จะเป็นเขาโคหรือขนโค
วันที่ 3 มิถุนายน 2546 เวลา 8:05 น. ความยาว 51.23 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๖

จะเป็นเขาโคหรือขนโค

 

         ระยะนี้ฝนกำลังตกทุกแห่งทุกหนทั่วไปหมด เพราะเป็นเวลาที่เขากำลังลงทำไร่ทำนาตกกล้าตกเก้ออะไรกัน ทุกแห่ง เท่าที่ผ่านมานี้ตั้งแต่สว่างฯ ไปทางสกลฯ ดีกว่าเพื่อน สว่างฯ กับสกลฯ พูดได้ว่าฝนมีทำนาได้สะดวกตลอดไปในระยะนี้นะ นอกนั้นมีขาดมีอะไร มองไปตามนามองไม่เห็นน้ำทั่วๆ ไปหมด เวลานี้กำลังเร่ง ฝนเร่งตก เห็นน้ำไหลมานี้เราออกไปดูเมื่อค่ำวานนี้ น้ำไหลซ่าๆ นี่ห้วยหมากแข้งที่ผ่านเมืองอุดรฯ ห้วยนี้เอง ผ่านเมืองอุดรฯ เรานะ ทางนั้นเขาเรียกห้วยหมากแข้ง มันเรียกชื่อเป็นย่านๆ อันนี้เขาเรียกห้วยหน้าวัด นี่ละเราไปดูเมื่อวาน โห มากอยู่นะน้ำมา ตอนคนหมดแล้วนั่นละเราถึงจะได้ไปดู ถ้าเวลามีคนไม่ได้นะ ยุ่งมาก พอเวลาคนหมดกำลังเริ่มจะมืดจึงด้อมๆ ออกไปดู เมื่อวานก็ไปดูอย่างนั้น โห มาแล้วน้ำ เขาคัดเข้าออกตามไร่ตามนา เขาปิดที่ข้ามสะพานนี่ คือมันมีคลองทางด้านโน้น พอปิดนี่ปั๊บน้ำก็ไหลออกทางโน้น เมื่อน้ำเขาพอแล้วมันจะท่วมนาเขา เขาก็เปิดทางนี้ คลองทางไหนพอปิดได้เขาก็ปิด อันไหนที่ไม่ควรปิดได้เขาก็เปิดตามเรื่องมัน มันเป็นคลองซอยออกไป

พวกชาวนานี่เป็นพวกที่ลำบากมากไม่ใช่เล่นเหมือนกันนะ ที่ว่าลำบากคือต้องเร่งใส่ตามฤดู ถ้าไม่ทันผลลด เช่นเวลานี้กำลังพอดีเลยเขาทำนา เร่งตกกล้ากันตอนนี้พอดีเป็นระยะๆ  ถ้าล่าไปแล้วไม่ค่อยดี เพราะฉะนั้นการทำไร่ทำนาจึงต้องเร่งเพื่อฤดูกาล เพื่อฟ้าเพื่อฝน ต้องเร่ง เวลาทำก็ลำบากลำบน ฝนตกฟ้าลมไม่ว่า เอากันตลอดเลย แต่ก่อนมันไม่มีผ้าพลาสติกสะแตกห่อ ฝนตกมาก็ไม่หนาวนะ แต่ก่อนมันหนาวนี่ เดี๋ยวนี้ฝนตกก็ตก ดำนาไปเรื่อยสบาย เพราะฝนตกใส่นั้นมันไหลออกใช่ไหม มันไม่หนาวถึงตัวเรา ทุกวันนี้มันผลิตขึ้นทุกสิ่งทุกอย่าง มองจน โอ๊ย คาดไม่ถึง เพลงของวัฏจักรมันพาหมุน หมุนก็มนุษย์นี่แหละเป็นตัวหุ่นตัวยันเป็นฟุตบอล เตะกลิ้งไปเลย ทางนี้ก็เพลินวิ่งตาม ฟุตบอลก็คือพวกนี้เอง พวกเตะกันก็คือพวกนี้เอง ใส่กันอยู่อย่างนั้น

อ้าว จริงๆ พิจารณาอะไรมันพิจารณาได้หมด เวลามันโล่งไปหมดแล้วมันพิจารณาไปได้หมดเลย กิเลสมาปิดตันหัวใจเสียอย่างเดียวเท่านี้ตีบตันอั้นตู้ ควรจะคิดเรื่องอะไรคิดไม่ได้เรื่อง ถ้าเป็นเรื่องของกิเลสมันเปิดทางไว้แล้วๆ ออกทางกิเลสทั้งนั้น ถ้าได้คิดทางด้านอรรถด้านธรรมปิดตันๆ ทีนี้เมื่อเบิกกิเลสออกมากน้อย ทางนี้ก็กระจายออก ธรรมออกๆ เปิดออกหมดมันจ้าไปหมดเลยนะ ท่านทั้งหลายเชื่อไหมธรรมกับกิเลสมีอยู่ในหัวใจของโลก จะไปหาตามต้นไม้ภูเขาดินฟ้าอากาศทั่วแดนโลกธาตุนี้ จะไม่เจอธรรมไม่เจอกิเลส จะเจออยู่ที่ใจ แสดงออกที่ใจ

