เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖
คิดฆ่าตัวตาย
ยอดรวมจากงานวันวิสาขบูชา ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวงระหว่างวันที่ ๙-๑๕ พฤษภาคม ๒๕๔๖ ได้ทองคำหนัก ๑ บาท สองสลึง เงินบาท ๒๖๖,๙๓๙.๗๕ บาท เงินสหรัฐ ๓๖ ดอลล์กับ ๕ เซ็นต์ เงินบราซิล ๕ ดอลล์ เงินเหรียญสกุลอื่นๆ อีก ๑๓ เหรียญ คณะลูกศิษย์ได้ร่วมบริจาคเพิ่มอีก ๑๑,๖๖๐.๒๕ บาท เพื่อซื้อทองคำหนัก ๔๐ บาท เป็นเงิน ๒๘๓,๖๐๐ บาท รวมเป็นทองคำที่ถวายทั้งสิ้นหนัก ๔๑ บาท ๒ สลึง
(มีจดหมายจากคนหมดหวังในชีวิตแล้ว มาได้ธรรมะของหลวงตาเข้าจิตใจเริ่มสงบ และเลิกคิดที่จะฆ่าตัวตายครับ ถ้าหลวงตาอนุญาตก็จะอ่านครับ) เอ้า อ่านได้มันเป็นคติอยู่ (ขึ้นต้นว่า หัวกระทู้ที่ ๗๗๖ นำมาเล่าสู่กันฟัง)
ถึงหลวงตาผู้มีพระคุณ
ก่อนอื่นต้องขอบอกว่า เมื่อหลายวันที่ผ่านมา ดิฉันมีเรื่องกลุ้มใจมาก ไม่รู้จะทำอย่างไรดี เกือบคิดจะฆ่าตัวตาย แต่ใจมันก็ยังไม่กล้า พอดีมีคนข้างบ้านเขามาชวนไปที่สนามหลวง บอกว่าไปเที่ยวงานวันวิสาขบูชากัน ดิฉันก็ไป (ในใจคิดว่าหาอะไรทำไปก่อนเพื่อจะไม่ได้คิดฟุ้งซ่าน) พอลงรถเมล์ที่สนามหลวงก็เห็นซุ้มของวัดป่าบ้านตาดก็ลองเข้าไปดู พอดีเห็นมีฉายอะไรไม่ทราบทางโทรทัศน์ ก็เลยไปนั่งดูนั่งฟัง ทั้งที่เป็นการ์ตูนพุทธประวัติหรือเรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับหลวงตา พอได้ดูดิฉันก็รู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก ความทุกข์ที่มีอยู่มันค่อยๆ ดีขึ้น วันรุ่งขึ้นดิฉันก็เลยมาอีก แต่ก็พึ่งรู้ว่าเป็นวันจัดงานวันสุดท้าย ดิฉันอยู่ถึงตอนที่ เพลิน พรหมแดน มาแล้วจึงกลับบ้าน มานอนคิดไปคิดมาว่า ธรรมะของหลวงตาทำให้ดิฉันจิตใจปลอดโปร่งเช่นนี้ ทำให้รู้สึกดีขึ้นมาก เลยต้องมาบอกกล่าวให้ทุกท่านได้ทราบถึงเหตุการณ์อันนี้ และขอกราบขอบพระคุณหลวงตาด้วยค่ะ
ป.ล. อยากทราบว่าวิดีโอที่ฉายทางโทรทัศน์ที่เต็นท์นั้นมีขายหรือไม่คะ ทั้งที่เป็นพุทธประวัติหรือที่เกี่ยวกับท่านหลวงตา อยากจะเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึก เอาไว้เตือนว่าที่เรารอดมาได้ก็เพราะหลวงตา และเก็บไว้ดูเมื่อเวลามีทุกข์ใจขึ้นมา ถ้ามีหรือไม่มีก็บอกด้วยนะคะ ถ้ามีจะหาซื้อได้ที่ไหน เพราะถ้าไปซื้อที่วัดไกลมากเลย ดิฉันคงไปไม่ไหว
คนึงนิตย์
๑๖ พ.ค.๒๕๔๖
แล้วแต่ทางวัดจะจัดอะไรให้ก็แล้วแต่ อย่างที่ว่าคิดจะฆ่าตัวตาย นี่เพียงนิดเดียวนะที่มาแสดงออกในสาธารณะ เช่น สนามหลวง เป็นต้น แล้วนำเรื่องมาออกอย่างนี้ อันนี้นำออกมาเพียงเล็กน้อย โลกนี้มักเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น ตัดสินใจเพื่อจมนรกทั้งเป็นๆ นี้มากที่สุด คือตายเสียดีกว่าๆ ฆ่าตัวตายๆ นี่เรียกว่าลงนรกทั้งเป็นดีกว่าๆ ประหนึ่งว่าไปสวรรค์ในเวลานั้น มีมากนะ โลกเป็นกันอย่างนั้น เพราะเหตุไร เพราะกิเลสมีประจำอย่างนี้ทุกหัวใจ ธรรมที่จะมาแก้ไขกันลบล้างกันไม่มี จึงมีแต่ทำอย่างนี้ดาษดื่น โลกจึงดาษดื่นไปด้วยการอยากจะฆ่าตัวตายเพื่อไปสวรรค์สดๆ ร้อนๆ นี้เสียมากต่อมากนะ แต่ไปสวรรค์สดๆ ร้อนๆ ไปนิพพานสดๆ ร้อนๆ ตามทางของศาสดานั้นรู้สึกว่ามีน้อยมาก เช่น ผู้ปฏิบัติมีความรักใคร่สนใจในอรรถในธรรม ประพฤติปฏิบัติเพื่ออรรถเพื่อธรรมตลอด กระทั่งบำเพ็ญจิตใจให้มีความสงบเยือกเย็น นี่เรียกว่าเห็นผลในปัจจุบัน นี่ละขึ้นสวรรค์ทั้งเป็น นั่งภาวนานั้นก็เป็นแล้วเรื่อยๆ จากนั้นก็จ้าขึ้นๆ พุ่งถึงนิพพานทั้งเป็น นี่ธรรมของพระพุทธเจ้าไปนิพพานทั้งเป็น
เรื่องของกิเลสนี้ไปสวรรค์ทั้งเป็น คือตกนรกสดๆ ร้อนๆ นั้นแหละ ให้พากันจำเอานะ นี่ละฉากของกิเลสกับฉากของธรรมมันไป มีหน้ามือหลังมือ มันพลิกอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา แต่คิดจะไปสวรรค์ทั้งเป็นตามทางของศาสดานี้ไม่ค่อยมี เรื่องที่จะไปสวรรค์ทั้งเป็นคือคิดฆ่าตัวตายนี้ แหม เราอยากจะพูดว่าทุกหย่อมหญ้าเลย คือหัวใจของสัตว์มีธรรมชาตินี้ทุกหัวใจ มันจะไม่ทุกหย่อมหญ้าได้ยังไง ความทุกข์นี้กิเลสมันหมุนอยู่ตลอดเวลา ความสุขมันไม่มี แย็บมาก็คิดเรื่องรื่นเริงเสียนิดหนึ่ง เอามาหลอก รื่นเริงปั๊บแล้วฉากไฟเผาเข้ามาๆ อยู่อย่างนั้นตลอดเวลา
อ่านเรื่องกิเลสกับธรรมนี้ต้องอ่านด้วยจิตตภาวนา และนักพินิจพิจารณา มีด้านภาวนาเป็นหลักเกณฑ์ คิดแตกแขนงออกไปเท่าไรยิ่งไปเรื่อยๆ เรื่องอรรถเรื่องธรรม ที่เคยพูดอยู่ตลอดเวลาที่ว่ากิเลสกับธรรมมันอยู่ในหัวใจเดียวกัน คือเกิดที่หัวใจ เกิดที่อื่นใดไม่ได้ จะเกิดและอยู่ที่หัวใจของสัตว์โลก มีเท่านั้น มีกิเลสกับธรรมเกิดอยู่ที่หัวใจ ไม่เกิดที่อื่น ทีนี้อารมณ์ของกิเลสเขาเกิดอยู่ที่นั่น เขาก็หมุนไปตามเรื่องของกิเลส เกิดอยู่ในหัวใจดวงเดียวกัน เขาก็หมุนไปทางกิเลส เกิดอยู่ในหัวใจดวงเดียวกันคือธรรม ก็หมุนไปทางธรรมเรื่อยๆ อยู่ในหัวใจดวงนี้ มันชัด อะไรไม่มีชัดยิ่งกว่าการจิตตภาวนา นี่บอกเลิศเลอเลย พระพุทธเจ้าเลิศเลอด้วยจิตตภาวนา พระสงฆ์สาวกที่มาเป็นหลักของพุทธศาสนาอยู่เวลานี้ ออกมาจากจิตตภาวนาทั้งนั้นไม่ออกจากที่ไหน หลักใหญ่รากใหญ่อยู่ตรงนั้น
เวลาเปิดเข้าไปตรงนี้มันจะเห็นทุกอย่างในนั้น ที่ว่าแดนนรกสวรรค์ พระพุทธเจ้าแสดงไว้นั้นออกจากพระทัยพระพุทธเจ้า จ้าอยู่นั้นเห็นไปหมดเลย ทรงนำอันนั้นมาพูด ทีนี้เรามันมืดมันก็มืดไปหมด มันไม่เห็น แล้วเอาความไม่เห็นนั่นแหละเป็นเจ้าอำนาจบาตรหลวงใหญ่โตว่านรกไม่มี บาป บุญ นรก สวรรค์ นิพพาน ไม่มีไปเลย เอาความมืดบอดมาเป็นใหญ่ยิ่งกว่าอรรถกว่าธรรมของศาสดาไปเสีย นี่ละกิเลสมันจึงออกหน้าอยู่เสมออย่างนี้ ก็เมื่อทำลงไปมันเห็นอยู่รู้อยู่ จะปฏิเสธสักเท่าไรก็ปฏิเสธไปซี เหมือนพระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียว หรือพระสงฆ์สาวกท่านผู้มีความเชี่ยวชาญ แม้จะไม่ตามภูมิพระพุทธเจ้าตามลำดับแห่งนิสัยวาสนาของท่าน ท่านรู้อะไรเห็นอะไรนี้ท่านแม่นยำ ๆ ท่านไม่จำเป็นต้องหาใครมาเป็นพยานทั้งนั้นแหละ เป็นอย่างเดียวกันหมด รู้ในภูมิใดของตัวเองเต็มภูมิของตัวเอง ๆ ตลอดไปเลย รู้เต็มภูมิแห่งศาสดาก็สอนโลกได้สามแดนโลกธาตุ
นั่นล่ะธรรมถ้าลงได้รู้แล้ว ใครจะมาหลอกไม่มีเชื่อ ถ้าเชื่อใครพระพุทธเจ้าจะเป็นศาสดายังไง ก็วิ่งตามกิเลสเสียทั้งหมดล่ะซิ นี่คือเชื่อธรรม เชื่อศาสดาองค์เดียวที่ตรัสรู้ขึ้นมา จ้าขึ้นมาแล้วก็ไม่ทราบจะไปถามใคร ก็มันเห็นอยู่จัง ๆ ไปถามใครที่ไหน รู้อยู่จัง ๆ เห็นอยู่จัง ๆ แล้วจะไปถามใครที่ไหน นั่นละเรื่องธรรมก็เป็นอย่างนั้น ก็เหมือนกิเลสหลอกเราอยู่จัง ๆ อย่างนี้แหละ จะไปถามใครที่ไหนอีกมันก็รู้อยู่ โมโหก็ไปถามใคร เหอ ควรโมโหให้คนนี้ไหม ไม่เห็นได้ไปถาม โมโหขึ้นทันที เข้าใจไหมล่ะ ไม่ว่าความรักความชังเป็นเรื่องของกิเลสจะขึ้นทันที ไม่ต้องไปถามใคร ปรากฏชัดเจนในเจ้าของหายสงสัยทันทีเลย นี่เรื่องของกิเลสและธรรมเป็นขึ้นที่หัวใจอย่างเดียว
ท่านทั้งหลายอย่าไปหาที่ไหน ให้ดูที่จิตใจ นี่เป็นบ่อแห่งความรู้ ครอบโลกธาตุก็คืออันนี้ หลงครอบโลกธาตุก็คืออันนี้เอง พออันนี้เปิดแล้วก็จ้าไปหมดเลย อันนี้มืดเสียอย่างเดียวมืดหมด พระอาทิตย์จะกี่พันดวงก็ตามไม่มีความหมาย ถ้าใจมืดเสียดวงเดียวมืดตลอด ลงนรกทั้งเป็นทั้งๆ ที่พระอาทิตย์มีร้อยดวง มันก็หลับตาลงนรกได้สบาย คนมืดในหัวใจนะ ถ้าแจ้งในหัวใจพระอาทิตย์ไม่อาทิตย์ไม่สำคัญ ผางขึ้นมาเท่านั้น พระอาทิตย์กี่หมื่นกี่แสนกี่ล้านดวงสู้ใจดวงเดียวนี้ไม่ได้ เดี๋ยวนี้หายสงสัยหมด พระอาทิตย์จะไปส่องที่ไหนอีก ถ้าไปส่องเข้าในที่มืดในถ้ำมันก็เข้าไม่ถึงเสีย พระอาทิตย์ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา ความสว่างเสมอเสมอด้วยปัญญาญาณไม่มี หยั่งเข้าถึงหมดเลย นั่น
ธรรมกับกิเลสอยู่ในหัวใจอันเดียวกัน จึงสอนลงที่นี่ ไม่สอนที่ไหน ที่อื่นเราไม่สอน สอนลงที่นี่ เพราะสิ่งที่รับเหตุการณ์ทั้งดีและชั่ว สุขและทุกข์อยู่ที่หัวใจดวงเดียว เพราะฉะนั้นจึงต้องศึกษาอบรมทางจิตใจ ทางด้านธรรมะ คือเป็นฝ่ายที่ดีเข้าเสมอ ๆ แล้วก็จะค่อยกระจ่างออกไปๆ หายสงสัยเรื่อย ภัยทั้งหลายก็จะจางไป ๆ ทุกข์ทั้งหลายก็จางไปด้วยกัน ความสุขความเจริญจะเป็นขึ้นที่ใจ เราจะไปหาที่ต้นไม้ภูเขาไม่มี เขาไม่ได้ว่าเขาสุขเขาเจริญสิ่งเหล่านี้ เรามนุษย์ที่มันปากเปราะ มันหาเรื่องว่าอันนั้นดีอันนี้ดี เจ้าของเลวมันไม่ดู ถ้าดูตัวเลวตัวดีอยู่ที่จิตนี่มันจะเห็นหมด เพราะมันอยู่ที่นี่ นอกนั้นไม่มี มีแต่เราไปว่าเอาเฉย ๆ เขาไม่ได้ว่าเขาดีเขาชั่วนะ ตัวนี้ตัวดิ้นตัวดีดไปหาว่าเอาเฉย ๆ มันก็เป็นไปอย่างงั้นแหละ ความทุกข์ก็มาอยู่กับเจ้าของ จะตื่นลมเจ้าของ หรือรื่นเริงบันเทิงก็อยู่กับเจ้าของอีกแหละ ตื่นอยู่กับเจ้าของนั่นละ จะไปตื่นอยู่กับใคร
คนคิดจะฆ่าตัวตายมันมีน้อยเมื่อไร ไม่พูดเฉย ๆ มันเต็มโลกธาตุ ตัดสินใจสด ๆ ร้อน ๆ กินสด ๆ ร้อน ๆ เลย ไปสวรรค์สด ๆ ร้อน ๆ ในความรู้สึก แต่ขณะเดียวกันก็จมลงในนรกสด ๆ ร้อนๆ นี่ละจิตดวงนี้เห็นไหม พลิกจากนี้ไปว่าตายเสียดีกว่า ตายไปแล้วก็จิตดวงนี้ มันจะดีที่ไหน ก็มันเลวจนกระทั่งถึงฆ่าตัวเอง มันจะเอาความดีมาจากไหน ผู้ดีท่านก็ดีของท่านอยู่แล้ว ไปที่ไหนท่านก็จะวิตกวิจารณ์อะไร ท่านดีของท่านอยู่ แน่ะ ผู้เลวจะไปตัดสินแบบไหนก็ตัดสิน ถ้าความเลวพาตัดสินเลวทั้งนั้น ถ้าความดีพาตัดสินมันรู้อยู่ในใจ อยู่ที่ไหนก็ดีตลอด ๆ ไม่มีอะไรที่จะสงสัย
นี่สอนท่านทั้งหลายมาได้ ๕๔ ปีนี้แล้ว โกหกท่านทั้งหลายมาเรื่อย ๆ เหรอ ฟังซิน่ะ ในโลกอันนี้เราพูดจริงๆ เต็มเม็ดเต็มหน่วยอยู่ตลอดเวลาอย่างงี้ และออกมาอีก โลกอันนี้พอหมด ฟังซิน่ะ มีอะไรที่ว่าสมมุติเท่าเม็ดหินเม็ดทรายที่จะเข้ามาเพิ่มเติมจิตใจดวงนี้ว่าไม่พอไม่มีเลย แล้วจะมากดถ่วงจิตใจดวงนี้ หรือจะมาคิดจิตดวงนี้ไม่พอแล้วเอามาเพิ่มไม่มี แล้วจิตนี้หนักหน่วงเกินไปถอนออก ๆ ไม่มี พอดี ไม่มีอะไรเลิศยิ่งกว่าจิตที่บริสุทธิ์เต็มสัดเต็มส่วนแล้ว พอดีตลอดเวลา ปล่อยหมดโดยประการทั้งปวง นี่สอนโลกด้วยการปล่อยหมดนะ สอนขนาดนั้นนะ ดูกิริยาท่าทางซิ เป็นยังไงโกหกท่านทั้งหลายไหม ปฏิบัติมาแทบเป็นแทบตาย ถึงขั้นจะสลบไสลถึงจะตายมีไม่น้อยนะ มีแต่จะฟัดกับตัวนี้ให้กิเลสมันพัง ๆ สุดท้ายมันก็พังจริงๆ ด้วยอำนาจแห่งความอุตส่าห์พยายามไม่หยุดไม่ถอย
นี่เห็นไหมอำนาจของความเพียร วิริเยน ทุกฺขมจฺเจติ คนจะหลุดพ้นจากความทุกข์ได้เพราะความพากเพียร เมื่อเอาอยู่ไม่หยุดไม่ถอยมันก็จ้าขึ้นมาอย่างนั้นแล้ว แล้วมีขณะไหนที่กิเลสเข้ามาแทรกแซง ที่จะมาเป็นอุปสรรคต่อหัวใจดวงนี้ไม่เคยมีเลย จ้าอยู่ตลอดเวลา พอตลอดเวลา ไม่มีอะไรที่จะ จึงยกเป็นตัวอย่างมา ความนินทาก็ดี ความสรรเสริญก็ดี เอาส่วนหยาบ ๆ นี้ออกมาให้โลก เพราะโลกทั้งหลายรู้กันทั่วหน้า เอาอิฐก้อนนี้มาน้ำหนัก ๑๐ กิโล เอาทองคำแท่งนี้มาน้ำหนัก ๑๐ กิโล โลกจะโดดใส่ทองคำผึงเลย อิฐไม่เหลียวไม่เหลือบมอง จะโดดใส่ทองคำทั้งนั้น นี่โลกของกิเลสเป็นอย่างนี้ด้วยกันทั้งหมด
ทีนี้เรื่องของธรรมไม่เป็นอย่างนั้น พลิกปั๊บ อิฐก้อนนี้น้ำหนัก ๑๐ กิโล เอายกดูซิ ๑๐ กิโล เราต้องใช้กำลังถึง ๑๐ กิโลยก เอ้า ทองคำนี้ก็น้ำหนัก ๑๐ กิโล ต้องใช้กำลังยกทองคำถึง ๑๐ กิโล ทั้งสองนี้มีน้ำหนักเท่ากัน ไม่ว่าจะยกอิฐ ไม่ว่าจะยกทองคำ น้ำหนักมีเท่ากัน แล้วทำไงจะดีล่ะ ไม่ยกทั้งหมด ไม่หนักทั้งนั้นสบายเลย นั่นแหละจิตที่ไม่ยกทั้งหมด ไม่รับทั้งหมด ขึ้นชื่อว่าสมมุติ ไม่ว่าทองคำ ไม่ว่าก้อนอิฐ เป็นสมมุติด้วยกัน มีน้ำหนักเท่ากัน ปล่อยเสียหมดโดยสิ้นเชิง นั้นคือวิมุตติ ไม่ยึดอะไรเลย นี่สอนท่านทั้งหลายสอนด้วยความไม่ยึดนะ มันจ้าอยู่นี้มาแล้ว
ศาสดาองค์เอกนี้กราบอยู่ตลอดเวลา พระพุทธเจ้ามีอย่ามาพูดนะไอ้ล้าน ๆ ๆ ว่ามีกี่ล้านกี่องค์ มันมองดูมันทะลุไปหมดจะว่าไง ท่านทั้งหลายดูซิดูน้ำมหาสมุทร หรือไม่ดูน้ำมหาสมุทรก็ไปดูหนองประจักษ์มันกว้างขนาดไหน แล้วเป็นยังไงน้ำ เม็ดไหนมันก็น้ำในบึงนั้นทั้งนั้น ๆ เม็ดไหนก็คือน้ำในมหาสมุทร หยาดฝน เม็ดฝน ดวงไหนก็เหมือนกันที่จิตผางลงไปนั้นแล้วเป็นมหาวิมุตติมหานิพพานเหมือนกัน กว้างขนาดไหน ใหญ่ขนาดไหน เรามองดูน้ำมหาสมุทรดูซิมันมีกี่หยด ใครจะไปนับ ว่าเป็นน้ำมหาสมุทรเท่านั้นพอ นี้คือพระพุทธเจ้าเท่านั้นพอหมดเลย มันถึงกันหมดแล้ว แล้วไปถามกันหาอะไร ไปนับกันหาอะไร นั่น พระพุทธเจ้ามีหรือไม่มี มันจ้าอยู่นั้นแล้ว เหมือนเราอยู่ในท่ามกลางน้ำมหาสมุทร แล้วมหาสมุทรกว้างแคบขนาดไหนมันก็รู้กันอยู่แล้ว
ที่มาสอนโลกสอนขนาดนั้นทีเดียว เราไม่มีคำว่าสะทกสะท้าน ในสามแดนโลกธาตุนี้เราบอกแล้วเราไม่มี ตั้งแต่ขณะกิเลสตัวเป็นเสี้ยนเป็นหนามขาดสะบั้นลงไปจากใจเท่านั้น ธรรมะจ้าขึ้นมาแล้วไม่มีอะไรเป็นปัญหาในหัวใจเลย จะเป็นก็เป็นจะตายก็ตาย ก็มีแต่เรื่องสมมุติพาอยู่ พากิน พาขับพาถ่าย พาหลับพานอน อยู่นี้ เพียงรับผิดชอบกันไปตามสัญชาตญาณ จะให้ยึดก็ไม่ยึด อาศัยกันไปเพียงเท่านั้น ๆ เอ้าจะไปวันไหนก็ไปซิ จะอยู่ก็อยู่ไปอย่างงี้จะว่าไง ถึงกาลจะไปไปซิห่วงอะไร หวงอะไร ห่วงอะไร นั่น ธรรมจึงว่าเลิศ ๆ ล่ะซิ
นี่สอนมาเต็มเม็ดเต็มหน่วย ขนาดนั้นพวกถังขยะพวกส้วมพวกถานมันยังเห่าว้อ ๆ ๆ เห่าช่างหัวมันซิปากมันเอง มันก็อยู่ส้วมอยู่ถาน มันเห่ามันก็เห่าอยู่ส้วมอยู่ถาน เห่าลงไปแล้วมันก็ไปกินส้วมกินถานอันเก่ามันนั่นแหละ ไม่ไปกินของวิเศษวิโสอะไรแหละ ทองทั้งแท่งท่านไม่ไปกิน เข้าใจไหมล่ะ มันกินตั้งแต่พวกส้วมพวกถาน พวกเฝ้าส้วมเฝ้าถาน เห่าอยู่ในส้วมในถาน มันเห่าของมันเอง กินของมันเองอยู่ในนั้นแหละ ส่วนธรรมอันเลิศเลอท่านไม่ไปสนใจ การสอนโลกเราจึงไม่มีว่าที่ไหนสูงที่ไหนต่ำ ที่นั่นน่าขยะ ที่นี่น่ากลัว ที่นั่นน่าเกรงขาม ที่นั่นสูง ที่นั่นต่ำ นี้คือสมมุติทั้งมวล ธรรมะราบไปหมดเลย เหนือขนาดไหนแล้ว ที่ท่านตั้งชื่อไว้กลาง ๆ ว่าโลกุตรธรรม ธรรมของผู้ที่จะหลุดพ้นจากโลกขึ้นไป เป็นโลกุตรธรรม ผู้ทรงธรรมประเภทนี้จะหลุดพ้นหรือหลุดพ้น คือธรรมเหนือโลก แปลออกมาแล้วนะ
ธรรมประเภทนี้คือธรรมเหนือโลก อยู่ที่หัวใจของผู้บรรลุธรรมนั้นแหละ ตั้งแต่พระโสดาขึ้นไป ก้าวขึ้นสู่โลกุตรธรรมเรื่อยๆ จะไม่กลับมาเกิดตายอีกเลยเจ็ดชาติไป โสตะแปลว่ากระแสแห่งพระนิพพานพาดพิงถึงแล้ว อย่างช้าก็เกิดเพียงเจ็ดชาติ ขึ้นสวรรค์ ลงมาแดนมนุษย์ สร้างบารมีแล้วขึ้นสวรรค์ลงมาอย่างมากเจ็ดชาติ ไปเลย ไม่ไปอบายมุขอบายภูมิที่ไหน บรรดาพระอริยบุคคลตั้งแต่ชั้นพระโสดาขึ้นไปแล้วปิดอบายมุขทั้งหมดจนกระทั่งถึงวันนิพพาน อย่างกลางก็ ๓ ชาติ อย่างสุดท้ายก็ ๑ ชาติ ท่านก็บอกไว้อย่างแน่นอน พอเจอเข้าไปปั๊บจะไปถามใคร มันรู้อยู่ในหัวใจนั้นแล้ว พระพุทธเจ้าสอนไว้ทุกอย่างๆ ออกมาจากพระทัยพระพุทธเจ้า เวลาเรารู้ก็ใจอันเดียวกัน รู้ธรรมชาติอันเดียวกัน จะผิดกันที่ตรงไหน มันก็เหมือนกันไปหมด
นี่พูดจริงๆ ไม่เคยหวั่นวิตกกับอะไร ไปเทศน์ที่นั่นไปสอนที่นี่อย่างเทศน์สอนคนได้ ๕ ปีกว่ามาแล้วนี้ เป็นยังไงท่านทั้งหลายไปเห็นหลวงตาบัวขึ้นนั่งเทศน์แล้วไปนั่งสั่นงกๆ อยู่นี่เห็นไหม หลวงตาบัวสั่น กลัวบ้างกล้าบ้างอะไรบ้าง ตัวสั่น ไปเห็นที่ไหนบ้างว่าซิ สั่นตั้งแต่จะไม่ได้ตีหัวกิเลสในหัวใจคนเท่านั้นแหละ เข้าใจเหรอที่สั่น ก็จะสั่นที่ตรงนี้ สั่นอันอื่นเรามองไม่เห็น แต่กิเลสมันหนามันบางมันเต็มอยู่หัวใจคน ไม่บอกมันก็เป็นของมัน แต่ไม่พูดสิ่งเหล่านี้น่ะ พอขึ้นนั่งปั๊บมองไปนี้เป็นยังไง ไม่ต้องพูดก็รู้ รู้แล้วไปถามใครทำไม เท่านั้นเอง แล้วกลัวอะไรกล้าอะไรกับสิ่งเหล่านี้ ประสามูตรคูถ ถังมูตรถังคูถมันเต็มอยู่ในสามแดนโลกธาตุ มันได้ความวิเศษวิโสเหนือธรรมมาจากที่ไหนพอจะไปกลัวมันวะ เข้าใจเหรอล่ะ
นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าเลิศขนาดนี้ ศาสดาองค์เอก ชี้นิ้วเท่านั้นพอ ไม่ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ใดตรัสรู้มาแบบเดียวกันหมด เล็งดูพับเป็นอันเดียวกันหมด จะถามใคร นี่ละพระพุทธเจ้าทุกพระองค์มากขนาดไหนก็ตาม เป็นน้ำมหาสมุทรเหมือนกันหมด แบบเดียวกัน ถามกันหาอะไร พวกเรามันงกๆ งันๆ ฟังแล้วไม่ค่อยฟังนะ มันไม่ถึงใจเหมือนกิเลส ถ้าเรื่องของกิเลสนี้ โหยเร็ว เอะอะฆ่าตัวตายดีกว่า ดีกว่าอะไรล่ะ ฆ่าตัวตายเสียดีกว่า ไม่ทราบว่าดีกว่ากับอะไร หาสิ่งที่มาแข่งก็ไม่เห็น ก็มีแต่ตัวเองแข่งตัวเอง จมนรกก็คือเราเอง ฆ่าตัวตายก็เราเอง จมลงนรกก็คือตัวเราเอง ความสำคัญว่าดีกว่าก็คือตัวเราเอง ไม่ทราบว่ามันดีกว่าอะไร มันโง่ไหมมนุษย์เราน่ะ โห น่าทุเรศนะ ธรรมพระพุทธเจ้า คือไม่มีอะไรเหมือนเลยว่างั้นเถอะน่ะ นั่นซิที่ว่าท่านท้อพระทัยก็คืออย่างนั้นเอง พระองค์คลุกเคล้ากับความทุกข์ทรมานมากี่กัปกี่กัลป์ แต่ละพระพุทธเจ้าแต่ละองค์ ๆ นะ
สมัยที่ท่านยังเป็นคนธรรมดาสามัญเหมือนเรานี้ ขึ้นสวรรค์ชั้นพรหม ตกนรกอเวจี เป็นสัตว์ประเภทต่าง ๆ เหมือนกันหมด ไม่มีใครยิ่งหย่อนกว่าใคร เวลาเป็นคติธรรมเป็นอย่างนั้น เวลาสูงขึ้น ๆ ตั้งเป็นความปรารถนาในพุทธภูมิขึ้นมา สูงขึ้นเท่าไรทีนี้ไม่ลง ขึ้นเรื่อยๆ พอถึงจุดสุดยอดแล้วเป็นศาสดาตรัสรู้ผึงขึ้นมา ทีนี้มองลงมาข้างหลังที่เคยเป็นมาแล้วเป็นยังไง ตายคลุกเคล้ากับกองทุกข์ทั้งหลาย ทั้งเขาทั้งเราตายกองกันอยู่นี้กี่กัปกี่กัลป์มาเท่าไร มันเป็นแบบเดียวกันหมดทั้งเขาทั้งเรา ทั้งพระองค์และสัตว์ทั้งหลาย
ที่ว่า ปุพเพนิวาสานุสสติญาณก็ดี และจุตูปปาตญาณก็ดี เอามาบวกกันแล้วมันเหมือนกันหมด อันนั้นเหนือแล้ว แต่เวลานั้นยังไม่เหนือ จึงว่าทั้งสองอย่างมีสาเหตุมาจากอะไร จึงมาพิจารณาถึงต้นเหตุแห่งความเกิด อวิชฺชาปจฺจยา ขึ้นตรงนี้เลย ปัจจยาการ ว่า อริยสัจ ๔ ก็ไม่ผิด เพราะเป็นสมุทัยด้วยกัน พอจ้าอันนี้ขึ้นมาแล้วมันก็หมด ทีนี้หมดแล้วมันก็เห็นหมดละซิ เรื่องของเจ้าของ โอ้โห มันตายกองกันมานี้เท่าไร ๆ แล้ว นั่นเห็นไหมละที่นี่ เจ้าของไม่เห็นแต่ก่อน แล้วก็เจ้าของนั่นแหละเป็นผู้รู้เองเห็นเอง แล้วปฏิเสธที่ไหนว่าตายแล้วสูญ พิจารณาซิ หลับตาปฏิเสธได้ยังไง
นี่พูดจริง ๆ การสอนโลก เราไม่เคยมีอะไรกับแดนสมมุตินี้เลย ควรจะเทศน์หนักเบามากน้อย ตามแต่ผู้ที่เข้ามาเกี่ยวข้องจะได้ผลประโยชน์มากน้อยเพียงไร ก็แสดงออกตามเรื่องเท่านั้น หากว่าไม่เป็นผลเป็นประโยชน์ดึงก็ไม่ออก ธรรมไม่เหมือนโลกนะ ถ้าควรจะออกแล้วผางเดียวเลยออกเลย พอพูดอย่างนี้แล้วก็ยังระลึกถึง หลวงปู่แหวน ดังที่เคยเล่าให้ฟัง ถังน้ำท่านสะอาดสุดยอด ถังใหญ่ถังโตสะอาดสุดยอด แล้วน้ำนี้ไม่ควรที่จะชะจะล้างในวัตถุสิ่งใด คือไม่สมควรกับน้ำนั้น ท่านก็ปิดไว้อย่างนั้นละถังน้ำท่าน ใครมาก็หลวงปู่ขอเหรียญ หลวงปู่ขอคาถานั้นขอคาถานี้ จะว่ายังไง ถังน้ำนั้นกับเหรียญกับคาถานี้มันเข้ากันได้ไหมล่ะ ท่านก็ เหอ ๆ ท่านก็ว่า เอ้า คนนี้ก็ให้เหรียญ คนนั้นก็ให้คาถา คนนี้ให้อันนี้อยู่นั้นแหละ ถังน้ำท่านไม่ไปแตะนะ พวกนี้มา มายุ่งตั้งแต่กองมูตรกองคูถนี่ ยื่นกองมูตรให้ยื่นกองคูถนี้ให้ เอ้า ๆ ไปเรื่อย
พอดีวันนั้น ไอ้พระขี้ดื้ออีตาบัวนี้ละมันขี้ดื้อนะ เพราะขยับใส่กันมานานแล้วจะเข้าถึงวันหนึ่งแน่นอน เอ้า สรุปเลย วันนั้นไปเข้าถึงเลยเทียว พวกญาติโยมเขาห้อมล้อม เขามีหวังแล้วว่าเขาจะได้เข้าเฝ้าท่าน เราก็ชี้แจงเหตุผลให้เขาทราบ ให้เราเข้าไปหาท่านเสียก่อน คุยกันพอสมควรแล้วออกมาจะให้สัญญาณ แล้วจะได้กราบท่านหมดทุกคนนั้นแหละ ไม่ต้องตกใจวันนี้จะได้กราบทุกคน พอใจ แตกฮือกลับ เราเข้าปั๊บเลย ซัดกันเลยฟาดถังใหญ่นั้นแหละที่นี่ เข้าทีแรกก็ปั๊วะ ข้างนี้เลย น้ำก็จ้าออกมาเลย แน่ะ คราวหลังนี้ก็ฟาดทั้งถังเลย ซัดคว่ำถังใส่กัน โอ้โหย.ท่านตัวแดงเลยนะ นั่นละน้ำนั้นท่านไม่เคยได้เปิดล้างอะไรแม้นิดเดียว อยู่อย่างนั้น วันนั้นถูกเปิดเสียแล้วเต็มที่ คว่ำถังใส่กันเสียด้วยนะ เปรี้ยง ๆ เท่านั้น ตัวแดง นี่เราสรุปนะ
นี่ละน้ำท่านได้ใช้ในวันนั้นละ เรียกว่า คว่ำถังใส่กันเลย เพราะอะไร มันเข้าถึงกัน เรื่องธรรมต่อธรรมเข้าถึงกัน พูดให้เต็มยันว่าอย่างนั้นเลย เมื่อเข้าถึงกันแล้วเอาไว้ไม่อยู่ ถังนั้นกระจายออกมาผางทันทีเลย โอ้โหย.ตัวแดง พูดเหมือนพระทะเลาะกันนะ อยู่ในกุฏิ ๓ องค์ พระอุปัฏฐากท่านองค์หนึ่ง เราองค์หนึ่งกับ หลวงปู่แหวน องค์หนึ่ง ๒ องค์เท่านั้น เหมือนกับสนามมวย รบกันอยู่ในห้องนั้นเสียงลั่นเลย เพราะต่างคนต่างถึงใจด้วยกันซิ ธรรมะ
นี่เราพูดถึงเรื่องว่าน้ำนั้นท่านไม่เคยใช้ แต่ถึงกาลเวลาที่ควรใช้แล้วไม่ต้องบอก เห็นไหมน้ำนั้นคว่ำถังใส่กันเลย นั่นเป็นอย่างนั้น อันนี้ธรรมนี้ก็เหมือนกัน ถ้าควรจะออก จะควรคว่ำถังใส่กันไม่ต้องบอก มันจะเป็นของมันเอง ถ้าไม่ถึงกาลเวลาที่จะเป็นอย่างนั้น ทำยังไงก็ไม่ออกดึงก็ไม่ออก เพราะธรรมมีความพอเหมาะพอดี สมควรจะออกมากน้อยจะออกเอง ๆ เมื่อสมควรจะผางทีเดียวก็ออกเลย นี่ธรรมเป็นอย่างนั้น นี่สอนโลกก็สอนไปอย่างนี้จะให้ว่ายังไง ว่ายังไงนี่น่ะมันก็ไม่เห็น อะไรมันก็ไม่เห็นๆ แล้วจะให้ว่ายังไง กำลังใจเอามาจากไหน อันนี้หน้ามันขยับเข้าปั๊บๆ ก็เป็นอีกอย่างหนึ่งซิ นี่มันไม่เห็น ว่าอะไรก็ไม่เห็น กิเลสมันก็ฝังอยู่ในหัวใจมันก็ยังไม่เห็นกิเลส คลุกเคล้ากับกิเลสให้มันเผาหัวทั้งวันทั้งคืนด้วยกันทั่วโลกธาตุ ใครเห็นกิเลส เห็นหน้ากิเลสมีไหม ไม่มีใครเห็น มีพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ เท่านั้นท่านเห็น แน่ะ จะว่ายังไง พวกเรานี่พวกตาบอดอวดดีกับ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่านอีก ไม่มีใครเกินพวกตาบอดนะ อวดเก่งมากที่สุดคือพวกตาบอด เข้าใจไหมล่ะ
นี่สอนโลกมาจวนจะตายแล้วก็บอกแล้วชัด ๆ แล้วนะ เราหมดทุกอย่างในสามแดนโลกธาตุนี้ขึ้นชื่อว่าสมมุติ สามแดนโลกธาตุไม่มีอะไรเข้ามาข้องภายในจิตใจ พอตลอดเวลา เหนือทุกอย่าง จะเอาอะไรมาเทียบเทียบไม่ได้แล้ว ๆ เท่านั้นเอง มีแต่บอกว่าเทียบไม่ได้แล้วเท่านั้น ธรรมชาติที่เป็นอยู่ในนั้นใครไม่รู้เราไม่สงสัย แน่ะ เข้าใจ ให้พากันปฏิบัติซิ ธรรมเหล่านี้สด ๆ ร้อน ๆ อยู่ในหัวใจทุกคนนั้นนะ ไม่ใช่จะมาสุดเอื้อมหมดหวัง ๆ ถ้ากิเลสแล้วคว้ามับ ๆ อยากได้ ๑๐ ขานู่น ๒ ขามันวิ่งตามกิเลสไม่ทันใจ อยากได้ ๑๐ ขา อย่าไปหายุ่งเอาขาหมาไอ้ปุ๊กกี้ กับไอ้หมี มันไล่กัดเราไม่ช่วยนะ จะว่าไม่บอก เราก็จะหนีตายของเราเข้าใจไหม เอาละพอ
ทองคำเมื่อวานนี้ได้บาทเดียว ดอลลาร์ได้ ๑๓๔ ดอลล์ เท่านั้นละ อ่านเท่านั้น
ชมการถ่ายทอดสด ธรรมะหลวงตาวันต่อวัน ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
|