เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖
ความเสมอภาคในธรรมธาตุ
สรุปทองคำ ดอลลาร์และเงินสด วันที่ ๓๐ พฤษภา วันงานเมื่อวานนี้ ทองคำได้ ๒๐ กิโล ๑๐ บาท ๙๒ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๒๐,๐๘๑ ดอลล์ เงินสดได้ ๒,๑๗๑,๕๔๙ บาท ๗๕ สตางค์ รวมทองคำที่ได้แล้วทั้งหมด ที่มอบแล้วและยังไม่ได้มอบเป็นจำนวนทองคำ ๖,๑๘๕ กิโลครึ่ง ดอลลาร์ได้ทั้งหมด ๗,๗๗๑,๖๙๕ ดอลล์ เราก็ขยับขึ้นเรื่อยๆ ละทองคำเราเวลานี้ นี่ละแต่ละรายๆ เช่นอย่างพระพุทธเจ้าท่านสร้างพระบารมี ก็เหมือนเราพยายามเก็บหอมรอมริบสมบัติอันมีค่าในชาติไทยของเราเข้าสู่คลังหลวงเวลานี้พร้อมหน้ากัน มันก็เขยิบขึ้นเรื่อยๆ ต่อไปก็ถึงจุด ผู้สร้างบารมีก็เหมือนกัน สร้างไม่หยุดไม่ถอย ด้วยความตะเกียกตะกายก็ถึงจุด แน่ะ ถ้าถอยหลังเสียก็ไม่เป็นท่า เหลวไหล
คนไม่ว่างานไหนทุกครั้งเต็มหมด ศาลาใหญ่ไม่พอนั่ง ทั้งที่ธรรมดามองดูศาลาแล้วน่ากลัวยิ่งกว่าจะเข้าไปนั่งไปนอน น่าไปนั่งไปนอนกลับเป็นน่ากลัว ปรกติศาลามันใหญ่ แต่เมื่อวานศาลาหลังนี้รับคนไม่ไหวแล้วเผ่นเข้าป่าก็ไม่รู้ สู้คนไม่ได้ แน่นศาลาแล้วยังเต็มอยู่ข้างนอกอีก เข้ามาบรรจุอีกจะได้สัก ๒ ศาลา ดูคนนะ เรียกว่ามากทุกครั้งๆ ทองคำเราก็ได้ตั้ง ๒๐ กิโลกว่าเมื่อวาน วานซืนก็ได้ ๒ กิโล รวมเป็น ๒๒ กิโลกว่าวันที่ ๒๙ กับวันที่ ๓๐
การช่วยชาติคราวนี้ก็รู้สึกจะเป็นประวัติการณ์ ประวัติศาสตร์ ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เท่าที่ได้สังเกตเรื่อยมา พร้อมกับการปฏิบัติงานของตัวเองที่เป็นหัวหน้า เราก็ได้ทำกับพี่น้องชาวไทย เรียกว่าทุ่มลงไปเลย นี่สงครามครั้งที่สอง เป็นสงครามความจนของชาติไทยเรา จึงต้องได้เด็ด ไม่เด็ดสู้ความจนไม่ได้ แล้วก็จมลงไปทะเลเลย ไม่มีคนไทยรายไหนที่จะปรารถนาความจม เพราะฉะนั้นจึงต้องได้ทุ่มลงเต็มสติกำลัง นี่เป็นครั้งที่สอง ครั้งแรกก็ได้เล่าให้พี่น้องทั้งหลายฟังแล้ว อันนั้นเป็นเราคนเดียว แบบหมดเนื้อหมดตัวเลย ไม่เป็นเรือพ่วงไม่เป็นน้ำไหลบ่า ไม่มี เรียกว่าเป็นตัวคนเดียว มุ่งต่อมรรคผลนิพพานล้วนๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์
หลังจากได้รับโอวาทหลวงปู่มั่นเต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้ว แต่ก่อนก็มีเชื้อมาอยู่แล้ว ตั้งแต่เรียนหนังสืออยู่ท่านพูดถึงเรื่องมรรคผลนิพพาน ทีแรกบวชมาก็อยากไปสวรรค์ ครั้นอ่านไปๆ ขึ้นพรหมโลกก็ไม่จุใจ อ่านไปถึงนิพพานจุใจพอใจ อยากไปนิพพาน นี่ที่เราอ่านตามตำรับตำรา เป็นความอยากไปนิพพานด้วยสัญญาอารมณ์ของเราเป็นพื้นฐานเอาไว้ พอออกปฏิบัติตามเจตนาที่เราตั้งไว้แล้วว่า เมื่อสอบเปรียญได้ ๓ ประโยค เรียกว่าพอเป็นแนวทางได้แล้ว การศึกษาแนวทางได้เต็มภูมิของเราวาสนาของเราแล้ว ไม่จนตรอกจนมุมในการปฏิบัติตามหลักธรรมหลักวินัย เรียกว่าเราพอใจ พอจบนี้แล้วเราจะออกปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพานและเพื่อความเป็นพระอรหันต์อย่างเดียวเท่านั้น
พอได้ฟังธรรมหลวงปู่มั่นแล้วแหม เหมือนกับว่าท่าน โหย ไม่ได้ว่าเหมือนละ คือท่านเอาเรดาร์จับนั้นเอง เพราะความตั้งใจของเรานี้เต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะได้ยินชื่อเสียงกิตติศัพท์กิตติคุณท่านโด่งดังมาตั้งแต่เราเป็นเด็กๆ แล้วยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ ครูบาอาจารย์ที่ออกมาจากท่านที่มาเล่าให้ฟังแต่ละองค์นี้ พูดเป็นเสียงเดียวกันหมด ว่าท่านอาจารย์มั่นนี้ไม่ใช่พระธรรมดา ไม่ใช่พระธรรมดาแล้วเป็นพระอะไร เป็นพระอริยะ อ้าว อริยะก็มีหลายชั้น อย่างนั้นนะเรียนมาแล้วก็รู้อย่างนี้ละ พระโสดาก็เป็นอริยะ สกิทาก็เป็นอริยะ พระอนาคาก็เป็นพระอริยะ พระอรหันต์ก็เป็นพระอริยะ ในอริยะ ๔ ประเภทนี้ท่านเป็นพระอริยะในประเภทใด ทางนั้นก็ตอบผางมาเลย สุดยอดเลย เป็นประเภทสุดยอด
ทีนี้ก็เล่าเรื่องการปฏิบัติ ความรู้ความเห็นของท่านที่แสดงอรรถแสดงธรรมแก่ลูกศิษย์ลูกหาที่ได้ยินได้ฟังแล้วนำมาเล่าให้ฟัง พูดเสียงเดียวกันหมดครูบาอาจารย์ นี่ละดังขึ้นมาเรื่อย สะเทือนเข้ามาเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นเวลาออกปฏิบัติแล้วพุ่งใส่ท่านเลย มุ่งหน้ามุ่งตาจะฟังเอาคำสัตย์คำจริงเต็มเม็ดเต็มหน่วย จากองค์ท่านเอง ที่ได้ยินได้ฟังจากครูบาอาจารย์ก็เป็นพื้นฐาน เป็นเชื้ออันสำคัญมาแล้ว แต่ที่จะสรุปความลงสุดท้าย ให้เป็นที่ลงใจได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยก็คือ เราจะไปดูไปเห็นไปได้ยินได้ฟังจากท่านเองจะเป็นที่แน่ใจ
อันนี้ละที่ว่า เราไม่อยากพูดว่าเหมือนนะ ก็ท่านเคยเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว จิตใจของท่านสว่างจ้าไปหมด รู้ไปหมดจะว่าไง พอเรามุ่งหน้ามุ่งตาไปถึงท่าน ด้วยความตั้งอกตั้งใจเต็มเม็ดเต็มหน่วย พอมาท่านใส่เปรี้ยงเลย หือ ท่านมาหาอะไร ท่านมาหามรรคผลนิพพานเหรอ ลืมเมื่อไร ไม่ลืมเลยนะ ต้นไม้ภูเขาดินฟ้าอากาศ ตลอดทั่วแดนโลกธาตุ ไม่ใช่กิเลสไม่ใช่ตัณหา ไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ท่านว่าอย่างนั้นนะ สิ่งใดในโลกนี้ไม่ใช่บาปบุญ นรกสวรรค์ มรรคผลนิพพาน ทั้งนั้น ตัวบาปตัวบุญตัวมรรคผลนิพพานจริงๆ แล้วคือใจจะเป็นผู้สัมผัสรับรู้ จะเป็นผู้รองรับในสิ่งดีชั่วทั้งหลายจากการดำเนินของตน
นี่ที่ท่านว่า คือสิ่งเหล่านี้ไม่เป็นกิเลสตัณหา ไม่เป็นบาปเป็นบุญ ไม่เป็นนรกสวรรค์ มันเป็นอยู่ที่จิตใจผู้กำลังหมุนหาดีหาชั่วอยู่นี้ เพราะใจที่ไม่มีหลักมันต้องหมุนหาที่เกาะที่ยึดตลอดเวลา ตัวนี้ละตัวจะเป็นมรรคเป็นผลจะเป็นนรกอเวจี คือตัวนี้เอง ท่านจี้ลงๆ ธรรมแท้ กิเลสแท้ มรรคผลนิพพานแท้ มาลงอยู่ที่ใจหมดเลย อยู่ที่ใจนี้เท่านั้น ท่านจงปฏิบัติปรับปรุงใจให้ดี ใจนี้เป็นตัวสำคัญมาก กำลังเสาะแสวงหาที่ยึดที่เกาะทั่วโลกดินแดน แต่ไม่มีที่ยึดที่เกาะอันเป็นที่พอใจ จึงเกิดความเดือดร้อนอยู่เรื่อยๆ ไปอย่างนั้น เพราะหาที่ยึดที่เกาะไม่ถูกจุดหมาย
ท่านก็ย่นเข้ามา นี่เรามาปฏิบัติเพื่ออรรถเพื่อธรรมเพื่อมรรคเพื่อผลจากศาสนธรรมของพระพุทธเจ้า จงปฏิบัติให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ท่านจะสงสัยไปไหนว่า บาปบุญนรกสวรรค์ มรรคผลนิพพานจะอยู่ที่ไหน นอกจากที่หัวใจซึ่งจะเป็นผู้สัมผัสรับรู้และทรงไว้ทุกอย่างทั้งดีและชั่วนี้เท่านั้น ท่านจงปรับปรุงจิตใจของท่านให้ดีด้วยจิตตภาวนา ลงจุดนี้นะ จุดอื่นท่านก็ไม่บอกว่าไม่รู้ไม่เห็นไม่เป็น ท่านไม่ว่า ด้วยจิตตภาวนา ลงนี้เลย ใส่เปรี้ยงๆ เลย อู๋ย พูดนี้เด็ด นี่ละเรียกว่าเอาเรดาร์จับไว้เลย ทราบความมุ่งหมายของเรามีความมุ่งมั่นขนาดไหน ธรรมท่านถึงออกผางๆ รับกันเลย
สุดท้ายลงมาก็ว่า ท่านอนุโลมนะ นี่ท่านพูดธรรมะที่เด็ดขาดเต็มที่เต็มฐานมาแล้วนะ ทีนี้ท่านสรุปลงว่า จะว่าเป็นยอหรือเป็นเหยียบก็พิจารณาได้ทั้งสองแง่ นี่ท่านมหาก็นับว่าเรียนมาพอสมควร จนได้เป็นมหา แต่อย่าว่าผมประมาทธรรมะของพระพุทธเจ้านะ อันนี้ก็ไม่ลืม ฝังลึกทีเดียว ให้ท่านยกบูชาไว้ก่อนธรรมที่ท่านเรียนมามากน้อย ให้ยกบูชาไว้ก่อน อย่าด่วนไปสนใจ เวลานี้ปริยัติที่เรียนมามากน้อยยังไม่เกิดประโยชน์ นอกจากจะเข้ามาคละเคล้าเตะถีบยันกัน ให้การปฏิบัติของเราเขวไปหรือล้มเหลวไปเท่านั้น ท่านว่าอย่างนี้ เพื่อความแน่นอนให้ท่านมุ่งต่อจิตตภาวนาโดยถ่ายเดียวเท่านั้น อย่าไปกังวลกับปริยัติที่เรียนมามากน้อย นี่เราไม่ลืมนะ มันจะมาไขว้เขวกัน หรือจะอดคิดไม่ได้ จะเทียบกับตำราคัมภีร์ใบลานตรงนั้นตรงนี้อยู่อย่างนี้ จะวุ่น จิตจะลงสู่จุดที่หมายไม่ได้ หรือความสงบร่มเย็นไม่ได้
ให้ท่านพยายามปฏิบัติตนด้วยจิตตภาวนา ให้ใจได้รับความสงบ ท่านอย่าไปยุ่งกับตำรับตำราอะไรเวลานี้ ให้ท่านมุ่งมั่นต่อจิตตภาวนาทางสมาธิปัญญาโดยถ่ายเดียว เวลานี้ปริยัติที่ท่านเรียนมามากน้อยยังไม่เป็นประโยชน์ นอกจากจะมาคละเคล้ากันให้เป็นโทษแก่ท่านเอง ต่อเมื่อจิตมีหลักมีเกณฑ์แล้ว ถึงเวลาที่ปริยัติที่ท่านเรียนมามากน้อยกับภาคปฏิบัติขึ้นรับกันรู้กัน ๆ แล้วเอาไว้ไม่อยู่ อันนี้เราก็ไม่ลืมนะ คือเอาไว้ไม่อยู่ เมื่อเวลาทางนี้ได้หลักได้เกณฑ์แล้วมันจะต้องวิ่งหาหลักหาเกณฑ์ หาข้อเทียบเคียงเข้ามา แล้วปริยัติกับปฏิบัติจะวิ่งประสานกันเอาไว้ไม่อยู่ อันนี้เราก็ไม่ลืม เอาไว้ไม่อยู่ ฟังซิ ขนาดไหนเอาไว้ไม่อยู่ คือมันอดคิดอดเทียบเคียงไม่ได้กับเหตุผลต้นปลายที่เรารู้เราเห็นภายในใจของเรากับปริยัติที่เรียนมา มันก็วิ่งประสานกัน
เวลาปฏิบัติมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วเราก็เป็นคน พูดให้มันตรงไปเลยว่าภาษาธรรมหรือภาษาป่า พูดอย่างตรงไปตรงมา เราเป็นคนตับเดียว พูดง่ายๆ ว่าอย่างไรเป็นอย่างนั้นเลย ท่านให้มุ่งต่อภาวนาอย่างเดียวอย่าไปยุ่งกับปริยัติ ให้มุ่งจิตตภาวนา อะไรอย่างไรจิตใจจะสงบ เอาลงให้แน่นอนๆ อย่าไปสนใจกับสิ่งอื่น เมื่อจิตใจมีความสงบได้รากได้ฐานจนก้าวขึ้นสู่ทางด้านสติปัญญาแล้ว เรื่องปริยัติกับปฏิบัตินี้จะวิ่งถึงกันตลอดเวลาเอาไว้ไม่อยู่ เวลานี้ปริยัติยังไม่จำเป็น เราจับทุกแง่ทุกมุมเลย เพราะไปด้วยความเต็มอกเต็มใจจริงๆ
สรุปความลงแล้วว่า รวมอยู่ที่จิต ท่านบอก ขอให้ท่านปรับจิตของท่านให้ดี จิตดวงนี้เป็นตัวคึกตัวคะนองตัวดีดตัวดิ้น ความทุกข์ทรมานจึงมารวมอยู่กับจิตตัวคะนองอยู่ไม่เป็นสุขนี้แหละ ให้ท่านปรับจิตนี้ให้เข้าสู่ความสงบ ธรรมะจะเชื่อมโยงเข้าไป ๆ จะเป็นน้ำดับไฟ ทำจิตใจที่ว้าวุ่นขุ่นมัวให้ได้รับความทุกข์นั้นให้สงบลงเป็นลำดับลำดา นี่ท่านสอนอย่างนี้ เอาให้แน่ในจิต ท่านอย่ายุ่งกับอะไร เวลานี้ต้องการให้จิตสงบโดยถ่ายเดียวเท่านั้น ท่านว่า อย่างไรจิตจะสงบมากน้อย ให้เน้นหนักลงไปด้วยจิตตภาวนาอย่าปล่อยวาง ทีนี้ก็ก้าวเดินตามนั้นละ
สำคัญที่ว่าเมื่อภาคปฏิบัติกับภาคปริยัติจะวิ่งเข้าถึงกันประสานกันแล้ว เอาไว้ไม่อยู่ นี่สำคัญมาก มันเป็นในหัวใจเราล่ะซี เวลาไปถึงขั้นนั้นแล้วมันเป็นจริงๆ วิ่งประสานกันตลอดเวลา เทียบเคียงกันด้วยเหตุด้วยผล สิ่งที่รู้แล้วเป็นยังไงกับปริยัติ วิ่งประสาน ที่ยังไม่รู้ปริยัติท่านว่ายังไง มันวิ่งใส่กัน นั่นละฟังธรรมะท่านเทศน์มันลงถึงใจหมด ฟังซิว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีความหมาย มีความหมายสำคัญดีชั่วจริงๆ แล้วอยู่กับใจ เพราะฉะนั้นจึงให้ปรับปรุงจิตใจให้ดี ทีนี้การปรับปรุงจิตใจก็ต้องมีแนวทางที่จะมาปรับปรุง ปรับปรุงเฉยๆ ไม่มีแนวทางที่ถูกต้องดีงาม ปรับปรุงอะไรก็ไม่เกิดประโยชน์ นอกจากไขว่คว้าหาฟืนหาไฟมาเผาตัวเองเท่านั้น เพราะฉะนั้นจึงต้องมีแบบมีฉบับ
แบบฉบับที่ตายตัวที่ถูกต้อง ก็คือพุทธศาสนาแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย รวมแล้วมาอยู่ที่ศาสนาปัจจุบัน ได้แก่พระสมณโคดมเรานี้ยอดเลยพุทธศาสนา หลวงตาเอาหัวใจหรือเอาคอขาดถวายท่านเลย ไม่ได้สงสัยไม่ต้องถามใครเลย มันจ้าอยู่ในหัวใจ จึงได้ยกข้อเปรียบเทียบให้พี่น้องทั้งหลายฟังด้วย ฝนที่ตกลงมาจากท้องฟ้าก็ดี ทุกเม็ดทุกหยดทุกหยาดตกลงจากท้องฟ้าก็ดี น้ำไหลมาจากแม่น้ำสายต่างๆ ก็ดี ลงสู่มหาสมุทรแห่งเดียวกันหมด เมื่อแม่น้ำสายต่างๆ ก็ดี หรือฝนบนท้องฟ้าตกมาทีละหยดละหยาดก็ดี เข้าสู่มหาสมุทรแล้ว จะไม่มีคำว่าน้ำนี้มาก่อนมาหลัง น้ำนี้มาจากบนฟ้าบนสวรรค์ที่ไหนไม่มี แล้วน้ำนี้มาจากเขาจากป่าตรงไหน ไม่มี พอน้ำทั้งบนฟ้า ทั้งมาจากคลองต่างๆ พอไหลเข้าสู่มหาสมุทรแล้ว เป็นน้ำมหาสมุทรอย่างเดียวกันหมด ไม่มีคำว่ามาก่อนมาหลัง ไม่มีคำว่ามีโคตรมีแซ่มีปู่ย่าตายายพามานำมา มาแต่นานเท่าไรๆ น้ำหยดนี้มาจากไหนมาแต่นานเท่าไร น้ำคลองนี้มาจากคลองนั้น มาแต่เมื่อไรๆ มาถึงนี้เมื่อไร จัดให้เป็นน้ำเก่าน้ำแก่น้ำใหม่ อย่างนี้ไม่มี เป็นมหาสมุทรอันเดียวกันหมด
เป็นที่หายสงสัย ขณะที่น้ำตกลงจากบนฟ้าหนึ่ง ไหลจากคลองเข้าสู่มหาสมุทรแห่งเดียวกันหนึ่ง จะเป็นน้ำมหาสมุทรอย่างเดียวกันหมด ไม่มีคำว่ามาก่อนมาหลังมีโคตรมีแซ่ที่ไหนไม่มี นี่เป็นข้อเปรียบเทียบฉันใด บรรดาจิตของท่านผู้หลุดพ้นทั้งหลายนั้น คำว่ามาจากทางไหนได้แก่ผู้สร้างบารมี จะมาจากบนฟ้าอากาศ มาจากแม่น้ำคลองใดๆ นี้เราจะเกิดเป็นชาติชั้นวรรณะใดก็ตาม ไม่มีคำว่าประเทศนั้นประเทศนี้ ทวีปนั้นทวีปนี้ ภาคนั้นภาคนี้ ต่างคนต่างอยู่ที่ไหนก็สร้างความดีด้วยกันๆ แล้วก็เป็นความดี เป็นบารมีอันสูงส่งมาด้วยกัน ๆ เมื่อมีมากเข้าๆ ก็เหมือนกับฝนตกลงมาจากบนฟ้า ผู้สำเร็จแล้วตกมาถึงก่อนเมื่อไรก็เป็นน้ำมหาสมุทรเมื่อนั้นๆ แม่น้ำมาจากคลองต่างๆ เมื่อผู้สร้างบารมีเต็มภูมิเมื่อไรแล้วก็เข้าถึงมหาวิมุตติมหานิพพาน เป็นธรรมธาตุอย่างเดียวกันหมด ไม่มีคำว่ามาก่อนมาหลัง
พระพุทธเจ้าองค์ใดมาก่อนมาหลัง พระสาวกองค์ใดมาก่อนมาหลัง ผู้ใดสำเร็จก่อนหลังกันอย่างนี้ไม่มี เมื่อจิตได้ถึงขั้นตายตัวด้วยกันแล้ว เข้าสู่ธรรมธาตุด้วยกันเป็นอันเดียวกันหมด พากันเข้าใจหรือยัง การเทียบแม่น้ำมหาสมุทร ที่น้ำตกมาจากบนฟ้าหรือมาจากที่ต่างๆ เมื่อเข้าถึงมหาสมุทรแล้ว เป็นน้ำมหาสมุทรอันเดียวกันหมด อันนี้สายบารมีของผู้บำเพ็ญทั้งหลาย เมื่อต่างคนต่างบำเพ็ญเต็มเม็ดเต็มหน่วย ซึ่งเท่ากับน้ำไหลมาจากที่ต่างๆ นั้นแหละ พอเข้าสู่ความสำเร็จเต็มเม็ดเต็มหน่วย บรรลุธรรมปึ๋งถึงขั้นอรหันต์เท่านั้นเอง นี่เรียกว่าถึงขั้นธรรมธาตุด้วยกันแล้ว เท่ากับถึงน้ำมหาสมุทรแล้ว
ทีนี้ก็หมดที่ว่ามาจากที่ไหนๆ มาจากบ้านใดเมืองใดประเทศใด ไม่มีความหมาย มีความหมายอยู่กับจุดนี้เท่านั้น เรียกว่าเข้าเป็นธรรมธาตุอันเดียวกันหมดเลย ไม่มีที่จะคัดเลือกอะไรมาก่อนมาหลัง ชาติชั้นวรรณะของผู้บำเพ็ญธรรมบรรลุธรรม ไม่มี เป็นอันเดียวกันหมด ท่านจึงเรียกว่า นตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย บรรดาผู้สำเร็จธรรมบริสุทธิ์เต็มสัดเต็มส่วนด้วยกันแล้ว มีความเสมอภาคกันหมดเลย เหมือนแม่น้ำที่ไหลมาจากที่ต่างๆ เมื่อถึงมหาสมุทรแล้วเป็นความเสมอภาคกันหมด ให้พากันเข้าใจอย่างนี้
นี่ละได้ปฏิบัติมา นี่ยกอันนี้เข้ามาเสียก่อน ตั้งแต่เริ่มล้มลุกคลุกคลานมาจนกระทั่งก้าวเข้ามา ๆ ถึงธรรมขั้นที่ระหว่างปริยัติกับปฏิบัติวิ่งประสานกันแล้วเอาไว้ไม่อยู่ มันก็เป็นอยู่ที่หัวใจนี้แล้ว แต่ก่อนได้ยินได้ฟังไว้ก่อนนะ พอปฏิบัติมาถึงขั้นนี้แล้วเป็นเอง ๆ ขั้นนี้เป็นขั้นสติปัญญาอัตโนมัติจะวิ่งประสานกันระหว่างปริยัติกับปฏิบัติ วิ่งประสานกันไม่หยุด เอาไว้ไม่อยู่ก็คือห้ามไม่ได้เลยว่างั้นเถอะ นี่ที่ว่าเอาไว้ไม่อยู่ จนกระทั่งทะลุไปเลย ที่นี่ทะลุอันนี้ท่านทั้งหลายให้ฟังนะคราวนี้นะ จะเปิดให้เต็มที่หลวงตาบัวจวนจะตายแล้ว มาสอนพี่น้องทั้งหลายนี้ สอนด้วยความเต็มเม็ดเต็มหน่วยทุกสิ่งทุกอย่าง สละชีวิตในการปฏิบัติมาจนกระทั่งมาถึงธรรมขั้นนี้ ที่พระพุทธเจ้าสอนไว้แล้วด้วย สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว ถึงชอบแล้วเต็มเม็ดเต็มหน่วย
พอจิต เอา เข้าจุดนี้เลย พอจิตก้าวเข้าถึงจุดธรรมธาตุผางเดียวเท่านั้นไม่ต้องถามพระพุทธเจ้ามีกี่พระองค์ นั่น ฟังซิที่นี่นะ มองดูนี้มันจ้าถึงกันหมดแล้ว ๆ เหมือนกับเราอยู่ในท่ามกลางมหาสมุทร มองไปไหนก็เป็นมหาสมุทรด้วยกันแล้ว สงสัยมหาสมุทรตรงไหนอีก ไหนมหาสมุทรตรงไหน น้ำตรงไหนเก่าแก่คร่ำคร่าชราหรือเพิ่งเกิดมาใหม่ น้ำตรงไหนในมหาสมุทรนี้เสมอกันหมด ไม่มีน้ำเก่าน้ำใหม่น้ำแก่ น้ำชราคร่ำคร่า น้ำพึ่งเกิดได้สองสามเดือนอย่างนี้ไม่มี เป็นมหาสมุทรด้วยกันหมด อันนี้ฉันใดก็เหมือนกัน พอจิตก้าวเข้านี้ผางจ้าไปถึงบรรดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นอันเดียวกันหมด
นี่ละเราจึงยอมรับพระพุทธเจ้า อย่ามาพูดนะน้ำมหาสมุทรที่ว่ามีจำนวนมากมายเท่ากับมหาสมุทร พระพุทธเจ้าที่มาตรัสรู้กลายเป็นพระธรรมธาตุนี้มาสักเท่าไหร่ นับไม่ได้เลยเราเอาคอขาดเข้าไปเลยมันจ้าอยู่ในหัวใจนี้ แล้วสงสัยพระพุทธเจ้าที่ไหน นี่ละศาสนาพระพุทธเจ้านี้ละเป็นศาสนาที่รื้อโลกรื้อสงสาร รื้อกิเลสตัณหาได้ ไม่มีอะไรอื่นรื้อได้เลย ศาสนาใดก็ตามเราไม่ทราบ ถ้าศาสนาใดไม่หยั่งเข้าไปกิเลสกับธรรมซึ่งมีอยู่ในใจนี้แล้วศาสนานั้นไม่ใช่ทางแก้กิเลส แต่ศาสนาพุทธของเรานี่จี้เข้าไปหากิเลสและธรรมอยู่ที่ใจ ๆ ถอนสิ่งที่เป็นภัยออกจากใจ ปรากฏธรรมะอันเลิศเลอขึ้นมา มีพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์เป็นอย่างนี้ด้วยกันทั้งนั้น จึงเป็นศาสนาเลิศเลอสุดโลกสุดสงสาร ไม่มีศาสนาใดเกินศาสนาพุทธไปได้
นี่เวลามันเป็นมันก็เป็นขึ้นมาอย่างนี้ เราคนเดียวเราไม่ต้องไปหาใครมาเป็นพยาน ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม เวลามันจ้าขึ้นมาก็เป็นอย่างนี้ เราไม่ทูลถามพระพุทธเจ้าว่ามีจำนวนมากเท่าไร ที่ว่าน้ำมหาสมุทรนี้น้อยไปว่าอย่างนั้นเราเชื่อ ส่วนธรรมธาตุที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้มากี่กัปกี่กัลป์นานสักเท่าไรเรากำหนดได้ไหม ตั้งแต่พระพุทธเจ้าตรัสรู้มาเริ่มมา แล้วตั้งแต่กิเลสคอยทำลายธรรมของพระพุทธเจ้าเรื่อยมา มีมาเสมอกัน อันนี้ก็ไม่มีจุดหมายปลายทาง ไม่มีต้นมีปลายเรื่องของกิเลสที่เป็นภัยต่อธรรมของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสรู้ปราบกิเลสก็ไม่มีต้นมีปลายเหมือนกัน จนกระทั่งถึงบัดนี้ แล้วพระพุทธเจ้าจะไม่มีมากยังไง ฝนตกทั้งวันทั้งคืนจนน้ำมหาสมุทรเต็ม จะไม่เรียกว่ามหาสมุทรมีน้ำได้ยังไง มหาสมุทรไม่เต็มด้วยน้ำ น้ำไม่เต็มมหาสมุทร ธรรมธาตุไม่เต็มธรรมทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายรวมแล้วเป็นธรรมธาตุ