ธรรมพระพุทธเจ้าท่านสอนโลกจึงแม่นยำมาก เราชี้นิ้วเลยว่ามีศาสนาเดียวทั่วโลก มีศาสนาเดียว นอกนั้นสำหรับเราเองจะไม่เรียกว่าศาสนา คำสอนก็เป็นกลอุบายนโยบายของกิเลส หมุนไปตามกิเลสเสียทั้งหมด ไม่ได้หมุนไปตามอรรถตามธรรมแล้วหักกิเลสให้ม้วนเสื่อได้เหมือนพุทธศาสนา อันนี้มันละเอียดลออ พิจารณาไปเท่าไรยิ่งกว้างยิ่งขวางยิ่งลึกซึ้ง ศาสนาใดก็ตาม เราเห็นไม่เห็นก็ตาม ฟังแนวเขาพูดเท่านั้นรู้ทันทีๆ ว่าขัดกับพุทธศาสนา เป็นทางของกิเลสทั้งนั้น เจ้าของศาสนาแต่ละศาสนานี้เอาชื่อมาตั้งกันเฉยๆ มันก็เดินตามความรู้ความเห็นซึ่งเป็นคลังกิเลสของมันนั้นแหละ ออกสอนบรรดาบริษัทบริวารลูกศิษย์ลูกหา เมื่อเชื่อฟังแล้วก็ทำตาม แล้วก็ไหลไปตามกันในทางของกิเลส ส่วนด้านธรรมะพระพุทธเจ้าไหลทางด้านธรรมะทั้งนั้นๆ

โห ผิดกันมากนะ เราจึงได้พูดเต็มปากของเรา ออกมาจากหัวใจที่เต็มหัวใจนี้ไม่สะทกสะท้าน ใครเชื่อไม่เชื่อก็ตาม มันรู้มันเห็นอย่างนี้ๆ นี่ที่ว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้เพียงพระองค์เดียวสอนโลกได้ทั้งสาม นี่หมายถึงพุทธวิสัยท่านเป็นอย่างนั้น สาวกวิสัยก็เต็มภูมิของตัวเองๆ ไม่สงสัยอะไรก็เต็มภูมิไปเหมือนกัน เป็นอย่างนั้นนะ ท่านจะถามใคร ท่านไม่ถามใครแล้ว ลองถึงขั้นอรหัตภูมิแล้วไม่ถาม เต็มภูมิทุกองค์ตามนิสัยวาสนาของตน ที่จะนำมาแสดงออกได้มากน้อยเพียงไรนั้น เป็นเรื่องภูมินิสัยวาสนาแต่ละองค์ๆ จะให้ท่านสงสัยท่านไม่สงสัย เป็นแต่เพียงว่าท่านได้แง่ไหนๆ ท่านก็เอาออกมา มองเห็นเต็มอยู่นี้ ท่านพอหยิบเอาได้อันไหน กำลังของท่านแค่ไหนท่านก็ไปหยิบเอามา ทั้งๆ ที่ของนี้เต็มอยู่ ท่านจะสงสัยอะไรของเหล่านี้ว่ามีหรือไม่มี ท่านเอาไม่ได้หมดท่านก็เอามาแค่นี้

ภูมิของศาสดาเห็นหมดเลย ภูมิของสาวกจะไปเอามาตามภูมิของตัวเอง ส่วนใหญ่ท่านก็เชื่อหมดละซี ที่คำว่าพุทธศาสนาเชื่อหมดเลย บรรดาพระอรหันต์กราบราบกราบพระพุทธเจ้า มันเป็นขึ้นในใจ สิ่งที่ไม่รู้มันรู้ สิ่งที่ไม่เห็นมันเห็น เช่นอย่างเราไปเมืองไหนก็ตาม ก็เราไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นแต่ก่อน พอเราไปถึงมันก็เห็นก็รู้ แล้วจะปฏิเสธได้ไหมว่าไม่มี ใช่ไหมล่ะ ไปที่ไหน อ๋อๆ ๆ แต่ก่อนมันก็มีอยู่แต่เราไม่เห็น พอเดินเข้าไปปั๊บ ตรงนี้อ๋อ ตรงนั้นอ๋อ มีแต่อ๋อเรื่อย อ๋อแล้วอ้าปากด้วยนะ เป็นบ้าเพลินไปกับเขา อันนั้นเท่าไร อันนี้เท่าไร สุดท้ายกระเป๋าหมดกลับมา เป็นอย่างนั้นนะพวกเรา กิเลสหลอกกิเลสมันก็หลอกเก่งเหมือนกัน

เราพูดได้เต็มปากเลย ออกมาจากเต็มหัวใจเราว่า มีพุทธศาสนาเท่านั้นในสามแดนโลกธาตุนี้ ที่จะรื้อขนสัตว์โลกขึ้นให้พ้นจากทุกข์โดยลำดับลำดาไม่มีทางสงสัยเลย นอกนั้นมีแต่เป็นไปตามแนวของกิเลส ไม่ใช่แนวของศาสนา เป็นตามแนวของกิเลสทั้งหมด หมุนไปทางไหนก็หมุนไปตามกงกรรมของกิเลส เพราะตัวผู้สอนผู้เป็นหัวหน้าผู้สอนเป็นคลังกิเลส ก็เอาออกจากนี้สอนไป ลูกศิษย์ลูกหาก็ยอมรับซี แล้วทำตามๆ ให้ทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้นๆ มันก็เป็นทางของกิเลสทั้งหมด

แต่พระพุทธเจ้าท่านเป็นคลังแห่งธรรม ออกมาแง่ไหนมีแต่ธรรมทั้งนั้นๆ สอนทุกแง่ทุกมุมให้ไปในทางที่ถูกที่ดีทั้งหมดเลย หมดเลยหัวใจของเรา ไม่มีที่พระพุทธเจ้าสอนตรงไหนที่ผิดไป จึงเรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว หาทางค้านไม่มี หมดทางค้าน แต่สัตว์ทั้งหลายมันไม่อยากไปซี กิเลสมันเปิดโล่ง ใครก็หลงไปตามกิเลส ความสะดวกมันง่าย เพื่อความทุกข์ข้างหน้า ทุกข์ข้างหน้าไม่เห็น มันเห็นแต่ความสะดวกแล้วก็มักง่ายในต้นเหตุ ส่วนปลายเหตุที่จะเป็นผลที่จะเป็นความทุกข์ความลำบากนั้นมันไม่เห็น มันก็เอาสะดวก สุกเอาเผากิน ๆ ต่างคนต่างสะดวกจึงทุกข์ทั่วโลก พระพุทธเจ้าไม่เอาอย่างนั้น

นี่ได้ตรวจหมดแล้ว ในชีวิตนี้ได้พิจารณาเต็มกำลังเรื่องอรรถเรื่องธรรม ใครจะปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าก็เอา มีทาง ๆ มีหวังไปตลอดเลย ถ้าปฏิบัติตามกิเลสก็หมดหวังไปตลอด ในสิ่งที่หวังจะไม่ได้ แต่สิ่งที่อยากทำลงไปนั้น อยากให้ทำมันก็ทำ ทำลงไปแล้วมันหมดหวัง นี่ละเครื่องหลอกของกิเลสมันหลอกไว้อย่างนั้น มีแต่สะดวกสบายๆ เลือกเอาสุกเอาเผากิน ปัจจุบันสบาย ๆ ข้างหน้าที่จะจนมุมไม่ว่านะ มันไม่คิด พระพุทธเจ้ากางเล็งดู

         พูดเรื่องฝนตกตกเป็นแห่ง ๆ มีแห้งมีแล้งตั้งแต่ชุมแพลงมา เข้ามาหนองบัวลำภู ทีนี้มีฟ้ามีฝนมีน้ำทั่ว ๆ ไปแถวนี้ ทางนู้นไม่มี แต่มันกำลังเร่งแล้ว มันตกทุกวัน ๆ ตกทุกแห่งทุกหนไป ต่อไปก็ทั่วถึงกันหมด

         วันนี้ไม่ได้ทองคำเลยไม่อ่านนะ เมื่อวานไม่ได้ทองคำเลย ได้ดอลลาร์ ๒๗ ดอลล์ เมื่อวาน นี่ดอลลาร์เราไปฝากบัญชีไว้แล้วเวลานี้ เขามาบอกว่าได้ ๘๐,๐๐๐ ดอลล์แล้ว ทางนู้นก็จะได้ไล่เลี่ยกัน เพราะตอนที่เราให้แยกนั้นดูเหมือนจะมีอยู่ ๘๐,๐๐๐ ตอนทางกรุงเทพฯ แยกมาทางบัญชีนี้เสีย ๔๐,๐๐๐ ทางนู้นเสีย ๔๐,๐๐๐ จากนั้นเราก็ยังอยู่นั่น พอได้เพิ่มมาก็บอกว่าได้เท่าไรทีนี้ให้เอาเข้าทางนี้หมด เราแยกเฉพาะตอนนี้เท่านั้น เพื่อตั้งต้นใหม่บัญชีทั้งสองก็ปัดกึกออกไปเลย มอบดอลลาร์นะ ตั้งใหม่ก็เลยแบ่งครึ่งทางนู้นทางนี้ พอหลังจากนั้นเราก็ยังไม่กลับ เราก็สั่งไว้เลยว่าทีนี้ได้เท่าไรให้เข้าบัญชีนี้หมด ก็เข้าไปหมด

         พอเรามาถึงที่นี่ก็เริ่มเข้าอีกแล้ว ดูเหมือนจะได้ถึง ๓๐,๐๐๐ กว่าละมั้ง คือได้บัญชีมาจากนู้น ๔๐,๐๐๐ เมื่อวานเขาไปเข้าบัญชีได้ ๘๐,๐๐๐ ก็แสดงว่าได้เพิ่มอีก ๔๐,๐๐๐ ถ้าลงไปกรุงเทพฯแล้วก็ไปได้ทางนู้น คือเราไปทางไหนมันก็ขึ้นทางนั้นๆ ไม่ว่าทองคำ ดอลลาร์ขึ้นด้วยกัน บัญชีแยกทางนู้นทางนี้ เสร็จแล้วก็โอน นี่ก็จะเริ่มโอนเงินไปกรุงเทพฯ แล้ว ดูว่าเงินเรามีคงไม่ต่ำกว่า ๓๕ ล้าน จะรีบโอนไปกรุงเทพฯให้ทางนู้นซื้อทองคำเลย ไว้สำหรับเข้าสู่คลังหลวง ได้มาเท่าไรก็รีบซื้อเลย เพราะทองคำมันวิ่งขึ้นวิ่งลง เหมือนกระจ้อนกระแตโดดขึ้นกิ่งนั้นกิ่งนี้ อยู่อย่างงั้น เราไม่แน่ใจกับมันโลกอนิจจัง เดี๋ยวหลอกไปทางนั้น เดี๋ยวหลอกไปทางนี้ สนุกฟัง สนุกดูพิจารณาโลก

         ดูจิตเสียอย่างเดียวให้มันเต็มที่ ดูจิตดวงที่เต็มที่แล้ว มันจึงเป็นเหมือนกงจักรนะ วัฏจักรนี้เป็นเหมือนกงจักร คือมันหมุนวน วัฏฏะ วน หมุน วัฏจักรมันเป็นกงจักรหมุนวน นี่วัฏจักรให้อยู่เฉย ๆ ไม่ได้ เป็นอย่างนี้ ทีนี้เอาวิวัฏจักร คือจิตที่พอตัวเรียบร้อยแล้วดู หมุนเป็นวัฏจักรตลอดรอบตัวเลย ธรรมชาตินั้นไม่มีหมุน ไม่มีเอนมีเอียง เรียกว่ากฎอนิจจังเข้าไม่ถึง เป็นอย่างงั้นตลอดอนันตกาล ท่านจึงเรียกว่านิพพานเที่ยง คือจิตที่บริสุทธิ์แล้วเที่ยงตรง.แน่วอยู่อย่างงี้เลยนะ ส่วนที่นอกไปจากจิตที่บริสุทธิ์มันก็มีแต่จิตที่คลุกเคล้าไปด้วยส้วมด้วยถาน มันจึงหมุนรอบตัวของมันตลอดโลก

         เมื่อเป็นอย่างงั้นโลกที่อยู่ในกงจักรแห่งความหมุนนี้ มันจะอยู่เป็นสุขได้ยังไง อยู่เป็นสุขไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงต้องให้มีธรรมเป็นเครื่องสกัดลัดกั้น หรือพักเครื่องบ้างเป็นบางกาลบางเวลา คนเราจะพอพักได้ ถ้าปล่อยให้กิเลสพาหมุนไม่มีใครพักได้เลย ฟาดตั้งแต่เศรษฐีกุฎุมพีลงมา ยศถาบรรดาศักดิ์สูงต่ำขนาดไหนไม่มีความหมายทั้งนั้น กิเลสขึ้นเหยียบอยู่บนหัวหมด บนหัวใจ ให้หมุนเหมือนกันหมดเลย เอานี่ดูมันถึงชัดเจน เอาธรรมชาติที่ไม่หมุนนี่ดูมันรอบตัวชัดเจน อันนี้จะหมุนอยู่ตลอดเวลา ไม่มีเวลาพักเครื่องนะ วัฏจักรไม่มีเวลาพักเครื่องหมุนตลอด ตั้งกัปตั้งกัลป์ก็หมุนอยู่อย่างงี้ สัตว์โลกตกลงไปตรงนี้ก็ถูกหมุนไปแบบเดียวกันหมดเลย ธรรมชาติที่ไม่หมุนมันดูแล้วมันรับกันได้ถนัดชัดเจน อันนั้นหมุน อันนี้ไม่หมุน เป็นอย่างงั้นวัฏจักร มันหมุนไปหมุนมา

เพราะฉะนั้นจึงให้อบรมจิต ถ้าจิตของเราได้รับธรรมมากน้อย ความหมุนนี่ก็จะไม่รุนแรง มีพักมีเบา เรียกว่ามีสงบจิตใจ ถ้าใครมีการภาวนาเป็นเครื่องแอบกันไป แทรกกันไปแล้ว คนนั้นจะมีเวลาพักผ่อนหย่อนตัว เวลามันยุ่งมากๆ จิตของเราเคยมีความสงบแล้ว เราจะเห็นโทษแห่งความยุ่งวุ่นวายนั้นมาก โอ๊ย วันนี้จิตยุ่งมาก ไม่ได้ละเข้าพักจิตเสียก่อน ถ้าจิตไม่เคยมีความสงบเย็นใจจากการภาวนาแล้วมันก็พักไม่ได้ มันก็หมุนอยู่ตลอดเวลา บ่นก็บ่น อะไรต่ออะไรทั้งบ่นทั้งหมุนอยู่อย่างนั้น ทีนี้พอจิตมีภาวนาได้รับความสงบแล้ว อ๋อ ความสงบเป็นอย่างนี้ จิตสงบเป็นอย่างนี้ มีความสุขสบายอย่างนี้ๆ จับได้แล้ว

ทีนี้พอไปเกิดเรื่องราวยุ่งเหยิงวุ่นวาย ตามโลกสงสารที่เขาเคยเป็นมานั้นเข้าไปแล้ว โอ๋ย วันนี้ยุ่งมาก ไม่เอาละ ต้องเข้ามาพักจิตเสียก่อน ต้องพักจากนั้นทั้งหมดเข้ามาสู่ความสงบสบาย พอถอนออกมาแล้วก็มีกำลังพอต่อสู้ฟัดเหวี่ยงกันไปกับโลกวัฏจักรนะ ถ้าไม่มีเลยนี้ก็หมุนตลอดเลย มันต่างกันอย่างนี้ เพียงมีความสงบเป็นกาลเป็นเวลาด้วยจิตตภาวนาเท่านั้น เราก็พอหลบพอซ่อนได้แล้ว ถ้ายิ่งมีมากกว่านั้น ก็มีที่หลบที่ซ่อนได้สะดวกสบายมากขึ้นๆ กระแสของวัฏจักรหมุนอ่อนลงๆ ภายในใจของเรา ต่อไปเอาวัฏจักรให้ขาดสะบั้นจากจิตใจแล้ว หยุดกึ๊กเลย

เอ้าดูที่นี่ ดูความเป็นมาของเราที่เคยเป็นเป็นยังไง เป็นอย่างโลกทั้งหลายเป็น นั่น มันจับได้ปั๊บเลย เรากับโลกทั้งหลายไม่แปลกต่างกัน หมุนแบบเดียวกัน ทีนี้เราหยุดแล้วเป็นยังไง โลกยังไม่หยุด แล้วไม่หยุดมีจุดหมายปลายทางที่ไหน บางรายก็มีจุดหมายปลายทาง แต่ว่าน้อยมากนะ ที่ไม่มีจุดหมายปลายทางนี้มากต่อมาก ดังพระพุทธเจ้าท่านทรงเทียบกับวัวตัวหนึ่ง ที่พระอานนท์ทูลถามถึงเรื่องว่า คนที่จะไปสวรรค์นิพพานกัน มีจำนวนมากน้อยเพียงไร แล้วคนจะตกนรกหมกไหม้ได้รับความทุกข์ความทรมาน จะมีมากน้อยเพียงไร ท่านก็ชี้ใส่วัวตัวหนึ่ง

ดูเอานั่นวัวตัวหนึ่ง คนที่จะไปตกนรกหมกไหม้ได้รับความทุกข์ความทรมานเท่ากับขนวัวเต็มตัวของมัน แต่ผู้ที่จะได้รับความสุขความเจริญจนกระทั่งถึงความพ้นทุกข์นั้นมีเท่ากับเขาโค โคตัวหนึ่งมันมีสองเขา แต่ขนมันเต็มตัวใช่ไหม นี่เทียบถึงสัตว์โลกที่จะจมเท่ากับขนโคนี้เต็มโลก ผู้ที่จะหลุดพ้นไปเท่ากับเขาโค มีน้อยมากทีเดียว นี่ซีพระพุทธเจ้าไม่ท้อพระทัยได้ยังไง เอาเขาโคไปสู้กับขนโคได้ยังไงจึงท้อพระทัย แต่เขาโคมันยังมีอยู่ที่จะเป็นสาระอยู่ แม้มีน้อยก็ตะเกียกตะกายสอนโลกไปอย่างนั้นแหละ สอนประเภทเขาโค ส่วนขนโคไม่สอนมันแหละ มันสุดวิสัยแล้ว แล้วก็ประเภทเขาโคนี่แหละทำให้พระองค์ได้วางศาสนาเอาไว้เพื่อเขาโค ส่วนขนโคปล่อยไปเลย มีเฉพาะเขาโค ทรงอุตส่าห์แนะนำสั่งสอนที่นั่นที่นี่

แม้ที่สุดเวลาจะไปปรินิพพานที่กรุงกุสินารา ก็ไปเล็งเห็นอุปนิสัยของพราหมณ์แก่คนนั้นอีก อยู่ที่เมืองนั้น มีทิฐิมานะว่าตนเป็นพราหมณ์ชาติอริยกะ เช่นเดียวกับชาติพระพุทธเจ้า แต่วัยนั้นเราเป็นผู้ใหญ่ เป็นพ่อเป็นแม่ ปู่ย่า ตายาย ไม่สมควรที่จะไปเชื่อฟังสิทธัตถราชกุมารซึ่งเป็นพราหมณ์และชาติอริยกะด้วยกัน เสียเกียรติ เอาความแก่มาเป็นเกียรติ คิดแล้วก็ไม่ลงพระพุทธเจ้า พระองค์เล็งญาณทรงเห็นมีอุปนิสัยแล้ว สุดท้ายก็เสด็จไปปรินิพพานกรุงกุสินารา พอไปพราหมณ์คนนั้นก็ลงใจ มาทบทวนถึงเรื่องความเป็นของเจ้าของ ตั้งแต่เป็นพราหมณ์ชาติอริยกะตลอดวัย ว่าเราเป็นผู้ใหญ่ เราไม่ควรไปเคารพเด็ก ไปเชื่อฟังเด็ก บัดนี้สิทธัตถราชกุมารซึ่งเป็นชาติอริยกะด้วยกันก็จะตายเสียแล้ว ท่านบอกว่าท่านจะมานิพพานในเมืองนี้ คำพูดของท่านก็ไม่เคยผิดพลาดมาเลย เราไม่ไปหาท่านเวลานี้จะไม่มีเวลา ตายเปล่าๆ เอา ยังไงก็ยังไงต้องไป ตัดสินใจไป

พราหมณ์แก่คนนั้นแบกความชรามา ที่ยกตนว่าแก่กว่าสิทธัตถราชกุมารก็มา มาก็ถูกพระอานนท์ห้ามไม่ให้เข้า พระองค์ก็รับสั่งทันทีเลย บอกให้มา ให้เข้ามาเดี๋ยวนี้เลย เรามาที่นี่ก็เพื่อพราหมณ์คนนี้แหละ ว่างั้นพระพุทธเจ้านะ เข้ามาจึงมาทูลถามถึงเรื่องศาสนามีมากมาย ศาสนาไหนก็ว่าศาสนานั้นดีๆ แล้วจะให้ยึดถือศาสนาไหน พระองค์ก็สรุปความ เอา ไม่ต้องพูดมากละ เราเวลามีน้อย นั่นเห็นไหมกำหนดไว้แล้วความตายตัว ถึงระยะนั้นจะนิพพาน เวลาเรามีน้อยอย่าถามไปมากเลย  ศาสนาใดมีมรรค ๘ มีอริยสัจ ศาสนานั้นมีมรรคผลนิพพาน สมณะที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม ที่สี่ คือ โสดา สกิทา อนาคา อรหันต์ อยู่ในศาสนานั้น ศาสนาที่มีมรรค ๘ มีอริยสัจ ก็คือพุทธศาสนานั้นเองร้อยเปอร์เซ็นต์ นั่น

พอเสร็จแล้วก็รีบให้พระอานนท์บวชให้ สอนศาสนาเกี่ยวกับเรื่องมรรค ๘ และผลที่จะได้ อริยะ ตั้งแต่ โสดา สกิทา อนาคา อรหันต์ อยู่ในนี้หมด ว่างั้นเลย ถามศาสนาใด โอ๊ย มีมาก อย่าถามตถาคตเลยมันเสียเวลา คือพูดไม่เกิดประโยชน์ จะศาสนาอะไร พูดง่ายๆ ว่าอย่างนั้น ให้เอาอย่างนี้ ให้เอาจุดนี้ จับจุดนี้เลย อย่าไปหาคว้าโน้นคว้านี้ พระองค์รับสั่งให้พระอานนท์บวชให้เดี๋ยวนี้ เอ้า บวชแล้วให้รีบไปบำเพ็ญเพียรให้ได้ตรัสรู้บรรลุธรรมเป็นอรหันต์ เป็นปัจฉิมสาวกในคืนสุดท้ายคืนนี้ ซึ่งเป็นคืนของเราจะตาย พอบวชแล้วก็ไปอย่ามายุ่งกับการเป็นการตายของเรา ให้ดูการเป็นการตายของเจ้าของ อริยสัจมีอยู่ด้วยกันทุกคน ให้พิจารณาเรื่องอริยสัจ อยู่ในนี้ ชาติปิ ทุกฺขา ชราปิ ทุกฺขา มรณมฺปิ ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ให้ดูนั้น

         ทางนั้นก็ไปบำเพ็ญสมณธรรม พระองค์ปัดออกไปไม่ให้มาเกี่ยวข้อง พระองค์หมดทุกอย่างแล้ว ยังเหลือแต่จะทิ้งขันธ์ตามวาระของมันเท่านั้น ทางนู้นก็บรรลุธรรมปึ๋ง พอพระพุทธเจ้าท่านนิพพาน ทางนั้นก็บรรลุธรรมเป็นปัจฉิมสาวกขึ้นมา นี่ละเขาโคเขานี้แหละที่ทำให้พระองค์ลำบาก เข้าใจไหม เขาโคตัวถือทิฐิเก่ง ๆ เขาโคตัวนี้ทั้ง ๆ ที่จะไปได้อยู่มันยังไม่ยอมอยากไป มันจะสมัครตัวเป็นขนโคอีก ถือทิฐิมานะว่าเราแก่กล้าอย่างงั้นอย่างงี้ เป็นอริยกะ สิทธัตถราชกุมารนั้นเป็นหลานเป็นเหลน เสียเกียรติเรา เสียเกียรติเขาโค เข้าใจไหม เขาโคที่จะไปยังไม่ยอมไป ยังจะดึงตัวเองลงมาหาขนโคอีก พระพุทธเจ้าลากใส่เขาโค ไสเลย ไป ไปได้ นั่นปัจฉิมสาวก เวลาพระพุทธเจ้าปรินิพพาน มีองค์นั้น

         จากนั้นก็เรื่อย ตรัสรู้เรื่อย เล็งญาณดูตรงไหนแม่นยำ ๆ ไว้หมด นี่ละพระพุทธเจ้าจึงว่า เอกนามกึ ทรงแน่นอนทุกอย่าง เรียกว่าหนึ่งไม่มีสอง เป็นเอกเลย ถ้าว่ารับสั่งยังไงแล้ว หรือทรงเล็งญาณดูอะไรแล้วแม่นยำ ๆ ใครจะมาแก้ไขดัดแปลงอะไรก็ไม่ได้ อย่างพวกเรานี้ไม่มีญาณก็ตาม แต่ความรู้ประจำตัวมันมีด้วยกันทุกคน อันนี้ไม่มีใครเก่งกว่าใคร เสมอกันหมด ก็คือญาณของพวกเรา ญาณของพวกเราคือยังไง ญาณพวกเรามันเหมือน อีตาอะไรแกดูหมอเก่ง โอ๋ จารย์คูณ ชื่อแกชื่อจารย์คูณ แกดูหมอเก่ง ดูคนไหนไม่ผิด คือแกดูแบบที่ว่า แบบญาณของพวกเรานี่แหละ

เขาก็เลยมาให้ดู ไหนลุง ได้ยินว่าลุงดูหมอเก่งใช่ไหม กูไม่เก่งกูจะเป็นหมอได้เหรอ ขึ้น กูต้องเก่งซิ เอ้า ถ้างั้นลองดูผมให้หน่อยนะ ถ้าว่าลุงเก่งจริงๆ ดูผมหน่อย นี่ตั้งแต่เป็นเด็กแม่หวดเรื่อยใช่ไหม ก็ใครจะปฏิเสธได้ใช่ไหม เป็นเด็กแม่ก็ต้องหวด ถ้าว่าแม่รักแม่ชอบใจแม่ไม่หวด ก็ว่าแม่ไม่เคยดุบ้างเหรอ นั่นเห็นไหม ถ้าไม่หวด ไม่ดุบ้างเหรอ จะเอาให้ได้ว่างั้นเถอะ ไม่ดุไม่ตาถลึงบ้างเหรอ สุดท้ายก็ถูกหมดเลย อันนี้ญาณของพวกเราก็เหมือนกัน ตายมันรู้ด้วยกันทุกคน หลีกไม่ได้ แม่นยำมาก คือเกิดแล้วต้องตาย นี่ญาณของพวกเราเข้าใจไหม หนีไปไหนไม่ได้ ตายด้วยกัน แต่ไม่อยากตายก็คือพวกบ้านี่แหละ นี่ญาณของเรา

ญาณของพระพุทธเจ้าแม่นยำจริงๆ สิ่งที่พวกเราทั้งหลายไม่รู้ท่านรู้หมดเลย จึงเรียกว่า เอกนามกึ พระญาณหยั่งทราบหนึ่ง แล้วรับสั่งคำใดลงไปแล้วไม่มีผิดหนึ่ง แม่นยำๆ ถูกต้องไปหมด นี่ละที่ควรเป็นศาสดาเอกของโลกประจำพุทธศาสนาเรื่อยมาจนกระทั่งป่านนี้ ท่านเหล่านี้แหละที่ว่าเป็นมหาวิมุตติมหานิพพานมหาธรรมธาตุ เทียบกับน้ำมหาสมุทร คือท่านเหล่านี้เอง มากต่อมาก พูดอย่างที่ว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้หลายองค์นี้ไม่เชื่อๆ ไม่เชื่อยังไงก็ท่านเห็นกันอยู่ เหมือนเราไปนั่งอยู่ในท่ามกลางแห่งมหาสมุทร มหาสมุทรมีมากมีน้อยเพียงไหน ก็นั่งอยู่ในท่ามกลางมหาสมุทร สงสัยมหาสมุทรได้ยังไงใช่ไหมล่ะ มองไปไหนก็รอบด้านรอบจักรวาล เราอยู่ในท่ามกลางมหาสมุทร มองไปที่ไหนก็มหาสมุทรรอบด้าน เราจะปฏิเสธได้ไหมมหาสมุทรว่ามีมากน้อยเพียงไร ก็ยอมรับแต่ว่าสุดขอบฟ้า

อันนี้ธรรมธาตุสุดโลกสมมุติเลย ครอบหมด ธรรมธาตุของพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่ตรัสรู้แล้ว เป็นธรรมธาตุครอบโลกธาตุ อันนี้ครอบขอบเขตจักรวาล อันนั้นครอบโลกสมมุติ ครอบโลกธาตุ นี่ละพระพุทธเจ้าตรัสรู้มา แล้วยังจะไปอีกเรื่อยอย่างนี้ตลอดนะ ไม่มีหยุด แถวทางของกิเลสเดินเพื่อลบล้างธรรมในหัวใจสัตว์ไปเป็นฉันใด ตั้งแต่ต้นแต่ปลายมากำหนดไม่ได้เลยฉันใด ทีนี้เรื่องธรรมของพระพุทธเจ้าที่จะลบล้างกิเลสตัณหาเหล่านี้ ซึ่งเป็นข้าศึกต่อธรรมในหัวใจโลกก็เป็นสายมาแบบเดียวกัน ไม่มีต้นมีปลาย เป็นอย่างนี้ตลอดไปอย่างนี้

กิเลสก็มีอยู่อย่างนี้ ธรรมก็มีอยู่อย่างนี้ ในหัวใจดวงเดียวนี้เป็นอย่างนี้ เมื่อธรรมกับกิเลสก็ลบล้างกันไปเรื่อย ผ่านไปเรื่อย วันชนะมี เมื่อธรรมมีอยู่วันชนะยังมี ผ่านได้ แล้วยังจะไปตลอดนะ ไม่ว่าจะไปอีกสักนานเท่าไรต้นฉันใดปลายฉันนั้น คือต้นไม่มีฉันใดปลายไม่มีฉันนั้น นี่เรื่องธรรมก็เป็นแถวติดกันไปอย่างนี้ตลอดเลย จึงต้องมีไปเรื่อย ดังที่ท่านทำนายไว้ว่า จากนี้จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้อีกเท่านั้นองค์ ในภัทรกัปนี้ก็เหลือพระอริยเมตไตรย คือ องค์ที่ ออกจากนี้แล้วท่านแสดงไว้อนาคตวงศ์ ก็จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้อีก ๑๐ องค์ เรียงลำดับกันไป แต่ระหว่างพุทธันดรคือระหว่างพระพุทธเจ้าแต่ละองค์ ที่มาตรัสรู้นี้ยืดยาวมากก็ตาม แต่ก็เป็นอย่างนั้นเข้าใจไหม ระยะทางสั้นยาวมันก็เป็นอย่างนั้น ระยะสั้นก็เป็นอย่างนี้ระยะยาวก็เป็นอย่างนั้น ระยะพระพุทธเจ้าที่มาตรัสรู้ระยะห่างไกลกันมากน้อยเพียงไร ก็เป็นอย่างนั้น เป็นอื่นไปไม่ได้ นี่ท่านก็ทำนายไว้เรื่อย เพราะพระญาณของท่านหยั่งทราบไว้เรียบร้อยแล้ว

ออกจากนี้ก็พระอริยเมตไตรย ก่อนพระอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้นี้เรียกว่า พุทธันดร ระหว่างพระพุทธเจ้าองค์นี้ จะมาตรัสรู้ห่างไกลกันมาก ศาสนาพระพุทธเจ้าสิ้นลงไปแล้ว กว่าพระอริยเมตไตรยที่จะมาตรัสรู้นี้อีกนานแสนนาน แต่ต้องมี นั่น เป็นแต่เพียงว่านาน เช่น วินาที นาที ยืดออกไปชั่วโมง ออกจากนั้นก็วัน เดือน ปี ยืดออกไปเรื่อยๆ อันนี้ก็เป็นระยะยืด หากเป็นของจริงด้วยกัน สั้นเป็นจริงยาวเป็นจริงเหมือนกัน พระพุทธเจ้าทั้งหลายจะมาตรัสรู้เป็นอย่างนี้ ท่านแสดงไว้หมดแล้ว เรานี้พูดจริง เราหาที่คัดค้านไม่ได้เลยนะ ยอมรับร้อยเปอร์เซ็นต์ ว่าเป็นอื่นไปไม่ได้ว่างั้น เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านั้นละนะ ว่าจะไม่พูดมากมันก็ยังมากอยู่พอสมควร พูดไปพูดมารู้สึกเหนื่อย

 

 

ชมการถ่ายทอดสด ธรรมะหลวงตาวันต่อวัน  ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก