เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖
ความสุขหาได้จากพุทธศาสนา
ก่อนจังหัน
พระที่อยู่เป็นที่ ๆ ข้างในนั้น ที่ของตัวโดยเฉพาะๆ ไม่ได้กว้างขวางอะไร ที่ทำเลศาลานี้เป็นที่กว้างขวาง ต่างองค์ต่างออกมารวมปัดกวาดเช็ดถูที่บริเวณศาลาซึ่งเป็นส่วนรวม ที่ของเจ้าของมันแคบนิดเดียวๆ อันนี้ได้คิดกันหรือไม่ล่ะ เรามาดูมันแปลกๆ ตาอยู่นะ มันเห็นแก่ตัวๆ นะ ที่ส่วนรวมไม่เห็นเป็นสำคัญ ที่ของเรามันแคบนิดเดียวๆ อยู่ที่ไหนก็ได้ ปัดเมื่อไรกวาดเมื่อไรก็ได้ แต่ที่ส่วนรวมที่เป็นที่สาธารณะ ต้องได้ใช้เป็นประโยชน์อย่างจำเป็นๆ นั้นน่ะ เป็นที่ๆ สำคัญมากทีเดียว ให้ดูทุกอย่างๆ นะมาประพฤติปฏิบัติอรรถธรรม อย่ามาเซ่อๆ ซ่าๆ แบบไม่เอาไหนๆ มีเกลื่อนโลกเวลานี้ เข้าใจไหมอันไม่เอาไหนนี่น่ะ คือเรื่องกิเลสเหยียบหัวสัตว์โลกนะ
อะไรๆ ก็มีแต่ความมักง่ายความสะดวกสบายๆ แล้วเหยียบหัวเจ้าของลงไปด้วยความที่ว่าสะดวกสบายๆ นะ ธรรมท่านดูหมดนี่นะ เรื่องกิเลสเหยียบหัวสัตว์โลกท่านดูหมด จึงเอาธรรมมาประกาศสอนซิ ทุกคนให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ ผิดพลาดประการใด เราอย่าเข้าใจว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้ผิดพลาด ตัวเราเองเป็นตัวผิดพลาด ให้ดูจุดนี้เรามาศึกษาอบรม ดูที่หัวใจ เคลื่อนไหวไปผิดถูกดีชั่วประการใด แล้วการกระทำหน้าที่การงานผิดถูกประการใด บกพร่องตรงไหน ดูให้ดีตัวเอง อย่ามองข้ามหัวใจนะ หัวใจนี้เป็นหลักใหญ่มากทีเดียว สติอยู่กับใจ ปัญญาอยู่กับใจ รักษาใจ ใจจะปลอดภัย ทำหน้าที่การงานอะไรจะสมบูรณ์พูนผล ถ้าขาดสติธรรม ปัญญาธรรม ไปเสียอย่างเดียวไม่เป็นท่าทั้งนั้น
จำให้ดีพระมาทุกวันๆ มากขึ้นโดยลำดับลำดานะ เราก็มองดูไม่ทั่วถึง ทั้งข้างในข้างนอก ไม่ทราบจะมองดูที่ไหนบ้าง ต่างคนให้ต่างดูตัวเอง ตามีทุกคน หูมีทุกคน ไม่มีแต่หลวงตาองค์เดียวที่จะมองดู ฟังเสียงหมู่เพื่อนนะ หมู่เพื่อนมีหูมีตามีใจ เอาไปใช้เอาไปคิดสำหรับตัวเองทุกคนๆ ไม่งั้นจะเลอะเทอะไปหมด
เราพูดถึงเรื่องพระเณรของเรานี้มันสลดสังเวชจริงๆ เราเพศของพระด้วยกัน หัวโล้นด้วยกันดูกัน มันดูไม่ได้นะทุกวันนี้ จนเป็นความสลดสังเวช ดูเขาดูไม่ได้ ดูเราดูไม่ได้ ดูท่านดูใครดูไม่ได้ มันเลอะเทอะไปด้วยกันหมด มีแต่มูตรแต่คูถเต็มกิริยามารยาท การสำรวมระวังด้วยสติด้วยปัญญาซึ่งเป็นฝ่ายธรรมนี้ไม่ค่อยมีนะ มันชินชาอยู่ในหัวใจเรานั้นแหละ มันออกก่อนๆ ให้จำให้ดีทุกองค์ๆ มากขึ้นทุกวันๆ ให้พร
หลังจังหัน
วัดภูวัวเราไม่ได้ไปนานแล้วนะ แต่อาหารประจำนั้นเรียกว่าประจำ จวนสิ้นเดือนทุกๆ เดือนเลย เพราะพระมีไม่ต่ำกว่า ๓๐ สามสิบกว่า หรือ ๒๘-๒๙-๓๐ กว่า ๔๐ นี้เป็นประจำ ตอนค่ำท่านเอาเทปมาเปิดฟัง เทปที่ไหนก็มีแต่ที่นี่ จะเรียกว่าร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ไม่ผิด ที่นี่เลย พอตกค่ำเริ่มมืด อย่างทุกวันนี้ก็เรียกว่าทุ่มพอดี เพราะทุ่มหนึ่งก็มืดพอดีกัน ท่านจะมารวมที่กุฏิ กุฏิมันเป็นสองชั้น ข้างล่างมันเป็นทำเล ข้างบนไม่ค่อยมีใครขึ้นไปแหละ หัวหน้าท่านจะเปิดฟัง แล้วพระที่มาอยู่นั่นทั้งหมด ต่างองค์ต่างมานั่งภาวนา เทปเปิดขึ้นเหมือนเทศน์ นั่งภาวนาฟัง อย่างน้อยเรียกว่าวันละหนึ่งกัณฑ์ เป็นอย่างน้อย หรือไปเปิดพิเศษอันนั้นก็แล้วแต่ แต่ที่เป็นพื้นฐานก็คือวันละหนึ่งกัณฑ์ๆ เราอยากจะพูดว่าร้อยทั้งร้อยออกไปจากวัดทั้งนั้นๆ ภาคปฏิบัติจิตตภาวนาล้วนๆ เลย มีแต่แกงหม้อเล็กหม้อจิ๋วๆ ตลอดเลย
พอฟังจบแล้ว องค์ไหนอยากจะไปก็ไปตามอัธยาศัย ผู้ยังไม่อยากไปก็นั่งภาวนาต่อเลยก็ได้ หรือจะเปิดเทปฟังเป็นกรณีพิเศษก็ได้ นี้เป็นประจำ ที่เราเข้าเกี่ยวข้องนี้มันสิบกว่าปีแล้วนะ แต่ก่อนก็ได้ยินได้ฟังมาเฉยๆ ว่า ท่านอุทัยท่านอุตส่าห์พยายามอยู่ที่นั่นประจำมา สององค์หรือสามองค์เป็นอย่างมาก เพราะที่โคจรบิณฑบาตไม่มี ลำบาก แต่ที่ภาวนาร้อยทั้งร้อย สะดวกไปหมดเลย
สถานที่นี่แต่ก่อนท่านอาจารย์ฝั้นท่านผ่านมาพักที่นั่น อยู่ไม่ได้ก็เพราะเหตุนี้เอง ต่อไปท่านอุทัยเลยไปพักที่นั่น ทางต้องบุกด้วยเท้าไป ไปด้วยเท้า ไม่มีรถมีรา ไปอย่างสมบุกสมบัน นั่นเหมาะกับผู้เสาะแสวงหาธรรม ต้องเป็นผู้สมบุกสมบันทั้งนั้น พวกเสาะแสวงหาธรรมจะเอาความสะดวกเข้ามาเกี่ยวข้องไม่ได้ ขัดกับธรรม ธรรมนี้เรียกว่าบุก บุกคืออุปสรรคต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่องความมักง่าย ความสะดวกสบายของกิเลสอยากให้เดินทางนั้น เห็นว่าไม่สะดวกสบายไม่ไป กิเลสกลืนแล้ว นั่น
พอได้โอกาสเราก็เลยไปเยี่ยม เพราะได้ยินข่าวมานานแล้วว่า สถานที่นี่สงัดมากเป็นที่หนึ่งเลย พอได้โอกาสเราก็ไปเลย ตอนนั้นรถพอไปได้นะ มันเป็นหน้าแล้ง ดูเหมือนเดือนเมษา ละมั้งเราไป ตอนหน้าแล้งไป รถก็บุกเข้าไปอย่างนั้นละ พอลงรถแล้วเราไปเลยที่นี่ ไปเที่ยวหมดเลย เพราะแต่ก่อนแข็งแรง ไปไหนสะดวกสบาย ไปตระเวนดูหมด ดูมีแต่ความเงียบสงัดตลอด เป็นที่พักเป็นแห่งๆ เป็นดงๆ แล้วที่โล่งแจ้ง หินดานก็มีทั่วไป อยากนั่งภาวนากลางแจ้งก็ได้ กลางวี่กลางวันก็อยู่ในป่า สงบสงัดตลอด น้ำท่าไม่อด อดแต่อาหารเท่านั้นเอง
ไปดูจนหมดจริงๆ เที่ยวดูหมดอย่างละเอียดลออ เหมาะสมทั้งหมดเลย พอมาก็ประกาศในเวลานั้นเลยว่า ตั้งแต่นี้ต่อไปท่านอุทัยจะพักที่นี่ เวลานี้ก็มีพระจำนวนที่เห็นนี้แหละ ครั้นต่อไปนี้ท่านต้องการจะรับพระรับเณรมากน้อยเพียงไร ให้ท่านรับได้ตามสบาย ผมจะรับเลี้ยง บอกงั้นเลย เอา ถ้าพระตั้งใจภาวนาแล้วมาเลย บอกงั้น ผมเปิดทางให้ทั้งหมด จะรับเลี้ยงทั้งหมด ถ้ารับเลี้ยงสู้ไม่ไหวผมจะบอก บอกงั้นเลย ตั้งแต่บัดนั้นมา พอมาถึงวัดแล้วก็จัดอาหารส่งไปเลยเรื่อย สิบกว่าปีแล้วนะ ทีนี้พระก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว เพราะสถานที่นั่นเหมาะสมมาก แต่พระเข้าไปอยู่ไม่ได้เท่านั้นเอง
ทีนี้พอได้รับความสะดวกท่านก็ตั้งจุดหมาย ๓๐ ไว้เป็นจุดกลาง ลดบ้างขึ้นบ้างประมาณ ๔๐ บ้าง ลดลงมา ๓๐-๒๘-๒๙ อยู่งี้ตลอด บางทีถึง ๕๐ ก็มี แต่นั้นเป็นบางกาลเวลา ท่านไปชั่วระยะ ที่เป็นพื้นฐานก็ ๓๐ กว่านี่มาก ลดมีน้อยมากเทียว ตั้งแต่บัดนั้นมาอาหารจัดให้เพียงพอ ใส่รถๆ เต็มเอี๊ยดๆ ไปเลย ทุกวันนี้ก็ประจำอยู่มานานเหมือนกัน เรียกว่า ๔ คันรถเลย หกล้อก็มี สี่ล้อบองขึ้นเต็มรถๆ เลยตลอดจนกระทั่งทุกวันนี้ ไปแล้วยังถามไถ่อีกด้วยว่ามีพระจำนวนมากน้อยเพียงไร หากว่าบกพร่องจะเอามาเพิ่มอีก อย่างนั้นตลอด
วัดนั้นจึงเป็นวัดที่สะดวกสำหรับบำเพ็ญธรรมล้วนๆ ใครไม่ให้เข้าไปยุ่งนะ เราเป็นคนขู่เองเลย ท่านอุทัยท่านไม่มีอำนาจแหละ ใครจะไปอยู่ไปอะไรท่านก็ไม่ว่าอะไร เราไปเองสั่งเสียหมดเลย บอกสถานที่นี่ไม่ให้ใครเข้ามายุ่ง บอกตรงๆ เราจะสงวนพระไว้สำหรับทำประโยชน์ให้โลก ประชาชนมีจำนวนมากเท่าไรสู้พระไม่ได้ ที่ทำประโยชน์ให้โลก จึงไม่ให้ใครเข้าไปอยู่ที่นั่นนะ ให้มีแต่พระ แล้วพวกเขามาทำอาหาร บ้านเขามี ๓-๔ หลังคาเรือน เขามาทำอาหารสำหรับพระเป็นประจำๆ ตลอดมาจนกระทั่งทุกวันนี้ คืออาหารไม่ให้อด สถานที่นั่นจึงเป็นสถานที่บำเพ็ญสะดวกสบาย ไม่ให้ใครเข้าไปยุ่งเลย ให้มีแต่พระล้วนๆ เลย เราเป็นผู้คอยดูแลตลอด ฟังเสียงอยู่ตลอด ไปก็ไปดู ไปดูแล้วสั่งเสียหมดเลย สั่งเสียอย่างเด็ดขาดๆ เลย ให้ท่านอุทัยปฏิบัติตามนี้
พวกญาติโยมใครต่อใครมาก็เอาเรื่องของเราออกกาง เพราะเรื่องของเราเป็นเรื่องใหญ่โตมากสำหรับประโยชน์ต่อโลก ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ได้พระเพียงองค์เดียวเท่านั้น เห็นไหมหลวงปู่มั่นเราเวลานี้ กระเทือนทั่วโลกไม่ใช่ธรรมดานะ นั่นละโรงงานอันใหญ่หลวงที่สุดคือ หลวงปู่มั่นเรา ครูบาอาจารย์ทั้งหลายมีจำนวนมากน้อยที่เป็นครูอาจารย์มีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นเพชรน้ำหนึ่ง ๆ ทั่วประเทศไทยก็ว่าได้เวลานี้ ไปจากไหน ไปจากหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นเป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทธรรมะเหล่านี้ ท่านเหล่านั้นก็ไปศึกษาอบรมได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้วออกมาก็เป็นครูเป็นอาจารย์เรื่อยมา เช่นอย่าง หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ขาว เหล่านี้เป็นต้นนะ นับแต่โน้นนะ อาจารย์แหวน ลงมา
นี้มีตั้งแต่ลูกศิษย์ หลวงปู่มั่น ทั้งนั้น นี่เรียกว่าโรงงานใหญ่ ท่านผลิตอรรถผลิตธรรมใส่หัวใจพระ ๆ พระตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ได้ศึกษาอบรมเต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้วออกมาก็เป็นครูเป็นอาจารย์สอนทั่วไปหมดทุกภาคในเมืองไทยเรา มีตั้งแต่ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นทั้งนั้น นี่จึงเรียกว่า โรงงานอันใหญ่โตที่สุดคือหลวงปู่มั่น สำหรับท่านเองท่านไม่เกี่ยวกับผู้คนนะ เพราะท่านอยู่ในป่าในเขาล้วน ๆ มาเลย ท่านไม่ได้ออกมาข้างนอก อยู่ในป่าในเขาลึก ๆ
ทีนี้พระที่มุ่งหน้ามุ่งตาจริง ๆ ก็เข้าหาท่านเลย พระไปอยู่กับท่าน ท่านกำหนดเอง ไม่ให้อยู่หลายองค์ ให้อยู่ที่นั่นบ้างที่นี่บ้าง เข้ามาศึกษาอบรมในป่าในเขาเป็นประจำนะ เรื่องของท่านจึงมาปรากฏโด่งดังขึ้นตอนประวัติของท่านนี้แหละ คือเราเขียนเองนะ แต่ก่อนเงียบเลย ท่านเป็นโรงงานใหญ่โต ชื่อเสียงท่านจึงดังมาตั้งแต่นั้นจนกระทั่งป่านนี้ ใครไปลืมหลวงปู่มั่นไม่ได้นะ นั้นละโรงงานอันใหญ่หลวงที่สุดแห่งอรรถธรรม ที่ทำความร่มเย็นให้แก่โลกอยู่ทุกวันนี้มาจากหลวงปู่มั่น ว่าอย่างนี้เลย เป็นอันดับแรก ไปอยู่ที่ไหนถาม องค์นั้นมาจากไหน ๆ มีแต่ออกจากหลวงปู่มั่นละ
ทีนี้พอชุดนั้นค่อยลดล่วงไป ลูกศิษย์ของอาจารย์องค์นั้น ๆ ก็ต่อกันไปเรื่อย ๆ อย่างทุกวันนี้ สำหรับผู้ใหญ่จริง ๆ ก็ไม่มีแหละเดี๋ยวนี้ ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นหมด หมดเลย ก็ยังเหลือแต่อาจารย์ที่เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นมาเป็นอาจารย์แทน แล้วก็ลูกศิษย์ลูกหาสืบทอดกันมา สำหรับลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่นจริง ๆ แล้ว โอ๊ย.แทบจะว่าไม่มีนะทุกวันนี้ มองไปไหนมันไม่เห็น คือล่วงไปหมดแล้ว ไม่มี ถ้าหากว่าพูดตามหลักความจริงก็ยังเหลือหลวงตาบัวลูกศิษย์ก้นกุฏิ ๆ นี้มันก็เต็มไปด้วยมูตรด้วยคูถเท่านั้นเองอยู่นี่นะ นอกนั้นล่วงไปหมดแล้ว อยู่ทางโน้นก็มี อาจารย์เจี๊ยะ ท่านก็ทำงานอะไรไม่ได้แล้ว จะมีที่ไหน มองไปที่ไหนมันไม่เห็นเวลานี้ ที่เคยอยู่กับท่านมาจริง ๆ ได้แบบฉบับมาจากท่านจริง ๆ มองดูแล้วมันไม่เห็นนะ ก็มีแต่ลูกศิษย์ติดต่อกันมาเรื่อย ๆ อย่างนั้น
นี่ละธรรมที่จะแผ่กระจายให้โลกพอได้รับความสงบร่มเย็นบ้าง ก็มีธรรมอันแท้จริงจากท่านผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบได้รู้เห็นอรรถธรรม ตามทางของศาสดาเรื่อยมา นี้ละมาเป็นแบบฉบับที่ตายตัวได้เลย นอกนั้นไม่ว่าท่านว่าเราคลังกิเลสไปเรียน จดจำมามากน้อยเพียงไรก็เอาคัมภีร์มาเทินศีรษะไว้ แล้วเจ้าของก็เป็นลิงเป็นค่างเป็นเปรตเป็นผีไปหมด ความจำไม่สำคัญ มันไม่ได้มาเข้าถึงหัวใจนะความจำ มีแต่ความจำเฉย ๆ ความเชื่อไม่มีเพราะไม่รู้ไม่เห็น พูดก็ได้ยินแต่ชื่อตัวจริงไม่เห็น การปฏิบัตินี้เห็นทั้งชื่อด้วยเห็นทั้งตัวจริงด้วย ถ้าว่าเสือ ถ้าเราเรียนในตำราก็เห็นแต่รอยเสือ เสือมันมีลายอย่างนั้นอย่างนี้มันก็ไม่ค่อยกลัวใช่ไหม เพราะเห็นแต่รูปเสือเฉย ๆ ไม่เห็นตัวเสือ รอยเสือ ลายเสือ เห็นเฉย ๆ ภาคปฏิบัตินี้ไปเห็นทั้งเสือด้วย รอยเสือก็เห็นตามตำรา ตัวเสือลายเสือก็เห็นประจักษ์ใจๆ แล้วจะไม่กลัวยังไง สิ่งที่ควรกลัวต้องกลัว สิ่งที่ควรกล้าต้องกล้าเมื่อได้เห็นด้วยตา นี้ประจักษ์ใจในภาคปฏิบัติแล้วเป็นอย่างนั้น ผิดกันมากนะ ภาคปฏิบัติกับภาคปริยัติ
ปริยัติคือการศึกษาเล่าเรียนเป็นแบบเป็นฉบับ เป็นแบบแปลนแผนผัง ภาคปฏิบัตินั้นเอาแบบแปลนแผนผังที่เรียนมาแล้วมากางมาปฏิบัติตามนั้น เหมือนเขาเอาแปลนมาจากห้องจากหับ มากางแล้วจะปลูกบ้านเรือน หลังขนาดไหน กว้าง แคบ สั้น ยาว ตลอดถึงว่ากี่ชั้น เอาขนาดไหนดูแปลน ทำตามแปลนนี้ก็สำเร็จรูปขึ้นมาตามแปลนๆ ทีนี้ภาคปฏิบัติเมื่อเรียนแล้วได้รู้ได้เห็นตามแปลนที่ถูกต้องแม่นยำเรียบร้อยแล้วไปปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติมันก็เห็นละซิ มันก็รู้ เห็นแต่ชื่อในตำรา เห็นตัวจริงในภาคปฏิบัติภายในจิตใจ ๆ สิ่งที่ควรกลัว ๆ สิ่งที่ควรกล้า ๆ ขึ้นเลย กับที่ใจ ผิดกับตำรามากมายนะ
ทีนี้ท่านผู้ที่นำธรรมปฏิบัติมาสอนพวกเราอย่างหลวงปู่มั่นนี่ เป็นภาคปฏิบัติร้อยเปอร์เซ็นต์ ครูบาอาจารย์ทั้งหลายปฏิบัติร้อยเปอร์เซ็นต์ ได้รู้เห็นธรรมของจริงมาร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว การแนะนำสั่งสอนอะไรๆ จึงไม่ผิดพลาด ไม่ได้ไปหาลูบหาคลำ เห็นจะเป็นอย่างนั้นเห็นจะเป็นอย่างนี้ ตามที่ตำราท่านบอกไว้แล้วด้วยความสัตย์ความจริง แต่เรามันปลอม ไปเรียนแล้วมันไม่มีสัตย์มีจริงในความจำ มันก็ไม่เชื่อ เมื่อไม่เชื่อแล้วการประพฤติปฏิบัติก็เหลวไหล ถ้าเชื่อแล้วต้องจริงจังทุกอย่าง ทีนี้เมื่อนำเอามาปฏิบัติแล้วมันก็จริงจัง
ถ้าพูดถึงว่าศีลนี่เป็นภาคปฏิบัติแล้วนะ พอบวชปั๊บเข้ามาศีลเต็มตัวแล้ววันนั้น ตั้งใจขนาดนั้นรักษาศีลด้วย หิริโอตตัปปะ ความสะดุ้งกลัวต่อบาปต่อกรรม กลัวศีลจะเศร้าหมองบกพร่องขาดตรงไหนๆ นี้ระวังตลอดเวลา เมื่อระวังอยู่ศีลก็สมบูรณ์ตลอด ก็สมบูรณ์ในตัวเองตลอด เย็นอยู่ตลอดเวลา ยังไม่ถึงขั้นใดเอาแต่ขั้นศีลเป็นภาคปฏิบัติเท่านี้จิตใจก็เย็น ไปอยู่ในป่าในเขานี้ ศีลอบอุ่นมากนะ ยังไม่ได้ธรรม คือ ความสงบร่มเย็น สมาธิ ปัญญาอะไรก็ตาม เพียงเรามีศีลเต็มตัวของเราด้วยความระมัดระวังนี้ เราอบอุ่นนะ ไปอยู่ในป่าในเขาถึงตายนี้มันก็แน่ใจ ความอบอุ่นนี้มันส่งตลอดอยู่ในตัวนั้นละ หนุนตลอดที่จะไปให้สูงโดยถ่ายเดียว ไปสวรรค์เลยว่างั้นเถอะน่ะ ที่จะให้ตกนรกหมกไหม้เพราะศีลนี้ไม่มี นั่น มันแน่อยู่ในใจ เพียงเท่านี้ก็อบอุ่นแล้ว จากนั้นก็ปฏิบัติศีลธรรม จากศีลแล้ว ศีลอบอุ่นไม่ระแคะระคายตัวเอง จิตใจก็อารมณ์ไม่ฟุ้งซ่าน ทำสมาธิจิตใจก็สงบ พอจิตใจสงบด้วยบทธรรมคือสมาธิภาวนาตามแต่จริตนิสัยชอบ ใครจะเอาธรรมภาวนาบทใดมาเป็นอารมณ์ของใจ เช่นอย่าง พุทโธ หรือธัมโม หรือสังโฆ หรืออานาปานสติ หรือกำหนดลมหายใจเข้าออกก็ได้
นี่เราบอกมาเพียงเอกเทศตามแต่จริตนิสัยของใครชอบธรรมบทใด จิตนี้มันไขว่คว้าอยู่อย่างนี้ อยู่อย่างนี้ตลอดเวลา ให้พากันจำให้ดี คือจิตนี้มันไขว่คว้าเพราะอะไรไม่ใช่มันไขว่คว้าโดยลำพังมันเองนะ มันมีกิเลสที่ฝังอยู่ลึก ๆ นั่นละที่ว่ากิเลสอยู่ในใจสัตว์ ธรรมก็อยู่ในใจสัตว์ แต่ธรรมไม่มีฤทธิ์เดชตอนนั้น กิเลสนี้มันมีเป็นพื้นฐานมาตั้งกัปตั้งกัลป์ มันคล่องตัวของมัน เพราะฉะนั้น มันถึงผลักดันออกให้อยากคิด อยากรู้ อยากเห็น อยากทุกอย่าง อันนี้ผลักดันออกมาจากความอยาก ๆ คนเราจึงอยู่หาความสุขไม่ได้เพราะความอยากมันผลักดัน อยากเห็น เห็นแล้วก็อยากต่อ เห็นยังไงอีก ต่อไปเรื่อย ๆ กิ่งแขนงแตกไปเรื่อย อยากรู้ อยากเห็น อยากได้ยินได้ฟัง ฟังแตกแขนงอะไร แตกแขนงมีแต่กิเลสตัวหิวโหยนี้ดันออก ๆ ความอยากของสัตว์โลกที่เกิดจากทางตา ทางหู จมูก ลิ้น กาย จึงไม่มีวันอิ่มพอ อยากตลอด
ทีนี้เราก็วิ่งตามความอยาก วิ่งเท่าไรก็เหมือนไฟได้เชื้อ ไสเชื้อเข้าไปเท่าไรไฟยิ่งแสดงเปลวขึ้นจรดเมฆ ๆ มันอยากเท่าไรก็หมุนตามความอยาก เท่ากับไสเชื้อเข้าไฟ มันก็ไปใหญ่ นี่อารมณ์ของกิเลสให้พากันจำเอาไว้ มีอยู่ในหัวใจของทุกคน ทีนี้เราจะระงับอารมณ์อันนี้ เพื่อเป็นน้ำดับไฟหรือไสเชื้อไฟออก ไม่ส่งความอยากวิ่งไปตามอารมณ์ แล้วย้อนกลับเข้ามา ที่นี่เอาคำบริกรรม พุทโธ นี้เข้ายึด ถ้าปล่อยนี้ปั๊บมันจะยึดสิ่งนั้นที่มันเคยยึดเป็นเรื่องของกิเลส ทีนี้ปล่อยนั้นปั๊บยึดธรรมะนี้เช่น พุทโธ ๆ ให้ความรู้ คำบริกรรม เราก็บริกรรมไว้ พุทโธ ๆ สติติดอยู่กับนี้ เอ้าทีนี้ความอยากมันจะแสดงออกมา ความอยากนั้นมันจะผลักจะดันออกมา มันจะออกให้เหยียบพุทโธนี้ไปเลย ออกไปหาอารมณ์ของมัน อยากรู้สิ่งนั้น อยากเห็นสิ่งนี้ ซึ่งเป็นเรื่องของกิเลสทั้งหมด
มันอยากของมันตลอดเวลาในหัวใจทุกดวง ใครจึงไม่มีความสุขในโลกนี้ เราอย่าหาความสุขเพราะความอยากนี้เป็นตัวหิวโหยเป็นตัวทุกข์ มันบีบมันบี้ตลอดเวลา อันนี้เราก็เอาคำบริกรรมนั้นเข้ามาบังคับ เอ้า ห้ามไม่ให้มันคิดเรื่องนั้น ให้มันคิดกับคำว่า พุทโธ ๆ ทีนี้คำว่า พุทโธ นี้เป็นธรรม เป็นน้ำดับไฟ บังคับไม่ให้คิดเรื่องนั้น บังคับให้คิดอยู่กับพุทโธนี้ นานเข้า ๆ คำบริกรรมนี้ก็ค่อยติดแนบกับจิตเข้าไป สติจ่ออยู่นั้นแหละ ทีนี้ไอ้เรื่องความอยากมันจะค่อยจางลง ๆ คำบริกรรมกับความรู้ของเรานี้จะเด่นขึ้น ๆ ทีนี้ความสงบเย็นจะค่อยปรากฏขึ้น ๆ นี่เรียกว่าน้ำดับไฟด้วยคำบริกรรมคำใดก็ตาม มีสติควบคุมงานของตัวเอง
ทีนี้เมื่อเราทำไป มันถึงจะอยากขนาดไหนก็ตาม เราอย่าเอาความอยากมาเป็นอารมณ์คล้อยตามนะ อยากเราก็บังคับ มันอยากออกคิดไม่ให้คิด ให้คิดอยู่กับคำนี้ ตั้งหน้าตั้งตาต่อสู้กัน ทีนี้พอหนักเข้าความรู้กับคำบริกรรมติดกันเข้า ความรู้ติดกันเข้า สติควบคุมเข้า แล้วจิตจะค่อยสงบลงๆ เอาเบื้องต้นเท่านี้ก่อนนะ พอสงบลงไปแล้วความสุขจะปรากฏ ไม่หาที่ไหนละความสุข ที่ทุกข์นั่นนะเพราะกิเลสมันกวนต่างหาก หาทุกข์มาให้ พอกิเลสสงบลงธรรมที่บริกรรมนี้ก็เป็นความสุข เสริมความสุขขึ้นเรื่อย จิตสงบเย็นที่นี่นะ นี่เริ่มเห็นคุณค่าแห่งความสงบของใจแล้ว และเริ่มเห็นโทษแห่งความวุ่นวายของจิตที่กิเลสผลักดันออกไปแล้วในขณะเดียวกัน
ทีนี้วันไหนเรามีงานยุ่งมาก คิดมากวุ่นมาก โอ๊ย.วันนี้ไม่สบายเพราะเราเคยภาวนานี่ เราเคยมีความสงบ โอ๊ย.วันนี้จิตใจวุ่นวายมาก ไม่ไหว ต้องระงับความคิดเหล่านั้นเข้ามาสู่ภาวนา นั่นมีทางหลบแล้วนะที่นี่ พอเข้ามานี้ก็บังคับอย่างว่าแหละ สักเดี๋ยวก็สงบเข้ามา พักอารมณ์ได้ เรื่องราวทั้งหลายที่จิตมันผลักดันออกไป มันสงบตัวลงจิตก็สงบเย็น
นี่ท่านทั้งหลายอยากหาความสุข เห็นความสุข อย่าไปหาที่ไหน ให้ฟังคำของพระพุทธเจ้าให้ดี บังคับไว้อย่างนี้แล้วจะไม่ไปไหน จะลงจุดนี้แน่นอน เพราะจุดนี้เป็นจุดที่พระพุทธเจ้าสังหารทุกข์มาแล้วโดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรเหลือ ขอแต่เราให้ใช้กำลังธรรมของเรา ในเบื้องต้นกำลังของธรรมมีน้อยกิเลสจะฉุดลากไปได้ง่าย เราว่าไม่คิดมันขโมยคิดไปแล้วๆ เมื่อเอาหนักเข้า ๆ ต่อไปมันก็รู้ตัวขโมยละที่นี่ เราก็ทำจิตของเราให้สงบเย็น
คำว่าสงบนี้ไม่ได้เหมือนกันนะ ให้จำเอาไว้ เราอย่าเอาของใครของเราก็ตามมาเทียบกันไม่ได้นะ มันหากจะเป็นขึ้นในใจของผู้ภาวนานั้นแหละ จะสงบแบบไหนมันจะแสดงขึ้น แบบไหนก็คือแบบความสุข ความรื่นเริงบันเทิง ความที่เราไม่เคยรู้เคยเห็นนั้นแหละ ทำให้จิตใจตื่นเต้นภายใจ ให้จิตมันสงบแน่ว ๆ จนกระทั่งถึงสงบเงียบหมดเลย นี่เรียกว่าอารมณ์กวนใจของกิเลสที่มันผลักดันออกไปมันสงบตัว อารมณ์ของธรรมคือความสงบเย็นใจทับกันไว้ ทีนี้มีแต่ความสง่างามของใจ สง่าจริง ๆ นะใจไม่เหมือนสิ่งใด ในโลกอันนี้รวมหมดทั้งโลกนี้ไม่มีอะไรทุกข์ยิ่งกว่าใจ เพราะอำนาจของกิเลสที่เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ตลอดมา ตามอารมณ์ของกิเลสที่มีหนักเบามากน้อย ทุกข์จะมีมากน้อยไปตาม ๆ กันไป และความสุขไม่มีอะไรเกินใจ ความสุขจะอยู่ที่ใจ เช่นเดียวกับความทุกข์อยู่ที่ใจเพราะกิเลสส่งเสริมขึ้น
ทีนี้ความสุขจะเกิดขึ้นที่ใจเพราะธรรมส่งเสริม อบรมธรรมด้วยจิตตภาวนาของเราเข้า แล้วจิตใจสงบเย็น เย็นจนกระทั่งอัศจรรย์ตัวเองนะ เวลาสงบลงมาก ๆ แล้วนี่มันดับหมดเลย คืออารมณ์ของใจไม่ออกไปคิดเนื่องจากธรรมนี้ครอบเอาไว้ ธรรมมีแต่ความสงบเย็น กิเลสมีแต่ความฟุ้งซ่าน ทีนี้เมื่อระงับอารมณ์ความฟุ้งซ่านแล้วมันก็สงบ ทีนี้มันก็เย็น มันสง่างาม จากนั้นเวลามันสงบเต็มที่ นี่พูดเป็นขั้นให้ท่านทั้งหลายฟังนะ ตามแต่มันจะเกิดขึ้นในจิตของเรา แต่เราอย่าปล่อยคำภาวนา ตามจริตนิสัยของจิตที่ชอบธรรมบทใดให้ยึดนั้นไว้ ผลที่จะเกิดขึ้นยังไงจะเป็นขึ้นจากนั้นเอง เราไม่ต้องไปคาดไปคิด
ทีนี้เวลาจิตมันสงบของมันเต็มที่นี้มันขาดไปหมดเลยนะ โลกอันนี้เหมือนไม่มีเลย นั่น เพราะใจไม่ออกไปให้ความหมายต่าง ๆ มันเหมือนโลกไม่มี เหลือแต่ความสง่างามสว่างไสวอยู่ในหัวอก ก็ตื่นเต้น เพราะตั้งแต่เกิดมาเราไม่เคยเห็นความสุขอย่างนี้ มีแต่ความทุกข์บีบบี้สีไฟตลอดตั้งแต่วันเกิดมา พึ่งมาปรากฏในวันนี้ที่จิตใจสงบเอาแบบอัศจรรย์ตื่นเต้นนะ ทีนี้วันนั้นพอจิตมันถอยออกมาแล้ว เราจะไปทำงานทำการอะไรทั้งวันจิตจะเป็นอารมณ์กับความสงบ ความแปลกประหลาดอัศจรรย์ของตัวเองไม่ไปไหนนะ มันจะป้วนเปี้ยนอยู่ในนี้ไม่ออก เพราะมันอิ่มเอิบอยู่ในใจนี้ อารมณ์ที่เป็นฟืนเป็นไฟมันจางไปหมด นี้อารมณ์ของธรรมเข้าทำงานทำใจให้สงบเย็น ให้ท่านทั้งหลายเอาไปคิด ศาสดาองค์เอก เอกขึ้นมาจากจุดนี้นะ จุดภาวนา พระพุทธเจ้า ศาสดาองค์เอกเลิศขึ้นมาจากการภาวนา สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า ที่เป็นสรณะพวกเรา ออกจากภาวนานะ นี่ละเลิศขึ้นก็ที่ตรงนี้นะ
ให้พากันเอาไปภาวนาบ้างนะ อย่าอยู่เฉย ๆ เวลาจะหลับจะนอนให้บังคับจิตให้อยู่กับคำบริกรรม มันหากจะมีวันหนึ่งจนได้นั้นแหละ เพราะค้นหาธรรม เหมือนเราขุดแร่ธาตุต่างๆ ค้นไปค้นมาก็ถูกแต่หินแต่ดิน แล้วมันหากเจอแร่ธาตุจนได้วันหนึ่งนั้นแหละ เพราะมันมีอยู่ด้วยกัน อันนี้ก็เหมือนกัน แร่ธรรมจะเกิดขึ้นที่นี่ ไอ้แร่กิเลสมันแร่สกปรกเข้าใจไหม พวกเรามีแต่พวกแร่กิเลสเต็มบ้านเต็มเมืองเต็มหัวใจ ไปที่ไหนจึงได้ยินแต่เสียงบ่น แว้ ๆ ๆ มีแต่แร่กิเลสเหยียบหัวมันเข้าใจไหม แร่ธรรมไม่มี ทีนี้พอขุดค้นแร่ธรรมขึ้นมาเจอแล้ววันนั้นเอิบอิ่มทั้งวันเลยนะ มันเอิบอิ่มทั้งวัน จิตใจไม่ออกไปเลย เหมือนโลกไม่มี มันหากหมุนของมันนี่ มันรื่นเริงบันเทิงอยู่นี่ พอได้จังหวะเมื่อไรก็เอาอีก ได้ไม่ได้ช่างมัน ส่วนที่อารมณ์ซึ่งเราเคยได้มาแล้วแปลกประหลาดอัศจรรย์มันไม่ลืมนะ มันฝังลึกด้วย เอ้า ไม่ได้ก็ตาม เราจะทำของเราไปเดี๋ยวเจออีก ๆ ต่อไปมันก็สืบต่อกันเรื่อย ๆ ทีนี้ก็สง่างามไปเรื่อย ๆ นะ
จากนั้นจิตจากสงบแล้วเข้าเป็นสมาธิได้ นี่หมายถึงส่วนมากหมายถึงผู้ปฏิบัติธรรมล้วน ๆ เช่น พระกรรมฐานท่านอยู่ในป่าในเขา ท่านบำเพ็ญตลอดเวลา ได้รับการบำรุงด้วยภาวนาตลอดเวลา จิตใจสง่างามขึ้น ๆ ตั้งรากตั้งฐานได้ จิตสงบเย็นทั้งวันทั้งคืนไปอยู่ที่ไหนเย็น ๆ ตลอด จากนั้นก็ขยายความเย็น ความแปลกประหลาดอัศจรรย์กว้างขวางออกจากจิตดวงเดียวนี้นะ สง่าขึ้นเรื่อย ๆ ๆ แล้วอยู่ที่ไหนนั่งทั้งวันก็เหมือนหนึ่งว่าไม่กระดิกพลิกแพลง คือจิตไม่ออกไปไหนมันก็ไม่มีอะไรกวนเรา ถ้าจิตคิดยุ่งนั้นยุ่งนี้มันจะกวนตลอด อยู่ไหนไม่สบายนะ พอจิตไม่ออกคิด ทีนี้อยู่กับธรรม ธรรมพาให้สงบ นั่งอยู่ที่ไหนเหมือนหัวตอ ๆ นั่นละท่านภาวนา ท่านมีธรรมในใจอยู่ไหนสบาย นี่เป็นขั้น ๆ นะ ขั้นของธรรมที่จะระงับทุกข์ตามลำดับของทุกข์ที่มีมากน้อย ขั้นของธรรมจะระงับไปเรื่อย ๆ จากนั้นก็สง่างาม
ยิ่งออกทางด้านปัญญาอันนี้พิสดารมากนะ เราพูดแต่เพียงแง่พอได้คิด ให้ผู้ปฏิบัติทั้งหลายได้เป็นข้อคิด แล้วให้นำไปพิจารณาเอง ตีความหมายออกไปเอง แล้วผลประโยชน์จะเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางมากมายจากกำลังของตัวเอง การได้ยินได้ฟังจากครูอาจารย์พอเป็นแนวทาง พอเราไปปฏิบัติตัวของเรา ปรากฏขึ้นในตัวของเราแล้ว เอ้า หากินได้วันยังค่ำจ่ายไม่หมด นั่น เราหาได้เองจ่ายไม่หมด เราหยิบยืมไปซื้อเขามาหมดได้นะ เราหาขึ้นมาเองนี้ไม่หมด อันนี้ความคิดความอ่านอรรถธรรมเกิดขึ้นจากในใจของเรานี้มันจะสง่างามขึ้นเรื่อย หาไม่หมด ๆ แล้วสว่างขึ้นเรื่อย ๆ
นี่ละธรรมที่จะเริ่มเป็นแดนอัศจรรย์ขึ้นมาจากด้านปัญญา เหล่านี้ก็เลิศก็เลอถ้าเรายังไม่เห็นธรรมขั้นนั้นนะ เหล่านี้ก็พออยู่พอกินพอเป็นพอไปอยู่ที่ไหนสบายหมด เพียงขั้นจิตใจมีความสงบบ้าง ยิ่งจิตใจมีแต่ความเบิกบานมีแต่ความสว่างไสวไปแล้วมันยิ่งเพลิน เห็นกิเลสก็เห็นประจักษ์เป็นภัยอย่างประจักษ์ เห็นคุณของธรรมก็เห็นอย่างประจักษ์ ๆ ทีนี้มันก็เบิกกว้างออก เห็นโทษมากเท่าไรมันยิ่งบืนหนีจากโทษ เห็นคุณมากเท่าไรมันยิ่งขยับเข้าหาคุณ นี่ละที่ว่าความเพียรของท่าน ความเพียรกล้า ท่านไม่ได้หลับได้นอน มีแต่จะออกท่าเดียว ถึงขั้นเห็นโทษแล้วอยู่ไม่ได้ว่างั้นเลย แต่ก่อนเรานอนกอดกองทุกข์มานี้ตั้งกัปตั้งกัลป์ เราไม่เห็นว่าทุกข์นี้เป็นภัยต่อเรา พอธรรมจับจ้าเข้าไปเท่านั้นมันเห็นภัยแล้วมันจะอยู่ได้ยังไง มันก็หมุนติ้ว ๆ ๆ
นี่ละขั้นของธรรมท่านหาความสุขให้ใจ ใจเท่านั้นที่จะแบกหามกองทุกข์ทั้งมวล คือใจดวงนี้ เมื่อทำไม่ถูก ทำตามกิเลสจะเป็นทุกข์ทั้งมวลเราแบกคนเดียว ทีนี้เมื่อเราทำถูกนำธรรมมาเป็นน้ำดับไฟดังที่อธิบายมาให้ฟังนี้ ทุกข์เหล่านั้นจะค่อยยุบยอบลงไป สุขอันนี้จะค่อยเบิกขึ้น ๆ กว้างขึ้น ๆ ทีนี้ก็จ้าขึ้น ๆ ละที่นี่ นี้ก็คือใจ เรื่องความสุขทั้งหมดมาอยู่ที่ใจดวงเดียว ความทุกข์ทั้งหมดอยู่ที่ใจดวงเดียวจากกิเลสสร้างขึ้นมา ความสุขทั้งหมดอยู่ที่ใจดวงเดียวที่ธรรมสร้างขึ้นมา ทีนี้เมื่อธรรมสร้างสุดขีดแล้วใจเป็นธรรม ธรรมเป็นใจแล้วนะที่นี่ หมดทุกข์ดังพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่าน ตั้งแต่ขั้นล้มลุกคลุกคลานท่านสู้ไม่ถอย ๆ สุดท้ายก็ยึดได้ หลุดมือไปบ้าง ยึดได้มา หลุดมือไป เอ้า หลายครั้งหลายหนก็ไม่หลุดมือ แล้วได้เพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ ก็สว่างจ้าขึ้นมา
นี่ละหาความสุข ให้ท่านทั้งหลายหาจากพุทธศาสนา ชี้นิ้วเลยเรื่องพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ชี้นิ้วถูกต้องแม่นยำหมด นี้เป็นแถวแนวของธรรมที่ดับความทุกข์ในหัวใจโลก มีพุทธศาสนาเท่านั้น นอกนั้นเราไม่พูดถึง ให้ท่านจับเอานี้ไว้ก็แล้วกัน ไม่พูดถึง แนวการของธรรมสอนโลกคืออันนี้ละพุทธศาสนา แนวการกิเลสสอนโลกคือศาสนาที่มีกิเลสอยู่ในหัวใจ ใครจะเอาเทวดามาเป็นเจ้าของศาสนาก็ตาม ถ้าลงกิเลสได้อยู่ในหัวใจแล้ว สอนผิด ๆ พลาด ๆ ไปด้วยกันทั้งนั้น เจ้าของก็ผิดสอนคนอื่นก็ผิด เขาเคารพเลื่อมใสเขาเชื่อถือไปทำตามเราอีกผิดไปอีก ๆ สร้างบาปสร้างกรรมจากคำว่า ศาสนา ๆ มีมากต่อมากเข้าใจไหมล่ะ พุทธศาสนานี้ชี้นิ้วเลยไม่มี มีแต่ความบริสุทธิ์ล้วน ๆ ปัดออก ๆ ส่วนที่เป็นภัยเป็นจริง ๆ ปัดออก ส่วนที่เป็นคุณกวาดเข้ามา ๆ ก็จ้าเลย พากันจำเอานะ
นี่ละถึงขั้นศาสนาที่เลิศเลอ พระพุทธเจ้าเลิศที่จุดนี้นะ จุดที่ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันเลย แยกกันไม่ออก จะแยกไปไหนก็เป็นอันเดียวเท่านั้น จะแยกไปไหนอีกล่ะ นั่นละธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันแล้วแยกกันไม่ออก พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่านเป็นอย่างนี้ นี่ละท่านก็ล้มลุกคลุกคลานมาเหมือนเรา ให้พากันอุตส่าห์ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัตินะ เราเป็นลูกชาวพุทธทั้งคนอย่าให้เสียชาติเกิดขึ้นมา ลมหายใจหมดไปเปล่า ๆ นี้ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย ให้ฟังเสียงพระพุทธเจ้าฟังเสียงท่าน สรณะของพวกเราพระสงฆ์สาวกที่บริสุทธิ์ ท่านเหล่านี้ไม่ต้มใคร ว่าอะไรแม่นยำ ๆ ๆ ส่วนกิเลสต้มทั้งเพ ตั้งแต่ตื่นนอนต้มจนกระทั่งค่ำ ต้มอันนั้นจะดีอันนี้จะดี แน่ะ ไม่ได้เรื่องอะไรแหละวันนี้ วันนี้มันโมโหมาก จิตใจมันขุ่นมัววุ่น พอมองไปเห็นพ่ออีหนูมาจากที่ไหนก็ไม่รู้นะ นี่ไปไหนมา โมโห มันอัดอั้นตันใจมันจะตาย มันจะหาเรื่องใส่พ่ออีหนูเข้าใจไหม พ่ออีหนูก็เป็นพ่ออีหนูที่ดีอยู่นะ ไม่ใช่พ่ออีหนูแบบตาต่อตาหลบกันต่อหลบ พวกโจรกับพวกมารพบกัน เข้าใจไหม
อันนี้พ่ออีหนูก็เป็นพ่ออีหนูคนดี ไปไหนมาก็บอกว่าไปนั้นมาไปนี้มา คือหาเรื่องใส่เขา ความจริงคือเจ้าของมันเป็นไฟหาที่ระบายออก มันเป็นอย่างนั้นนะความทุกข์ มันหาทางออก ได้เอาไฟเผาเขาก็เอา ถ้าทางนี้ไม่มีทุกข์ ทางนี้สบายแล้วมองไปที่ไหนมันเย็นตาเย็นใจไปหมด มันเย็นอยู่ที่ใจนะ มองไปที่ไหนก็เย็น เย็นตา เย็นหู เย็นอะไรไปหมด ถ้าใจเป็นธรรม พากันจำเอานะ ให้พากันไปอบรมภาวนาบ้าง อย่าอยู่เฉย ๆ ศาสนาคือทองคำทั้งแท่งปล่อยให้มูตรให้คูถมันเหยียบย่ำทำลายทั่วโลกดินแดน ไม่สมควรเลยกับเราเป็นชาวพุทธนะ เอาละ วันนี้พูดเพียงเท่านั้นละ พอ
นี่พูดถึงเรื่องวัดอะไร เลยยังไม่จบ วัดภูวัว พูดเลยต่อไปเรื่อยเลยวันนี้ นี่ก็จวนสิ้นเดือน ประมาณวันที่ ๒๖-๒๗ ๒๘ ขึ้นไปละส่งให้ ๆ คือเราส่งนี้ให้พอเลยนะ เวลาไปแล้ว คือสั่งเขาไว้พร้อมเขาก็เคยแล้ว พอไปถึง มีพระจำนวนเท่าไร ๆ เราก็ดูสิ่งของขาดเหลืออะไร ถ้าอันไหนบกพร่องเท่าไรมานี้เอาไปอีก แต่ไม่เคยบกพร่อง เพราะเรากะไว้อย่างเหลือเฟือ นอกจากนั้นวัดไหนที่อยู่แถว ๆ นั้นไม่น้อยนะ แห่งละ ๒ องค์บ้าง ๓ องค์บ้างมีลึก ๆ ในเขา แล้วท่านมาติดต่อขอจากที่นี่ไป เราก็บอกให้ท่านไปเถอะ ให้ท่านมาเอาไป ถ้าขัดข้องทางนี้จะส่งมา เราว่าอย่างนั้นนะ เพราะเราไม่อาจจะส่งทั่วถึงได้ทุกแห่งทุกหนไป เรามาส่งแต่จุดใหญ่ ๆ เท่านั้น นี่เราก็เปิดทางให้เรียบร้อยแล้ว
บรรดาศรัทธาทั้งหลายที่ได้ไปบริจาคทาน ไปจากพี่น้องทั้งหลายทั้งนั้นนะ บริจาคทานได้บุญได้กุศลทั่วหน้ากันหมดนะพวกเรา หลวงตาเป็นแต่เพียงผู้ทำหน้าที่แทนเฉย ๆ สมบัติเงินทองข้าวของเป็นของท่านทั้งหลายเอง เป็นบุญเป็นกุศลของพี่น้องทั้งหลายทั่วหน้ากันนะ ไปครั้งหนึ่ง ๆ เวลานี้รถไม่ต่ำกว่า ๔ คัน เต็มเอี๊ยด ๆ เลย เราเปิดทางให้แล้วว่า ถ้าไม่พอให้เอาอีกรถ เขาบอกว่าพอ ก็กำหนดไว้ครั้งละ ๔ คันรถ ๆ ไปเลยอย่างนี้
เราอบอุ่นเราได้พระดี ๆ ไว้ทำบุญให้ทาน พวกนักศรัทธาทั้งหลายก็เย็นใจ ได้ไปทำบุญให้ทานในสถานที่เหมาะสม เป็นอย่างนั้นนะ ท่านเองท่านก็เย็นใจสบายใจภาวนาสะดวก
ชมการถ่ายทอดสด ธรรมะหลวงตาวันต่อวัน ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th |