ธรรมธาตุจึงไม่มีอัดมีอั้นไม่เต็ม ไม่ล้นฝั่งคือธรรมธาตุครอบโลกธาตุนี้ บรรดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสรู้ขึ้นมาเป็นอย่างเดียวกันทั้งหมด พอจ้าขึ้นมานี้แล้วถามหาพระพุทธเจ้าทำไม เรามืดบอดมากี่กัปกี่กัลป์ให้มาถามตัวเองนี้ดีกว่า เวลานี้พระพุทธเจ้าเป็นยังไง มันก็รู้ขึ้นภายในจิตใจ นี่ละธรรมของพระพุทธเจ้า ธรรมแท้เป็นอย่างนี้ ท่านทั้งหลายให้พากันพิจารณา เราไม่ต้องไปหาใครมาเป็นพยาน เราจ้าในหัวใจเรา ใครจะเอาคอเราไปตัด ขาดก็ขาด ความจ้านี้ไม่มีขาด ความแน่ใจใน สนฺทิฏฺฐิโก ของตัวเองที่ปฏิบัติมานี้ไม่สงสัยแล้ว ขอให้เป็นที่ตายใจด้วยกันพี่น้องทั้งหลายนะ ธรรมพระพุทธเจ้าเป็นธรรมแท้ กิเลสเป็นกิเลสแท้เป็นภัยต่อธรรมแท้ ให้พยายามแก้ไขที่มันอยู่ในใจของเรา กิเลสที่เป็นภัยก็อยู่ที่ใจของเรา ธรรมที่เป็นเครื่องแก้กิเลสอยู่ที่ใจของเรา
อย่าไปชินชากับสิ่งใด สิ่งใดเข้ามาที่เป็นภัยให้ถือว่าเป็นภัยปัดออก สิ่งที่เป็นคุณให้ทะนุถนอมบำรุงขึ้น นี่ชื่อว่าเราเป็นผู้รักษาตน นตฺถิ อตฺตสมํ เปมํ ความรักอื่นเสมอด้วยการรักตนไม่มี เรารักเราทุกคน ๆ ให้พยายามกีดกันสิ่งที่เป็นภัยต่อตัวของเรา แล้วพยายามบำรุงรักษาความดีให้ดี ตายแล้วนี้จะไม่มี กุสลา ธมฺมา นะ จะมีแต่ กุสลา ธมฺมา ที่เราผลิตขึ้นมาจากเราเอง แก้เราจนผ่านพ้นไปได้ ตายแล้วร่างกายเรามันเป็นขอนซุง มันกุสลาไม่เป็น ใครจะไปนิมนต์พระมาเป็นพัน ๆ องค์ ก็ กุสลา ธมฺมา กับขอนซุง ถ้าตัวเจ้าของโง่แล้วเจ้าของไปนรกแล้วนะ ใจไปนรกแล้ว ร่างกายนี้เป็นขอนซุง ให้พระมา กุสลา ธมฺมา กล้วยหอมอยู่ที่ไหนนาเท่านั้น
ถ้ามานิมนต์หลวงตาบัวนี้ ไปนี้ก็จะถามหากล้วยหอมเสียก่อน ไหนล่ะกล้วยหอมที่จะนิมนต์มา กุสลา ธมฺมา เราจะถามกล้วยหอมก่อนนะ ก่อนคนที่ว่าคนนี้ตายแล้วไปไหนนา ยังไม่ถาม ต้องถามหากล้วยหอมเสียก่อน เพราะมันไม่ค่อยเกิดประโยชน์ถ้าเจ้าของทำชั่วใส่เจ้าของ ร่างกายตายเป็นขอนซุงด้วยกันทั้งนั้นแหละ แต่จิตนี้ไปดีไปชั่วได้ จิตเป็นของไม่ตาย นี้ละจิตดวงนี้แหละที่ตามกันมาชำระกันมา บำรุงกันมาด้วยการสร้างบารมี ชำระกันมาด้วยการละชั่ว บำรุงกันมาด้วยการสร้างความดี ค่อยผ่องใสขึ้นๆ เพราะสิ่งที่มัวหมองที่ทำให้มือตื้อคือกิเลสทั้งนั้นที่เป็นภัยของจิตแก้ออก ถอดถอนออก อันนี้ค่อยผ่องใสขึ้น ๆ จิต ก็ติดตามกันไปเรื่อย
นี่ละนักภาวนา ตามจิตดวงนี้ยิ่งละเอียดลออ ละเอียดลออเท่าไรยิ่งเห็นแต่จิตดวงเดียวนี้ วิถีจิตมันคิดไปทางไหนมันไปทางไหน มันจะพาไปเกิดในทางไหน ๆ มันจะรู้ทันที ๆ เลย นี่ละ สนฺทิฏฺฐิโก เป็นอย่างนี้ละ ละเอียดเข้าไปเท่าไรยิ่งตามรู้ ๆ จนกระทั่งถึงเข้าธรรมธาตุที่อัศจรรย์ผางลงไปนั้น อันนี้หมดเลย สิ่งที่มันปกคลุมหุ้มห่อนี่นะ หมด ยังเหลือธรรมชาตินั้นจ้าเป็นธรรมธาตุ นี่เห็นไหมตายไหมล่ะ ธรรมชาตินี้ตายไหม นี่ละที่ท่านเรียกเป็นธรรมธาตุ เช่นเดียวกับน้ำมหาสมุทรและเราเป็นผู้ครองเองไม่มีกำหนดกฎเกณฑ์ว่าการเกิดการตายเป็นยังไง เกิดแล้วตายแล้วจะไปเกิดที่ไหน ๆ ไม่มีตั้งแต่กิเลสตัวพาก่อกรรมก่อเวรให้เกิดความสงสัยสนเท่ห์ และให้สร้างแต่ความชั่วนั้นขาดสะบั้นลงไปจากใจ ความสงสัยไม่มีเลย ขาดสะบั้นไปจากกัน เหลือแต่ธรรมชาติที่จ้านี้
คิดดูซิว่า พระพุทธเจ้ามีกี่พระองค์ ถามอะไรดูน้ำมหาสมุทร เราไปนับได้ว่ามีมากขนาดไหนน้ำมหาสมุทรนะ แล้วจะนับธรรมธาตุของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย และพระสาวกหรือท่านผู้สิ้นกิเลสทั้งหลายได้นั้นมีกี่รายได้ยังไง นี่ละมากขนาดนี้ละยันได้เลย เรายันได้เลย เราไม่สงสัย เต็มอยู่ในหัวใจของเรา สิ่งเหล่านี้พูดให้มันเต็มยันได้เลยว่า เอาน้ำหนักยกมารับกันว่า โคตรพ่อโคตรแม่หลวงตาบัวก็ไม่เคยรู้ธรรมประเภทนี้นะ แต่หลวงตาบัวรู้ก็บอกว่ารู้ เพราะท่านเหล่านั้นท่านเป็นโคตรเป็นแซ่เป็นพ่อเป็นแม่ของเราจริง แต่ท่านไม่ได้ปฏิบัติ เราปฏิบัตินี้เอาชีวิตเข้าแลกถึงขั้นเป็นขั้นตาย เมื่อรู้ขึ้นมามันก็รู้ขึ้นที่เรา แต่ทำไมเรารู้ได้ พ่อแม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ของเรารู้ไม่ได้ เพราะท่านไม่ปฏิบัติท่านก็ไม่รู้ เราปฏิบัติถึงคราวที่จะรู้มันก็รู้ได้อย่างนี้ แล้วจะไปถามใครเวลารู้ขึ้นมาเป็นขึ้นมาแล้ว ก็ไม่เห็นเอาโคตรเอาแซ่ที่ไหนมาเป็นสักขีพยาน ความรู้เป็นพยานเต็มตัวแล้ว
ให้พากันจำเอานะพี่น้องทั้งหลาย เกิดมาอย่าเกิดมาเปล่า ๆ นะ ให้กิเลสหลอกลวง ๆ คว้านั้นคว้านี้แล้วสุดท้ายก็ได้แต่น้ำเหลวๆ อยู่ด้วยกันอย่างนี้ไม่เป็นของแน่นอนนะ เวลานี้ก็รวมกันอยู่ในศาลา พอเสร็จจากนี้แล้วต่างคนต่างแยกต่างย้ายไปถิ่นฐานบ้านเรือนของตนๆ รวมลงไปแล้วเวลามีชีวิตอยู่ก็อยู่ด้วยกันอย่างนี้ พอตายแล้วต่างคนต่างไปด้วยอำนาจแห่งกรรมของตน ผู้ทำชั่วไปชั่ว ผู้ทำดีไปดี ทำชั่วขนาดไหนควรจะไปสูงต่ำขนาดไหน จะเป็นไปตามนั้น กรรมแยกย้าย กมฺมํ สตฺเต วิภชติ ยทิทํ หีนปฺปณีตํ กรรมย่อมจำแนกแจกสัตว์ให้มีความประณีตเลวทราม และสุขทุกข์ต่าง ๆ กันอย่างนี้
เวลาเราออกจากนี้ไปแล้วก็ไปถิ่นฐานบ้านเรือนด้วยความจำเป็นของเรา ออกจากภพนี้แล้วก็ไปด้วยอำนาจแห่งความจำเป็นที่กรรมบังคับ ทั้งกรรมดีกรรมชั่วบังคับทางใดต้องไปทางนั้นทั้งนั้น นั่น ให้พากันจำเอานะ เวลานี้มีชีวิตอยู่ให้พากันทำเสีย อย่าจืดอย่าชืดนะ ไม่ใช่ของดี ความจืดชืดนี้ทำเราให้ล่มจมมามากต่อมาก ทรมานให้ได้รับความทุกข์จน มหันตทุกข์มากี่ครั้งกี่หนแล้วทำไมไม่เข็ดหลาบ เราเป็นผู้โดนทุกข์เสียเอง เราไม่เข็ดหลาบใครจะเข็ดหลาบ ทีนี้เราไม่รู้เราจึงไม่เข็ดหลาบให้ฟังเสียงท่านผู้รู้คือพระพุทธเจ้า คือธรรมของท่านแล้วนำมาปฏิบัติดัดแปลงตนเองนะ เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านี้แหละ
ชมการถ่ายทอดสด ธรรมะหลวงตาวันต่อวัน ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
|