เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖
ชาติที่เหมาะสมอย่างยิ่ง
ที่วัดเรานี้มีงูจงอางเป็นประจำตั้งแต่เริ่มสร้างวัด ตัวหนึ่งที่มันโตกับพระเลยนั้น เราสร้างวัดทีแรกศาลาเล็กๆ อยู่นั่น หน้าศาลาหลังนี้ อยู่ตรงนั้น เราสร้างวัดใหม่มันตัวเท่านี้ จงอาง ตัวเท่านี้เอง เขามาป้วนเปี้ยนอยู่แถวนั้น ลักษณะเชื่องเสียด้วย เราพักอยู่ที่กุฏิเราพัก เพราะเป็นป่าเป็นดง ออกมาดูจึงมาเห็นมันนอนอยู่ที่นี่ ก็พูดหยอกเล่นกับมันแหละ นี่กูมองดูมึง เป็นจงอางนะนี่ เราว่างั้น แถวนี้คนไปมาบ่อย เดี๋ยวเวลาเขาเจอเขาฆ่านะ เขาไม่เหมือนพระนะ มันเล่นอยู่นั้นแหละมันไม่ได้กลัวเรา มึงอย่ามาเที่ยวแถวนี้บ่อยๆ นักนะ มันทำเลคนผ่านไปมา เขากำลังทำศาลานี้ด้วย ศาลาเล็กๆ เดี๋ยวเขาฆ่ามึงนะ เขาก็อยู่นั้นละ เอาคอเกาะตรงนั้นเกาะตรงนี้อยู่ข้างๆ เราดูเขาไม่กลัวนะ เราก็เลยยืนพูดเล่นกับเขาอยู่นั้น
เราจำไม่ลืมก็คือตัวนี้แหละงูตัวที่ได้ให้ชื่อว่า ไอ้ขี้ดื้อตัวนี้เอง มันโต ได้ ๑๖ ปี สร้างวัดนี่ปี ๒๔๙๘ เดือนพฤศจิกา ๒๔๙๙ ๒๕๐๐ นี่เป็นสองปี ปี ๒๕๑๖ เขาตาย ก็เรียกว่าได้ ๑๘ ปี คือ ๒๔๙๘ เดือนพฤศจิกา จวนจะสิ้นปีเรามาสร้างวัดที่นี่ ๒๔๙๙ ๒๕๐๐ สองปี ถึง ๒๕๑๖ มันก็เป็น ๑๘ ปี เขาอยู่ตามแถวนี้ ทีนี้เราก็เลยบอกพระนะ ตัวนี้เป็นต้นเหตุ มันไม่ค่อยกลัวพระ เราเลยได้บอกพระ สั่งพระเลย ไม่ใช่เป็นคำสอนเป็นคำสั่งเลย บอกว่างูนี้ ต้นเหตุเราไปเจองูตัวนี้แหละ เราบอกว่างูตัวนี้มาป้วนเปี้ยนอยู่ในวัด งูตัวนี้งูจงอางนะ เขาจะอยู่ที่นี่แหละ ทำเลที่เราอยู่นี่แหละ ไม่ไปไหน อย่าไปหยอกไปเล่นกับเขา เราก็บอกพระ บอกแบบสั่งเลย ห้ามไม่ให้หยอกเล่นขว้างปา
คือหยอกเล่นขว้างปานี่เขาจะไม่ถือว่าเราหยอกเล่นกับเขานะ เขาจะถือว่าจริงทั้งนั้น เพราะเขาถือมนุษย์เรานี้เป็นศัตรูของเขาอยู่แล้ว เราไปหยอกไปเล่นอย่างนี้เขาจะถือว่าเป็นจริงกับเขา แล้วทีนี้เขาจะอาฆาต เราบอก มันอาฆาตแล้วเวลาเจอกันนี่เขาต้องเจอเราก่อน แล้วเขาฉกปั๊บเลยตายเลย เพราะความอาฆาตของเขา เลยบอกพระทั้งวัดเลยแหละ สั่งขาดอย่าไปหยอก ไปเล่น ไปขว้าง ไปปา เจอเขาที่ไหนให้เดินไปธรรมดา เช่นเขาออกมานี้เราเดินไป จะไปทางหัวเขาก็ไป ทางหางเขาก็ไป อย่าไปหยอกไปเล่น ต่างคนให้ปฏิบัติอย่างนั้นกับงู เราบอก อย่าไปหยอกเล่นไม่ว่างูประเภทใด เฉพาะอย่างยิ่งพวกงูอสรพิษ พวกจงอาง งูเห่า งูอะไร ทีนี้พระก็ปฏิบัติอย่างงั้นตลอดมา จนเขากลายเป็นสัตว์เลี้ยงในวัดไป ได้ให้นามว่าไอ้ขี้ดื้อ เขาไม่ได้กลัวพระเขาเฉยเลย
วันหนึ่งพระเจอเขาสักเท่าไร เขาออกจากนี้ก็ไปเจอพระองค์นั้น ออกจากนั้นก็ไปเจอพระองค์นั้น แล้วพระทั้งวัด ทีนี้วันหนึ่งเจอสักกี่องค์ พระเจองูตัวเดียวนี้กี่องค์มันก็ชินน่ะซิ มาหาเรามันก็มา เราก็พูดเล่นกับมันธรรมดา มาอะไรไอ้ขี้ดื้อ เขามาแบบเฉยนะ เราก็เลยเฉยกับเขาเหมือนกันนะ เราก็ไม่เห็นมีอะไรกับเขา ที่จำได้ชัดเจนก็คือ เขาเชื่องขนาดเป็นสัตว์เลี้ยง นี่อยู่ในครัวตอนบ่ายพระท่านมาฉันน้ำร้อนอยู่ที่นั่น เขาเข้ามาพระท่านนั่งเต็ม เขาเลื้อยเข้ามา โธ่ ไอ้ขี้ดื้อมึงมาอะไรนี่ ว่างั้นเขาก็เฉย เฉยไปเลย เขาเชื่องขนาดนั้น เพราะพระไม่มีองค์ไหนหยอกองค์ไหนเล่นกับเขาเลย ต่างองค์ต่างเฉย ไปเจอที่นี่เช่นหัวเขาอยู่ทางนี้เราก็ผ่านไปนี้เสีย หางอยู่ทางนี้ผ่านไปทางนี้เสีย วันหนึ่ง ๆ เจอกี่ครั้งกี่หนแต่ละองค์ ๆ งูเดียวเจอพระทั้งวันมันก็เลยเชื่อง กลายเป็นสัตว์บ้านไปเลย ไม่กลัวใคร
ทีนี้บทเวลาจะตายมันเอานิสัยวัดไปใช้ล่ะซี มันออกไปข้างนอก คือข้างนอกมีทาง นอกกำแพงเรามันเป็นทางเข้าไปข้างใน แต่ก่อนยังไม่มีกำแพง เขาผ่านเข้าผ่านออกอยู่ตลอดเวลา เพราะทางนู้นก็เป็นป่าทางนี้ก็ป่า ผ่านไปผ่านมาอยู่งั้น แล้ววันนั้นบันดลบันดาลมันผ่านออกไปล่ะซี เขาเดินมาเขาเห็น ทีนี้มันไม่กลัวเขา มันขวางทางเขาอยู่นั้น นอนขวางทางเขาอยู่ เขามาเห็นเอาปืนยิงเอาเลย เลยตาย วันหลังเด็กมาบอก โอ๊ย ไอ้ขี้ดื้อของหลวงพ่อนี่มันจะตายแล้วแหละเมื่อวานนี้ ว่างั้น มันอยู่ข้างวัด ไอ้ขี้ดื้อหลวงพ่อเขาเอาปืนยิงตายแล้ว พอดีวันที่ทราบเป็นวันที่ ๒ เมื่อวานนี้วันที่ ๑ มกรา ๒๕๑๖ นั่นล่ะจึงจำได้นะ
แล้วจากนั้นมาก็คอยสังเกต ตั้งแต่บัดนั้นมาจนกระทั่งบัดนี้หายเงียบเลย แสดงว่าไอ้ขี้ดื้อถูกเขาฆ่าตายแล้ว โอ๊ย น่าสงสาร มันตัวใหญ่ ขนาดนี้ หรืออาจจะมีใหญ่กว่านี้นิดหนึ่งก็ได้ ๑๘ ปีที่ได้พบกันมานะ ตัวเขาเท่านี้ ได้ ๑๘ ปี ในวัดนี้พระทุกองค์จึงไม่มีอะไรกับพวกงู ไม่ให้หยอกให้เล่น เราสั่งเด็ดขาดไว้เลย คือเราหยอกเหล่านี้ เขาจะไม่ถือว่าเราหยอกเราเล่นกับเขา เขาถือว่าเรานี่เป็นภัยต่อเขาทั้งนั้น ท่าไหนออกมานี่เหมือนจะเป็นภัยต่อเขา แล้วเขาโกรธเขาอาฆาต แล้วนี่มาโดนเข้านี่ก็โกรธอาฆาตเห็นไหมล่ะ มันตามกัดเสียจนได้ กัดแล้วยังไม่แล้ว ยังกัดคาบเขาอีก จนเอามีดไปตัดคอ เขาถ่ายภาพไว้นี้ นี่ความโกรธ ความอาฆาตเป็นอย่างนี้ เข้ากันได้ปึ๋งเลย โอ๊ พิลึกเหลือเกิน
แต่ก่อนในวัดนี้เราไม่ได้จับนะงู คือเพ่นพ่านอยู่กับวัด อยู่กับพระนี่ไม่มีอะไรกันเลย ไม่ว่างูชนิดไหนปฏิบัติต่อเขาแบบเดียวกันหมด ทีนี้เขาก็เชื่องกับพระ เฉพาะจงอาง ที่มันเด่นมาก คือเด่นมากที่ว่าเชื่องมากด้วย เที่ยวอยู่ตามกุฏิพระนั่นด้วย งูอื่น ๆ เขาก็ไปเที่ยวหลบเที่ยวซ่อน แต่จงอางนี่จะไปไหนมันก็ไปของมัน มันจึงเพ่นพ่านทั้งวัน แล้วพวกพระเราปฏิบัติต่อเขาอย่างนั้น ไม่เคยจับด้วย ไม่หยอกไม่เล่นด้วย ครั้นนานมา ๆ นี้ผู้คนเข้ามาเกี่ยวข้องเรื่อย ๆ ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ คนเฒ่าคนแก่อะไรกี่ประเภทเข้ามานี้ เขาไม่รู้เรื่องงูล่ะซี ไปบางทีเขาอาจจะหยอกจะเล่นกับมันบ้างอะไรบ้าง แล้วจะตั้งเป็นต้นเหตุขึ้นมาแล้ว จะเกิดเหตุ
จากนั้นมาเราเลยสั่งพระเลยบอกให้จับ คือให้จับงู เอาไปปล่อยที่ปลอดภัยจริง ๆ ปล่อยในป่าใหญ่ ๆ อันไหนที่ควรจะปล่อยในวัดได้ เช่นอย่างวัดถ้ำกลองเพล เอาไปปล่อยวัดถ้ำกลองเพล เพราะมันมีถ้ำ ในนั้นมีถ้ำด้วยแล้วกว้างขวางด้วย ไปปรึกษากับสมภารท่านเสียก่อน ท่านให้ปล่อยค่อยปล่อย ท่านไม่ให้ปล่อยเอาไปปล่อยที่ไหนก็ได้ แถวนั้นเป็นป่าทั้งหมด ไปท่านก็ให้ปล่อยเลย เอ้า ปล่อยก็เอา ปล่อยแล้วเพื่อนฝูงเขามีอยู่เยอะ ท่านว่างั้น เพื่อนเขามีอยู่เยอะในถ้ำนี้ เพราะมันอยู่นั้นเป็นประจำเหมือนกัน บางทีก็ปล่อยที่นั่น บางทีก็ไปปล่อยทางไปหนองบัวลำภู ปล่อยลงเขาไปเลย ไปปล่อยเรื่อย ๆ จับหมดเลยในวัดนี้นะ งูอะไร ๆ จับหมด เพราะผู้คนหนาแน่นขึ้นทุกวัน ๆ จนต้องทำอย่างงั้น
เพราะฉะนั้น ในวัดนี้จึงประหนึ่งว่าไม่มีงูนะ ไปที่ไหนไม่เจอ เพราะจับเอา ๆ ตอนเย็นเมื่อวานเจอตัวหนึ่ง งูสา งูทางมะพร้าว เขาไปทางนู้น งูชนิดนี้ไม่เป็นพิษแหละ แต่กับพวกสัตว์นี้พวกหนู พวกกระแต พวกไก่อะไรนี้เก่งมากนะงูสา เมื่อวานนี้เจอตอนค่ำ ๆ เขาไปทางนู้นแหละ ใครเจอให้มาบอกพระนะพระไปจับเอา อันนี้เป็นภัยต่อสัตว์ ไม่ใช่เป็นภัยต่อมนุษย์ คือเขาไม่มีพิษแหละ งูสาไม่มีพิษ งูสา งูเขียวตุ๊กแก งูเขียวใหญ่นั้นมันบวม ปวดเล็กน้อย แต่บวม สำหรับงูเขียวตุ๊กแกนี้ไม่บวม ไม่ค่อยมีปวดแหละ กับงูสาแบบเดียวกัน อันไหนที่เป็นพิษเป็นภัยพระท่านรู้หมด นี่พูดถึงเรื่องงูตัวนี้ที่เอามาให้เป็นตัวอย่าง ที่จังหวัดระยอง โห ตั้ง ๓ เมตร ๗๐ เซ็นต์ ใหญ่ ขนาดนี้แล้วใหญ่
เมื่อวานนี้ไปก็เกี่ยวกับงูอีกเหมือนกัน เมื่อวานนี้ไปวัดภูสังโฆ คือเอาของไปให้เฉย ๆ แหละ มาเล่าให้ฟัง พอเราไปเห็นไก่มันยั้วเยี้ย ๆ มีเยอะ เราเห็นไก่เหล่านี้สวยงามเหลือเกินนะ สดใสมากไก่ภูสังโฆเราว่า แต่ไก่วัดป่าบ้านตาดเหมือนนักโทษในเรือนจำ ตัวมันเศร้าหมอง มันไม่สดใสนะไก่วัดเรา คืออากาศมันต่างกัน ทางนู้นอากาศมันโล่งไปหมด อยู่ที่ไหนมันโล่งไปหมด สัตว์ตัวสดใส ไก่มองดูตัวไหนน่าดูทั้งนั้น แต่วัดเราอากาศมันไม่ค่อยดี สู้ภูเขาไม่ได้ ไก่จึงไม่ค่อยจะสดใสเหมือนนู้นนะ ดูก็รู้
พอว่างั้นเท่านั้นแหละ ท่านวันชัยเดินตามหลังมานี่ เพราะเราไปหาดูไก่ เราไม่ได้ดูคน พอเราพูดถึงเรื่องไก่ เมื่อคืนวานหรือว่าไง งูกำลังขึ้นมันจะไปเอาไก่ ว่างั้น ไก่พวกนี้ มันกำลังขึ้นตรงนี้ เราไปดู อู๊ยเกือบมันเอาหมา ว่างั้น เอาหมายังไง ก็ลูกหมาล่ะซิ โอ๋ย มันกำลังต้มยำดีขนาดนั้น เราว่างั้น หมาสามตัวลูกหมา หมาอยู่ทางนั้นมันกำลังขึ้นนี้ก่อน ว่างั้น เลยจับไปปล่อย พูดถึงเรื่องไก่ก็เลยพูดถึงเรื่องงูอีก เราเลยสั่งถ้าเจออย่ามาปล่อยแถวนี้นะ ภูเขาเหล่านี้มาได้ทั้งนั้นเราบอก ให้ไปปล่อยที่อื่น ภูเขาลูกอื่นนู้น ว่างั้น เราสั่งอย่างงั้นเลย อยู่ที่ไหนมันไปได้ ใกล้ไกลไปได้ทั้งนั้นงูนี่ ให้ไปภูเขาทางนู้น ให้มันข้ามทุ่งไร่ทุ่งนาเข้ามา มันไม่กล้าข้ามแหละ เช่นภูเขาทางนู้น ๆ
อย่างภูวัวก็เหมือนกัน อันนี้เราสั่ง ดุเอาเลยนะ อย่างงั้นซิความโง่ความฉลาดของพระ เราไม่ได้อวดว่าเราฉลาดนะ ไก่อยู่นั้นตั้งมากมายก่ายกองจนจะไม่มีไก่เหลือเลย งูเอาไปกินเรื่อย ขึ้นไปกินอยู่นั้น เอาไปปล่อยทางนู้นเดี๋ยวก็มาอีก มากินอีกจนหมด พอหลังจากนี้ไปเราทราบอย่างงั้นเลยดุเอาเลย บอกให้ไปปล่อยภูเขาคนละลูกเลยนะ อย่ามาปล่อยแถวนี้ ฟาดทีหลังจากภูวัวนี้ไปปล่อยภูลังกาเลย ภูลังกาอำเภอบ้านแพง ปล่อยสองตัวสามตัว เห็นมาอีกไหม ไม่เห็นอีกเลย ก็นั่นน่ะซิ มันโง่มันจะตาย เราสั่งขนาดนั้น
(เสียงหมาในวัดเห่าขึ้น) เสียงไอ้หยองหรือนี่ ไอ้หยองมันเป็นเสี่ยวกับอินโดนีเซีย ไปไหนติดพันกันไป ในครัวเป็นเสี่ยวกันหมด มันเป็นไม่ได้แต่กับเรา เห็นเราไปเห่า เราเอาไม้ไล่หวดเอานี้เปิดเข้าป่าเลย เห็นเราวิ่งหลบซ่อน อย่างหนึ่งก็เห่าออกมา เอามึงออกมา โอ๋ย ไม่ยอมออก เราเดินฉากไป วันไหนเราได้ไปนะ เขาอยู่ข้างใน เขาไม่ออกมา คือถูกไม้เรียวเราหวดเขา เขามาเห่าเราใกล้ ๆ ล่ะซี เราก็จับเอาไม้เรียว เขาก็ไม่รู้ไม้เรียวทีแรก พอหวดหลังเขาตั้งแต่นั้น โหย เข็ดเลย ไม่มา
นี่เราอยากให้ธรรมของพระพุทธเจ้านี้กระจายออกทั่วโลก เวลานี้ก็ออกบ้างแล้วแหละ ธรรมที่เทศน์อยู่เวลานี้นะออกทั่วโลกแล้ว ให้เขาได้ยินได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้า ในสามโลกธาตุนี้มีศาสนาพุทธอันเดียวเท่านั้น ชี้นิ้วเลย เราดูหมดพูดไม่ได้คุยอะไร มีอันเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้นถึงออกนี้เหมาะแล้วละ คนผู้มีนิสัยบ้างก็จะได้ยึดได้เกาะ ไอ้ส่วนไม่มีนิสัย ตาบอดหูหนวกไปก็แล้วแต่มันจะชนอะไรไปก็แล้วแต่ มันกรรมของสัตว์ ของดีมีอยู่ ของชั่วมีอยู่ แล้วแต่จะไปยึดไปเกาะกับอะไร ถ้าเกาะเอาจงอางมันก็ฟาดเอาอย่างนี้แหละ
เวลานี้ธรรมนี้กำลังกระจายออกไป เพราะการเทศนาว่าการของเราที่เทศน์นี้ เราไม่มีอะไรสงสัยเลย ไม่มีอะไรสงสัยในพุทธศาสนา ชี้นิ้วเลย มีศาสนาเดียวเท่านั้น ว่างี้เลย มันกระจายถึงกันหมดเลย จะไปสงสัยที่ตรงไหน มองปั๊บจับปุ๊บมันกระจายถึงกันหมด เป็นอันเดียวกันเลย หาที่สงสัยไม่ได้ ชี้นิ้วเลย มีพุทธศาสนาเท่านั้นที่เป็นศาสนาสอนคนโดยความถูกต้องแม่นยำ ที่เรียกว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ตรัสไว้ชอบแล้ว คือไม่มีผิดมีพลาดเลย ไม่ว่าจะธรรมะขั้นใดสอนโดยถูกต้อง ตลอดถึงวิมุตติพระนิพพาน สุดยอดแห่งธรรมก็คือพุทธศาสนาของเรา
ถ้าใครจะนำไปปฏิบัติก็ได้ผลเป็นที่พอใจโดยลำดับลำดา เพราะเป็นศาสนาที่ปัดความชั่ว สงวนความดี กวาดต้อนความดีเข้ามา ไม่ได้คละเคล้ากันเหมือนคนมีกิเลส ยกตนขึ้นเป็นเจ้าของศาสนาแล้วก็สอนศาสนา ทีนี้ศาสนามันศาสนาของคนมีกิเลส มันก็ศาสนกิเลสล่ะซีไม่ใช่ศาสนธรรม มันก็เป็นศาสนาของกิเลสสอน ชอบใจยังไงก็สอนไปตามความชอบใจ ทีนี้กิเลสมันชอบใจยังไงมันก็บ่งบอกออกในเจ้าของก็สอนคนอื่นไป อันนั้นดีอันนี้ถูกทั้ง ๆ ที่มันผิด เมื่อเขาเชื่อถือว่าเป็นครูเป็นอาจารย์ว่าเป็นศาสดาของเขาแล้วเขาก็ทำตาม ก็ทำบาปกันไปเรื่อย ๆ ด้วยความไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลยมากต่อมากนะ
เราจึงบอกว่าไม่มีศาสนาธรรมแท้ ๆ ไม่มี บอกเลย ชี้นิ้วอันเดียวเท่านั้น บอกได้อย่างชัดเจน ใครจะเอาคอเราตัด ๆ เลย เราไม่มีสะทกสะท้าน มันจ้าอยู่ในหัวใจนี้หมดแล้ว ร่องรอยที่มาที่ไปนี้จะแจ้งหมดเลยไม่มีที่สงสัย เราพูดตามธรรมนี่ ถึงใครจะมาตัดคอเราขาด คอขาดก็ขาดไปเราเป็นธรรมอยู่นี่ แน่ะ จะเป็นอะไรไป ตายก็เป็นธรรม เป็นอยู่ก็เป็นธรรมผิดไปที่ไหน
นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าถ้าลงได้เข้าถึงใจแล้วไม่ต้องไปถามใครเลย ท่านจึงเรียกว่า สนฺทิฏฺฐิโก คือผู้ปฏิบัตินั้นแลจะเป็นผู้รู้เห็นด้วยตัวเองโดยไม่ต้องไปถามใคร นี่พระพุทธเจ้าเป็นผู้ประกาศสอนเอง ถ้ายังไปถามพระพุทธเจ้าอยู่ทั้ง ๆ ที่ตนก็รู้ชัดเจนแล้วนี้ธรรมพระพุทธเจ้าข้อนี้ก็ไม่มีอำนาจ ไม่เฉียบขาด ไม่จริง ยังต้องไปถามอยู่ นี่ สนฺทิฏฺฐิโก พระองค์ประกาศเอง สาวกองค์ไหนรู้ปั๊บนี้หยุดทันทีไม่เคยไปถามพระพุทธเจ้านะ แม้ที่สุดองค์ที่กำลังจะไปทูลถามธรรมะขั้นสุดยอด จวนจะสิ้นแล้ว ไปพอดีฝนตกน้ำหยดย้อยลงมาจากหลังคาตกมากระทบกัน ตั้งเป็นต่อมเป็นฟองขึ้นมาแล้วดับไป ท่านพิจารณาเทียบเคียงกับสังขารธรรม ความปรุง ความคิด ดี ชั่ว ภายในใจเกิดแล้วดับ ๆ กระทบกันปั๊บเกิดแล้วดับ ตากระทบรูป หูกระทบเสียงแล้วดับ ๆ เหมือนกับน้ำข้างบนข้างล่างมากระทบกัน ตั้งเป็นต่อมเป็นฟองแล้วดับ ๆ ๆ พิจารณาตรัสรู้ปึ๋งในเวลานั้น พอฝนตกหยุดกลับเลย นั่น
ทั้ง ๆ ที่จะไปทูลถามพระพุทธเจ้าอยู่บนพระกุฎี ฝนตกอยู่ข้างล่างก่อน ฝนตกหยุดแล้วถึงจะขึ้นไป พอดีไปบรรลุธรรมที่นั่นเสีย โดยอาศัยฝนตกมาพิจารณาเทียบธรรมภายนอกภายใน เลยบรรลุธรรม พอฝนตกหยุดแล้วกลับไปเลย ไปเล่าให้หมู่เพื่อนฟังถึงเรื่องว่ากำลังจะทูลถามพระพุทธเจ้า พอไปถึงที่นั่นพิจารณาน้ำฝนกำลังตก เลยบรรลุธรรมตรงนั้นเลยกลับมาเสีย นั่น เห็นไหมล่ะ ไม่ไปทูลถามพระพุทธเจ้าเลย ทั้ง ๆ ที่กำลังจะไปทูลถามยังไม่ถามเห็นไหม จังขนาดไหนจริงขนาดไหน สนฺทิฏฺฐิโก ป้างขึ้นมาในใจเท่านั้นกลับเลย
นี่ละธรรมของพระพุทธเจ้า ใจเป็นนักรู้ ธรรมเป็นของจริง เมื่อรู้เข้าไปมันก็จริงเลย ๆ ใครรู้จริงเหมือนกันหมด ไม่ว่าพระพุทธเจ้าไม่ว่าสาวกบรรลุปึ๋งเข้าไปแล้วจริงเหมือนกันหมดไม่ต้องถามกัน นั่น เราอยากให้บรรดาชาวพุทธเราได้ปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า ที่เกิดมาคราวนี้ ชาตินี้เป็นชาติที่เหมาะสมอย่างยิ่งแล้ว พบพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นศาสนาที่เลิศเลอสุดยอดแล้วนะ ปฏิบัติเข้าไปจะเห็นความเลิศเลอจากศาสนธรรม ที่จะเข้ามาสัมผัสใจด้วยการปฏิบัติของเรานั้นแหละ จะค่อยสัมผัสเข้าไป จะแจ้งเข้าไป จะแจ้ง หายสงสัยเรื่อยๆ ไปเลย
เวลาเปิดโล่งแล้วที่นี่ไม่ทราบจะถามใคร เวลาเปิดโล่งหมดแล้วไม่ว่าพระพุทธเจ้าไม่ว่าสาวกโล่งเหมือนกันหมดในความบริสุทธิ์ของตน จ้าเหมือนกันหมดถามกันหาอะไร แน่ะ ท่านก็แสดงไว้แล้วว่า นตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย บรรดาท่านผู้บริสุทธิ์ถึงธรรมขั้นบริสุทธิ์แล้วตั้งแต่พระพุทธเจ้าลงมาถึงสาวกองค์สุดท้าย มีความเสมอภาคกันหมด ไม่มีใครยิ่งหย่อนกว่าใคร เพราะฉะนั้นท่านจึงไม่ได้ถามกัน ตรัสรู้ปึ๋งหายเลยไม่ถามกัน เป็นอย่างนั้นละธรรมพระพุทธเจ้า เวลามันเป็นเข้ามาในใจนี้จะไปถามใคร ใครจะว่าบ้าก็ว่าไปซิ ผู้อยากว่าปากมีให้มันว่าไป ปากเรามีเราก็จะว่าของเราอย่างนี้จะว่ายังไง ปากใครปากเรานี่วะ ไม่ได้ไปยืมปากใครนี่ รู้ก็หัวใจเราเองกับของจริงก็อยู่ด้วยกัน พูดออกมาจากความจริงมันจะไปไหนวะ แน่ะ มันก็เป็นอย่างเดียวกันหมดนั้นแหละ
การอบรมจิตใจนี้พี่น้องทั้งหลายให้พากันสนใจให้มากนะ คือการอบรมจิตใจนี้โลกทั้งโลกไม่มีใครมองดูใจเลยนะ บอกได้ชัดเจน นอกจากพุทธศาสนาที่จะมองดูหัวใจว่ามันผิดมันถูก ดี ชั่ว สุข ทุกข์ประการใดบ้างไม่มีใครมอง มีแต่ดีดแต่ดิ้นอยู่ภายนอกทั้งนั้นละ อันนั้นดีอันนี้ไม่ดี ชมอันนั้นติอันนี้ แล้วผลรายได้ทั้งความสุข ความทุกข์ ความดีใจเสียใจก็ผู้ไปปรุงไปแต่งนี้แหละมันเข้ามาหาเจ้าของ ดีใจกับสิ่งนั้นเสียใจกับสิ่งนี้ เป็นทุกข์กับสิ่งนั้นเป็นสุขกับสิ่งนี้อยู่ในหัวใจเรา เพราะไม่ได้ดูใจ ดูแต่สิ่งนั้นว่าดีไม่ดี ไปหาตำหนิเขาทั้ง ๆ ที่ตัวนี้โง่จะตาย
ธรรมพระพุทธเจ้าสอนให้เข้ามาดูที่นี่ ตัวที่มันออกดีดออกดิ้นออกคิดออกปรุง ตัวตำหนิสิ่งนั้นตำหนิสิ่งนี้ออกจากใจ ใจของเรามันเป็นยังไง มันดีดไปยังไง มันไปโกรธให้เขามันดียังไง แต่เขามาโกรธให้เราเรายังไม่เห็นพอใจ เหตุใดเราจึงพอใจไปโกรธให้เขา นี่เรียกว่า ถามตัวเอง ถ้าเราไม่พอใจให้เขาโกรธเรา เราก็อย่าไปโกรธเขาซิ ความโกรธเป็นไฟเหมือนกัน จี้เขาก็ร้อนจี้เราก็ร้อน นั่น แล้วจะเอาไปจี้เขาทำไม เมื่อเจ้าของกลัวไฟนี้ว่าร้อนอยู่อย่าไปจี้เขาซิ นั่น
ตัวเจ้าของไม่ชอบความโกรธ แต่ชอบไปโกรธให้เขาไม่ถูก เรียกว่าไม่ยอมเอาไฟจี้เราแต่ไปหาจี้แต่คนอื่น นี่ละจิตมันไม่เห็นโทษของตัวเอง ถ้าเห็นโทษจี้เราก็ร้อนจี้เขาก็ร้อนอย่าเอาไปจี้ นั่น เข้าใจไหมล่ะ ถึงโกรธมันก็มีเป็นธรรมดาของกิเลส ต้องให้รู้ว่าตัวโกรธนี้เป็นตัวผิด เราจะไปด่วนว่าคนนั้นผิด คนนี้ถูก ตัวนี้ตัวผิดพาให้เราเสียไป พอเรารู้แล้วอันนี้ก็ระงับไม่แสดงความผาดโผนต่อไป หลายครั้งหลายหนพอเริ่มแย็บรู้แล้ว ตัวมหาโจรมหาภัยจะออกแล้ว รู้แล้วระงับปั๊บ ๆ นั่นละท่านชำระกิเลส ทีแรกมันอยู่เท่าไรก็ไม่รู้ ต่อมามีมากมีน้อยค่อยรู้ ๆ จนกระทั่งมันแย็บนิดหนึ่งรู้ทันทีเป็นภัย จนกระทั่งอันนี้บรรลัยหมดไม่มีอะไรเหลือที่จะแย็บจะยับอะไรเลย นั่นเรียกว่า บริสุทธิ์ เอ้า ที่นี่ใครจะมาว่ายังไงให้โกรธไม่มี ความโกรธไม่มี หมดแล้วจากจิตใจ ตายก็ตายไปเฉย ๆ ทั้ง ๆ ที่ตายแต่ไม่โกรธ เพราะความโกรธคือกิเลสมันหมดไปแล้วจากหัวใจ
นี่ละการชำระจิต ชำระได้อย่างนี้นะ ไม่เป็นอย่างอื่น ท่านจึงเรียกว่า ผู้สิ้นกิเลส ความโลภก็เป็นกิเลส ความโกรธเป็นกิเลส ราคะตัณหาเป็นกิเลส มีมากมีน้อยมันจะต้องกวนเจ้าของให้ขุ่นให้มัวเป็นตมเป็นโคลนไปอยู่ตลอดเวลา ทีนี้เวลาชำระล้างด้วยสารส้มคือธรรม สารส้มแกว่ง เช่น น้ำมันขุ่น ๆ ตะกอนจะนอนลง ๆ น้ำจะใสขึ้นมา ๆ อันนี้เอาธรรมเข้ามากวน ระงับดับมันด้วยวิธีการต่าง ๆ คือ สอนตนเอง ซึ่งเท่ากับเอาสารส้มกวนน้ำที่ขุ่น แล้วน้ำก็ใสขึ้นมา ๆ ตะกอนก็นอนก้น อันนี้กิเลสมันก็ค่อยนอนก้นลงไป
น้ำใสขึ้นมาแล้วก็มองเห็นสิ่งดีชั่วต่างๆ เข้าไปโดยลำดับ ต่อไปตะกอนก็เอาออกหมด ทีนี้ก็มีแต่น้ำใสสะอาดเต็มที่เลย นั่นละจิตใจเมื่อได้ถูกซักฟอกแล้วเป็นอย่างนั้น ที่ท่านว่าความโลภไม่มี ตะกอนคือความโลภอันหนึ่ง ความโกรธคือกิเลสประเภทหนึ่ง ราคะตัณหาคือกิเลสประเภทหนึ่ง ๆ เมื่อหลายครั้งหลายหนเราเอาสารส้มกวนมันหลายครั้งหลายหนจนมันนอนก้น เอาออกหมดเสียเลยไม่มีตะกอน มันก็ใสแจ๋วตลอด ทีนี้ทำยังไงก็ไม่ขุ่น
ทีนี้จิตเมื่อกิเลสซึ่งเป็นเหมือนตะกอนอยู่ในหัวใจนี้ออกหมด ๆ แล้วจนกระทั่งไม่มีเหลือ ตายก็ไม่มีคำว่าโกรธ ไม่มีคำว่ารักว่าชัง เพราะกิเลสนี้ตายไปแล้ว ตายก็ตายสิ้นลมหายใจเฉย ๆ ไม่มีสิ่งเหล่านี้จะมาแสดง จึงเรียกว่ากิเลสหมด ถ้ายังค้นหายังเจออยู่ไม่หมด ที่ค้นหาอะไรก็ไม่เจอ เรียกว่าหมด ท่านจะไปค้นอะไรท่านรู้อยู่แล้วนี่ นี่เราพูดเฉย ๆ ว่าค้นหาก็ไม่เจอ ว่าเฉย ๆ ท่านไม่ค้นท่านรู้อยู่แล้ว นี่แหละเรื่องเป็นภัยต่อเรา คือสิ่งเหล่านี้แหละ
แล้วทั่วโลกไม่มีใครดูอันนี้นะ มีพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวดู ศาสนาพุทธเท่านั้นดู ดูธรรมชาติที่เป็นภัยต่อสัตว์โลกทั่วดินแดนนี้ ให้ชำระสะสางระงับดับมันด้วยอรรถด้วยธรรม ตามทางของศาสดาที่สอนไว้แล้ว สิ่งเหล่านี้จะค่อยระงับดับตัวลงไป คนที่เคยเป็นคนชั่วก็ค่อยเป็นคนดีเข้ามาๆ จนกลายเป็นคนดีไปเลย เพราะการชำระสะสาง การดัดแปลงตนเอง ให้พากันจำเอานะ อยู่เฉย ๆ จะให้มันดีมันดีไม่ได้นะคนเรา ชั่วก็ต้องทำมันถึงชั่ว แต่สิ่งที่ทำให้ชั่วมันผลักดันให้ทำ ให้ชอบทำชั่วมันก็ทำขึ้นมา ความชั่วก็เป็นขึ้นมา ถ้าไม่ทำ ถึงอยากทำก็ไม่ทำอย่างนี้มันก็ไม่ชั่ว มันอยู่กับเราเองทุกคน
สอนทุกวัน ๆ นี้ สอนยิ่งหนักลงไปทุกวันนะ แทนที่ว่าเฒ่าแก่ชรามาแล้วนี้สอนจะอ่อนข้อลงไป มันอ่อนเป็นบางวันธาตุขันธ์อ่อนแอมากมันก็อ่อน ถ้ามีอะไรเข้ามาผ่านใจนี้ปึ๋งมันจะขึ้นทันทีเลย เพราะใจไม่มีวัย ๆ คำว่าเฒ่าแก่ชราคร่ำคร่าไม่มีในใจ ธรรมล้วน ๆ ออกได้ทุกเวลา เป็นแต่เพียงว่าเครื่องมือคือร่างกายมันไม่อำนวย มันก็อ่อนเพลียไปธรรมดา สำหรับใจแล้วไม่มีอ่อน นี่ละใจ ธรรมอยู่กับใจ ใจอยู่กับธรรมจึงไม่มีวัย นิพพานเที่ยง เที่ยงตรงนั้นเพราะใจไม่มีวัย จะไปเฒ่าแก่ชราดับแล้วตายไปได้ยังไง ไม่ตาย วันนี้ก็พูดเพียงเท่านี้ละนะ ให้พากันจำเอา
ให้พากันไปอบรมจิตใจให้มีความสงบระงับ พุทโธ ๆ ธัมโม สังโฆ เวลาจะหลับจะนอนให้หลับกับคำบริกรรม หลับไปเลยกับคำบริกรรมทุกวันจนชินต่อนิสัย เวลาจะหลับไม่ต้องยุ่งกับงานอะไร ให้อยู่กับคำบริกรรม พุทโธ ๆ มีสติอยู่นั้น หลับปั๊บกับนั้นแล้วชื่นบาน ตื่นขึ้นมายิ้มแย้มแจ่มใส ต่างกันนะ เอาละทีนี้จะให้พร
ชมการถ่ายทอดสด ธรรมะหลวงตาวันต่อวัน ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
|