เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖
ฝึกทรมานเพื่อเป็นคนดี
ทองคำเมื่อวานนี้ได้ ๑ บาท ๙๙ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๔๔๐ ดอลล์ วันนี้ได้มากอยู่นะ เริ่มมาแล้ว ๑๐ บาท ต่อนี้ไปจะเร่งละเรา เร่งเครื่องเรื่อย อ่อนไม่ได้นะ ถ้าลงว่าเร่งแล้วเร่งเรื่อยแหละ ถ้าลงว่านอนก็นอนไปเลย บางทีดูไม่ถนัดชัดเจนว่าตายแล้วก็มี คือมันนอนจนจมไปเลยก็มี เวลานี้ให้ตื่นนอนนะ ตื่นนอนล้างหน้าล้างตา เร่งทองคำของเรา ดอลลาร์ของเรา เงินสดก็ไม่ใช่เล่นๆ นะไม่รู้จะว่าไง ไหลเข้ามาทุกด้านมาขอเรา เราก็ไม่ทราบจะแยกไปทางไหนๆ บ้าง นี้หมายถึงเงินสดนะ นั่นละที่มันเข้าทองคำไม่ได้
เราก็พยายามเจียดเข้าอยู่ตลอดนะ คือเงินนี้เข้าสู่บัญชีที่จะเข้าทองคำ ที่จะซื้อทองคำ เราก็เจียดเข้าเรื่อย ออกจากนี้มาก็กระจายทั่วประเทศไทย เงินสด ทั้งเจียดเข้าทองคำ ทั้งเจียดออกทั่วประเทศ เพราะฉะนั้นเงินสดจึงไม่ค่อยแน่นอน ที่แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์เลยก็คือ ดอลลาร์กับทองคำ มาเท่าไรเข้าเลยๆ ดอลลาร์ก็เข้าดอลลาร์ ทองคำเข้าทองคำ แต่เงินสดนี้ยังแยกยังแยะตามที่เห็นสมควรจากการพิจารณาเรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้นจึงไม่ได้แน่นอนในเรื่องเงินสด แต่อย่างไรก็เพื่อประโยชน์แห่งชาติไทยของเราทั้งนั้นแหละ ออกไปทางไหนก็เพื่อประโยชน์ของชาติไทยเราๆ
เราแยกเงินสดนี้มันไม่หวาดไม่ไหวนะ คิดดูซิเวลานี้มันกี่ตึก ฟังซิน่ะ ทางภาคใต้สองตึก สองโรงพยาบาล เราพูดเฉพาะที่มีแต่เงินก้อนออกทั้งนั้น แล้วก็เรือนจำลาดยาว อย่างน้อย ๓๐ ล้าน สองหลังๆ ละ ๑๕ ล้านเป็นอย่างน้อยนะ แต่ยังไงก็ไม่อยู่ อันนี้เป็นพื้นฐานตั้ง อย่างน้อย ๓๐ ล้าน ตามธรรมดาจะได้เพิ่มเข้าอีกเยอะ แล้วมีอีกหลังหนึ่งกำลังเริ่ม ที่โรงพยาบาลทางด้านหลังนี้กำลังเริ่มอีก นี่ก็ตึกอีกหลังหนึ่งสองชั้น ฟังซิ จะคิดเป็นเงินเท่าไร แล้วจะให้กำแพงอีกสามด้าน ด้านติดถนนเขามีแล้ว ส่วนสามด้านยัง เราก็ให้หมด จะเท่าไรคิดดูซิ
นี่หมายถึงหัวใหญ่ๆ นะ ที่มาเป็นเครื่องไม้เครื่องมือเป็นรถเป็นราแทรกเข้ามานี้ไม่นับนะ จ่ายอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นถึงทองคำเข้าคลังหลวงไม่ได้ เพราะความจำเป็น ทั้งนั้นละที่มาหาเรา จนถึงขนาด จำเป็นก็รอไว้ก่อน เขาจำเป็น เราจำเป็นหนักยิ่งกว่าเขา ให้รอไว้ก่อนๆ แล้วเมื่อค่อยเบาบางลงแล้วตามเก็บๆ ส่วนข้างหน้ามาเรื่อยนะ ทางนี้จ่ายไปแล้ว ข้างหน้ามาเรื่อย ทางนี้ก็ว่ารอไว้ก่อนๆ เราเลยจะตาย เป็นอย่างนั้นละพี่น้องทั้งหลายทราบเอา
เรื่องสมบัติทั้งหลายที่พี่น้องบริจาคนี้ ขอให้ภูมิใจได้เลยว่าบาทหนึ่งไม่เคยมี หลวงตาที่จะมีซุบๆ ซิบๆ กับบรรดาพี่น้องทั้งหลาย นับแต่ทองคำ ดอลลาร์ เงินสดมา ออกทั้งนั้นเลย หลวงตาเป็นผู้ควบคุมการเงินเอง เป็นผู้สั่งจ่ายทั้งหมดเพื่อกันความรั่วไหลแตกซึมไม่ให้มี ไม่มีจริงๆ เอาถึงขนาดนั้น อะไรๆ จะตกมามากน้อยนี้แน่นอนๆ ไม่ไปไหน คนที่มาทำงานกับหลวงตา ต้องเป็นหัวใจเดียวกับหลวงตาเป็นอื่นไปไม่ได้ เรียกว่าคอขาดเลย นู่นฟังซิ หลวงตาเอาขนาดนั้นนะ ใครจะมาพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงหรือว่ามาซุบๆ ซิบๆ แบบสกปรกว่างั้นเถอะ ไม่ได้ กับเรานี้บอกไม่ได้ คอขาดเลย เป็นอย่างนั้นนะ ขาดสะบั้นไปเลย จนกระทั่งวันตายเข้ากันไม่ได้กับเรา เราเอาถึงขนาดนั้นนะ เพราะฉะนั้นจึงว่าถ้าลงได้เด็ดอันไหนเด็ดจริงๆ เรื่องแห่งความบริสุทธิ์นี้เด็ดขาดมาตลอด
เพราะฉะนั้นใครจะมาโจมตีเราเรื่องราวเรื่องอะไรๆ เราไม่เคยสนใจ เราเป็นผู้ทำเองทุกอย่างหน้าที่ทุกอย่างเราทำเอง เขาไม่ได้ทำ มีแต่มาโจมตี หลับหูหลับตามาโจมตีท่านั้นท่านี้ ก็เป็นเรื่องของคนตาบอดหูหนวก คนหยาบช้าลามก เราทำความดิบความดีเพื่อความสะอาดสะอ้านและเพื่อความพ้นทุกข์ เราจะไปสนใจกับขี้หมูราขี้หมาแห้งอย่างนั้นเราก็ไปไม่ได้ใช่ไหมล่ะ เรื่องของเราเป็นเรื่องของเราไป เรื่องของเขาเป็นเรื่องของเขาไป เพราะคนดีคนชั่ว สัตว์ดีสัตว์ชั่ว เต็มอยู่ในโลกนี้เกลื่อนอยู่นี้สับปนกันอยู่ จะไม่ให้มันมีได้ยังไง คนชั่วมันก็มี จะว่ามีแต่คนดีเราดีคนเดียว จะให้คนดีทั้งโลกไม่ได้นะ
ผู้ที่เป็นคนชั่วมันขัดมันแย้ง มันไม่สนใจกับเหตุกับผลกลไกที่จะทำประโยชน์ให้แก่ตนและส่วนรวมอะไรเลย นอกจากอะไรจะทำให้สมใจด้วยความฉิบหายวายปวงต่อตัวเองและส่วนรวมมันพอใจๆ นี่คือคนชั่ว คิดทางดีไม่ได้ ทำทางดีไม่ได้คนชั่ว มีแต่ทำชั่ว คิดชั่ว ทุกอย่างแสดงออกเป็นความชั่วทั้งหมด นี่ละคือคนชั่ว สัตว์ชั่ว เป็นอย่างนี้ คนมีธรรมดี เขาจะว่าอะไรมาไม่สนใจ ปัดออกๆ เท่านั้นเอง
นี่เราก็ได้ช่วยพี่น้องชาวไทยเราเต็มเม็ดเต็มหน่วยไม่มีอะไรสงสัยแล้ว เพราะเราเปิดหมดในหัวใจของเรา ไม่มีอะไรติดเลย พูดว่าแม้เม็ดหินเม็ดทรายเราไม่มีที่จะตกค้าง พอเราจะกำไว้ ไม่มี เปิดโล่งไปเลย ความเมตตาครอบไปหมด ไปที่ไหนความเมตตานี้ครอบไปตลอด หากเป็นหลักธรรมชาติเองนะ แต่ก่อนก็มี เรื่องเมตตาก็มีเหมือนท่านๆ เราๆ ธรรมดา แต่เวลาปฏิบัติธรรม ธรรมเป็นธรรมชาติที่นิ่มนวลมากที่สุด เข้าสู่หัวใจใดอ่อนนิ่มไปเลยนะ อันนี้ก็เหมือนกัน จิตมีแต่ความเมตตาล้วนๆ
นี่ก็ได้พยายาม อย่างไรปีนี้ต้องให้เสร็จแหละ ทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตัน เวลานี้ได้ ๖ ตันกว่าแล้ว ยังขาดอยู่ ๓ ตันกว่า เราแน่ใจกับบรรดาพี่น้องทั้งหลาย เพราะส่วนใหญ่เราได้มาด้วยความแน่ใจจากท่านทั้งหลายทุกท่านมาแล้ว ทองคำได้ตั้ง ๖ ตันกว่า ดอลลาร์ก็กำลังจะถึง ๑๐ ล้านแล้ว ส่วนเงินสดนี้เป็นพันๆ หมื่นๆ ล้าน กระจายออกทั่วประเทศไทย เราจึงไม่อาจจะนับได้ เวลาเราออกนี้มีเหตุผลกลไกพร้อมๆ เรียบร้อยทุกอย่าง บริสุทธิ์ พอออกแล้วหาย เราไม่ค่อยได้ไปนับไปอ่านมันแหละ เพราะการทำความดี แล้วก็ทำมากต่อมาก ไม่หวาดไม่ไหวจะลงบัญชีอะไร บัญชีในหัวใจเราด้วยความบริสุทธิ์แล้วออกผาง แน่เลยๆ เราทำอย่างนั้นมา เป็นพันๆ หมื่นๆ ล้านนู่นละสำหรับเงินสดเราที่ช่วย ไม่ใช่น้อยๆ นะ ทั่วเมืองไทยเลย
นี่ก็จะได้พยายามเอาให้ได้ในจุดนี้แหละ จุด ๑๐ ตันนี้เรียกว่าขาดไม่ได้เลย เป็นจุดคอขาด ทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตัน และดอลลาร์ ๑๐ ล้าน ดอลลาร์นี้เราไม่ค่อยเป็นห่วงอะไรมากนัก เพราะเบากว่ากันมาก สำหรับทองคำแม้นิดหนึ่งก็หนัก ต้องใช้ความอุตส่าห์พยายาม ถ้าไม่มีศรัทธาจริงๆ บริจาคไม่ได้นะ นี่ละจึงสำคัญอยู่ที่ใจนะ มีมากมีน้อยก็ตาม ใจเป็นเจ้าของ ใจเป็นผู้บ่งบอกสั่งการทุกอย่าง ถ้าควรจะเป็นไปในทางใดๆ นี้จิตใจนั้นละจะเป็นผู้สั่งการทุกอย่างๆ
อันนี้เราก็ทราบทั่วหน้ากันแล้วว่า ความอุตส่าห์พยายามของเราทุกคนมาจากความรักชาตินี้ สั่งงานสั่งการต่อเราให้ช่วยชาติไทยของเราให้ได้ในคราวนี้ ขาดไปไม่ได้เลย เขาชี้หน้าแล้ว แหมอายที่สุดเลยนะ ประเทศไทยเวลานี้ใครทราบกันทั่วโลกว่ากำลังช่วยตัวเองเต็มกำลังความสามารถ ที่ปรากฏมามีแต่ความเป็นมงคลเรื่อยมา วันนั้นได้เท่านั้นๆ รวมแล้วได้เท่านั้นเรื่อย ไม่มีคำว่าขาดว่าตก มีแต่ได้เรื่อยๆ ทีนี้จะเอาให้ได้ให้ถึงจุดหมายที่เราต้องการ ได้ขีดเส้นตายกันไว้ในบรรดาพี่น้องทั้งหลายเราว่า เดือนธันวานี้เป็นเดือนขีดเส้นตายเลยให้ได้ ๑๐ ตัน เอาตรงนี้ว่างั้น จากนี้ไปจึงเร่งเครื่องใหญ่ละ นับตั้งแต่บัดนี้เร่งเครื่องใหญ่เลย
บรรดาพระเจ้าพระสงฆ์ก็น่าเห็นใจนะ วงกรรมฐานท่านก็ได้เคลื่อนได้ย้ายได้หวั่นได้ไหวได้ดีดได้ดิ้น เพราะบรรดาพี่น้องทั้งหลายด้วยกันนี้ มีคราวนี้เป็นคราวที่พระกรรมฐานเคลื่อนไหวมากที่สุด ตามธรรมดาท่านจะไม่ออกมายุ่งมากวนกับอะไรละ นิสัยของพระผู้เสาะแสวงหาธรรม พอตื่นนอนขึ้นมาจะเริ่มประกอบบำเพ็ญตั้งแต่ศีลแต่ธรรมประจำใจตนเองทุกอย่าง รอบอยู่กับสติปัญญาพินิจพิจารณาบำเพ็ญ บำรุงรักษาจิตใจอยู่ตลอดเวลา อยู่ในป่าในเขา อยู่ในวัดป่าวัดไหนท่านจะบำเพ็ญอยู่อย่างนั้น ท่านไม่เคยมาสนใจ สำหรับเราเองที่ได้เป็นผู้นำพี่น้องทั้งหลายนี้ก็ไม่เคยสนใจเหมือนกัน
บ้านเมืองเราก็มีมาด้วยรัฐบาลเป็นหัวหน้าปกครองมาเรื่อยๆ ก็ฟังมาเรื่อยๆ ผิดถูกดีชั่วอะไรๆ นี้ทราบหมด เป็นแต่เพียงไม่สนใจเพราะไม่ใช่ ถ้าพูดตามภาษาโลกเรียกว่า ไม่ใช่หน้าที่ของเรา เป็นหน้าที่ของโลกของชาติบ้านเมืองเขาจะปฏิบัติกันเอง หน้าที่ของเราบอกไม่บอกก็คือการบำเพ็ญศีลธรรม รักษาอรรถรักษาธรรม เราบำเพ็ญมาอย่างนั้น ไม่เคยคิด แต่เวลามันจำเป็นจริงๆ เห็นไหมล่ะ กระเทือนถึงขนาดได้มาเป็นผู้นำพี่น้องทั้งหลาย มันก็เป็นขึ้นมาเองอย่างนี้
การเป็นเองนี้ก็ไม่ใช่เป็นด้วยความกระเสือกกระสนโดยหาเหตุผลไม่ได้ มันหากเป็นมาด้วยเหตุด้วยผลลึกๆ ลับๆ หนึ่ง แล้วเปิดเผยหนึ่ง เปิดเผยก็คือบ้านเมืองเราเดือดร้อน อันลึกลับนั้นนิสัยบุพเพนิวาสชาติปางก่อนของเรา มีความเกี่ยวโยงกันอะไรๆ มา มีพี่มีน้อง มีลูกมีหลาน มีครูมีอาจารย์ มีเจ้ามีนาย เกี่ยวโยงกันมา มีความเคารพนับถือเชื่อฟังกันมาอย่างนั้น เวลามีเรื่องเกี่ยวปั๊บมันก็วิ่งถึงกันหมด เพราะฉะนั้นเวลาเรามีอะไรจึงถึงกันๆ ต่างคนต่างทำด้วยความพร้อมเพรียงสามัคคี ด้วยความรักชาติ มันถึงค่อยเป็นมาๆ ถ้าอยู่ๆ จะมาเป็นเอาเฉยๆ นี้เป็นไปไม่ได้นะ คือตัวเองเป็นก็จืดๆ ชืดๆ มันไม่มีอะไรพอจะเป็นน้ำเป็นเนื้อ คนอื่นผู้เป็นผู้น้อยหรือเป็นบริษัทบริวารจืดๆ ชืดๆ ทุกสิ่งทุกอย่างก็เลยจืดชืดไปตามๆ กันหมด ผลที่ได้ก็คือความเหลวไหล
อันนี้มันไม่จืดไม่ชืดเพราะอะไร นี่ก็เพราะบุพเพนิวาสชาติปางก่อนพวกเราทั้งหลาย ถึงไม่มีญาณก็ตามเราพูดได้เต็มปากของเราว่า แน่ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า พวกเราทั้งหลายนี้เคยเกี่ยวโยงกันมาสักเท่าไร เคยเป็นพี่เป็นน้องเป็นลูกเป็นหลาน เป็นญาติเป็นวงศ์ เป็นครูเป็นอาจารย์ เป็นเจ้าเป็นนายกันมา ที่เคยเคารพนับถือกันมา ทีนี้เวลามีความจำเป็นมันถึงเกี่ยวโยงกันผึงทันทีเลย อย่างที่เห็นมานี้แหละ นี่เราเชื่อ เชื่อจริงๆ ไม่ใช่เชื่อธรรมดา พูดไม่พูดก็ไม่สำคัญ สำคัญที่ความเชื่อฝังลึกถอนไม่ขึ้นเลย นี่ละอันสาเหตุที่จะให้บ้านเมืองของเราได้ค่อยฟื้นฟูขึ้นไป ด้วยความรักชาติ ความสามัคคี ความเคารพนับถือเชื่อฟังซึ่งกันและกัน นี้ละเป็นน้ำหนักอันสำคัญ ที่จะทำมหาคุณต่อชาติไทยของเราในปัจจุบันนี้ และต่อไปก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน เพราะฉะนั้นจึงขอให้พี่น้องทั้งหลายได้อุตส่าห์พยายามทุกคน
หลวงตาก็ไม่เคยคิดว่าจะมาเป็นผู้นำพี่น้องทั้งหลาย บทเวลามันออกมันก็ผึงเลยทันที เป็นอย่างนั้น ถึงขนาดร้องโก้กเลย ร้องหาอะไรถ้าธรรมดานะ โลกเป็นโลก ธรรมเป็นธรรม ร้องหาอะไร เวลามันเกี่ยวโยงกันไม่ร้องได้ยังไง มันกระเทือนทั่วประเทศเขตแดน เมืองไทยทั้งประเทศหาเกาะหาดอนที่จะอยู่ไม่ได้เลย เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ด้วยความล่มจม ต่างคนก็ต้องต่างฟื้นกันละซี นี่ละเรื่องราวมันเป็นอย่างนี้ จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบทั่วหน้ากัน แล้วให้อุตส่าห์พยายามตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ
ความพร้อมเพรียงสามัคคีกันนี่สำคัญมากนะ อย่าแตกอย่าแยก แตกแยกความสามัคคี เหมือนเราทับหม้อทับไห จุดบ้านเผาเรือน พังไปหมด เสียหมด อะไรที่มันแตก พอเยียวยาได้เยียวยา ผ้ามันขาดพอปะพอชุนพอเย็บได้ เอ้า เย็บ ปะชุนไป มันสุดวิสัยแล้วค่อยทิ้ง อย่าไปทิ้งๆ ขว้างๆ ใช้มาวันหนึ่งสองวันทิ้งๆ เห็นอันนั้นดีอันนี้ดี อันนั้นใหม่ อันนี้ใหม่ เจ้าของเก่าแก่จนเฟ้อ จนเลอะเทอะไปหมดดูจนไม่ได้ ไม่ดูตัวเองบ้างใช้ไม่ได้นะ เรานี่มันตัวเฟ้อ ตัวเลอะเทอะ ตัวไม่มีคุณค่า ไปหาสิ่งอื่นว่าอันนั้นดีอันนี้ดีมาประกบเข้าว่ามีคุณค่า ยิ่งเลวลงไปนะ เพราะนิสัยเลว
ให้รักษานิสัย จิตใจของตนเองให้มีคุณค่า อะไรจะขาดเหลือบ้างไม่เป็นไร ขอให้จิตใจมีคุณค่าเถิด ดังที่พระพุทธเจ้ากับพระอานนท์ เอาพระอานนท์เลย ผ้าจีวรขาด ยกตัวอย่างพระอานนท์ ลูกศิษย์พระตถาคต ลูกศิษย์พระพุทธเจ้า ได้รับเอตทัคคะ เลิศ ๕ สถาน เวลาจีวรขาด ท่านเอาจีวรนี้มายำให้จีวรขาดแหลกไปหมดแล้ว เอาไปโปะผสมกันกับดินเหนียว โปะทากุฏิชุ่มเย็นไปเลย ท่านไม่ทิ้ง อะไรที่พอใช้ได้ท่านนำมาใช้ มาเยียวยาได้เยียวยา ท่านไม่ทิ้งแบบเลอะๆ เทอะๆ เหมือนพวกเรานะ
เวลานี้พวกเรากำลังเลอะๆ เทอะๆ มาก สร้างวิชาเลอะเทอะที่จะพาบ้านเมืองให้ล่มจมอย่างลึกลับและเปิดเผยนี้ กำลังตั้งหน้าตั้งตาขึ้น ไม่มีรู้จักประมาณกันบ้างเลย แล้วโรงงานเวลานี้มีมากต่อมากในเมืองไทยของเรา เขามีมาก็เพื่อปากเพื่อท้อง เพื่อซื้อเพื่อขายเพื่อหารายได้ เรามีอะไรมาก็เพื่อซื้อเพื่อขายเหมือนกัน ตกลงต่างคนต่างติดต่อกัน ต่างคนต่างเป็นบ้าหาแต่รายได้ไม่มีวันพอ ๆ ได้เท่าไรหมดๆ มันจะไม่หมดยังไงก็ตัวมหาโจรมันอยู่กับผู้หา เข้าใจไหม หามาเท่าไรมันก็เผาตัวเองแหลกไปหมด อันนี้ก็ให้ระวังให้ดีนะ
ทุกสิ่งทุกอย่างเวลานี้กำลังหนาแน่นขึ้นมาในเมืองไทยของเรา แล้วสิ่งที่จะให้เราลืมตัวมีตามๆ กันมา ตามๆ กันมา เอาธรรมจับรู้หมด เรื่องธรรมท่านไม่ตื่น อะไรจะมีมากมีน้อยท่านไม่ตื่น คิดดูซิจีวร พระพุทธเจ้า พระอานนท์ ท่านอดอยากหรือจีวร ทำไมท่านจีวรขาดแล้วจึงเอามาสับมายำ ขยี้ขยำใส่กับดินเหนียว แล้วเอาไปโปะฝากุฏิ ทาฝากุฏิให้เย็น ท่านไม่ทิ้ง อะไรควรเก็บได้ท่านเก็บๆ เก็บทั้งนั้น นี่ท่านไม่ลืมตัว ไม่ใช่ท่านไม่มีจีวรนะ ท่านมีความพอดีเป็นธรรมเต็มหัวใจ ท่านรู้จักประมาณ
อันนี้เราก็ควรจะมีความพอดีบ้าง อย่าพากันตื่นกันเต้น ดีดดิ้นเสียจนเกินเหตุเกินผล จะเพาะสิ่งที่ไม่ดีให้ลูกให้หลานต่อไป กลายเป็นลูกหลานที่เหลวไหลเหลวแหลกแหวกแนว จะไม่มีประโยชน์อะไรเลย บ้านเมืองใหญ่โตก็มีแต่คนเลอะๆ เทอะๆ ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ไม่มีหลักเกณฑ์เป็นของตัว บ้านเมืองจมได้ เข้าใจเหรอ พากันจำเอานะ วันนี้ก็พูดเพียงเท่านี้เห็นจะพอดีละ
เรื่องจิตใจขอให้เน้นหนักอยู่ตลอดเวลานะ ขอให้อบรมจิตใจเจ้าของให้ดี เรื่องทุกอย่างไปจากใจนะ ใจนี้จะไปจากธรรม ธรรมคือศาสนธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นธรรมที่แม่นยำมากไม่มีคลาดเคลื่อนเลย คือศาสนธรรมของพระพุทธเจ้า เรียกว่า พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่แม่นยำถูกต้อง เรียกว่า สวากขาตธรรม ให้นำธรรมนี้เข้าไปอบรมจิตใจ มันจะผาดโผนโจนทะยานเหมือนม้าตัวคึกตัวคะนองก็ตาม จะหนีนายสารถีผู้ฝึกม้าไปไม่ได้ อันนี้จิตใจอยู่กับสติปัญญาเราที่จะฝึกมันให้ดี มันจะหนีสติปัญญาไปไม่ได้ สติธรรม ปัญญาธรรมเป็นเครื่องทรมานรักษามัน แล้วมันก็จะค่อยดีวันดีคืน
เวลามันผาดโผนเอาให้หนัก อย่างที่ท่านแสดงไว้หลวงตาก็เคยได้เล่าให้พี่น้องทั้งหลายฟังแล้ว เราก็เอาเราอย่างผาดโผนโจนทะยาน ฝึกทรมานนั่งตลอดรุ่ง ๆ จิตลงถึงความอัศจรรย์ทุกคืน ๆ ไปเล่าถวายท่าน โห ท่านก็ชมเชยยกยอ ก็เหมือนเจ้าของหมายุหมานั้นแหละ จะเป็นอะไรไป พอเล่าให้ท่านฟังนี้คึกคักขึงขัง มันเป็นในจิตมันอาจหาญนี่นะ นี่ละธรรมถ้าลงได้เป็นในจิตแล้วไม่สะทกสะท้าน เราเวลาขึ้นไปหาท่าน ไม่ว่าองค์ใดก็ตามมันก็เหมือนผ้าพับไว้ด้วยความเคารพ หากเป็นหลักธรรมชาติระหว่างลูกศิษย์กับอาจารย์เหมือนกับผ้าพับไว้ ด้วยความเคารพนิ่มนวลทุกอย่างนะ
แต่เวลาปฏิบัติธรรมมันได้ปรากฏขึ้นในจิตนี้แล้วขึ้นไปหาท่าน กราบก็กราบหมอบก็หมอบ แต่เวลาจะเอามันพอได้โอกาสผางขึ้นเลย เสียงลั่นเลยเทียวนะ นี่ขึ้นจากจิต พูดผลที่เราได้บำเพ็ญได้เห็นผลขึ้นมาเล่าถวายท่านเพื่อท่านจะได้พินิจพิจารณา อะไรควรตักเตือน ควรแก้ไขดัดแปลงยังไงท่านจะได้เตือนเรา อะไรควรส่งเสริมท่านจะส่งเสริม นั่น
พอเราพูดจบลงนี่สรุปความลงเลย เราพูดอย่างถึงใจซึ่งไม่เคยพูดอย่างนั้น กิริยาอย่างนั้นเราไม่เคยมี แต่เวลาได้เป็นขึ้นในจิตนี้ผางเลยนะ ท่านก็นั่งนิ่ง ถ้าพูดภาษาสนุก ๆ เรา นี่บ้ามันกำลังขึ้นแล้ว คงว่าอย่างนั้นนะ มันรู้ มันได้หลักได้เกณฑ์ความหมายว่าอย่างนั้น แต่ท่านจะไม่พูดอย่างนั้น นี่บ้ามันกำลังขึ้นเวลานี้ ท่านก็นั่งนิ่งพอเราจบลงหมอบคอยฟัง ที่นี่ท่านจะแนะตรงไหนมันจ่อนะหู ผิดตรงไหนจะจับปุ๊บ ๆ ๆ ถูกตรงไหนจับปุ๊บ ๆ เลย พอจบลงขึ้นผางเลยนะ พอเรานิ่งเท่านั้น ทีนี้ท่านขึ้นเราหมอบนะ เออ มันต้องอย่างนั้น ขึ้นเลยนะ เอ้า ทีนี้ได้หลักแล้ว อัตภาพนี้มันไม่ได้ตายถึง ๕ หนนะ มันตายหนเดียวเท่านั้นแหละ ไม่มีใครตาย ๕ หนอัตภาพเดียวนี่นะ คราวนี้ได้หลักแล้วเอามันลงไปอย่าถอยมัน นั่น โอ๋ย ไอ้หมาตัวนี้ก็ทั้งจะกัดจะเห่าเห็นใบไม้อ่อนใบไม้แก่นึกว่าข้าศึกศัตรู ต่อสู้เลยเห่าเรื่อยไป ซัดเข้าไป
คืนไหนคืนนั้นถ้าลงได้นั่งตลอดรุ่งจิตมันจ้า ๆ ทุกคืนไม่พลาดเพราะเอาความเป็นความตายสละใส่กันเลย ธรรมะที่เกิดนี้เกิดอยู่ฟากตาย ๆ ทั้งนั้นนะ ทีนี้ท่านพิจารณาเห็นว่าพอสมควรแล้ว ได้หลักได้เกณฑ์ความหมายว่าอย่างนั้น ควรจะลดหย่อนผ่อนผันการทรมานแบบนี้ลงบ้าง แต่ท่านไม่พูดอย่างนั้นซิ พูดกับหมาตัวบ้าตัวนี้ พอกราบปั๊บ ๆ ลงไป พอจบลง กิเลสมันไม่ได้อยู่กับกายนะ มันอยู่กับใจนะ ขึ้นเลยนะ เปรี้ยง ๆ เลย กิเลสมันไม่ได้อยู่กับร่างกายนะ มันอยู่กับใจนะ คือจะไปทรมานอะไรนักหนาร่างกายความหมายว่าอย่างนั้น กิเลสมันอยู่กับจิต ทรมานจิตเมื่อมันได้หลักได้เกณฑ์พอสมควรแล้วก็ลดหย่อนผ่อนผันกันได้ความหมายว่าอย่างนั้นนะ
จะให้ท่านพูดอย่างนั้นมันก็ไม่ถึงใจตัวผาดโผนนี่นะ ท่านก็ขึ้นทันทีเลยว่า กิเลสมันไม่ได้อยู่กับร่างกายนะ มันอยู่ที่ใจนะ ท่านยกปึ๊บมาเลย สารถีฝึกม้า ม้าตัวไหนมันคึกมันคะนองมาก ๆ ไม่ยอมฟังเสียงเจ้าของเลย เจ้าของก็ต้องฝึกเอาอย่างหนัก ไม่ควรกินหญ้าไม่ให้กิน ไม่ควรกินน้ำไม่ให้กิน มีแต่ฝึกอย่างหนักท่าเดียว จนกระทั่งม้านี่มันค่อยลดพยศลงมา ๆ การฝึกของเขาก็ค่อยลดลง ๆ จนถึงกับว่าม้านี่ใช้การใช้งานได้แล้ว ไม่มีพยศอดสูอะไรแล้วเจ้าของเขาก็ไม่ฝึกอย่างนั้นต่อไปอีก ท่านพูดเพียงเท่านั้น นี้เราเข้าใจแล้วนะเพราะมันมีพระไตรปิฎกนี่ อ่านมาแล้วจะว่ายังไง ท่านพูดเท่านั้น
เรายังเสียดายนี้ก็พูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง เราเสียดาย ท่านจะมีอะไรไว้บ้างเล็กน้อย เสียดายที่ว่าท่านไม่ย้อนมาว่า คือ สารถีฝึกม้าเขาฝึกอย่างนั้น ๆ ไอ้หมาตัวนี้มันฝึกยังไงฝึกเจ้าของมันถึงไม่รู้จักประมาณ ความหมายว่าอย่างนั้น ฟาดจนก้นแตกมันก็ยังไม่รู้จักประมาณ แต่ไม่ได้บอกท่านนะว่าก้นแตก บอกแต่เรื่องกิเลสแตกเท่านั้นแหละ
นี่เรื่องของครูบาอาจารย์ถึงเวลาท่านเด็ดท่านเด็ดของท่านอย่างนั้น เราก็ตั้งแต่บัดนั้นมา จิตของเราก็ดีแล้วจริง ๆ นี่นะ แต่มันขยับเรื่อย ดีเท่าไรมันยิ่งจะเอาใหญ่เข้าใจไหม พอท่านสอนความรู้จักประมาณลงเท่านั้นมันก็หยุด แล้วตั้งแต่วันนั้นมาเราไม่เคยนั่งตลอดรุ่งอีกเลย แต่ก่อนโอ๊ย.ซัดกันเรื่อย ก้นแตก เอ้า แตกไปกิเลสไม่แตกกูไม่ถอย พอท่านขนาบทีเดียวหยุดเลย
นี่ละการฝึกการทรมาน นี่เราพูดเรื่องอะไรนะ มาหาหลวงปู่มั่นมาฝึกทรมาน เหอ ลืมแล้ว อย่างนี้แหละพูดแล้วลืม จะเอามาเปรียบแล้วเดินธรรมต่อไปก็ไม่ค่อยได้เรื่องแล้ว เอ้า อย่างนี้เลยนะ เอ้า ๆ เวลาเด็ด ๆ นะ เข้าใจไหม เวลาเด็ดให้เด็ด เวลาอ่อนมันไม่บอกแหละ เพราะหมอนมันอ่อนอยู่แล้วเข้าใจไหม ทุกอย่างมันอ่อนอยู่แล้ว ให้ตั้งอกตั้งใจ พูดเพียงเท่านั้นแหละ วันนี้ได้นานพอสมควร พูดก็ไม่พูดมากนะ พูดนี้ก็ออกทั่วโลกเลย ออกทั่วโลก ๆ เราก็พูดวันละเล็กละน้อยแล้วออกทั่วโลก ก็คิดว่าจะพอเป็นประโยชน์แก่โลกบ้าง ถ้ามีหูมีตาบ้างว่าอย่างนี้นะ
เราอยากพูดอย่างนี้ เพราะการสอนโลกเราไม่ได้สอนด้วยหลับหูหลับตาสอน สอนด้วยการเปิดจ้าในหัวใจจริง ๆ พูดอย่างไม่สะทกสะท้าน ถอดออกมาจากความจริง ๆ ใครเชื่อไม่เชื่อไม่สำคัญ หลักความจริงนี้เต็มหัวใจ สอนด้วยอำนาจแห่งความเมตตาและหลักความจริงเต็มสัดเต็มสัดต่อโลก ดังที่แสดงอยู่เวลานี้ ถ้าใครอยากฟังอยากประพฤติปฏิบัติเพื่อเป็นสิริมงคลและเป็นผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่แก่ตนแล้ว ก็ให้นำไปประพฤติปฏิบัติ พระพุทธเจ้าเลิศเลอเพราะการฝึกทรมานตนนะ เราถ้าอยากเป็นคนดิบคนดีลูกศิษย์ตถาคตตามรอยพระบาทท่านได้พอประมาณ ก็ควรจะฝึกฝนอบรมตน เฉพาะอย่างยิ่งคือฝึกใจอย่าให้มันคึกมันคะนองมากเกินไป ถ้ามันคึกมันคะนองมากเข้าห้องทำสมาธิ เอาสติบังคับมัน
การบังคับด้วยสตินี้ สำหรับผู้เป็นนักบวชเราทั้งอยู่ในวัดในวานี้มีทางที่จะฝึกทรมานได้นะ ถ้าเรารับประทานมากหรือกินมากการภาวนาไม่ค่อยดี สติไม่ดีเราฝึกมาหมดแล้วนะ ถ้ากินอิ่มหมีพีหมาแล้ววันนั้นนอนจะเป็นหมูไปเลย สติสตังไม่มีภาวนาล้มเหลว ๆ ถ้าเราฉันมาก ๆ ไม่มากอะไรนักคือฉันให้อิ่มธรรมดามันก็กลายเป็นหมูไปเลย สติไม่ค่อยมีและไม่มี เพราะฉะนั้นจึงต้องได้ฝึกหัด การฉัน ๆ ลดเป็นลำดับลำดาสติค่อยดีขึ้น ๆ นี่ลดมากเท่าไร จนกระทั่งถึงขนาดที่ว่าอดอาหารสติยิ่งดีขึ้นเรื่อย ๆ นี่ละความทุกข์ ความทรมาน ทุกข์ใครจะไม่ทุกข์ ถึงเวลากินเวลาหลับเวลานอนต้องหลับต้องนอน นี้ฝืนกันทั้งนั้นมันต้องทุกข์ซิ ทุกข์ก็ทุกข์ ส่วนที่เป็นสุขและที่ยิ่งกว่านี้ยังมีอีกมาก จะมาวุ่นวายอะไรกับเรื่องทุกข์เพราะอดอาหาร กินเมื่อไรก็อิ่มนี่นะ แน่ะเท่านั้นละนะ จึงได้ฝึก
นี่ละการฝึก สติจะดีด้วยการผ่อนอาหาร ส่วนมากเป็นอย่างนั้น เพราะอาหารนี้มันเข้าเสริมร่างกาย ร่างกายมีกำลังแล้วมันก็เสริมกิเลสตัณหา มันไม่ได้เสริมสติปัญญานะ ถ้าร่างกายของเราอ่อนอาหารการบริโภคลงไป อ่อนกำลังลงไปสติดี สติเป็นฝ่ายธรรมดีขึ้น ๆ นี่ละที่เราได้ฝึกทรมานถึงขนาดที่เขาตีเกราะประชุมไปดูเราก็เพราะเหตุนี้เอง คือสิ่งที่ดีมันมีอยู่ ๆ ถึงอดก็อดซิจะอดไปไหน กินเมื่อไรมันก็อิ่ม แน่ะ ไม่เห็นหายากอะไรหาความสุขจากการอิ่มใช่ไหมล่ะ แต่หาความสุขจากการบำเพ็ญธรรมนี้หายากนะ จึงต้องทนทรมานเอา ให้พี่น้องทั้งหลายยึดเอาไปเป็นคติเครื่องเตือนใจ ได้แค่ไหนก็ดี เราฝึก ๆ เพื่อใครเราฝึกเพื่อเราๆ ทุกคนนะ อย่าไปเข้าใจว่าครูบาอาจารย์สอนเรื่องราวจะไปอยู่กับท่านอยู่กับใคร ไม่อยู่กับใครอยู่กับเรา ความสุข ความทุกข์อยู่กับเรา ได้เสียอยู่กับเรา เราต้องรับรองยืนยันเรา ฝึกทรมานเราเพื่อความเป็นคนดีเสมอไปจำเอานะ เอาละพอ ให้พร
โยม พระหลวงตาเจ้าคะ วันนี้ผ้าป่าหน้าศาลาได้ ๒,๗๑๐ บาท แล้วก็ทองคำวันนี้อีก ๕ บาท จากต้นผ้าป่าทองคำหน้าศาลา แล้วก็ของ เฮียธนัญชัย
หลวงตา เออ พอใจ ๆ ได้ตั้ง ๕ บาท เมื่อเช้าได้ ๑๐ บาท ได้เป็น ๑๕ บาทแล้วนะ โอ้ ได้เยอะนะ ๆ เอ้า นี่ให้รางวัล
ชมการถ่ายทอดสด ธรรมะหลวงตาวันต่อวัน ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th |