้วยอำนาจของกิเลสตัณหา อวดอำนาจแห่งหมาเดือน ๙ มาอวดกันก็มีแต่หมาเดือน ๙ อวดกัน ศีลธรรมอวดกันเพื่องามตางามใจชื่นใจไม่มี
มาเห็นกันนี่ จิตใจมันดีดมันดิ้นเห็นกิเลสตัณหาเป็นกิเลสตัณหา ราคะตัณหา กามตัณหาเกิดขึ้น เพราะการเห็นการได้เกี่ยวข้องกัน เลยกลายเป็นหมาเดือน ๙ กิเลสราคะตัณหากำเริบเมื่อเห็นสิ่งที่มายั่วยวนกันแล้ว ราคะตัณหากำเริบกลายเป็นหมาเดือน ๙ เดือน ๑๒ ไปเลย ควรที่จะได้รับความชุ่มเย็นเป็นสุขเพราะการมาพบมาเห็นกัน ด้วยการแต่งเนื้อแต่งตัวสวยงาม พอดีกับประเพณีของเราอย่างนั้นมันไม่เห็น มันก็เห็นตั้งแต่การแต่งเนื้อแต่งตัวแบบหมาเดือน ๙ กลายเป็นหมาเดือน ๙ กันทั้งประเทศใช้ไม่ได้นะ ให้ทุกคนยึดเอา
เราเป็นผู้รับมรดกต้นทุนของปู่ ย่า ตา ยาย ท่านพาดำเนินยังไง เฉพาะอย่างการแต่งเนื้อแต่งตัวท่านแต่งมายังไง เวลานี้เราแต่งกันยังไงดูบ้างซิ เรามีหูมีตาเอามาใช้ประโยชน์ อย่าเอามาใช้เป็นโทษสังหารตนเอง ไม่เกิดประโยชน์อะไรนอกจากโทษไม่มีสิ้นสุด ยึดกันเรื่องเหลว ๆ ไหล ๆ เป็นไฟเผาตัวตลอดไป ให้จำเอานะลูกหลานนะ เอาละพอ
เนื่องจากวันงาน ๓๐ พฤษภาคม คณะลูกศิษย์รวมกับลูกศิษย์สวนแสงธรรม นำสิ่งของที่ยังเหลืออยู่มาถวายหลวงตา เพิ่มขึ้นอีกมีดังนี้ ข้าวหอมมะลิ ๒๓๐ ถุงๆ ละ ๓๐ กิโล น้ำตาลทราย ๓๐ ถุงๆ ละ ๕๐ กิโล พร้อมกับ ทองคำอีก ๑ กิโล ไหนทองคำ โธ่ ๆ พอใจ เอ้า ยกขึ้น ๆ เอ้า อนุโมทนา นี่คณะลูกศิษย์สวนแสงธรรม มาเช้าวันนี้ใช่ไหม ( ครับมาเมื่อเช้านี้) เออ ดีแล้ว นี่ได้ ๑ กิโลแล้ว เรามองไปนี้เราไม่อยากอ่าน มองทองคำได้ ๑ บาท ๕๑ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๒๙๑ ดอลล์ เลยเราไม่อยากอ่าน พอเห็นนี้ปั๊บ ได้ทองคำ ๑ กิโล กับ ๑ บาท ๕๑ สตางค์ทันทีเลย
โยม เพิ่มอีก ๑ บาท ๑ ดอลลาร์ แล้วก็ ๒๐ บาท เจ้าค่ะ
หลวงตา เออ พอใจ ๆ ตะเกียกตะกายนะ เอาให้หนักนะพวกเราคราวนี้ อย่าให้เสียชื่อของชาติไทยเรา เอาให้เต็มเหนี่ยวเลย เอาละที่นี่ให้พร
โยม หลวงพ่อเจ้าขา ลูกศิษย์ทางภาคใต้ส่งปัจจัยมาร่วมบุญวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒,๓๒๐ ค่ะ แต่ว่าเรือลำนี้มีทั้งหมด ๔,๐๐๐ ที่เหลือเป็นของคุณพ่อคุณแม่หนูเจ้าค่ะ
หลวงตา เออ พอใจ ๆ เอ้า รับไว้เลยเรา
ชมการถ่ายทอดสด ธรรมะหลวงตาวันต่อวัน ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th |