เห็นบุญเห็นคุณสถานที่
วันที่ 17 พฤษภาคม 2546 เวลา 8:10 น. ความยาว 69.09 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖

เห็นบุญเห็นคุณสถานที่

 

         คณะพระและโยมวัดทรายงาม ต.หนองบัว อ.เมือง จ.จันทบุรี ถวายหลวงตารวมยอดเงินทั้งหมด ๒๒,๒๖๙ บาท รับทราบแล้ว พอใจๆ วัดทรายงามนี้เป็นเริ่มแรก ท่านอาจารย์มหาทองสุก กับท่านอาจารย์กงมา ไปอยู่ที่นั่น จำพรรษาที่นั่น ท่านอาจารย์กงมาท่านบอกว่าท่านจำพรรษาอยู่ที่นั่น ๕ ปีที่วัดทรายงาม ท่านไปสร้างวัดที่นั่น วัดทรายงามมีพระมาบวชเยอะนะ ตอนนั้นมีท่านอาจารย์จันทร์ด้วย ท่านอาจารย์มหาทองสุก ท่านอาจารย์กงมา มีแต่พระองค์สำคัญด้วยนะไปสร้างวัด ไปอยู่ที่วัดทรายงาม จากนั้นท่านอาจารย์กงมาท่านก็มาอยู่บ้านโคก นาสีนวน สร้างวัดดอยฯ อาจารย์มหาทองสุกสุดท้ายท่านก็มาเป็นเจ้าอาวาสวัดสุทธาวาส แล้วเสียที่นั่น ท่านอาจารย์จันทร์สุดท้ายก็มาอยู่ที่วัดจันทาราม จ.หนองคาย ท่านก็มาเสียที่นั่น มีแต่พระองค์สำคัญนะเหล่านี้น่ะ

ที่ว่าวัดทรายงามนี้เป็นทรายขาวนะ โอ๋ย ขาวสวยงามมาก ตอนนั้นเป็นปี ๙๘ เราไปสร้างวัดที่สถานีทดลอง ท่านอาจารย์กงมาท่านกลับไปเยี่ยมที่จันท์เหมือนกัน ท่านไปพักที่วัดทรายงามนี่แหละ เราก็ไปสร้างวัดที่สถานีทดลอง พอทราบว่าท่านมาก็ไปเยี่ยมท่านที่วัดทรายงาม เพราะฉะนั้นจึงได้ไปเห็นวัดนั้นเป็นครั้งแรก ท่านก็เล่าเรื่องให้ฟังว่าท่านอยู่ที่นี่ จำพรรษาที่นี้ ๕ ปี ท่านว่า ไปทราบเอาตอนนั้นแหละ ตอนท่านกลับไปเยี่ยมวัดทรายงาม เยี่ยมจันท์ คือท่านมาอยู่ทางนี้แล้ว นี่ตอนหลวงปู่มั่นมรณภาพแล้ว ท่านอาจารย์จันทร์ ท่านอาจารย์มหาทองสุก ท่านอาจารย์กงมา แล้วท่านอาจารย์ลีเรา แรกๆ ท่านอาจารย์ลีก็ไป แล้วถัดกันเรื่อยๆ ไป

ท่านอาจารย์ลีนี้ทราบว่า ท่านขุนอำนาจหรืออะไรเป็นนายอำเภออยู่ที่จันท์ นิมนต์ท่านไปอยู่ที่นั่น อยู่ที่วัดป่าคลองกุ้ง แต่ก่อนเป็นป่าจริงๆ จึงเรียกว่าวัดป่าคลองกุ้ง ห่างจากตัวเมืองตั้ง ๔ กิโล นั่นหมายถึงแต่ก่อนนะ ตอนนั้นเราไปก็เห็นอย่างชัดเจนว่าเป็นวัดป่าคลองกุ้งจริงๆ  คือเขตเขาเรียกวัดใหม่ เขตสุดของจันท์อยู่ที่นั่น จากนั้นไปไกล จึงเรียกว่าวัดป่าคลองกุ้ง เวลานี้หมดแล้ว ทางเข้าไปนั้นเป็นป่าช้า ทางไปวัดป่าคลองกุ้งเป็นป่าช้า เวลานี้มันหมดสภาพคำว่าป่าช้า บ้านคนติดวัดเลย รอบหมดเดี๋ยวนี้นะ

ที่จันท์ยังได้ครูบาอาจารย์เป็นหลักเป็นเกณฑ์ ตั้งเนื้อตั้งตัวทางด้านจิตใจได้เพราะครูอาจารย์เหล่านี้ มีแต่องค์สำคัญๆ เสียด้วยนะไปน่ะ วัดป่าจึงมีมากที่จันท์ ที่ไหนๆ มักจะมีวัดป่าแทบทั้งนั้น แล้วประกอบกับภูเขามากด้วย ป่ามาก พระกรรมฐานมีมาก เนื่องจากครูบาอาจารย์ไปแนะนำสั่งสอนให้เข้าอกเข้าใจเรื่องอรรถเรื่องธรรม กระจายออกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งปัจจุบัน จันท์เป็นวัดที่มีพระกรรมฐานมากตลอดมานะ

เราไปอยู่ที่นั่น ไปสร้างวัดปี ๙๘ ไปลำพังคนเดียว ไปครั้งแรก ๒๔๙๕ พอ ๙๘ ก็พาโยมแม่ไปจำพรรษาที่นั่น จากนั้นก็มาเขาน้อยสามผาน แล้วก็มานี้ จึงมาสร้างวัดที่นี่ จันทบุรีนี้แต่ก่อนลูกศิษย์ลูกหามาก นี่หมายความว่าที่สนิทสนมกันมาตั้งแต่เราไปสร้างวัดทีแรก ในจันท์มีเยอะ แต่เดี๋ยวนี้ทำไมไม่มาก คือว่าท่านเหล่านั้นล่วงลับไปแล้ว ยังเหลือแต่ลูกๆ หลานๆ ไม่ทราบจำได้กันไหม เราก็จำไม่ได้เราก็ไม่ค่อยได้เข้าไปจันท์ แต่ก่อนลูกศิษย์ลูกหาเยอะในจันท์ เวลานี้แทบจะไม่มีเหลือนะ บรรดาลูกศิษย์ลูกหาผู้เก่าแก่ ก็ยังเหลืออยู่โรงแรมเกษมศานต์ ๑ เกษมศานต์ ๒ เท่านั้นละมั้ง นอกนั้นหมด มันจำไม่ได้ แล้วก็ไปมาตั้งแต่ พ.ศ.๙๘ จนกระทั่งป่านนี้ละ ไปๆ มาๆ อยู่ตลอด ๙๕ เป็นครั้งแรก

พอพูดอย่างนี้ มันก็เป็นเรื่องตลก แต่อย่ามาเข้าใจว่าเรายอตัวนะ เราไม่ต้องการ ยอก็ไม่ต้องการ เหยียบก็ไม่ต้องการ เอาความจริงมาพูดเรื่องไปสัมผัส ท่านอาจารย์ลีเรานี่ท่านอยู่วัดป่าคลองกุ้ง แล้วเราไปอยู่สถานีทดลอง ไปสร้างวัดที่นั่น บรรดาประชาชนในจันท์เขาไม่รู้เราว่าเป็นอะไรๆ กันกับท่านอาจารย์ลีเรา เขาก็ไปฟังเทศน์เราที่นู่น ที่สถานีทดลอง ปีเราไปสร้างวัดที่นั่น พอเขามาหาท่าน ก็เขาไปทั้งวัดนั้นทั้งวัดนี้ พอเขามาหาท่าน เขาก็มาพูดอวดท่านละซี เขาไม่รู้ว่าท่านกับเราเป็นยังไงกัน เขาไม่รู้เรื่องนี่นะ เขาพูดเข้าท่าดีนะ มาก็ว่า ท่านพ่อ อะไร ท่านว่า ได้พระดีมา พระดียังไง แหม เทศน์นี่น้ำไหลไปเลย ชื่อว่ายังไง ท่านว่างั้นท่านถาม ชื่ออาจารย์มหาบัว อยู่ที่สถานีทดลอง เทศน์นี่เป็นน้ำไหลไปเลย ท่านตอบคำเดียว มันต้องอย่างงั้นซิ ท่านว่ามันต้องอย่างงั้นซิ ความจริงท่านกับเราคุ้นกันมาแต่เมื่อไรเขาไม่รู้ เขาก็ไปอวดท่านละซิ ท่านก็เลยตอบว่า มันต้องอย่างงั้นซิ ท่านตอบคำเดียวเท่านั้นละ มันต้องอย่างงั้นซิ

