เทศน์ตอบปัญหาทางเว็บไซต์ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖
พิจารณาโลกให้เป็นของว่างเปล่า
เท่าไรละนี่ (๒๐ บาทค่ะ) พอใจๆ ทอง ๒๐ บาท หาไม่ได้วัดป่าบ้านตาด หาทั่วทั้งวัดไม่เจอ มาเจอผู้ที่อยู่นอกวัดเอามาให้เอง ๒๐ บาท จวนขึ้นเรื่อยๆ นะ เวลานี้เร่งเครื่องทองคำของเราขึ้นเรื่อยๆ นับวันเร่ง งานอะไรก็มีแต่งานเร่งเพื่อทองคำๆ นะเวลานี้ ทองคำเป็นอันดับแรก (ถวายทองคำ ๑๐ บาทค่ะ) อันนี้ ๒๐ อีก ๑๐ เป็น ๓๐ จวนถึงกิโลแล้ว มาให้ถึงกิโล (ถวายทอง ๒ บาท ดอลลาร์ ๕๐ แล้วเช็คประจำเดือนเจ้าค่ะ)
ทีนี้เป็นคำถามจากการภาวนาคัดจากอินเตอร์เน็ตเจ้าค่ะ คำถามชุดแรกระหว่างวันที่ ๒-๑๖ พฤษภาคม ๒๕๔๖ คัดจากส่วนกระทู้ศาลาวัดป่า คำถามมาจากประเทศอังกฤษ
กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพรักอย่างสูง กระผมเป็นนักศึกษาอยู่ ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ได้ฟังเทศน์ท่านอาจารย์ทางอินเตอร์เน็ตทุกวัน ทั้งตอนเช้าและตอนกลางคืน โดยกระผมนั่งทำสมาธิก่อนนอนเป็นประจำ มีอยู่วันหนึ่งขณะนั่งรถไฟใต้ดินไปมหาวิทยาลัย ผมได้นั่งทำสมาธิไปด้วยเป็นการฆ่าเวลา ทำได้สักพักหนึ่งก็ลืมตาขึ้นมา เห็นฝรั่งที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกำลังหลับอยู่ ผมก็เกิดความสงสัยขึ้นมาว่า คนเราเวลาหลับจิตจะไปที่ไหน ผมก็นั่งมองพิจารณาฝรั่งคนนั้นไปสักครู่ แล้วก็เลิกสนใจ หลับตาทำสมาธิต่อ จิตสงบดีพอสมควร ปรากฏว่าภาวนาไปได้สักครู่ อยู่ดีๆ ก็มีธรรมะผุดขึ้นมาตอบจิตที่กำลังสงสัยอยู่นั้นโดยอัตโนมัติว่า สังขารหาที่ตั้งแห่งจิตไม่ได้
หนึ่ง ผมก็ได้เข้าใจธรรมข้อนี้ในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังงงอยู่ว่า ธรรมที่ผุดขึ้นมานี้เป็นธรรมแท้หรือไม่ หรือว่าเป็นสิ่งที่สัญญาปรุงขึ้นมาเอง
สอง ผมเคยอ่านหนังสือของท่านอาจารย์องค์หนึ่งว่า ธรรมะที่ผุดขึ้นมานี้ เป็นสมบัติใครสมบัติมัน ต้องนำไปพิจารณาให้แตกเอง
กระผมเป็นผู้มีปัญญาน้อย พึ่งหัดภาวนามาไม่นานนัก อยากจะขอความเมตตาท่านอาจารย์ได้โปรดเมตตาอธิบายธรรมะที่ผุดขึ้นมานี้เพิ่มเติม และแนะนำว่ากระผมควรจะภาวนาอย่างไรต่อไป หรือควรจะพิจารณาสิ่งใด
สาม เมื่อ ๓ ปีที่แล้ว กระผมภาวนาอยู่ที่บ้านที่กรุงเทพ ขณะที่ภาวนาไปนั้น อยู่ดีๆ จิตก็สงบจนถึงกับดิ่งวูบลงไป ทุกสิ่งทุกอย่างในตอนนั้น ดับวูบเงียบไปหมดเลย เหมือนกายกับจิตแยกออกจากกัน มีแต่ความรู้ของจิตเท่านั้นที่ยังคงมีอยู่ เหมือนจิตลอยเด่นอยู่ท่ามกลางแดนอวกาศ ทั้งโลกนี้ไม่มีสิ่งใด ไม่มีกาย ไม่มีเวทนา อยู่เลย ด้วยความที่เพิ่งภาวนาใหม่ๆ กระผมเกิดตกใจในอาการของจิตที่เป็นมาดังนี้ จิตจึงถอนออก ตั้งแต่นั้นมาจิตก็ไม่เคยลงถึงขั้นนั้นอีกเลย กระผมอยากจะเรียนถามว่า ความสงบขั้นนั้นคืออัปปนาสมาธิ คืออาการที่จิตรวมจนถึง ฐีติจิต (จิตเดิม) เลย ใช่หรือไม่
สี่ แล้วความสงบของจิตที่เหมาะแก่การพิจารณาธรรม คือความสงบขั้นใด
ขอท่านอาจารย์ได้โปรดเมตตาแสดงธรรม เพื่อเป็นหลักในการปฏิบัติแก่ลูกหลานด้วยนะขอรับ สุดท้ายนี้กระผมขออาราธนาหลวงตาได้โปรดดำรงขันธ์อยู่นานๆ ถ้ากระผมได้กลับเมืองไทยเมื่อใด กระผมจะไปกราบนมัสการ กราบเท้าท่านอาจารย์มาด้วยความเคารพรัก
จาก พัชร
อันนั้นเป็นคำถามจากประเทศอังกฤษเจ้าค่ะ ยังมีคำถามอีก แต่ละอันมาจากต่างประเทศ ตอบทีละคนดีไหมเจ้าคะ
ตอบนี้ผู้ตอบมันจำไม่ค่อยได้นะ จำคำถามไม่ค่อยได้ เวลาจะตอบจริงๆ ต้องอ่านใหม่เป็นข้อๆ แล้วตอบกันไปเป็นข้อในระยะที่กำลังจำได้อยู่ อย่างนั้นจะเป็นไปได้นะ
ข้อหนึ่ง ใช่แล้ว ธรรมที่ปรุงขึ้นมา คือการปรุงของจิตนี้ กิเลสก็มีอยู่ในจิต ธรรมก็มีอยู่ในจิต บางกาลเวลากิเลสเกิด บางกาลบางเวลาธรรมเกิด เพราะฉะนั้นผู้ที่พิจารณาเรื่องการเกิดของธรรมทั้งสองประเภทนี้ ควรใช้การพิจารณาด้วยดี อย่างที่ว่านี้ นี่ก็เรียกว่าธรรมเกิด คือว่าเวลาหลับจิตไปอยู่ที่ไหนนี่นะ จิตก็อยู่กับขันธ์ที่กำลังระงับตัวนั้นแล คือขันธ์นี่ระงับตัว ตามธรรมดาขันธ์จะทำงานตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นนอน ความคิดความปรุงเป็นสังขาร ตาเห็นรูป หูฟังเสียง เรียกว่าทำงานเรื่อยไป ก็เข้าไปหาสังขาร สัญญา ความจดจำ ติดแนบกันไปด้วย เรียกว่าเวลานี้สังขารระงับตัว จิตก็อยู่ที่สังขารระงับตัวนั้นแหละ ลืมไปแล้วว่าจิตไปอยู่ที่ไหนใช่ไหม จิตอยู่ที่ขันธ์ระงับตัวนั้นแหละเวลานั้น คนนอนหลับขันธ์ไม่ทำงาน
ขันธะ แปลว่า หมวด แปลว่า กอง กองรูป หมวดรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รวมแล้วเรียกว่าขันธ์ ๕ เวลานี้ขันธ์ ๕ ไม่ทำงาน ระงับตัวหรือว่าพักเครื่อง เหมือนเราพักเครื่องยนต์กลไกเรา ทีนี้จิตก็เฝ้าอยู่นั้นแหละ เฝ้าอยู่ที่ความหลับ ระงับตัวของขันธ์นั้นแหละ แล้วมีอะไรอีกล่ะ
เขาว่า ผมเคยอ่านหนังสือของท่านอาจารย์องค์หนึ่ง ว่าธรรมะที่ผุดขึ้นมาเองนี้เป็นสมบัติใครสมบัติมัน ต้องนำไปพิจารณาให้แตกเอง กระผมขอความเมตตาท่านอาจารย์ได้โปรดเมตตาอธิบายธรรมะที่ผุดขึ้นมานี้เพิ่มเติม และแนะนำว่ากระผมควรจะพิจารณาอย่างไรต่อไป หรือควรจะพิจารณาสิ่งใด
อันนี้ไม่ต้องไปเป็นอารมณ์กับการผุดขึ้นของธรรม เมื่อผุดขึ้นแล้ว ก็อย่างที่ท่านอาจารย์องค์หนึ่งท่านอธิบายนั้นถูกต้อง เป็นสมบัติของใครของเรา แล้วแต่ใครจะไปตีความหมายในธรรมที่เกิดขึ้นจากใจของตัวเอง นี่เรียกว่าเป็นสมบัติของใครของเรา แล้วอะไรอีกมันลืม
ข้อถัดไปเจ้าค่ะ เมื่อ ๓ ปีที่แล้ว ขณะภาวนาอยู่ที่บ้านที่กรุงเทพ ขณะที่ภาวนาอยู่นั้น อยู่ดีๆ จิตก็สงบจนถึงกับดิ่งวูบลงไป ทุกสิ่งทุกอย่างในตอนนั้นดับวูบเงียบไปหมดเลย เหมือนกายกับจิตแยกออกจากกัน มีแต่ความรู้ของจิตเท่านั้นที่ยังคงมีอยู่ เหมือนจิตลอยเด่นอยู่ท่ามกลางแดนอวกาศ ทั้งโลกนี้ไม่มีสิ่งใด ไม่มีกาย ไม่มีเวทนา อยู่เลย ด้วยความที่เพิ่งภาวนาใหม่ๆ กระผมเกิดความตกใจในอาการของจิตที่เป็นมาดังนี้ จิตจึงถอนออก ตั้งแต่นั้นมา จิตก็ไม่เคยลงถึงขั้นนั้นอีกเลย กระผมอยากเรียนถามว่า ความสงบขั้นนั้นคืออัปปนาสมาธิ คืออาการที่จิตรวมจนถึง ฐีติจิต (จิตเดิม) เลย ใช่หรือไม่
อันนี้เรื่องชื่อเรื่องอัปปนานั้น ท่านตั้งไว้อย่างนั้นแหละ แต่ต้องเป็นขึ้นอยู่กับผู้บำเพ็ญ อย่างที่สงบนี้จะตั้งชื่อก็ได้ ไม่ตั้งชื่อก็ได้ ผู้นั้นรู้ เข้าใจเหรอ เรียกว่าเป็นสมาธิประเภทใดไม่เกิดประโยชน์อะไรนัก ให้ผู้ทำนี้ได้ปรากฏอย่างนั้นมากเท่าไร ผู้นี้แลเป็นผู้ที่จะสิ้นกิเลสได้ โดยจะอัปปนาหรือไม่อัปปนาก็ไม่มีปัญหาอะไร เข้าใจไหม นี่เป็นจิตที่สำคัญมากทีเดียว หลวงตาพูดตรงๆ เมื่อมีพยานนี้ นี้เป็นมาไม่รู้กี่ครั้งกี่หนแล้ว ดับหมดโลกธาตุนี่ ทั้งๆ ที่กิเลสยังมีอยู่นะ นี่ละความละเอียดของจิต ดับหมดเลยเทียว คำว่าเหลือแต่จิตนี้ จะว่าเหลือแต่จิตล้วนๆ ก็ไม่ได้นะ คือสักแต่ว่าปรากฏ ไม่ใช่สักแต่ว่าแบบไม่มีราค่ำราคา คือละเอียดสุดยอดของจิตประเภทนั้น จึงบอกสักแต่ว่ารู้เท่านั้น จะเรียนอะไรอีกไม่ได้ เป็นสมมุติอันหนึ่งขึ้นมา ให้เป็นหลักธรรมชาตินั้นจะพูดได้เพียงว่า สักแต่ว่าปรากฏเท่านั้น สักแต่ว่าปรากฏนั้นคือความอัศจรรย์อยู่ในนั้นนะ ทั้งๆ ที่จิตยังไม่สิ้นจากกิเลส
นี่ละการภาวนาเห็นผลกันอย่างนี้ เป็นผลมาอย่างนี้ตั้งแต่พระพุทธเจ้ามา ด้วยเหตุนี้เอง พระพุทธเจ้าจึงสอนโลกด้วยความแม่นยำทุกอย่างไม่มีอะไรผิดพลาด เพราะทรงบำเพ็ญ ทรงรู้ทรงเห็นมาแล้วทุกแง่ทุกมุม การตั้งชื่อตั้งนามตั้งไว้อย่างนั้นแหละ เพราะท่านเป็นองค์ศาสดา ต้องพิสดารทุกอย่างให้ละเอียดลออ สำหรับเราเป็นผู้ก้าวเดิน ก้าวเดินได้แค่ไหนก็ว่ากันไป ถ้าจะว่าเป็นชื่อสมาธินั้น เป็นสมาธินี้เราก็ว่าไม่ว่า แต่อย่าไปติดใจมากยิ่งกว่าการทำภาวนาของเราให้เป็นจิตประเภทนั้นขึ้นมาเรื่อยๆ นั้นเหมาะสม เข้าใจ นี่ละผลแห่งการภาวนา
เวลาดับนั้น คือจิตนี้เองที่ไปยึดเกาะสิ่งต่างๆ พอจิตนี้หดเข้ามาสู่ตัวของตัวเต็มที่ในจิตขั้นนี้แล้ว จะไม่มีอะไรเหลือเลย จะเหลือแต่สักแต่ว่า เข้าขั้นสักแต่ว่าปรากฏ นี่ละจิตที่ละเอียดสุดยอดของจิตที่มีกิเลสอยู่สุดยอดตรงนี้ ดับหมดจริงๆ ยังเหลือสักแต่ว่ารู้ แต่เป็นรู้อัศจรรย์ ผลแห่งการภาวนาเป็นอย่างนี้เวลาปล่อยเข้ามา ทีนี้เวลาปล่อยโดยสิ้นเชิงแล้วไม่เพียงสักแต่ว่านะ เลยนั้นไปอีก ดังที่เคยเรียนให้พี่น้องทั้งหลายทราบว่า ทำไมจิตของเราถึงได้อัศจรรย์เอานักหนา คือมันสว่างไสว ทั้งๆ ที่จิตไม่ได้เข้าเป็นสมาธิ เป็นจิตอยู่ในภูมิฐานนั้นเท่านั้นเอง แต่ก็สว่างไสวจ้าอยู่ ยืนอยู่ดูธรรมดานี้มันก็เป็นอยู่อย่างนั้น นี่มันแสดงเป็นขั้นๆ
อันนี้ก็เป็นธรรมขั้นหนึ่ง ดีสำหรับผู้ปฏิบัติในขั้นนี้นะ แต่ผ่านไปแล้วกลับมาเห็นที่ว่าอัศจรรย์นี้กลายเป็นกองขี้ควายไป คืออันนั้นเลิศยิ่งกว่าคำว่าสว่างอันนี้ อันนี้ก็เหมือนกัน ความดับประเภทนี้ดับอย่างมีกิเลสอยู่ ดับด้วยการสิ้นกิเลสนี้นั่นละเลิศเลอ แล้วก็มีมาพูดถึงเรื่องความดับประเภทนี้เหมือนกับกองขี้ควายก็ได้ เข้าใจไหม เอาละเข้าใจนะ เ เอา ว่าต่อไป
เขาบอกว่ามันเป็นแค่หนเดียวแล้วไม่เกิดขึ้นอีก
โอ๋ เรื่องเกิดอย่าไปคาด เกิดแค่ไหนก็เอาแค่นั้น แต่การบำเพ็ญของตัวเองในจุดที่ถูกต้องที่เราเคยบำเพ็ญมาแล้วให้บำเพ็ญเสมอ อะไรเกิดขึ้นก็ให้ทราบในปัจจุบันที่เกิด ดับไปแล้วก็อย่าไปคาดไปหมาย คาดเท่าไรก็ไม่ถูก เพราะเหล่านั้นไม่ได้เกิดขึ้นจากการคาด เกิดขึ้นจากหลักปัจจุบันการบำเพ็ญของเจ้าของต่างหากนะ หากในจังหวะที่จะควรเกิดขึ้นอย่างนั้นก็เกิดขึ้นเอง ๆ จากการปฏิบัติของตัวเองนั่นแหละ ถ้าไม่เป็นอย่างนั้นเราจะไปคาดให้เป็น ไม่ได้ เดี๋ยวยิ่งล้มเหลวไปเลยนะ เอาละ
แล้วเขาถามอีกว่า ความสงบของจิตที่เหมาะแก่การพิจารณาธรรม คือความสงบขั้นใด ขอท่านอาจารย์ได้โปรดเมตตาแสดงธรรมเพื่อเป็นหลักในการปฏิบัติแก่ลูกหลานด้วยนะขอรับ
เรื่องความสงบของจิตเรานี้ สงบขั้นใดเราก็พิจารณาปัญญาตามขั้นตามกำลังของเราได้ อย่างสงบเบาะๆ ธรรมดาจิตไม่ยุ่ง นี้ก็เรียกว่าจิตค่อยอิ่มอารมณ์เข้าไปแล้ว เมื่อจิตอิ่มอารมณ์เราพาพิจารณาทางด้านปัญญาก็เป็นไปได้ตามกำลังของเรา ถ้าจิตกำลังหิวโหยกับอารมณ์ดังที่ไม่มีสมาธิไม่มีความสงบเลย แต่จะพิจารณาปัญญาอย่างเดียวนั้น เรียกว่าเหลวไหลเลย ใช้ไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านถึงแสดงไว้ในบาทแห่งความหลุดพ้น ตั้งแต่ สีลปริภาวิโต แล้ว สมาธิปริภาวิตา และ ปญฺญาปริภาวิตํ ๓ ประเภท ศีลหนุนสมาธิให้จิตสงบเย็น สมาธิหนุนปัญญาให้เดินได้คล่องตัว ปัญญาซักฟอกจิตให้หลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงโดยชอบ เป็นขั้นๆ อย่างนี้
การพิจารณาทางด้านปัญญา เรามีความสงบแค่ไหนพิจารณาแค่นั้นก่อนถึงเวลาพิจารณา เวลาจิตสงบอย่าไปกวนนะ ถ้าจิตกำลังรวมสงบอยู่นี้ จะสงบกี่ชั่วโมงก็ตามอย่าไปกวน ปล่อยให้เป็นอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งจิตนี้ถอยออกมาแล้ว คิดอ่านไตร่ตรองอะไรได้แล้ว ค่อยนำจิตนี้ออกพิจารณาทางด้านปัญญา อย่าไปพิจารณาในเวลาจิตที่สงบ ผิด เข้าใจเหรอ จำให้ดีนะข้อนี้ มีผลเสียหายอยู่มากนะตอนนี้นะ ให้พากันจำ สมาธิคือความสงบนี้หนาแน่นขึ้นไปเท่าไร ก็ควรแก่ปัญญานี้เรื่อยๆ ไป เข้าใจมิใช่เหรอ
ทีนี้คนที่สอง เป็นคำถามส่งมาจากต่างประเทศอีกเช่นเดียวกันว่า กราบเรียนพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงตามหาบัว ที่เคารพยิ่ง
กระผมได้มีโอกาสมาปฏิบัติราชการนะต่างประเทศ ก็ยังนั่งสมาธิอยู่เสมอ สถานที่สงบเงียบมาก มีป่ามาก ตอนนี้ผมมีปัญหาเรื่องจิตตภาวนาไม่ทราบจะถามใคร จึงกราบขอเมตตาจากหลวงตา ๑)บางวันผมเดินกลับบ้าน มารู้ตัวอีกครั้ง จิตมันแอบพุทโธ ๆ อยู่เองโดยอัตโนมัติ ดูเหมือนจะดี แต่ผมสงสัยว่าเป็นเรื่องของการเผลอหรือขาดสติไหมครับ กลัวว่าเดี๋ยวคนมาทัก จะไม่รู้ตัวว่ากำลังเดินอยู่ข้างนอก ผมควรปฏิบัติตัวอย่างไรครับ ควรประคองพุทโธต่อไปขณะเดิน หรือเลิกบริกรรมไปเสีย
ก็ภาวนาพุทโธต่อไปนั่นแหละ เลิกบริกรรมแล้วไม่เป็นท่า ตั้งแต่กำลังภาวนาอยู่ยังมาสงสัยตัวเจ้าของ ยิ่งหยุดภาวนาแล้วยิ่งเป็นบ้าไปเลย หายสงสัยแล้วคนเป็นบ้า เข้าใจไหม
ข้อที่สอง ทุกวันนี้ผมนั่งสมาธิไปจะวนไปวนมา ไม่ทราบว่าจะถูกหรือไม่ครับ คือผมเริ่มพุทโธๆ จนนิ่งได้ระยะหนึ่ง หมดความรู้สึกทางกายทั้งหมดแล้ว จะเหมือนกับที่เรียกว่าจิตรวมหรือไม่ก็ไม่ทราบ พอออกมาพิจารณา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ความสกปรกและความไม่เที่ยงของสิ่งเหล่านี้สักพัก ก็วนไปวนมา ย้อนไปย้อนมา พอรู้สึกเหนื่อย คือพิจารณาไปแล้วไม่เกิดความเฉียบขาด คือทื่อๆ และไม่สิ้นสุด ผมก็เลิกพิจารณา กลับมาพุทโธ ๆ ต่อจนนิ่งอีกดีแล้ว ก็หันมาพิจารณาอีกครั้ง วนไปวนมาแบบนี้ละครับ แต่ละช่วงไม่นานเท่าไร ประมาณ ๑๐ กว่านาทีได้ครับ หลวงตาครับผมควรอยู่ในสมถะนานกว่านี้ไหมครับ ผมออกพิจารณาเร็วเกินไปไหมครับ เกรงว่าจะเป็นผลเสียมากกว่าได้
การพิจารณาดังที่พิจารณามาแล้วก็เป็นเรื่องของนักภาวนา เวลาสงบก็สงบ เวลาพิจารณาวกวนก็คุ้ยเขี่ยขุดค้นหาเหตุหาผล ก็วกวนเป็นธรรมดา แต่ไม่ใช่วกวนแบบคนไม่เคยภาวนา วกวนด้วยสติปัญญาพิจารณาคุ้ยเขี่ยขุดค้นหาเหตุหาผลของสัจธรรมคือขันธ์ทั้งห้านี้ ไม่ผิดแหละอันนี้ เข้าใจเหรอ มันจะวกวนก็ให้วกวน วกวนด้วยวิธีนี้ไม่เป็นไรไม่เสียหาย เป็นวกวนที่ถูกต้องดีงามอยู่แล้ว แล้วอะไรอีกล่ะ
เขาบอกว่าเขาควรอยู่ในสมถะนานกว่าที่เขาจะออกมาพิจารณา เขาพิจารณาเร็วเกินไปหรือไม่
ขอบอกย่อๆ เสียก่อนไม่ต้องมากมายนัก เขาจะอยู่สัก ๕ ชั่วโมงหลวงตาก็พอใจ หรืออยู่ถึง ๑๐ ชั่วโมงหลวงตาก็พอใจ มันไม่ค่อยได้มีใครอยู่อย่างนี้แหละ เราอยู่เราอย่าโดดออกไป เข้าใจไหม ให้อยู่สงบ เมื่อถอนออกไปแล้วค่อยพิจารณา อย่าไปรบกวน สงบเท่าไรก็ตามกำลังของเจ้าของเสียก่อนในเบื้องต้น เข้าใจ เอามีอะไรว่าไปอีก
มีปัญหาคนต่อไป เขาอยากกราบเรียนถามหลวงตาว่า กระผมเจริญสติแบบนี้ถูกต้องหรือไม่ครับ ๑) ผมจะระลึกรู้ที่รู้สึกการเคลื่อนไหวของร่างกายในชีวิตประจำวันเป็นหลัก
ถูกต้อง เอ้าข้อสองว่ามา
ข้อสอง เมื่อความคิดฟุ้งซ่านมีความรู้สึกเด่นชัดกว่าความรู้สึกทางกาย ก็จะมาระลึกรู้ตรงกับความคิดแทน จนความคิดมันดับไปเอง แล้วจึงกลับมาระลึกรู้ที่กายต่อไปตามเดิมครับ
ยังไม่เข้าใจชัด
เอาอีกทีนะคะ เมื่อความคิดฟุ้งซ่านมีความเด่นชัดกว่าความรู้สึกทางกาย ก็จะมาระลึกรู้ตรงความคิดแทน จนความคิดมันดับไปเอง หมายความว่าเขาคิดอะไรแล้วเขาก็ฟุ้งซ่านมากกว่าที่เขาจะมีความรู้สึกทางกาย เขาก็มาระลึกรู้ตรงความคิดแทนจนความคิดมันดับไปเอง แล้วจึงย้อนกลับมาระลึกรู้ที่กายต่อไปตามเดิม อย่างนี้ถูกต้องไหมครับ
เอาละที่มันไม่ค่อยถูกก็ไม่เอาละ เอาที่มาพิจารณาอยู่ที่กายนี้เหมาะสมแล้ว สติอยู่ที่กายถูกต้อง อันนั้นมันเร่ร่อนไม่มีกำหนดกฎเกณฑ์ เอ้าว่ามา
ข้อที่สาม บางคราวทนกับความคิดหรืออารมณ์บางอย่างไม่ไหว ก็จะรีบมาระลึกที่ความรู้สึกทางกายทันที (บางคราวจนความคิดหรืออารมณ์ดังกล่าวหยุดทันที เพราะจิตไประลึกรู้ที่กายแทน จึงเรียนถามว่าปฏิบัติแบบนี้ถูกหรือไม่ครับ
อันนี้ก็ยังไม่เข้าใจ
คือเขาบอกเวลาเขาคิดนี่ค่ะ เขาก็พยายามที่จะรู้ตัว แล้วก็มาระลึกรู้ที่กายเขาเอง
ถูกต้องอันนี้ รู้ที่กายถูกต้อง
มีอีกนะคะ ขอนมัสการกราบเรียนถามหลวงตาเรื่อง พิจารณาอสุภะ อิริยาบถถูกจริตกับการเดินจงกรมภาวนาพุทโธ เมื่อขั้นฝึกจิตเกิดสมาธิจนจับคำบริกรรมอยู่ท่ามกลางอกแนบกับสติ มันเหมือนติ๊ก ๆ มันเหมือนตึ๊ก ๆ แน่นอยู่ท่ามกลางอก มีสติทุกอิริยาบถ เหมือนว่าเราอยู่ในห้องว่างคนเดียว มีใครเปิดประตูโผล่หน้าเข้ามานิดหนึ่งก็เห็น เปรียบคนที่โผล่หน้าเข้ามาเหมือนอารมณ์เครื่องกวนจิต ไม่ว่าดีชั่วเรื่องทั่วไป เหมือนมีฐานรู้เป็นสมาธิที่ตรงกลางอก เรื่องราวอารมณ์ใดก็ตามแวบเข้ามานิดหนึ่งเหมือนมีฐานรู้ในเรื่องราวนั้น ๆ แต่มันก็เป็นสมาธิ สติตึ๊ก ๆ อยู่ท่ามกลางอก จนคิดเทียบของมันเองว่า อาการจิตฟุ้งซ่านกับจิตที่เป็นสมาธิ เห็นความวุ่นวายของสื่ออารมณ์ต่าง ๆ ที่เข้ามาที่จิต จิตมันจึงลงให้กับความเป็นสมาธิ เพราะเห็นโทษวุ่นวายจากจิตฟุ้งซ่านมาเทียบกันแล้ว เช่น หากมีใครมาสร้างความเดือดร้อนให้ ก่อเรื่องวุ่นวายให้ จิตมันก็เย็นของมันอยู่เงียบ ๆ เขาจะว่าจะก่อเรื่องไม่ดีให้เราอะไรใครก็ตาม แปลกที่จิตมันเย็นของมัน เขาทำก็เป็นเรื่องที่เขาทำ เราไม่รับเข้ามาหาใจเรา มันก็อยู่แบบเงียบ ๆ เย็น ๆ รู้สึกตลก ๆ และสงสารคนที่เขาทำไม่ดีกับเรา เขามีแต่ไฟเผาใจเขา นี่ค่อยสังเกตการพัฒนาของจิตเป็นระยะ ๆ ไปแบบนี้
เขาถามว่าถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง อันนี้ถูกต้องอยู่แล้วนี่
ทีนี้เขาถามต่อว่า พอออกพิจารณาด้านปัญญา พิจารณาอสุภะเป็นอนุโลม ปฏิโลมจากหัวลงเท้า จากเท้าขึ้นหัว เป็นภาพสุภะร่างกายคนปกติ ค่อยย่อยลงสลายลงเป็นผงดิน ตามขั้นไตรลักษณ์ของความเป็นกายคนกายสัตว์ อริยสัจมันก็ผุดชัดขึ้นมาจนน้ำตาไหลเป็นความซึ้งแห่งความจริงในอริยสัจที่ไม่เคยชัดด้วยธรรมะนี้มาก่อน ขณะจิตที่พิจารณาตอนนี้เหมือนดึงอสุภะให้แน่นที่จิต มันก็เหมือนซึมเป็นความเข้าใจอาการของกามราคะ เหมือนเด็กมาแหย่เล่น ๆ ยิบ ๆ อสุภะเป็นเหมือนตัวป้องกัน เป็นฐานมั่นคงแน่นที่จิตจากอาการกามราคะ และภาพกามกิเลสขึ้นมา อสุภะก็ดึงขึ้นมารับกับอาการกามราคะนั้น ๆ แต่ระยะหลังนี้อสุภะขึ้นทันที สุภะก็แวบขึ้นมาทันทีทับอสุภะ ลูกจึงสังเกตว่า นี่ยังมีตัวสุภะกามกิเลสอยู่ที่มันคอยจะเล่นงานได้ทุกเมื่อ ลูกจึงเร่งที่จะพิจารณาอสุภะให้ซึมมากเข้า แต่แปลกที่ทั้งอสุภะกับสุภะมันวื๊ด ๆ รวมลงที่จิต มาอยู่ตรงท่ามกลางอก แต่เป็นน้อยครั้งไม่มากเหมือนทุกครั้งที่พิจารณาอสุภะ แต่สุภะทับลงทันที ขอกราบเรียนรบกวนถามหลวงตาเพิ่มเติมในขั้นต่อไปด้วยเจ้าค่ะ และแนวทางที่ปฏิบัติมา ขอกราบนมัสการด้วยความเคารพเหนือเกล้า จากศิษย์สวนแสงธรรม เขาถามมาใน อินเตอร์เน็ต เจ้าค่ะ
ถูกต้องแล้วที่เขาพิจารณาอย่างนี้นะ พิจารณาอสุภะรวดเร็วเท่าไรสุภะก็ค่อยลดลง ๆ เพราะพิจารณาถูกต้องแล้วไม่อธิบายไปมากละ
จากอินเตอร์เน็ตที่ถามมานี้ก็หมดแล้วค่ะ
ที่ว่าสุภะ อสุภะนี้ที่จะยุติของมันนั้นอธิบายให้ฟังยากนะ ถ้าจะอธิบายในจุดนั้นแทนที่มันจะเปิดโล่งของมันเข้าไปได้ มันกลับปิดตันตัวเอง เพราะฉะนั้นท่านผู้พิจารณาถึงขั้นอสุภะนี้การอธิบายอสุภะเวลาที่จะขาดจากกันจริง ๆ นี้ ต้องเป็นเคล็ดลับของตัวเองจะไปบอกอย่างนั้นไม่ได้นะ ก็มีตั้งแต่ว่าให้ทำอย่างนั้น ๆ เท่านั้นอยู่ เราจะให้เป็นอย่างนั้นต่อไปอีกนี้บอกไม่ได้ อันนี้เมื่อรู้นี่ปั๊บแล้วก็ทะลุถึงกันเลย นี่ละอันหนึ่งเป็นเคล็ดลับของกิเลสประเภทนี้ เข้าใจมิใช่เหรอที่พูด อะไร ๆ ก็ตาม อันนั้นอสุภะอันนี้อสุภะมันเป็นไปจากจิต เมื่อจิตพิจารณาแล้วดึงเข้ามา พิจารณามันเข้ามาหาตัวเอง แล้วตัวเองเป็นตัวนั้นเสียเอง แล้วมันก็ปล่อยข้างนอกเข้าใจหรือเปล่าล่ะ ก็เป็นอย่างนั้น
ปล่อยข้างนอก ก็พิจารณาเอาอันนั้นละฝึกซ้อมตัวเองให้มันชำนิชำนาญเข้าไป ละเอียดเข้าไป ๆ แล้วจิตอันนี้ตั้งขึ้นเร็วขึ้นดับเร็วขึ้น ตั้งขึ้นปั๊บ กำหนดปั๊บมันจะดึงเข้ามานี้ มันจะดึงเข้ามาเองนะ เร็วเข้า ๆ ต่อจากนั้นไปสุภะหรืออสุภะก็ดีที่ตั้งขึ้นมาแบบไหนนั้น มันจะดับรวดเร็วลงไปแล้วก็หดเข้ามาที่ใจ ๆ ต่อจากนั้นมันก็แย็บ ๆ ๆ เป็นแสงหิ่งห้อยไป แล้วก็เอาอันนั้นละพิจารณาต่อไป จับไม่ปล่อยจากจุดนี้นะ มันชำนาญขนาดไหนมันจะรู้ของมันเอง เอาอันนี้ละเป็นฐานฝึกซ้อมตลอด ตั้งแต่สุภะ อสุภะนี่ พอกำหนดแล้วมันจะเข้ามา ๆ นี่เรียกว่าผู้เข้าใจสุภะ อสุภะแล้ว เรื่องกามกิเลสเข้าใจในจุดนี้ แล้วก็ฝึกซ้อมถ้ายังไม่ได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ฝึกซ้อมนี่ละมันจะก้าวขึ้นสู่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ดังที่ท่านว่า อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิฎฐา ชั้นสุทธาวาสของพระอนาคามีท่านได้ระดับแรกก่อน การฝึกซ้อมอย่างนี้เรียกว่า ฝึกซ้อมเพื่อก้าวสูงขึ้นไปละเอียดขึ้นไปจนกระทั่งถึงอกนิฏฐา เสร็จจากนั้นพุ่งเลยถึงนิพพาน เข้าใจนะ ต้องฝึกซ้อมเรื่อย ๆ อันนี้
กราบเรียนเพิ่มเติมนิดเดียวค่ะ ในโล่นี้นะคะมีรูปหลวงตาและมีคำว่า หยดน้ำบนใบบัว เพราะเป็นหนังสือที่เด็กต้องใช้เรียนเจ้าค่ะ แล้วก็มีรูปดอกบัว มีในเครื่องหมายคำพูด ซึ่งลูกคิดว่าดีมากค่ะ ว่า หลวงตาไม่ต้องการอะไรยิ่งกว่าใจที่เป็นสมบัติล้นค่ากว่าสมบัติใด ๆ ในโลก แล้วก็มีลายเซ็นของหลวงพ่อเจ้าค่ะ
ถูกต้อง อันนี้ถูกต้องแล้ว ในโลกทั้งสาม นี้มารวมอยู่ที่ใจเท่านั้น ไม่อยู่ที่ไหนนะ การพิจารณานี่คือใจมันยั้วเยี้ย มันยุ่งไปหมดทั่วโลกดินแดนไม่มีขอบเขต เพราะความคิดความปรุงของขันธ์ ๕ ที่มีอวิชชาหนุนให้มันคิดไปเตลิดเปิดเปิง ทีนี้เวลาหดเข้ามา ๆ ก็เข้ามาถึงนี้แล้วมันก็หมดไปเลยไม่มีอะไร มีแต่จิต ทีนี้จิตก็ไม่หลุกหลิก จิตรู้ตัวเองบริสุทธิ์เต็มที่แล้วต่างอันต่างจริง สุดท้ายก็มาลงอยู่ในจุดใหญ่คือว่า
สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โมฆราช สทา สโต
อตฺตานุทิฏฺฐึ อูหจฺจ เอวํ มจฺจุตฺตโร สิยา
เอวํ โลกํ อเวกฺขนฺตํ มจฺจุราชา น ปสฺสติ
ดูก่อน โมฆราช เธอจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ ฟังซิสติทุกเมื่อ พิจารณาโลกให้เป็นของ สูญเปล่าว่างเปล่า ถอนอัตตานุทิฏฐิ ความเห็นว่าตนว่าตัวว่าเราว่าเขาออกเสีย จะพึงข้ามพ้นพญามัจจุราชเสียได้ พญามัจจุราชจะมองไม่เห็น ผู้พิจารณาตนเป็นของว่างเปล่าอยู่เช่นนี้ นี่แปลออกตามศัพท์นะ
นี่ละเมื่อเข้าถึงจุดนี้แล้วทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ว่างไปหมดในหัวใจ ต้นไม้ภูเขาดินฟ้าอากาศ แม้ที่สุดแผ่นดินเหยียบอยู่นี้มันก็ว่างไปหมดในหัวใจเรา จึงเรียกว่า ใจมีอานุภาพมาก ลบหมดเลย นี่ดูซิหนาแน่นขนาดไหน เรามองไปด้วยตาเนื้อของเราในแดนสมมุติมันก็เห็นหมดทุกอย่าง ก็มันมีอยู่ไม่เห็นได้ยังไง พอแดนวิมุตติผางเข้าไปเท่านั้นละลบหมดเลยไม่มีอะไรเหลือ มองเห็นคนก็เหมือนไม่มีคน มันว่างไปหมดเลย นั่นเรียกว่า ว่างแดนวิมุตติเข้าใจเหรอ นี่ละที่ว่า สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ คือให้พิจารณาโลกให้เป็นของว่างเปล่า ให้มีสติอยู่ทุกเมื่อพิจารณา ถอนอัตตานุทิฏฐิ
ตัวนี้ละเป็นตัวกั้นภูเขาทั้งลูกมันกั้นเอาไว้ให้ปิดบังตา ไปที่ไหนโดนนั้นโดนนี้ พออันนี้ว่างไปหมดแล้วจะโดนที่ไหน จิตไม่ติดตัวเองเสียก่อนไม่ติดอย่างอื่น ก่อนที่จะติดอย่างอื่นอย่างใดต้องติดติดตัวเองก่อน ติดเขาติดเราเหมือนกัน ถ้าไม่ติดเราเสียอย่างเดียวสามแดนโลกธาตุไม่มีอะไรติด เหตุที่จะติดสามแดนโลกธาตุติดเราไปเสียก่อน ติดเราแล้วก็ติดเขา แล้วก็มีสูงมีต่ำมีกล้ามีกลัวเข้าใจไหมล่ะ พออันนี้ออกหมดแล้วสิ่งเหล่านี้มันเป็นสมมุติทั้งหมด เหยียบหัวมันไปหมดแล้ว ไม่มีคำว่ากล้าว่ากลัว ราบไปหมดถ้าว่าราบ ถ้าว่าไม่ราบว่างไปหมดเลย
ท่านทั้งหลายให้ฟังเอานะ นี่ภาคปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าที่แสดงธรรมให้แก่สัตว์โลก เพื่อมรรคผลนิพพานสด ๆ ร้อน ๆ ไม่มีคำว่าครึ ว่าล้าสมัยดังที่กิเลสมันโจมตีเวลานี้ จะทำบุญให้ทานอะไรครึล้าสมัยไปหมด แต่วิ่งตามกิเลสจนหัวแตก อะไร ๆ ขาดสะบั้นไปหมดนี้ยังไม่พอ ยังไปหายืมเขาวิ่งอีกเข้าใจไหม ถ้าวิ่งตามกิเลสมันเร็วนะ ถ้าวิ่งตามธรรมอืดอาดเนือยนาย กิเลสมันหลอก ถ้าจะทำความดีนี้กิเลสหลอกทั้งนั้นแหละ กิเลสอยู่กับใจดวงเดียวกันนี้ คอยหลอกคอยต้มคอยตุ๋นอยู่ตลอด ธรรมะลบล้างออก ๆ พากันเข้าใจนะ ธรรมเป็นของจริงล้วน ๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์ ล้านเปอร์เซ็นต์ มีแต่ของจริงทั้งนั้นเรียกว่า ธรรมะ กิเลสนี้ไม่ว่าชนิดไหนเป็นของจอมปลอมทั้งนั้น ล้านเปอร์เซ็นต์ก็ปลอมด้วยกัน ทีนี้มันคอยตบต่อยกันอยู่ตลอดเวลาในหัวใจของเรา
ถ้าหัวใจของเราอ่อนกิเลสจะตบเข้าเรื่อย ๆ จนหาทางก้าวออกเพื่อความดีงามไม่ได้เลย ถ้าเราพยายามบึกบึนอย่างนี้ อันนี้จะค่อยเบิกออกจางออกไป ๆ ธรรมะสูงขึ้นๆ เหนือขึ้น ทีนี้กิเลสก็ถูกเหยียบแหลก ๆ ๆ ถึงขนาดที่ว่าแย็บออกมาไม่ได้เลย นี่ถึงขั้นธรรมะที่เกรียงไกรเต็มที่แล้วกิเลสแย็บขาดพร้อมกันเลย ๆ นี่ท่านเรียกว่า สติ ปัญญาอัตโนมัติของธรรมทั้งหลายที่แก้กิเลสโดยอัตโนมัติของตนเอง ทั้งโลกนี้เราก็ยังไม่เคยเห็นใครพูด ถ้าไม่ใช่หลวงตาบัวผีบ้าองค์เดียวนี้พูดว่า กิเลสนี้ทำงานบนหัวใจสัตว์เป็นอัตโนมัติเพื่อหาผลประโยชน์ของตน แล้วสร้างกรรมสร้างเวร ความทุกข์ความลำบากให้แก่บรรดาสัตว์โลกตลอดมานี้เรียกว่า เขาทำงานเป็นอัตโนมัติของเขา ของกิเลส
ทีนี้เวลากิเลสเหล่านี้ทำงานอัตโนมัติ คำว่า อัตโนมัติคืออะไร เห็นอะไรปั๊บนี้เป็นกิเลสไปแล้ว ๆ โดยที่เราไม่รู้ว่ามันเป็นกิเลสนะ ได้เห็นก็ดีได้ยินก็ดีคิดปรุงแต่งเรื่องอะไรเป็นกิเลสขึ้นมาวันยังค่ำ ๆ เราก็ไม่รู้ว่ากิเลสเป็นอัตโนมัติ ทำงานของมันเองโดยอัตโนมัติ ทีนี้พอเราบำเพ็ญธรรมะกล้าเข้า ๆ จนกระทั่ง เอ้า เราสรุปเลยนะ เมื่อก้าวเข้าไป ๆ สติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร ก็เริ่มเป็นอัตโนมัติและเป็นอัตโนมัติไปตาม ๆ กัน ทีนี้ตามทันกิเลสเรื่อย ๆ ๆ อยู่ที่ไหนอิริยาบถใดแต่ก่อนมีแต่กิเลสทำงานอยู่บนหัวใจสัตว์ ไม่ว่ายืน เดิน นั่ง นอน เว้นแต่หลับสนิทเท่านั้น นอกจากนั้นกิเลสทำงานทั้งมวล ทีนี้เมื่อธรรมทำงานแล้วก็แบบเดียวกัน ธรรมมีกำลังแล้วก็ออกทำงานแก้กิเลส ไม่ว่าจะยืนจะเดินจะนั่งจะนอนเว้นแต่หลับ จิตนี้จะหมุนเพื่อฆ่ากิเลสโดยลำดับลำดาเป็นอัตโนมัติของตน จนกระทั่งสุดท้าย ท่านเรียกว่า สติปัญญาอัตโนมัติ จากสติปัญญาอัตโนมัติที่ทำงานของตนด้วย สติ ปัญญาเป็นอัตโนมัติแล้ว ยังก้าวเข้าสู่มหาสติมหาปัญญาอัตโนมัติอีก อันนี้ซึมไปเลย
สติปัญญาขั้นนี้ซึมเลย ผู้ไม่ปฏิบัติไม่เห็นไม่รู้ ต้องเป็นผู้ปฏิบัติเท่านั้นพูดได้อย่างฉะฉานอาจหาญชาญชัย ไม่สงสัยอะไรเลย พอถึงขั้นนี้แล้ว กิเลสนี้ไม่มีตัวไหนที่จะรออยู่ได้ ตั้งแต่เริ่มสติปัญญาอัตโนมัติกิเลสก็สร้างตัวไม่ได้แล้ว มีแต่จะหลบจะหมอบจะซ่อน ไม่อย่างนั้นถูกทำลายจากสติปัญญาอัตโนมัติจนได้ ๆ นั่นแหละ ทีนี้กิเลสจะตั้งขึ้นมาเป็นกิเลสตัณหาเหมือนอย่างแต่ก่อน มากน้อยตั้งไม่ได้ ตั้งแต่สติปัญญาอัตโนมัติก้าวขึ้นสู่ความฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติของตนเองแล้ว กิเลสมีแต่หมอบแต่หลบแต่ซ่อน แล้วฆ่าไปเรื่อย ๆ นี่เรียกว่า ธรรมทำงานอัตโนมัติบนหัวใจเรา แก้กิเลสอัตโนมัติ เอาจนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นไม่มีอะไรเหลือ กลายเป็น สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ ขึ้นมาเท่านั้นแหละ ทีนี้ว่างหมดเลยไม่มีอะไรมาติดมาข้อง เราก็ไม่ติดเขาก็ไม่ติด ไม่ติดอะไรทั้งหมด
เพราะฉะนั้น คำว่ากล้าว่ากลัวจึงไม่มีในใจของท่านผู้บริสุทธิ์เรียบร้อยแล้ว นี่คุณค่าแห่งการปฏิบัติตามพุทธศาสนาของเรา ปฏิบัติตามนี้ต้องไปได้คนเรานะ ไม่มากก็น้อยไปได้ ให้พากันจำเอานะ อย่าให้กิเลสหลอก มันอยู่ในหัวใจอันเดียวกัน จะก้าวไปสู่ความดีมันตบปั๊บ ๆ นะ ถ้าก้าวไปตามกิเลสมันลากไปเลยเข้าใจไหม ตบปั๊บแล้วยังไม่แล้วลากไปเลย ขาขาดแขนขาด จำเอานะ เอ้า พูดเท่านี้ก่อน แล้วมีอะไรอีกว่าไป
เขามาถามครับ เกี่ยวกับหลวงปู่มั่นกับหลวงตา เขาอ่านประวัติหลวงตาในหยดน้ำบนใบบัว ตอน ๑ คือ ตอนที่หลวงตาเกิดภาวะจิตเสื่อมแล้วได้ขออุบายวิธีการจากหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นให้ภาวนาพุทโธ ในทุกอิริยาบถ ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ก็ให้ภาวนาพุทโธตลอดอย่างนี้ก็เลยมีข้อสงสัยว่า ถ้าเรากำลังทำกิจกรรมอะไรอยู่ ไม่ว่าจะอ่านหนังสือดูโทรทัศน์ กิน นอน ให้ภาวนาพุทโธตลอดอย่างนี้จะเกิดสมาธิได้หรือครับ
มันก็เป็นสมาธิอยู่กับพุทโธนั้นแล้ว เข้าใจหรือเปล่าล่ะ มันไม่ได้เป็นสมาธิอยู่กับตัวหนังสือ กับงานนั้นงานนี้ มันเป็นสมาธิอยู่กับพุทโธเข้าใจไหมล่ะ เอ้า ว่าไป
เขาบอกว่า เราจะใช้สมาธิอยู่กับคำภาวนา พุทโธ หรือว่าอยู่กับกิจกรรมที่เราทำครับ
เวลาเราอยู่กับกิจกรรมเราก็ทำอยู่ ระลึกพุทโธได้ประเภทหนึ่ง เราอยู่กับจิตจริง ๆ กับพุทโธจริง ๆ ก็เป็นอีกประเภทหนึ่งมันธรรมหลายขั้นนะ สติตั้งทำงานบริกรรมพุทโธโดยเฉพาะก็มี สติตั้งอยู่กับงานนั้น ๆ มีบริกรรมแทรกอยู่ก็มี เข้าใจเหรอ
ครับ ต่ออีกนิดหนึ่งครับ เขาบอกเขากำลังคิดจะบริจาคร่างกายให้โรงพยาบาล ในเมื่อเวลาตายแล้วเพื่อเป็นประโยชน์แก่วงการแพทย์ เขาถามว่าการที่อุทิศร่างกายให้แก่ทางโรงพยาบาลนี้ ตั้งใจจะให้กุศลเกิดกับพ่อแม่ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งก็ให้กุศลผลบุญเกิดแก่ตัวเองในภพชาติหน้า ถ้าเป็นอย่างที่เขาคิดนะครับ เมื่ออุทิศไปแล้วนี้พ่อแม่จะได้บุญกุศลไหมครับ
พ่อแม่ได้หรือไม่ได้ก็เป็นวิสัยของท่านนะ ก็เราได้แล้วสงสัยหาอะไร ถ้าไม่ใช่คนเป็นบ้าว่าอย่างนั้นนะ
ทีนี้เขาพูดมานิดหนึ่ง เขาบอกว่าเขาอยากได้คำตอบจากหลวงตา เพราะว่าเขาเชื่อมั่นในหลวงตาร้อยเปอร์เซ็นต์
นี่ก็ตอบไปแล้ว เชื่อมั่นหรือไม่เชื่อมั่นล่ะ เข้าใจเหรอ ก็ตอบไปแล้ว โห เรื่องจิตตภาวนาพิสดารมากทีเดียวเมื่อรู้เห็นอยู่ แต่ผู้ภาวนาไปพูดที่ไหนเขาไม่ได้ภาวนากันทั้งโลก เขาก็ต้องโจมตีคนภาวนาว่าเป็นบ้า ทั้งๆ เขาเป็นบ้ากันทั้งโลก มันเป็นอย่างนั้นนะ อัศจรรย์มากนะพุทธศาสนานี้ชี้นิ้วเลย สามแดนโลกธาตุนี้ไม่มีศาสนาใดที่จะรื้อขนสัตว์ ออกจากกองทุกข์ที่กิเลสสร้างขึ้นมาได้ เหมือนพุทธศาสนา ชี้นิ้วเลยมีศาสนาเดียว ศาสนานี้จี้เข้าไปตรงจุดที่กิเลสก่อกรรมทำเข็ญต่อสัตว์ทั้งหลายอยู่ในหัวใจ จี้เข้าไป ๆ นี้ถอนออกมา ๆ นอกนั้นเราไม่ค่อยรู้เรื่องศาสนาใดก็ตาม ทราบแต่ว่าไม่ได้เข้าไปสนใจในจิตใจซึ่งเป็นสถานที่อยู่ของมหาภัยและมหาคุณเลย จึงไม่รู้ทั้งภัยและคุณ ศาสนาพุทธเรานี้รู้ทั้งสองเลย ทั้งภัยมหาภัยอยู่ที่นั่น คุณมหาคุณก็อยู่ที่ใจ ท่านจึงสอนลงที่ใจ เข้าใจแล้วนะ แล้วมีอะไรอีกล่ะ
หลวงตาเจ้าขา ถวายทองคำหนัก ๔ บาท กับ ๔ สตางค์
เออ พอใจ ๆ
เก็บมาประมาณ ๑๐๐ ปีได้
เก็บไว้ ๑๐๐ ปีพึ่งมาถวายเรานี้ เอาละเราพอใจ ผู้เขาไม่ถวายมีเยอะเข้าใจไหม เราไม่ได้ถวายคือเราไม่มี เอาละพอใจแล้วมีอะไรอีกล่ะ เอ้า ว่ามา ๆ นี่สายขึ้นไปโดยลำดับแล้ว นี่ก็จะ ๙ โมงแล้ว
ชมการถ่ายทอดสด ธรรมะหลวงตาวันต่อวัน ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
|