ท่านไปเยี่ยมเสมอที่วัดสถานีทดลอง ท่านพาพวกญาติพวกโยมไปเยี่ยม เยี่ยมแล้วไม่แล้วเอาเราไปด้วยไปทางขลุงทางขลิง เดี๋ยวสั่งให้ไปหาเรื่อยๆ นะไปวัดคลองกุ้ง ท่านกับเรานี้คุ้นกันมาสักเท่าไรแล้ว เขาไม่รู้ เขาก็ไปพูดคุยโม้ให้ท่านฟังละซิ มันต้องอย่างงั้นซิ ท่านว่า เท่านั้นละท่านไม่พูดมาก มันต้องอย่างงั้นซิ ท่านอาจารย์ลีท่านเป็นพระที่เด็ดเดี่ยว หลวงปู่มั่นชมตลอดนะ บอกว่าท่านไปอยู่จันท์ ท่านก็บอกว่าเหมาะ ท่านจะได้ไปหรือไม่ไปไม่ทราบ ท่านว่าที่นั่นเหมาะดี ป่าเขามาก ท่านว่างั้นนะ เราก็ไม่ได้ถามท่าน ท่านก็ไม่ได้เล่าว่าไปที่ไหนแถวนั้น เล่าตั้งแต่ทางเขาใหญ่ ทางนครนายกมากต่อมาก ท่านเล่าถึงเรื่องความเด็ดเดี่ยว เรื่องเคร่งครัดเด็ดเดี่ยวทุกสิ่งทุกอย่าง จริงจังทุกอย่าง ท่านว่างั้นนะ แล้วก็เป็นอย่างนั้นด้วย นิสัยท่านจริงจังมาก เด็ดเดี่ยว ชีวิตของท่านก็ดูเหมือน ๕๕ ปีมั้ง โรคท่านมีหลายโรค โรคหัวใจโรคอะไรหลายอย่าง อายุดูเหมือนจะ ๕๕ ปีมั้ง เสียปี ๒๕๐๓-๕๐๔ หรือไง เราก็ลืมแล้วแหละท่านเสีย

ข้างในดูว่ามีเป็นร้อยกว่าแล้วนะ พระเดี๋ยวนี้อย่างมากก็ประมาณสัก ๕๐-๖๐ องค์ อยู่ข้างในนั้นมีตั้งร้อยกว่า ไม่ทราบว่าร้อยแบบไหนนะ เราไม่ได้แน่ใจกับผู้ที่มาอยู่ข้างในนะ มาเลอะๆ เทอะๆ เก้งๆ ก้างๆ ทุกสิ่งทุกอย่างมันจะรวมอยู่ข้างในนะ เราไม่ค่อยเข้าไป เราคอยตัดสินตั้งแต่ที่เราสั่งไว้เท่านั้น จะเป็นไปตามสั่งนั้น อย่างไรก็ตามอย่ามาทะเลาะกันให้ได้ยินนะ พอว่าทะเลาะเราไล่หนีเลยทันที ไม่มีคำสองคำสามนะ บอกชัดเจนอย่างนั้นเลย เพราะอย่างอื่นเราไม่อยากรวบรวม เอาอันเดียวเท่านั้น มาทะเลาะกันแล้วไล่หนีเลย ใครทะเลาะเอาจริงๆ ไล่ทันทีเลยไม่ให้อยู่ มาทะเลาะกันหาอะไร ก็มาอบรมศีลธรรม กลับมาทะเลาะกัน เข้ากันได้เมื่อไร

ผู้ปฏิบัติศีลธรรมต้องเป็นผู้พินิจพิจารณาไปตามอรรถตามธรรม ไม่ไปตามกิเลส เรื่องทะเลาะกันเป็นเรื่องของกิเลส ไม่ทะเลาะกันเป็นเรื่องของธรรม เหตุผลกลไกมีอยู่ ธรรมคือเหตุผลกลไก ใครผิดใครถูกยอมรับกันๆ นี่ก็จะคุยหรือจะเหยียบเจ้าของ หรือจะคุยเจ้าของก็ไม่ทราบ นี่ละวิธีการสอนหมู่เพื่อน เราดำเนินมาอย่างนี้ตลอด จะยกตัวอย่างให้ฟัง ไอ้หรวดนี่มันบวชมันสึกไปแล้ว มันก็ไปมีลูกมีเมีย มันก็มาเป็นลูกพระอยู่นี้ตลอด มันเป็นเณรแต่ก่อน มันรักษาศาลานี้ กุฏิของเราหลังเล็กๆ แหละ กระต๊อบ พังไป ๓ หลังละมังถึงได้ปลูกหลังนี้ขึ้นมา พังไป ๓ หลัง มุงด้วยหญ้าแอ้มฟาง

วันนั้นทำธุระอะไรอยู่ไม่รู้นะ การทำข้อวัตรปฏิบัตินี้เรากับพระเณรจะเสมอกันตลอดเลย ถ้าพูดถึงเรื่องสายหูสายตาความคิดความอ่านนี้ เราต้องนำหน้าตลอดเวลา การทำข้อวัตรปฏิบัติกับพระกับเณรเสมอกันหมด ถึงเวลาปุ๊บเอาเลยลงเลย พอดีวันนั้นดูเหมือนจะเป็นเขียนหนังสือหรืออะไร ไปดูนาฬิกา ไปดูเข็มมันดูผิดละซี คือที่สั่งไว้เรียบร้อยแล้วทั่วทั้งวัดนี้ว่า บ่าย ๔ โมงปัดกวาด อันนี้เป็นตายตัวไม่ต้องมีระฆัง เพราะนาฬิกามีทุกคนอยู่แล้ว ถึงเวลาปัดกวาดเลยไม่เคลื่อนคลาด ก็มาเคลื่อนคลาดที่เราวันนั้น พอเขียนหนังสือมองไปดูนาฬิกา ดูเข็มผิดไปเข้าใจว่า ๔ โมง ๒๐ นาที มันเลยไปตั้ง ๒๐ นาที เราก็ปุ๊บปั๊บเลย มันเลยเวลาไปแล้วตั้ง ๒๐ นาที ปุ๊บปั๊บลงได้ไม้กวาดก็กวาดตั้งแต่โน้นออกมาเรื่อยๆ มาหน้าศาลา ทางสายนั้นละออกมานี้

ออกมาหน้าวัดไม่เห็นพระเณรสักองค์เดียว แทนที่จะเห็นพระเณรเต็มวัดถึงเวลาเช่นนั้นแล้ว ปัดกวาดมารวมกันที่นี่ แต่ไม่เห็นพระเณรสักองค์เดียว เรากวาดออกมานั้นเณรมันคงจะรำคาญตาท่านะ มันก็เลยด้อมๆ ออกไป ทางนี้ก็ เณร ขึ้นเลยทันที ใส่เปรี้ยงๆ เลยเทียว เหอ วันนี้พระตายกันหมดทั้งวัดแล้วเหรอ ใครจะ กุสลา ใครอย่างนี้น่ะ นี่ถึงเวลาปัดกวาดแล้วทำไมจึงไม่เห็น คำพูดสั่งเสียอย่างหยาบๆ ไม่น่าจะต้องท่องบ่นสังวัธยายเหมือนท่องสวดมนต์ แล้วเป็นยังไงวันนี้ไม่เห็นพระเณรสักองค์ พระตายกันหมดทั้งวัดแล้วเหรอ ใครจะ กุสลา ใครวันนี้ มันคงรำคาญมันเลยบอก มันพึ่งได้บ่าย ๓ โมง ๒๐ นาที ว่างั้นนะ เราไปฟาดเป็นบ่าย ๔ โมง ๒๐ นาที

พอเณรว่างั้น ไหนว่าไง นาฬิกาพึ่งบ่าย ๓ โมง ๒๐ นาที เออ ถ้าอย่างนั้นหยุด เห็นไหมล่ะเอากันทันทีเลยนะ หยุดๆ ๆ หยุดทั้งวัด เดี๋ยวจะเป็นบ้ากันทั้งวัด เราจะไปแก้บ้าเราคนเดียว ปุ๊บปั๊บออกจากนี้ปุ๊บเข้ากุฏิเลย บอกห้ามพระไม่ให้มาปัดกวาด เดี๋ยวจะเป็นบ้ากันทั้งวัด เราจะไปแก้บ้าเรา เณรคงจะอดหัวเราะไม่ได้ เสียงกำลังแผดเข้าใจไหม เปรี้ยงๆ เลย พอเณรบอกว่ามันพึ่งบ่าย ๓ โมง ๒๐ นาที เหอ พอได้ความเท่านั้นบอกให้หยุดๆ ทันทีเลย มันจะเป็นบ้ากันทั้งวัด เราจะไปแก้บ้าเราคนเดียว ปุ๊บปั๊บไปเลย เณรก็คงจะเล่าให้พระฟังแหละ หลวงตาท่านเป็นบ้า ท่านไปแก้บ้า คงว่างั้น

นี่คืออะไร นั่นละธรรม เวลาเข้าใจว่าผิดก็ต้องอย่างนั้นใช่ไหมล่ะ เมื่ออันนั้นไม่ผิด เราผิด ก็เราเองเป็นผู้ผิดเราต้องไปแก้บ้าเรา ปุ๊บปั๊บเดี๋ยวนั้นเลยเทียว ให้เลิก หยุด ใครอย่ามาปัดกวาด เดี๋ยวจะเป็นบ้ากันทั้งวัด เราจะไปแก้บ้าเรา ปึ๊งๆ ไปเลย นั่นเหตุผล เข้าใจไหม เอาเหตุผลนะไม่ได้เอาอารมณ์มาใช้ เอาเหตุผลมาใช้ เหตุผลก็คือว่า ที่ว่าบ่าย ๔ โมง ๒๐ นาทีมันผิด เราเข้าใจว่าถูกก็มาดุพระ ทีนี้พอทางนั้นมาชี้แจงให้ทราบว่า พึ่งบ่าย ๓ โมง ๒๐ นาทีเท่านั้น เราก็แน่ใจว่าเราผิด พระเณรถูก เพราะฉะนั้นจึงบอกว่า หยุดๆ ๆ ทันทีเลย เอาทันทีเลย อย่างนั้นเรียกว่าธรรม

นี่ละการอยู่ด้วยกันต้องฟังเหตุฟังผลของกันและกัน ใครจะถือทิฐิมานะว่าใหญ่ว่าสูงว่าอะไร ไม่ได้เป็นอันขาด ธรรมเหนือทุกอย่างแล้ว นั่นเอาตรงนั้นมาใช้นะ ต้องเอาธรรมซึ่งเหนือทุกอย่างแล้วมาใช้ ไม่งั้นไม่ได้ อยู่ด้วยกันก็เหมือนกัน ใครผิดใครถูกให้พินิจพิจารณา เก็บความรู้สึกไว้ด้วยดี มายุ่มย่ามๆ นี่อันหนึ่งนะ สระน้ำตรงนี้นะ ใครมาปัดกวาดเพ่นพ่านๆ อยู่นี้ เราชี้มือบอกหลายหนแล้วนะ เดี๋ยวถูกไล่ออกจากวัด นี่ไม่ได้เหมือนใครนะ มาเก้งก้างๆ อยู่นี้ อยู่ทางโน้นให้ปัดกวาดทางโน้น อย่ามาเพ่นพ่านทางนี้ ใครอยู่ทางนี้ให้ปัดกวาดทางนี้ อย่าสับสนปนเปยุ่งเหยิงวุ่นวายกันนะ เราดูถ้ามันแสลงตาแล้วเอาละนะ ตาจะจับเรื่อยๆ นะ จับถูกแล้วก็ใส่เปรี้ยงเลยที่นี่ ขับทันที สอนอย่างนั้นสอนหมู่สอนเพื่อน สอนตัวเองก็สอนอย่างนั้น ไม่ได้มาทำเหลาะ ๆ แหละๆ นะ

อย่ามาหน้าดื้อหน้าด้านในวัดนี้ไม่ได้นะ ธรรมะพระพุทธเจ้าไม่ใช่ธรรมะหน้าด้าน หน้าด้านมีแต่กิเลสเท่านั้นหน้าด้าน อยู่กับคนก็เป็นคนหน้าด้าน อยู่กับพระก็เป็นพระหน้าด้าน อยู่กับที่ไหนด้านหมด อยู่กับหมาก็หมาหน้าด้าน ทุกอย่างถ้าลงกิเลสได้เข้าไปอยู่ไหนแล้วด้านทั้งนั้น อย่านำมาใช้ในวัดในวาในพระในเณรในผู้ปฏิบัติธรรมเรา มันจะกลายเป็นพระหน้าด้าน ประชาชนคนในวัดในวา นอกวัดนอกวา หมูหมาเป็ดไก่ หมัดเหม็ดมันจะเป็นพวกหน้าด้านไปด้วยกันหมดนะ อย่าให้มีนะ

ถ้ามาอยู่นี้ให้ระมัดระวังทุกคน อย่ามาเก้งก้าง อย่ามาหน้าดื้อหน้าด้าน อย่ามามึนตึงไม่ได้นะที่นี่น่ะ ธรรมะไม่ใช่ธรรมะมึนตึง ฟังตรงไหนจับให้ดี เอาไปพินิจพิจารณา ที่สอนแล้วนี้จำกันได้ไหม การปัดกวาดมาเพ่นพ่านๆ อยู่ในเหล่านี้น่ะ มันขวางตามานานแล้วนะ ได้เตือนแล้วนะ คราวนี้เตือนหนัก คราวหลังไล่ออกหนีเลย ไม่ได้พูดซ้ำๆ ซากๆ อีกนะ เพราะเตือนแล้วเตือนเล่า มาอยู่แบบหน้าด้านก็มี ทะลึ่งพึ่งพรวด การนั่งการอยู่แย่งชิงหาแต่ที่กัน แล้วแบบหน้าด้าน มีอยู่เยอะนะ เรามองดูตลอด ว่าเราไม่ดูเหรอ เราดูอยู่ ใครหน้าด้าน ใครหน้าหนาใครหน้าบาง ดูไปหมด มันเป็นยังไง มาแย่งมาชิงแต่ที่หลับที่นอนที่นั่งนะ แย่งชิงหาอรรถหาธรรมเพื่อความดีงามแก่ตนมันไม่แย่งนะ มันแย่งแต่ของเลอะๆ เทอะๆ อย่างงั้น ดูไม่ได้นะ

อยู่ไปนานไปมันหน้าด้านไปเรื่อยๆ นะพวกนี้ มันมีเราก็ได้ยินอย่างนี้ ได้ยินมานานแล้วนะแต่ยังไม่พูด ถึงเวลาพูดมันเป็นเองของมันแหละ ถ้าถึงเวลาพูดแล้วหงายเลยทันที หลบทันก็ทัน ไม่ทันหงายเลย มันมีแปลกๆ ๆ อยู่ในวัด อยู่ภายในนั่นน่ะ มันยังไงกันๆ อยู่งั้นละ แต่ไม่พูด นี่เพียงแย็บออกมา เรียกว่าเตือนให้รู้ตัวไว้ ความหมายว่างั้นนะ มาแบบแฝงๆ แผลงๆ มาอะไรอยู่ในนั้น มันมีหึงๆ หวงๆ สอดๆ แนมๆ มีอยู่ในนั้นนะ จำให้ดีคำนี้ ธรรมไม่ได้มีอย่างนั้นนี่นะ มันอะไรก็ไม่รู้ มาหึงมาหวงหาอะไร สอดๆ แนมๆ หาอะไร ดูกิเลสตัวมันดื้อๆ อยู่ภายในหัวใจนั่นซิ มันแสดงแบบไหนออกมาอย่างนั้น มันถึงออกมาหยาบๆ ให้คนอื่นเห็น ตัวเองไม่เห็นตัวมันออกมานั้นน่ะ ดูเอาซิ ดูตัวนั้นซิ

นี่ทราบมานานแล้วนะ พึ่งจะมาพูดวันนี้ เตือนนะ ถ้าเตือนครั้งที่สองมักจะไล่ออกจากวัดเลย นี่เป็นการเตือนแล้วให้รู้เรื่องเอาไว้ มาสอดมาแนมมาจับพริบจับไหว มาหึงมาหวงกันหาอะไรผู้มาปฏิบัติธรรมด้วยกัน ทำไมไม่เสาะแสวงหาที่เป็นอรรถเป็นธรรม แสวงหาในเรื่องของกิเลส เรื่องหึงเรื่องหวงเรื่องกิเลสตัณหา เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องอรรถเรื่องธรรม อย่านำมาใช้ในวัดนี้นะ มันยิ่งเลอะๆ เทอะๆ เข้าไปทุกวัน

ตามวัดตามวานี้ก็เหมือนกันมองไม่ทันนะ อยู่ข้างนอกข้างในก็ตามเลอะเทอะไปหมดนะ เราก็ได้ไปดูเป็นบางเวลา ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ถ้าไปเวลาอื่นไม่ได้มันรุมเอาเหมือนแม่ต่อแม่แตนนะ เราก็ลำบากของเราเหมือนกันนะ ส่วนมากจะไปตอนเช้า ปั๊บออกไป ไปดูนั้นดูนี้ดูทุกสิ่งทุกอย่างแล้วมาสั่งเสียพระ หรือสั่งเสียคนงานที่เกี่ยวข้องกัน อะไรเป็นยังไง แล้วก็มาสั่งเสีย ไปดูที่นั่นแล้วดูที่นั่น ดูๆ  แล้วก็มาสั่งเสีย  เราจะไปตามเวล่ำเวลาที่เราต้องการ  มันไปไม่ได้นะ

พอตื่นเช้านี้รุม มาแล้ว ไม่ทราบมาเหตุผลกลไกอะไร มาสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้หน้าได้หลัง มาเลอะๆ เทอะๆ ไม่ได้มาเป็นศีลเป็นธรรมมีจำนวนมากนะในวัดนี้ ทนแสนทนนะเรา แล้วกลางวี่กลางวันก็อย่างเดียวกัน เพ่นพ่าน ตลอดถึงค่ำ ออกมาไม่ได้นะนั่น ออกมานี้รุมเลย ต้องได้เลือกเวล่ำเวลา บางทีก็ตอนเย็น มักจะออกมาตอน โมง คือเวลาพระปัดกวาด มาดูข้อวัตรปฏิบัติ นี่มักจะออกเสมอตอนนี้ นอกจากนั้นก็ตอนค่ำ คาดว่าคนจะหมดไปแล้วทีนี้ก็ด้อมออกดูนั้นดูนี้ แล้วก็มาสั่งเสียพระ ทีนี้มันออกไม่ได้นะ ตามเวลาต่าง นี้ออกไม่ได้ รุม นี่ละมันไม่เป็นท่าเลยนะ  เสีย

ผู้ที่เข้ามาในวัดในวาก็เหมือนกัน มันไม่ได้ลืมหูลืมตามานะ มาวัดวาท่านปฏิบัติกันยังไง ธรรมะสอนคนให้ดีหรือสอนคนให้เลว ท่านสอนยังไงท่านปฏิบัติยังไงมันควรจะดู ควรจะสังเกต มันไม่สังเกตนะ ทำแบบไหนมาก็เอาแบบนั้นละมา มาอวดพระเสียด้วยนะไม่ใช่ธรรมดา เอาของเลว มาอวดพระ เอาขี้หมูขี้หมาเอาส้วมเอาถานมาอวดพระเต็มวัดเต็มวา การแต่งเนื้อแต่งตัวดูไม่ได้นะเวลานี้ เราบอกจริง แต่งแบบจิ๊กโก๋จิ๊กเก๋เข้ามา แบบกิเลสตัณหาหน้ามืดหน้าด้านนั้นอย่าเข้ามาในวัดนี้ เราไม่หวังจะกินอาหารกับคนประเภทนี้ เราตายเราก็ตายดีกว่าจะมากินมูตรกินคูถของคนสกปรกอย่างนี้

เรากินด้วยความสะอาดสะอ้านในธรรมของเรา กินเท่าไรเรากินได้ เราตายก็ตายเป็นสุข อย่าให้ตายด้วยแบบกินมูมมาม กับพวกเปรตพวกผี พวกหน้าด้านสันดานหยาบนี้เลยนะ จะเอานั้นมาอวดหรือว่ามาวัดมาวา ถ้าท่านว่าให้เราเราก็ไม่เอาอะไรมาทาน โคตรพ่อโคตรแม่มึงไม่มาก็ช่างกูไม่ตาย เข้าใจไหม กูปฏิบัติตามศีลตามธรรม พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ต่างหาก กูไม่ปฏิบัติเพราะโคตรพ่อโคตรแม่มึงจะเอาอาหารมาให้กูกิน ถ้าไม่ดีสูจะเอาหนี สูไปทั้งโคตรสูก็ไปซิ กูจะว่าอะไรเข้าใจไหมล่ะ อย่าเอามาอวดนะอวดธรรม เราพูดจริง อวดไม่ได้เป็นอันขาด ไม่มีอะไรเลิศเลอยิ่งกว่าธรรม

นี้เอามาสอนโลกด้วยความเมตตาสงสาร มันยังจะเอาขี้หมูขี้หมามาอวดธรรมอยู่เหรอ เราอยากถามว่าอย่างนั้นนี่นะ สอนโลกทุกวันนี้แทบเป็นแทบตายเพราะอะไร ความเลิศเลอในหัวใจพระพุทธเจ้า ของพระอรหันต์เป็นยังไงมันเคยเห็นไหมล่ะ ตั้งแต่โคตรพ่อโคตรแม่มันก็ไม่เคยเห็น สอนธรรมออกมาเท่านี้มันยังจะเอาโคตรพ่อโคตรแม่มาอวดธรรมอีกมีอย่างเหรอ เข้าใจไหมล่ะพวกนี้ มีโคตรหรือไม่มีพวกนั่งอยู่ใต้ถุนศาลานี่น่ะ หรือมีแต่โคตรหลวงตาบัวคนเดียวที่แว้ อยู่นี้ โอ้ พวกบ้า มันยังไงกันนี่

ดูไม่ได้นะแต่งเนื้อแต่งตัวมานี่ อย่าเข้ามา เข้ามาแบบนี้ แบบศีลแบบธรรมมีทำไมไม่มาศึกษา เอามาทำไมพวกเปรตพวกผี พวกนรกอเวจี พวกส้วมพวกถาน แต่งจิ๊กโก๋จิ๊กเก๋มาอวดกัน กิเลสส้วมถานมันของวิเศษอะไร แต่งนี้แต่งแบบส้วมแบบถาน แบบสกปรกโสมม จิตใจมันเลวจิตใจมันต่ำทราม หาความดิบความดีมีวี่แววประจำใจไม่มีเลย กิริยาจึงดูไม่ได้เข้าใจไหมล่ะ มันเป็นอย่างนั้นนะเวลานี้ เพราะฉะนั้นเราจึงบอก อย่าเอามานะ อย่าเอาอะไรมาให้หลวงตาบัวกิน แต่งตัวแบบนี้มา จะเอามาอวดหลวงตาบัว กูจะฟาดใส่โคตรพ่อโคตรแม่มึง ใส่หน้าผากมันเข้าใจไหมล่ะ กูไม่กินกูไม่ตาย อดกูก็อดได้สบายเลย เคยอดเคยอิ่มมา ขอให้ธรรมชุ่มใจ อย่าได้อิ่มด้วยมูม มาม แบบส้วมแบบถานอย่างนี้เลย

พระพุทธเจ้าไม่ประสงค์อย่างยิ่งนะ ให้พากันจดจำทุกคน ดูไม่ได้นะเวลานี้ ยิ่งเลวเข้าทุกวัน เฉพาะวัดป่าบ้านตาดเห็นได้ชัดทีเดียว เขาก็เขียนติดไว้นั้นก็ยังมี เราไปอ่านดู ติดไว้นั้นก็ยังมี ความเลอะ เทอะ ของพวกเปรตพวกผีพวกส้วมพวกถาน มันไม่ได้มองดูนะ ดูหนังสือเขียนเพื่อความดีงามให้มัน มันไม่ดู มันดูแต่ของเลอะ เทอะ แต่งออกว่าโก๋เก๋อวดกัน อวดอะไรประสาส้วมประสาถาน กิเลสตัณหากามกิเลสมันเป็นของดิบของดีอะไร มันเหมือนส้วมเหมือนถาน เอามาอวดอรรถอวดธรรมได้เหรอ นี่ละมันพาสัตว์ทั้งหลายให้จมอยู่ในนรกไม่มีวันฟื้นขึ้นมา เพราะส้วมเพราะถานนี้เองเป็นเครื่องหลอกลวง

มันชอบเท่าไรมันก็ยิ่งจมลงไป ถ้าเห็นภัยของสิ่งเหล่านี้แล้วจะฟื้นตัวขึ้นมา สะอาดสะอ้านขึ้นมา ทุกข์ทั้งหลายก็จะค่อยเบาลง ฟาดตัวเป็นต้นเหตุอันใหญ่หลวงขาดสะบั้นออกจากใจแล้วพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าไม่มีทุกข์เข้าใจไหม มีอันนี้เท่านั้นเป็นตัวทุกข์สำคัญที่ทำสัตว์โลกเดือดร้อนระส่ำระสายเต็มทั่วโลกทั่วสงสาร มีแต่กิเลส กามกิเลสราคะตัณหาเท่านั้นเป็นตัวสำคัญมากทีเดียว มันห่วงอะไรหวงอะไรกันประสากระดูก เอาผ้าห่อไว้เฉย นี่นะ พอดูได้เท่านั้นเอามาอวดกันประสากระดูก อรรถธรรมที่เลิศเลอยิ่งกว่านี้มี ทำไมไม่ฟังเสียงบ้างวะ มันน่าทุเรศเหลือประมาณนะ

มันจวนจะตายแล้วได้เห็นผลประโยชน์ที่แนะนำสั่งสอนพอได้มีวี่แววบ้าง เราก็พอใจนะ อันนี้ยิ่งเลวร้ายลงไปทุกวัน มันก็โมโหละซิ พระนี้ไม่ใช่พระตายโมโหก็ได้ แต่ว่าโมโหมีกิเลสหรือไม่มีนั้นเป็นอีกอย่างหนึ่งนะ โมโหนี้เอาได้ทั้งนั้นละ ปั๊วะป๊ะซัดเลย พอตี แต่ข้าไม่โมโหแต่ข้าตีเด็กได้นะ ผู้ใหญ่พอเอาอาจจะเอาเหมือนกัน แต่เด็กนี้เอาเรื่อยละเข้าใจไหม พากันจำเอานะ โห มันเลอะเทอะลงทุกวัน นะเวลานี้ ศาสนาจะไม่มีเหลือในแดนประเทศไทยเราเลยนะ มันขนาดนั้นละ ดูใครก็ดูซิ ดูไปตั้งแต่ตัวเราหัวโล้น อีตาบัวนี้ไป ดูออกไป ตามวัดตามวาต่าง พระเณรทั่วแดนประเทศไทยเป็นยังไง หลักธรรมวินัยท่านสอนไว้ยังไง การปฏิบัติตัวปฏิบัติยังไง มันกีดมันขวางธรรมหรือมันล่องไปตามอรรถตามธรรม ทำไมมันไม่ดูบ้าง  ดูบ้างมันจะได้รู้เห็นเหตุเห็นผลคนเรานะ

นี้มันเลอะเทอะไปหมด ฆราวาสก็เต็มเหนี่ยวของฆราวาส ที่แสดงตัวเป็นฆราวาสแบบเลวร้ายไม่มองเสียงอรรถเสียงธรรมเลย พระก็พระหัวโล้น ไม่ได้ฟังเสียงอรรถเสียงธรรม ธรรมวินัยมีไม่สนใจ บวชเข้ามามีตั้งแต่หาส้วมหาถาน หายศถาบรรดาศักดิ์ หาความร่ำความรวย หาชื่อหาเสียงโด่งดัง นี่พวกส้วมพวกถาน เวลานี้กำลังเสาะแสวงหากันในส้วมในถาน บวชออกมานี้หาอันนี้เอง ไม่ได้หาอรรถหาธรรมอะไร ถ้าหาอรรถหาธรรมแล้วเย็นไปหมด ผู้หาอรรถหาธรรมอยู่มากน้อยนี่เย็นไปด้วยกันหมด

ดังที่ท่านแสดงไว้ในพระปัจเจกพุทธเจ้าท่านอยู่ตั้ง ๔๐๐-๕๐๐ องค์ ท่านไม่มีคำว่าทะเลาะ ท่านจะเอาอะไรมาทะเลาะ ก็มีแต่ธรรมล้วน ทะเลาะกันได้ยังไง มีเท่าไรไม่เฟ้อธรรม แต่กิเลสนี่มีเขี้ยวเล่มหนึ่งก็แงะ เข้าใจไหม พอ เล่มแล้วกัดกันเลย เขี้ยวหมามันต่างกันนะกับธรรมของพระพุทธเจ้า ท่านอยู่ด้วยกันตั้ง ๔๐๐-๕๐๐ ท่านไม่ทะเลาะกัน ท่านจะเอาอะไรมาทะเลาะ เมื่อท่านบริสุทธิ์ด้วยกัน แล้วผู้ที่ไม่บริสุทธิ์ต่างคนต่างมุ่งอรรถมุ่งธรรมแล้ว ก็จะเอาอะไรมาทะเลาะกัน นั่นฟังซิ

ตะกี้นี้ก็พูดแล้ว เป็นคติไม่ใช่เหรอ การพูดไม่ได้มาพูดโอ้อวดตัวเองนะ พูดให้เป็นคติแก่พี่น้องทั้งหลายในฐานะว่าเราเป็นครูเป็นอาจารย์ ฟาดพระเณรแหลกเหลวไปหมด ถึงขนาด กุสลา ธมฺมา จะไม่มีใคร กุสลา ธมฺมา พอเณรใส่หมัดเดียวเท่านั้นละ มันพึ่งได้ โมง ๒๐ นาที เหอ ขึ้นเลย นาฬิกาพึ่งได้ โมง ๒๐ นาที เหอ อย่างนั้นเหรอ เอ้า หยุด นั่นเห็นไหม นี่ละเรียกว่าธรรม ยอมรับทันที ไม่ยอมธรรมสอนคนอื่นไปทำไม สอนเจ้าของก็ไม่สนใจเจ้าของนี่ สอนคนอื่นไปหาประโยชน์อะไร นั่นเรียกว่าธรรม พูดนี้เพื่อให้เป็นคติ ไม่ได้พูดเพื่ออะไรนะ มันเลอะเทอะไปมากจริง นะเวลานี้ กิเลสตัณหาพวกส้วมพวกถานนี้ตัวเย่อหยิ่งจองหอง เหยียบอรรถเหยียบธรรมแหลกไปหมด ศาสนาแทบจะไม่มีนะเวลานี้ พวกส้วมพวกถานแต่งตัวเป็นพระเป็นเณร แต่งตัวเป็นผู้มีสมบัติผู้ดี โอ่อ่าฟู่ฟ่า มีแต่ส้วมแต่ถานมาอวดธรรม เหยียบหัวธรรมเวลานี้ ความประพฤติเลวยิ่งกว่าหมา

เป็นยังไงมันถึงเป็นอย่างนั้น ยิ่งเลวลง นะทุกวันนี้ จะดูไม่ได้นะ มันขวางขนาดนั้น ธรรมดูกิเลสดูง่ายนิดเดียว กิเลสดูธรรมดูไม่ออกหรือมันไม่สนใจดู มีอยู่ อย่าง หนึ่งไม่สนใจดู สองดูก็เพราะความโง่มันดูไม่ออก ส่วนธรรมนี้จ้าไปหมด มองไปไหนรู้หมด ไม่งั้นพระพุทธเจ้าสอนโลกได้ยังไงพิจารณาซิ ถ้าไม่จ้า พากันจำเอานะ เอาละเท่านั้น เทศน์เท่านั้นละ มันหมดภูมิแล้วหลวงตา . วันหลังต้องหาคุ้นเขี่ยมาใหม่มาเทศน์ใหม่

พอพูดถึงเรื่องหลวงปู่ขาวนี่ก็เป็นธรรมอัศจรรย์ของท่านนะ เราเลยไม่ลืม เขาเรียกโรงขอด ที่อำเภอแม่แตง เขาเรียกโรงขอด นั่นละเห็นไหมธรรมอัตโนมัติ ไปที่ไหนก็ไปเถอะ ลงสติปัญญาอัตโนมัติ ธรรมเป็นอัตโนมัติแล้วจะเป็นอย่างนั้น ท่านไปท่านพิจารณาธรรมขั้นนี้แล้วนะ ขั้นจวนจะผึงแล้วละ พอดีไป นี่เราหมายถึงว่าเราคุยกันเต็มเหนี่ยวแล้ว เริ่มต้นตั้งแต่เรากับท่านซัดกันเสียก่อน เพราะต่างคนต่างเกร็งใส่กัน ท่านเจ้าคุณอุปัชฌาย์นี้เป็นจุดศูนย์กลาง จับคอทางโน้นดึงมาใส่กัน เอาหัวชนกันเข้าใจไหม จับคอท่านอาจารย์ขาวมา จับคออีตาบัวมาเอาหัวชนกัน ท่านเจ้าคุณเป็นอุปัชฌาย์ทั้งสององค์นี่นะ

ท่านหาอุบายเรื่อยแหละ อยากให้เรากับท่านหลวงปู่ขาวพบกัน พอดีวันนั้นไปที่อำเภอหนองบัวลำภู ท่านไปจัดการเองเลย แต่ท่านพูดลับ ไม่ให้เราได้ยิน แต่ก็ปิดไม่อยู่อย่างว่าละ เอ้า กุฏิหลังนี้จัดให้มหาบัวว่างั้น จัดนี้ให้ท่านขาว จะให้พระ องค์พบกันให้ได้วันนี้ ท่านพูดเงียบ ของท่าน ท่านไม่มุ่งว่าอยากให้เราได้ยิน แต่ท่านสั่งเสียละซิ จะให้พระ องค์นี้ทราบกันวันนี้ คือหมายความว่าให้ต่อยกันวันนี้ เพราะต่างคนต่างเกร็งใส่กันอยู่เต็มเหนี่ยว ชื่อเสียงของท่านเป็นยังไงๆ แล้วท่านก็อาจจะได้ยินชื่อของเรา ท่านเจ้าคุณอุปัชฌาย์จับหัว องค์นี้มาชนกัน

วันนั้นท่านก็สั่งเสีย ท่านเป็นคนสั่งเองนะ จัดตรงนี้ให้ท่านขาว จัดตรงนี้ให้มหาบัว จะให้พระ องค์นี้พบกันให้ได้วันนี้ ท่านก็พูดกับลูกศิษย์ลูกหา ท่านไม่ได้คิดว่าเรื่องราวเราจะได้ยิน แต่แล้วก็ได้ยินจนได้นั้นแหละ พอไปเอาละที่นี่นะ ท่านมาจัดสั่งเสียหมดนะ เออ บัว เธอกับท่านขาวไม่ต้องไปงานก็ได้วันนี้ คืองานเราจะรับภาระหมด อยากจะคุยธรรมะธัมโมกันก็คุยได้นะ ท่านว่าอย่างนั้น คือมีงานแล้วท่านรับภาระทั้งหมด พระกรรมฐานท่านพาลงไปโน้นหมด ไปสวดมนต์สวดพรอะไร แต่หลวงตาบัวกับหลวงปู่ขาวนี้ไม่ให้ไป ท่านอยากจะคุยธรรมะอะไรกันก็ได้ท่านว่าอย่างนั้นนะ ความจริงท่านกำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว

นั่นละ พอท่านลงไปหมดแล้วเราก็ด้อมไปหาท่านละที่นี่ ไปเอากันอย่างเต็มเหนี่ยวเลย เริ่มตั้งแต่ก่อน ทุ่มเล็กน้อย พอทางโน้นลงไปหมดแล้ว คนเงียบหมดแล้วเราก็ด้อมไป แคร่ท่านอยู่แค่นี้ สูงแค่นี้ ข้างนอกมีฝา ฝากระดาษเขาเรียกฝาแถบ เราก็นั่งอยู่นี้พิงต้นเสานี้นั่งอยู่ แล้วท่านก็นั่งอยู่ แล้วทีนี้ข้างนอกมันมองไม่เห็นกันละซิ ก็มันฝาเขาเรียกฝาแถบ คนนั่งอยู่ข้างนอกมันก็ไม่เห็นละซี พอขึ้นไปก็เอากันเลยละ เราเป็นคนขึ้นก่อน มียังไงก็เอากันให้ถึงพริกถึงขิงละวันนี้ ไปก็เริ่มเลย กราบเรียนท่านตั้งแต่เริ่มเลย เป็นยังไง ปวารณาให้ท่านเรียบร้อยตั้งแต่เริ่มต้นเลย จนกระทั่งถึงจบลงมีขัดข้องยังไงไม่ต้องผูกเป็นความเกรงใจกับกระผม เอาให้เต็มเหนี่ยวเลย ผิดตรงไหนให้ว่าเลย กระผมจะเริ่มขึ้นแล้ว

เริ่มขึ้นเลยละที่นี่ เราก็ขึ้นเรื่อยๆ ของเรามันยืดยาวเพราะเราเป็นผู้น้อย การประพฤติปฏิบัติตั้งแต่เริ่มแรกมา ก้าวขึ้น ตั้งแต่ ทุ่ม เรานี้มันจะเกือบ ทุ่ม เรียกว่าจะเป็น ชั่วโมงละมั้ง คือท่านไม่มาก  ท่านจะหยิบเอาเฉพาะที่ตรงไหนมันแปลกต่างกัน อันไหนที่เราพูดไปเรียบร้อยแล้วท่านไม่พูดแหละ อันไหนเหมือนกันแล้วท่านก็ไม่พูด ท่านจะแยกออกมาพูดเฉพาะ เราก็เล่าตั้งแต่ต้นเรื่อยๆ จนกระทั่งสุด จบ หมดความสามารถทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ตั้งแต่วันปฏิบัติมา มาถึงจุดนี้แล้วจะว่าโง่สุดขีดก็ยอมรับว่าโง่สุดขีด เพราะไม่สนใจจะศึกษาไต่ถามกับผู้หนึ่งผู้ใด ตลอดทุกอย่างที่ว่าเป็นข้อข้องใจสงสัยจะเสาะแสวงหาอะไรอีกไม่มี ถ้าว่าโง่ก็โง่สุดขีดขนาดนี้ แล้วขอมอบถวายครูบาอาจารย์ ผิดถูกประการใดให้ใส่เต็มเหนี่ยวเลย ไม่ต้องไว้หน้า ท่านก็ยิ้ม

นี่เรียกว่าเราจบลงแล้ว นี่เราสรุปนะ เล่าตั้งแต่ต้นจนกระทั่งถึง ชั่วโมงกว่า พอจบลงแล้วท่านยิ้ม เออ มันก็มี จุดเท่านั้นละท่านมหา ท่านว่าอย่างนั้นนะ จุดนี้ท่านมหาก็ผ่านไปเรียบร้อยแล้ว เป็นอันว่าหายสงสัยไป ไม่มีอะไรสงสัยแหละ ท่านก็เลยแย็บออกมาว่า ผมก็เตรียมพร้อมที่จะพูดธรรมะกับท่านมหาอยู่ วันนี้ก็พอเหมาะกันเหลือเกิน จุดนี้แหละ จากนั้นท่านก็เล่าของท่านให้ฟังเป็นยังไง อันไหนที่มันผิดแปลกกันบ้างเล็กน้อย เราก็ฟัง เรื่อย จนกระทั่งจบ เป็นเวลา ทุ่มกว่า หมด พอมันหมดเรื่องแล้ว ทุ่ม คำพูดก็แย็บออกจากทางใหญ่ละที่นี่ แย็บไปนั้นไปนี้ เราฟังเสียง แอ้ะ ขึ้นข้างฝาอยู่ข้างนอกนี่ เรานั่งพิงเสาไม้ไผ่อยู่นี้ คนหนึ่งมันอยู่ข้างนอก ฝาปิดไว้มันไม่เห็น มันอยู่ติดกันเลยกับเรา เราอยู่ข้างในมันอยู่ข้างนอก

พอเราพูดจบอะไรเรียบร้อยแล้ว แอ้ะ มันโมโห ใครมาแอ้ะ อยู่นี่น่ะ เราก็ว่าอย่างนั้น (ดิฉัน) ดิฉันมันเป็นใครน่ะ ( ชียุวดี) โอ๊ย.หมดตับเลย เราว่าอย่างนี้นะ พูดกับท่านอาจารย์ขาวนะ โอ๊ย.หมดตับแล้วครูอาจารย์ อย่างนั้นแหละ นตฺถิ โลเก รโห นาม ขึ้นชื่อที่ลับย่อมไม่มีในโลก ท่านมหาดูเอา เราถาม มาแต่เมื่อไรนี่ เราขู่เสียด้วยนะ ทั้ง ที่มันหมดตับแล้วเขาเอาไปกินหมดแล้ว มาแต่เมื่อไร (มาแต่ ทุ่ม) หมด โอ้โห แล้วมาอะไร เราเป็นฝ่ายขู่ ครูจารย์ขาวนิ่งแหละ แล้วมาแต่เมื่อไร ( มาแต่ ทุ่ม) แล้วมาอะไร ( เอากาแฟมาถวาย) โอ๊ย.เราอยากจับกาแฟปาเข้าป่า มันโมโห พอว่าอย่างนั้นเราก็ไสอันนี้ คือมันประตูปิดอยู่นี้ใช่ไหม เราก็ไสอันนี้มันนั่งอยู่นี้ เรานั่งอยู่นี้มันนั่งอยู่นี้ใกล้ กัน มันก็เลยเอากาแฟมาวาง แล้วก็เอาผ้านี้วาง เปิดไสประตูนี้ไปวาง ไป ไม่บอกมันก็ไปมันได้ยินหมดแล้วใช่ไหมล่ะ ไป ว่าอย่างนั้นไปเลย นี่ละขบขันกัน

สรุปเรื่องของท่านอาจารย์ขาวท่านพูดสถานที่ท่านเป็นว่าที่โรงขอด เหตุที่มันจะเป็น คือไปอาบน้ำ ท่านว่าอย่างนั้นนะ ไปเห็นข้าวมันกำลังแก่ ที่เขาเกี่ยวแล้วก็มี กำลังจะเกี่ยวก็มี ที่ท่านออกไปอาบน้ำนั้นไปที่ข้าวกำลังจะพอเกี่ยว ท่านก็ไปดูข้าวท่านว่า พอดูข้าวแล้วท่านก็ไล่มันลงไปตั้งแต่ข้าวที่มันเป็นกล้าเป็นอะไรขึ้นมาเรื่อย ท่านมาพิจารณา จากนี้มันวกมันวน มันแก่แล้วนี้มันก็จะไปเป็นข้าวหว่านเป็นกล้าขึ้นมา เป็นกล้าแล้วก็เป็นข้าวขึ้นมาแล้วมาหุงมาต้มกิน มันหมุนกันนี้เป็นวัฏจักรอยู่นะ ท่านพิจารณาเป็นอัตโนมัติ

นี่สติปัญญาของท่าน จากนั้นท่านก็หมุนเข้ามาหาภายใน อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อันนี้เป็นตัวสำคัญเชื้อแห่งวัฏฏะ เหมือนกับข้าวที่มันหมุนไปหมุนมานี่ นี้เชื้อแห่งวัฏฏะในหัวใจของเรานี้ ท่านก็พิจารณาอยู่นี้ตลอด มันก็วิ่งใส่กันตลอด ตั้งแต่อาบน้ำมาแล้วไม่ปล่อยเลย เงื่อนอันนี้ไม่ปล่อยเลยท่านว่า จับหมุนไปหมุนมาอยู่นั้น ในคืนวันนั้นเองมันก็ผางขึ้นตรงที่ อวิชฺชาปจฺจยา ลงนี้แหละ ตัวนี้ตัวพาให้สัตว์เกิดสัตว์ตาย พอปัญญาเข้าไปถึงที่นี่แล้วขาดสะบั้นลงไปเลย ที่โรงขอดท่านว่าอย่างนั้น โรงอะไรเขาไม่รู้ เขาเรียกว่า โรงขอด มันเป็นโรงงานเขาหรือโรงอะไร ( ไม่ใช่ค่ะ เป็นคันนา)

นั่นซิว่าโรงขอดว่างั้น นั่นละท่านไปผ่านที่โรงขอดนั้น ทีนี้ท่านก็มาพูดถึงเรื่อง เอ๊อ มันสำคัญนะท่านมหา เวลาผมจะออกจากโรงขอดนั้นไป มีความจำเป็นที่จะได้จากสถานที่นั่นไป มันเป็นอะไรพูดไม่ถูกท่านว่า แต่เราเข้าใจทันที ท่านว่ามันพูดอะไรก็พูดไม่ถูกนะ ถ้าว่าห่วงว่าใยหรือ มันก็ไม่ใช่ ว่าอะไรๆ มันก็ไม่ใช่ ไปแล้วมันเห็นบุญเห็นคุณสถานที่นั่น เป็นสถานที่มีบุญมีคุณอย่างล้นพ้น เวลาจะไปนี้มันเป็นอาลัยอาวรณ์อยู่ลึก ท่านว่า ทีนี้พอไปถึงพอสมควรแล้ว หันหลังกลับมาอีกมาดูเสียก่อน ดูกระต๊อบเล็ก ที่ท่านอยู่ มายืนดูแล้วถึงกลับไป มันมีอาลัยอาวรณ์อยู่นั้นนะท่านมหา ท่านว่าอย่างนั้นนะ เราก็เข้าใจ

นี่ละที่พระพุทธเจ้าท่าน ที่ให้บูชาต้นโพธิ์เป็นคู่เคียงของพระพุทธเจ้า ท่านตรัสรู้ที่ต้นโพธิ์นั้น เป็นที่บ่อมหาคุณใหญ่โต เพราะฉะนั้น ต้นโพธิ์จึงมีประจำพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ที่ใต้ร่มโพธิ์นั้น มันจะวิ่งเข้าหากันเลยนะ เอาละที่นี่พอแล้วนะ

 

โยม หลวงปู่ขาวตอนนั้นอายุเท่าไหร่

หลวงตา เอ เราก็ไม่ได้ถามท่านนะ ตอนนั้นไม่ได้ถามท่าน

โยม ตอนที่บวชท่านใกล้ กับหลวงปู่คำตัน เกือบจะ ๖๐

หลวงตา ตอนที่ท่านเป็นนั้นอายุท่านเท่าไหร่ไม่รู้ เราก็จำได้ตั้งแต่โรงขอดเท่านั้นแหละ อำเภอแม่แตงเราก็เคยผ่านไปทางนั้น ไปหาหลวงปู่แหวนนะ เคยผ่านไปนั้น โรงขอด เพราะใจเรามันจับอยู่นี้ว่าโรงขอด เราถามไปเรื่อยว่าอยู่ตรงไหน จึงไปทราบว่าอยู่ตรงนั้น โรงขอด แต่หลวงปู่แหวนท่านผ่านไปตอนท่านอยู่ที่ไหนไม่รู้นะ

โยม เชียงใหม่เหมือนกัน

หลวงตา นั่นละ ท่านผ่านนั้นท่านอยู่ตรงจุดไหน ในเชียงใหม่นั้นก็บริเวณกว้างอยู่จุดไหน ซิ อยู่สถานที่ใดท่านไม่ได้บอก มีแต่เอาปัญหาถังใหญ่ใส่กันเลยเทียว หลวงปู่แหวนกับอีตาบัว เอากันอย่างทุ่มกันเลยเทียว เราไม่ลืม หลวงปู่แหวนหนึ่ง หลวงปู่ขาวหนึ่งที่ไปทุ่มกันอย่างร้อยเปอร์เซ็นต์เลย หลวงปู่แหวนนี้ก็ตอนนี้ละ ตั้งแต่นั้นมาแล้วเราก็ไม่เคยพูดอีกเลย พอมันถึงใจแล้วก็พูดหาอะไร แต่ท่านไม่ได้บอกว่าท่านผ่านอยู่แห่งหนตำบลใดจุดใด ถามวันนั้นเป็นดอยแม่ปั๋งนี่นะ ท่านพูดธรรมะต่างหาก แต่เวลาจิตของท่านผ่านไปนั้นท่านอยู่ในสถานที่ใด เช่น โรงขอด เป็นต้น เข้าใจไหมล่ะ หลวงปู่ขาวก็บอกว่า โรงขอด แต่หลวงปู่

โยม ท่านไปพม่า

หลวงตา ไปพม่า ไปเป็นอยู่โน้นเหรอ

โยม ท่านไปเที่ยว ไปภาวนาน่ะค่ะ พอนั้นแล้วท่านจึงกลับมา

หลวงตา แน่ะ อย่างนั้นมันก็ไม่แน่ซิ อย่างนั้น ต้องบอกเป็นจุดซิ ไปอยู่พม่าพะแม่ที่ไหนใครก็ไป คนเมืองพม่าเขาอยู่กันทั้งหมดแหละว่ายังไง พูดลามปามอะไรกันก็ไม่รู้

โยม แล้วหลวงปู่คำดีละคะ

หลวงตา หลวงปู่คำดีอยู่ที่นั่นเลย

โยม วัดถ้ำผาปู่เหรอคะ

หลวงตา เออ ถ้ำผาปู่ อันนี้เราไม่ถามท่านละ เพราะเวลานั้นท่านไม่ไปไหนมาไหนแล้วแหละ อันนี้มันก็เป็นบันดลบันดาลนะ ที่จะให้พูดถึงท่านก็เกี่ยวกับเรื่องหลวงปู่คำดี คือหลวงปู่คำดีนี้ พูดให้ตรงเลยตามที่ท่านติดต่อกับเราพูดกับเรา เช้าวันนั้นตี ท่านบอกท่านลงมาเดินจงกรมอยู่ กุฏิท่าน ชั้น เราก็ได้บอกพระ นี่กุฏิท่านอาจารย์คำดีหลังนี้ ที่ท่านได้นิมนต์ผมให้มาว่างั้นนะ ท่านเดินจงกรมอยู่ข้างใต้ ทีนี้เวลาเดินจงกรมอยู่ ติดปัญหาละซิ โอ๋ย.มันเหมือนกับหอกกับหลาวทิ่มลงไปเลย เอ้ ทำไง มองหาใครก็ไม่เห็น นี่ละท่านพูดอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ท่านพูดอย่างภาคภูมิใจท่านเสียด้วยนะเวลาได้พบกันแล้ว ไม่มองเห็นใครเลยท่านว่าอย่างนี้ เพราะเคยคุยธรรมะกันแล้ว ก่อนหน้านี้ก็เคยคุยธรรมะกับท่านมาโดยลำดับลำดาแล้ว แต่พอมาถึงจุดนี้ละซิ ท่านไปติดปัญหาขึ้นทางใจของท่าน กำหนดหาครูบาอาจารย์องค์ใด พระองค์ใดไม่สัมผัสใจเลย จิตมันดิ่งหาแต่ท่านมหาองค์เดียว จิตมันดิ่งมาหาเรานี้องค์เดียว นอกนั้นไม่ไปไหน ดิ่งมาองค์เดียว แล้วท่านก็ปุ๊บปั๊บออกมาทางจงกรมเลย มาจุดธูป มีแท่นพระอยู่ชั้นล่าง ข้างบนเราไม่ได้ขึ้นไป ท่านมาจุดธูปเทียบเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ท่านพูดเต็มเม็ดเต็มหน่วยของท่านนะ จนเราร้องโก้กเลย พอจุดธูปเทียนแล้ว ขออาราธนาท่านมหาบัวมาโปรดโดยด่วน โอ๊ย. ทำไมครูจารย์พูดอย่างนี้

หลวงปู่คำดี ขอให้ผมพูดเต็มหัวใจผมเถอะ ขออาราธนาท่านมหาบัวมาโปรดโดยด่วน ว่าอย่างนั้นในเช้าวันนั้นละ

หลวงตา พอดีตอนสายมามันบันดลบันดาลอะไรก็ไม่รู้นะ พอเช้าวันนั้นขึ้นมาตอน ๑๑ โมง มันบันดลบันดาลอะไรก็ไม่รู้นะ เราก็สั่งให้ไปในตลาดเลย บ้าน ชวลิต ให้นายบุญขับรถมาหาเราเดี๋ยวนี้ เราจะไปถ้ำผาปู่ ไปเดี๋ยวนี้นะ เขาก็บึ่งรถมาเลย มาก็ไปแบบรีบด่วน แต่ไปแบบรีบบ้าเราต่างหาก ตามประสาเรานะ พอไปก็ยังมีเวลาอีกนิดหนึ่ง ยังเป็นห่วงเพราะท่านอาจารย์ชอบคุ้นเคยกัน เลยไปวัดแวะท่านอาจารย์ชอบเสียคืนหนึ่ง ออกจากนี้ปก็ไปค้างที่อาจารย์ชอบคืนหนึ่ง เช้าวันหลังจึงไปหาท่าน พอไปหาท่าน

หลวงปู่คำดี โอ้ มาเร็วดีนะ

หลวงตา มาเร็วอะไร

หลวงปู่คำดี เดี๋ยวจะได้คุยกันละนะ

หลวงตา บทเวลาไปคุยกันแล้ว เราพูดสรุปความเลยนะ พอมองเห็น

หลวงปู่คำดี โอ้ มาเร็วดีนะ

หลวงตา เราค้างคืนหนึ่งแล้วเราถึงมา ถ้าธรรมดาเราก็มาในวันนั้นแหละ มาเร็วอะไร

หลวงปู่คำดี เดี๋ยวมันจะได้พูดกันแหละ

หลวงตา บทเวลาได้คุยกันแล้ว ท่านถึงพูดถึงเรื่อง ขออาราธนาท่านมหาบัวมาโปรดโดยด่วน คือว่ามาโดยด่วน พอผมนิมนต์เมื่อวาน วันนี้ท่านก็มา วัดนี้ท่านไม่เคยมาเลยท่านมาจะให้แน่นอนขนาดไหน ท่านว่าอย่างนั้น เราก็ไม่เคยไปจริง นะ ไม่เคย ก็ไปวันนั้นเป็นครั้งแรกเลยแหละ แต่ค้างที่วัดอาจารย์ชอบคืนหนึ่ง วันหลังท่านก็ยังบอกว่าเร็วอยู่ นั้นละที่นี่ ท่านปิดประตูหมดเลยนะ โมงเย็น เราเข้าหาท่าน ต่อ เลย คุยธรรมะกัน ท่านปิดประตูหมดไม่ให้ใครเข้าไป คุยกันตั้งแต่ โมงเย็นถึง ทุ่ม ท่านเล่าของท่านละเอียด เพราะเรากราบเรียนท่านว่า ยังไงท่านอาจารย์ให้พูดเต็มเม็ดเต็มหน่วยไปเลยนะ กระผมจะฟังตามทุกระยะ เราบอก ขัดข้องตรงไหน จะได้คุยกันสะดวกๆ เพราะฉะนั้นท่านถึงเปิดของท่านออกเรื่อย เราก็ฟังไป พอไปถึงจุดนั้นละที่นี่ จุดที่ว่ามันเหมือนหอกเหมือนหลาวทิ่มแทงท่าน ท่านโดดขึ้นมาจุดธูปอาราธนาเรา พอมาถึงจุดนี้มันเป็นอย่างนี้ นี้ละจุดสำคัญมาก อกผมจะแตกท่านว่าอย่างนั้น ท่านเล่าไป เล่าละเอียด พอท่านเล่าจบลงแล้วเราก็ถวายธรรมท่าน พอถวายปั๊บนี้ ขึ้นดัง โอ้ก เลยทันทีนะ

หลวงปู่คำดี เอ้อ มันต้องอย่างนี้ซิ

หลวงตา ขึ้นเห็นไหมล่ะ นั่นละธรรมถึงใจกันเข้าใจไหม

หลวงปู่คำดี เออ เอาละ ทีนี้เปิดโล่งแล้วยังแต่จะเข้าเท่านั้น ท่านว่านะ มันต้องอย่างนี้ ขึ้นเลย ต่อ นะ เสียงลั่น เพราะอุทาน ท่านดีใจมาก พอท่านเล่าให้ฟังเราก็รู้นี่นะ พอเล่าไปถึงจุดนั้นปั๊บเราก็ถวายธรรมท่านข้อนั้นปั๊บ ท่านก็เปิดโล่ง ท่านก็บอก เออ ทีนี้เปิดแล้ว ยังแต่จะก้าวเท่านั้นแหละ ทีนี้เปิดโล่งแล้วจะก้าวเท่านั้นแหละ มันต้องอย่างนี้ อุ๊ย.เสียงลั่นเลยนะ ต่อ เท่านั้นนะ บทเวลาท่านขึ้นนี้เสียงลั่นเลย นั่นละ ขั้นนั้นแล้วมันก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะท่านก็พูดเข้ากันได้แล้วกับปัญหาที่เราถวายท่าน เปิดแล้วว่างั้นเถอะ ท่านก็เข้าใจแล้วหมายถึงว่า เปิดโล่งแล้วยังเหลือแต่จะก้าวเข้าเท่านั้นแหละ ท่านบอก เปิดโล่งแล้ว หมายความว่าท่านเข้าใจแล้ว ถ้าก้าวปุ๊บนี่เข้าเลยความหมายก็ว่างั้น

ทีนี้พอคราวหลังนี้ไปเยี่ยมท่านอีก ก็มีคนมีญาติโยมติดตามไปด้วยอีก เราเลยต้องเขียนจดหมายย่อ เอา เขียนจดหมายย่อ คือพูดง่าย ว่า ปัญหาที่ถามนี้ถ้าไม่รู้ถามไม่ได้ แล้วปัญหาที่จะตอบนี้ถ้าไม่รู้ก็ตอบไม่ได้ ต้องเป็นภาคปฏิบัติเท่านั้น ปริยัติเอามาพูดไม่ได้เลย เราก็ถามท่านย่อ ข้อที่ ว่าอย่างนั้น ข้อที่ ว่าอย่างนั้น เราก็ยื่นถวายท่าน พอท่านจับได้ท่านอ่านด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส อ่านยิ้มเรื่อย ยกขึ้นแล้วยื่นมาให้เรา ท่านเขียนเสียก่อนนะ เขียนตอบเรียบร้อย แล้วยื่นมาหาเรา เราก็อ่าน พออ่านแล้วเราก็เขียนแล้วยื่นไปอีก ข้อที่ ท่านก็รับแบบเดิมนั่นละ แล้วท่านก็ยิ้มเลยเทียวนะ พอตอบข้อที่ เป็นอันว่าลงจุดแล้วหมดปัญหาเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่นั้นมาก็เลยไม่ได้คุยกันอีก เพราะตอนนั้นท่านหูหนวกแล้ว พูดกระซิบ ท่านกระซิบกับเราเราได้ยินตอนนั้นหูเราไม่หนวก แต่เราจะไปกระซิบกับท่าน ท่านได้ยินยังไง ตกลงต้องเขียนยื่นให้ท่านตอบมา ตั้งแต่นั้นท่านบอกเป็นอันว่าหายสงสัยแล้ว มันก็เข้ากันได้แล้วกับปัญหาที่เราถามไป ถามว่ายังไง ท่านตอบตรงนั้นแล้ว ถึงท่านไม่บอกว่าหายสงสัยมันก็เข้าใจแล้วเข้าใจไหมละ เอ๊ ไม่นานนะท่านก็มรณภาพ ก็เรียกว่าเป็นอยู่กุฏิท่านนั่นแหละ ไม่เป็นที่ไหนเพราะตอนนั้นท่านไปไหนไม่ค่อยได้แล้วแหละ ท่านอยู่กุฏิท่านเท่านั้นเอง ส่วนที่นั่นที่นี่เราไม่อยากพูด เราแน่ใจที่กุฏิท่าน เพราะธรรมะนี่เป็นธรรมะที่จ่อเข้าแล้วเปิดโล่งแล้ว ยังเหลือแต่จะก้าวเข้าเท่านั้นเอง

โยม แล้วหลวงปู่บัวละเจ้าค่ะ

หลวงตา อันนี้ก็คุยกันแล้ว

โยม หลวงตาเล่าให้ฟังหน่อยค่ะ

หลวงตา เป็นอยู่ที่นั่นเลยแหละ

โยม หลวงปู่พรหม ที่ไปเชียงตุงไงค่ะ

หลวงตา เอาละ ทีนี่มัน โมงกว่าแล้วนี่นะ อะไรกันก็ไม่รู้ คนนั้นถามมา คนนี้ถามมาอยู่ตลอดยังไงกัน

โยม คือฟังจากหลวงตาแล้ว มันถึงใจนะค่ะ แบบมันเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์

หลวงตา เอ้า ก็ธรรมะที่เราออก เราก็บอกแล้ว เทศน์ตั้งแต่พื้นจนกระทั่งถึงที่สุด ความสามารถของเรา เราไม่มีอะไรสงสัยก็บอกแล้วนี่นะ ใครยังจะหาว่าเราโกหกอยู่ เอ้า พากันไปจมให้หมด ก็บอกเท่านั้นแหละ เราพูดให้เต็มเหนี่ยวเรา เราจะไปคนเดียวพูดง่าย ที่จะให้จมไม่มีว่างั้นเลยนะ พูดให้มันจัง อย่างนี้ละ เทศน์ทุกบททุกบาทเราก็เคยพูดแล้วว่า สามแดนโลกธาตุนี้เราเคยหวั่นกับอะไร นั่นฟังซิน่ะ เทศน์ แดนโลกธาตุ มีอะไรที่สูงที่ต่ำไม่มี ราบไปหมดเลย นั่น ธรรมเหนือหมดแล้ว จะไปขยะแขยงไปกล้าไปกลัวกับสิ่งใดประสาถังขยะ นี้เอาความจริงมาพูด ใครจะว่าดูถูกเหยียดหยามอะไร ไม่ดูถูกอะไรพูดตามความจริง มันเป็นอย่างนั้น แต่ก่อนเราก็ไม่เคยพูดอย่างนี้ เพราะเราไม่เคยรู้เข้าใจไหม มันก็อย่างนั้นแหละ พวกบ้าอะไรอีก เอาละพอ จะให้พร

สรุปทองคำและดอลลาร์เมื่อวานนี้ได้ทองคำ บาท ดอลลาร์ได้ ๔๕๙ ดอลล์ รวมทองคำที่ได้แล้วทั้งหมด ทั้งมอบและยังไม่ได้มอบรวมทั้งหมดเป็น ,๑๕๙ กิโล นะ

รวมดอลลาร์ที่ได้แล้วทั้งหมดเป็น ,๗๔๗,๑๗๑ ดอลล์ เงินสดได้ซื้อทองคำเข้าสู่คลังหลวง ,๑๑๒ ล้านเท่านั้นละนะ เอาแค่นั้นละ

 

ชมการถ่ายทอดสด ธรรมะหลวงตาวันต่อวัน  ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก