ธรรมไม่พาใครเสียหาย
วันที่ 16 พฤษภาคม 2546 เวลา 8:15 น. ความยาว 28.09 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖

ธรรมไม่พาใครเสียหาย

 

         วันที่ ๑๕ เมื่อวานนี้ได้ทองคำ ๕ กิโล ๔๑ บาท ๗๐ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๕,๗๐๒ ดอลล์ ทองคำที่ได้หลังจากมอบคลังหลวงแล้วเวลานี้ได้ ๗๔ กิโล ๕๖ บาท ๘๘ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๑๔๖,๗๑๒ ดอลล์ นี่ได้หลังจากมอบวันที่ ๑๒ เมษา ผ่านมา รวมทองคำทั้งหมดทั้งที่มอบแล้วและยังไม่ได้มอบเป็นจำนวนทองคำ ๖,๑๕๙ กิโล ดอลลาร์ทั้งหมดเวลานี้ได้ ๗,๗๔๖,๗๑๒ ดอลล์

เมื่อวานนี้เราก็ว่าเราฉลาด พอฉันเสร็จแล้ว ด้อมๆ ออกไปนี้ว่าจะไปพักผ่อนอยู่วัดใหม่นู้น เลยด้อมๆ ออกไป ที่ไหนได้เขาปลูกต้นไม้เมื่อวานนี้ แน่นหมดวัด รถแน่นหมด ต้นไม้อะไรๆ แน่นหมด เราโผล่เข้าไป อ้าว มายังไงกันนี่ เขาจะปลูกต้นไม้ เลยกลับรถเดี๋ยวนั้น ออกเลย ส่วนมากจะไม่ทราบ ทราบก็จะทราบเฉพาะตำรวจทางหลวง มีรถตำรวจทางหลวงคันหนึ่งจอดอยู่นั้น เพราะตำรวจทางหลวงกับวัดนี้เป็นอันเดียวกัน พอเห็นรู้หมดแหละ นอกนั้นคงไม่รู้ เพราะเข้าไปปั๊บกลับเดี๋ยวนั้นออกเลยเมื่อวาน

เราไปไหนมันอย่างว่านะ มันแบบผู้ต้องหาทั้งนั้น จนเป็นเหมือนหนึ่งว่าเป็นนิสัยระแวง ถ้าพูดถึงเรื่องแบบโลกเขาเรียกว่าเป็นนิสัยระแวง ไปที่ไหนระแวงตลอดๆ เลย ไปในรถนี้ปิดประตูไม่ให้ใครเห็น ถ้าจะดูอะไรก็ดูๆ ไม่อย่างนั้นไม่ได้ รุมเลย จึงต้องได้ระวังๆ  เราก็เห็นเจตนาของบรรดาชาวพุทธเรา ได้เห็นครูบาอาจารย์ มีความยิ้มแย้มแจ่มใส อยากกราบอยากไหว้เคารพบูชา ใครอยู่ที่ไหนก็รุมมา เราก็เห็นใจ แต่มีที่น่าคิดอยู่ว่า เราควรจะอุตส่าห์สร้างความดีของเราเป็นเครื่องรับกัน พบกับครูบาอาจารย์ทั้งหลาย พร้อมกับความดีของเราก็มีอยู่แล้ว รับกันๆ อย่าให้คอยหวังเอาตั้งแต่ความดิบความดี กราบไหว้บูชาจากครูบาอาจารย์ทั้งนั้น ไม่เหมาะ เราก็ให้สร้างของเราไว้ เห็นครูบาอาจารย์ เอาความดีๆ รับกันๆ หนุนกันไปเรื่อยๆ นี้เหมาะ

เรื่องเห็นใจคนทำไมจะไม่เห็นใจ แต่ถ้าเราจะให้เป็นไปตามความต้องการของคนจำนวนมากมายซึ่งไม่มีประมาณนั้น เราตายได้จริงๆ จึงต้องได้ระมัดระวังให้พอเหมาะพอดีการทำประโยชน์แก่โลก เป็นเหมือนกันหมดไม่ให้ใครเห็น ไปก็ด้อมๆ มองๆ ไป เพราะเวลาเจอเข้าเอาจริงๆ นี่ เอาไม่รู้จักหนักจักเบา ไม่มีเหตุมีผลอะไรเลย รุมเลย นี่ละมันต่างกันนะ กับเราทุกสิ่งทุกอย่างเรามีเหตุมีผลทุกอย่าง อันนั้นไม่มีเลย ทุ่มกันเลย ก็เข้ากันไม่ได้ละซี ไปที่ไหนเป็นอย่างนั้นละ

ผ้าม่านรถปิดๆ ไม่ให้เห็นเลย ถ้าจะมองเห็นก็มองเห็นตอนอยู่ปั๊มน้ำมัน พวกเติมน้ำมันตาสอดปั๊บเข้ามา จับได้ทันทีเลย รู้ เพราะเขาดูทีวีมาแล้ว มองเห็นปั๊บจับได้ทันทีว่าเขาไม่สงสัยเลย เขาแน่ใจว่าคือผู้นั้นแหละ เวลาเติมน้ำมันรถเท่านั้นแหละ นอกนั้นปิดไว้ไม่ให้ใครเห็น เรื่องเห็นใจเราเห็นใจ แต่มาเทียบน้ำหนักกันแล้ว ไม่พอกับความเห็นใจของทางโลกมีจำนวนมากมาย เราเพียงคนเดียวไม่พอกัน

อย่างนี้เราก็ยังคิดถึงพ่อแม่ครูจารย์มั่น เอามาเทียบกัน นั่นละที่พอให้คิดให้ถูไถ ที่พักอยู่วัดเจดีย์หลวง ท่านบิณฑบาตผ่านมาที่หน้ากุฏิเรา พระบอกว่าเมื่อเช้าท่านบิณฑบาตผ่านมานี้นะ หือ มาเหรอ นั่นละเตรียมพร้อมนะ เช้าวันหลัง  เราบิณฑบาตเช้ากว่าปรกตินิดหน่อย กลับมาเพื่อให้ทันท่านมา เราจะได้มาถึงก่อนท่าน แล้วก็บอกพระด้วย เวลาท่านบิณฑบาตมาถึงแล้ว ให้คอยดูทางท่านมา

พอถึงเวลาท่านโผล่มาทางประตูกำแพงแล้ว มาแล้วนั่น ไหนๆ ปุ๊บปั๊บมาก็เห็น นั่นเห็นไหมล่ะเตรียมพร้อมแล้ว ดูข้างนอกแล้วยังไม่แล้ว เสร็จแล้วเข้าไปในห้อง มันมีช่องประตูช่องอะไรข้างฝานั้นแหละ ท่านเดินมานี้ เราดูๆ จริงๆ นะไม่ใช่ดูธรรมดา ดูทั้งกิริยาความเคลื่อนไหวตลอดสายท่าน ดูทุกอย่างด้วยความปลื้มปีติยินดี เอิบอิ่ม ถ้าท่านไม่ดูด้วยตาในท่านคงไม่เห็นเราแหละ  แต่ตาท่าน โอ๊ย.แหลมคมมากนะ พับ ท่านเดินเราก็ดูท่านตลอด วันนั้นความปีติความเอิบอิ่มในจิตใจทั้งวันไม่ได้ห่างจากกันเลยนะ นั่นเห็นไหมล่ะ คุณค่าแห่งการเห็นท่าน มันซึ้งในจิตใจว่าเราไม่เสียชาติแล้วเกิดมาในชาตินี้ เราได้เห็นพระอรหันต์ทั้งองค์ วันนี้เราเห็นด้วยตาของเรา มันประจักษ์ในใจไม่สงสัยแม้เม็ดหินเม็ดทรายเลย แน่ร้อยล้านเปอร์เซ็นต์ ว่านี้คือพระอรหันต์ ได้เห็นแล้ววันนี้ว่างั้นนะ

เกิดความปีติยินดีทั้งวันวันนั้น เรียนหนังสือเรียนก็เรียน ท่านอาจารย์มั่นอยู่นี้ตลอดไม่ได้ห่างจากนี้เลยวันนั้น เราเทียบ เราก็เห็นเจตนาของผู้อยากพบอยากกราบอยากไหว้ แต่คนทั้งแผ่นดินน่ะซิ มันจะไปสู้ไหวได้ยังไง มันต้องหลบต้องหลีก ไม่หลีกไม่ได้ ไม่งั้นตายไปนานแล้วนะหลวงตาพูดจริง หลวงตาพูดตรง หลวงตาจะปฏิบัติตามเหตุผลตามผลเท่านั้น มีมากมีน้อยจำนวนเท่าไร เหตุผลต้องจับไว้ตลอด พอสมควรกับเหตุผลแล้วไปตามนั้นเลย เราไม่เห็นแก่คนมากคนน้อย มีอะไรอึกทึกครึกโครมก็ไปเกรงใจเขา เกรงใจอย่างนั้นอย่างนี้ไม่เอา ธรรมเหนือทุกอย่าง เราเล็งธรรมเป็นจุด โลกทั้งหลายกราบธรรมทั้งนั้น เราเอาจุดนั้น เราก็กราบธรรมเคารพธรรม เคารพในเหตุผล พอได้เวลาเรียบร้อยแล้ว เอ้า เลิก เลิกเลยไปเลย อยู่ไหนเหมือนกัน

เพราะฉะนั้นร่างกายจึงพอบรรเทากัน เพราะเราไม่ได้ปฏิบัติแบบเจริญพร ทั้งวัน ใครมาก็เจริญพร ไอ้หูตูบเดินผ่านหน้าวัดก็เจริญพรกับมัน เราไม่เอา ถ้ากับไอ้หูตูบเราจะเอาไม้เรียวเจริญพรกับมัน อย่างนั้นไม่เอา ปฏิบัติอย่างนี้ตลอดมา นี่หมายถึงเกี่ยวกับการรับแขกรับคน ในเวลาที่เขาเสกสรรปั้นยอว่าเป็นครูเป็นอาจารย์ เราก็รับตามกาลเวลาเหตุผลต้นปลายเหมาะสม เป็นระยะ ตลอดมาและจะตลอดไปอย่างนี้ ถ้าหมดเวล่ำเวลาไม่ให้ยุ่ง แน่ะ พอว่าเลิกแล้วนี่ตัดแล้วนะจิตขาดไปแล้ว ไม่ยั้วเยี้ย อย่างนี้นะ ว่าไป ว่าอยู่ ว่ามา ว่าทำ ขาด เป็นตอน ไม่ยั้วเยี้ยนะ

เวลาเราประกอบความพากเพียรมันก็เป็นอันเดียวกันนี้แหละ เหมือนกัน ว่ายังไงเป็นอย่างนั้น ไม่ให้มันยั้วเยี้ย ไม่มีเหตุมีผลต้นปลายทั้งล้มทั้งลุก ทั้งคลุกทั้งคลาน อย่างนั้นไม่เอา ต้องให้มีจังหวะจะโคนซิทำอะไร ทำไม่มีเหตุมีผลไม่ดีนะ ธรรมะพระพุทธเจ้านี่มีเหตุผลทุกอย่างติดแนบหมดเรียกว่า ธรรม ถ้าเหตุผลยังไม่พร้อมยังไม่เรียกว่าธรรม ถ้าธรรมพร้อมแล้วเอาเถอะ ออกเลย นั่น ขาด ไปเลยถ้าลงธรรมออกแล้วไม่พาใครเสียหาย ถึงเจ้าของจะตายความดีไม่เสียหาย นั่น เอาตรงนั้นนะ ธรรมแล้วต้องประกันทุกอย่างเลย ถ้าขึ้นชื่อว่าธรรม เราไปล่มจมฉิบหายเพราะธรรมเราไม่เคยมี แต่เพราะกิเลสนี้จมกันทั้งโลก เป็นอย่างนั้นนะ

ด้วยเหตุนี้เองธรรมจึงเป็นเครื่องกราบไหว้บูชา โลกทั้งสาม อย่างที่ท่านแสดงไว้เมื่อวานแสดงออก อยญฺจ ทสสหสฺสี โลกธาตุ หมื่นโลกธาตุเราจะว่าอะไร โลกธาตุนี้ หมื่นโลกธาตุสะเทือนสะท้านหวั่นไหวไปหมด เพราะอำนาจแห่งธรรมของพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ขึ้นมาฟังซิ มีน้ำหนักมากขนาดไหน หมื่นโลกธาตุไหวเป็นอันเดียวกันไปหมด สงฺกมฺปิ สมฺปกมฺปิ สมฺปเวธิ มีความสะเทือนสะท้านหวั่นไหวทั่งถึงกันหมด  โอฬาโร โอภาโส โลเก ปาตุรโหสิ ความสว่างไสวแห่งพระรัศมีของธรรมนั้นกระจายทั่วไปหมด อติกฺกมฺเมว เทวานํ เทวานุภานํ อานุภาพแห่งแสงสว่างทั้งหลาย พวกเทพเจ้าทั้งหลายตั้งแต่ชั้นพรหมลงมา ไม่มีอานุภาพของ เทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม องค์ใดที่จะแซงพระโอวาทของพระพุทธเจ้าได้เลยในเวลานั้น

นั่นละแสดงออกเป็นอย่างนั้น แล้วจะไม่กราบไหว้ยังไง ถ้าเป็นคนหูหนวกตาบอดมันจะไม่ฟังเสียงอรรถเสียงธรรม ถ้าเสียงเรื่องเลวร้ายที่จะพาให้จมแล้วมันพอใจ นี่ละเวลานี้ ท่านจึงเทียบกับ  พระอานนท์ทูลถามว่า คนที่จะไปสวรรค์กับคนที่จะลงนรกนั้นมีจำนวนมากน้อยเพียงไร พระองค์ชี้เลย โคตัวหนึ่งมีกี่เขาอานนท์ ขนมันมีเท่าไรฟังซิน่ะ ขนโคนั้นทั้งตัวเลยเป็นขนทั้งหมด โคตัวหนึ่งมีเขา เขา ผู้จะไปสวรรค์มีจำนวนน้อยเท่ากับเขาโค แต่ผู้จะจมลงในนรกนั้นเท่ากับขนโคทั้งตัว

นี่ละพูดถึงเรื่องถ้าความไม่ดีทั้งหลายมันไหลเลยนะ ดูหัวใจเราซิ อย่าไปดูใครตำหนิติโทษใคร เราดูหัวใจเรา ถ้าคิดไปทางดิบทางดีแล้วมันจะมีเครื่องฝืนกัน คือกิเลสนั่นละมาฝืน ฝืนอยู่ในใจของเราเอง ฝืนเล็กฝืนน้อยฝืนมากฝืนอยู่อย่างนั้น ถ้ามีมากมันก็เอาอย่างจัง ไปไม่ได้เลยก็มี เป็นอย่างนั้นละเรื่องของความชั่วมันแนบอยู่ในจิตนะ เรียนธรรมพระพุทธเจ้าเรียนจบพระไตรปิฎกก็เรียนเถอะ พูดแล้วสาธุเราไม่ได้ประมาทพระไตรปิฎก พระไตรปิฎกถอดออกมาจากจิตของพระพุทธเจ้าที่บริสุทธิ์ นั้นเป็นเอก พระไตรปิฎกที่ถอดออกมาจากความจำ จึงต่างกันมาก นี้เรื่องพระไตรปิฎกกับธรรมภายในพระทัยของพระพุทธเจ้านี้ต่างกันถึงขนาดนั้นละ

มิหนำซ้ำยังมองให้เห็นผู้จดจารึกพระไตรปิฎกอีก นู่นนะ ฟังซิ ผู้จดจารึกพระไตรปิฎกนี้เป็นคนประเภทใด ถ้าเป็นคนประเภทสิ้นกิเลสแล้วมีสับมียำ เพราะกิเลสมันยั้วเยี้ยไปหมด ในสายทางของธรรมก้าวเดินไปนั้นจะมีแต่กิเลสยั้วเยี้ย ต้องสับต้องยำต้องฟันกันไปเรื่อยเหยียบไปเรื่อยๆ เรียกว่าธรรม นี่คือท่านผู้จิตบริสุทธิ์แสดงธรรมออกมานี้ กิเลสตัวไหนผ่านตรงไหนขาดสะบั้นไปเลย นี่จิตของท่านผู้บริสุทธิ์ จิตของท่านผู้บริสุทธิ์จดจารึกพระไตรปิฎกออกมาก็แบบเดียวกัน มีสับมียำไปตลอด

นี่ไปที่ไหนมีแต่เจริญพร นี่คือเก็บคลังกิเลส มันอ่านในนั้นมันบอกเลยว่าไง ถึงควรที่จะสับจะยำมิหนำซ้ำยังกราบมันอยู่ นั่นแสดงว่าคล้อยตามกิเลสโดยลำดับๆ เลย ตรงไหนเป็นเรื่องของกิเลสไม่กล้าแตะ มันต่างกันอย่างนี้นะ ออกมาจากพระทัยพระพุทธเจ้าอันเดียวกัน แต่คนหนึ่งออกมาด้วยความบริสุทธิ์เป็นพระอรหันต์ อันหนึ่งไปจดจารึกออกมาด้วยคลังกิเลส ความเหลื่อมล้ำต่ำสูง น้ำหนักของธรรม ความผิด ถูก ชั่ว ดี ของธรรมจึงต่างกันมากทีเดียว เราไม่ได้ประมาทเราก็เรียนเหมือนกัน เวลาอ่านแล้ว อ่านอันนั้นกับอันนี้มันชี้กันอยู่ตลอดเวลา มันไม่ไปไหนความจริงกับความจำ ความจำคือเรียนมา ความจริงคือที่อยู่นี้ มันผิดเพี้ยนกันยังไง มันจะรู้จะเห็นทันที ไม่ต้องมีใครมาบอก

นั่นละธรรมพระพุทธเจ้าจึงท้าทายได้ อยู่ในหัวใจใดท้าทายได้ทั้งนั้น จึงไม่ใช่เป็นธรรมหลอกโลก พอที่จะเหยาะๆ แหยะ ทำอะไรเหยาะ แหยะ พวกเราพวกจะจมนะ อย่าเอากิเลสมาเป็นใหญ่เป็นโตเป็นยศถาบรรดาศักดิ์ เป็นเครื่องประดับตัวเองนะ มีแต่กองมูตรกองคูถทั้งนั้นละ มันหลอกตัวของมันไว้ว่าเป็นของสวยงามน่ากระหยิ่มยิ้มย่องกับมัน ทองคำทั้งแท่งคือธรรมนั้นมันเหยียบไว้ๆ ไม่ให้เห็น ทีนี้พระอรหันต์ท่านดูกองมูตรกองคูถของพวกเราเป็นยังไงต่างกันไหม พระอรหันต์น่ะ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่านดูเป็นยังไงต่างกันไหม

ดูพวกเราเอามูตรเอาคูถเทิดหัวทูนหัวอยู่ด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ สมบัติเงินทองข้าวของอันนั้นอันนี้เครื่องประดับประดามีแต่มูตรแต่คูถทั้งนั้น มันเป็นยังไงมูตรคูถนี้กับธรรมต่างกันยังไงบ้าง ฟังซิน่ะ ธรรมที่พระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายท่านครองเป็นยังไง เป็นธรรมประเภทใดกับมูตรคูถที่เราเทิดอยู่บนหัวใจเรานี้ ต่างกันยังไงบ้าง เราอยากถามว่างั้นนะ มันโมโห มันจวนจะตายแล้ว ยังไม่ได้เห็นธรรมพระพุทธเจ้าเป็นของดิบของดีเลย จนกระทั่งจะตายมันก็ยังจะไม่เห็นอยู่อีกจะว่าไง มันเป็นยังไงกิเลสเก่งไหม บทเวลาถึงวาระจะฟัดกับกิเลสมองเห็นกันไม่ได้นะ แต่ก่อนเห็นกิเลสเป็น เทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม เห็นแล้วกราบไหว้ทันทีในหลักธรรมชาติที่ยอมรับกิเลสนั้นแหละ

แต่เวลาธรรมะแก่กล้าเข้าด้วยการประพฤติปฏิบัตินี้เห็นกิเลสเป็นภัยเข้าๆ หนักเข้า ธรรมเป็นคุณมากขึ้น ต่อไปแวบกันเท่านั้นละขาดสะบั้นเห็นไหม นั่นละ ที่นี่กิเลสมันเก่งขนาดไหน พอธรรมสอดเข้าไปปั๊บเท่านี้ขาดสะบั้น นี้คือธรรมแก่กล้าสามารถแล้ว ธรรมประเภทนี้แหละที่เอามาครองโลก ให้โลกได้กราบไหว้บูชาอยู่ทุกวัน ท่านทั้งหลายอย่านอนใจนะ นี่หลวงตาก็จวนจะตายแล้วนี่บอก บอกชัด ขนาดนี้เลย เพราะเราไม่เคยหวั่นเรื่องความเป็นความตายของเรา เป็นกับตายมันอันเดียวกัน ธาตุขันธ์เท่านั้นสลายลงไป ผสมกันเข้ามาก็เป็นสัตว์เป็นบุคคลก็มีจิตเข้าไปครองอยู่ในนั้น เห็นมันชัด อย่างนี้จะว่าไง ตัวจิตตัวการที่เข้าไปครอง แม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็มีจิตอยู่ในนั้น มีอยู่ในนั้นทั้งนั้น

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านถึงห้ามไม่ให้ทำลายสัตว์ ฆ่าสัตว์ เพราะมีจิตอยู่ในนั้น จิตดวงนี้ละมันครองอยู่ข้างใน มันต่างกันกับต้นไม้ภูเขาที่ไม่มีจิต มันแตกไปก็แตกไปซิอันนี้น่ะ แตกลงไปก็ออกจากส่วนผสม ดินเป็นดิน น้ำเป็นน้ำ ลมเป็นลม ไฟเป็นไฟ ใจที่บริสุทธิ์แล้วอยู่ก็บริสุทธิ์ตายก็บริสุทธิ์หวั่นหาอะไร นั่น ถ้ามันไม่บริสุทธิ์นี้หวั่นตลอดนะ พอระลึกถึงความเป็นความตายเดือดร้อนวุ่นวายทีเดียว เอ้า สร้างความดีเข้าไป ความดีนี้จะเป็นกำลังวังชาหนาแน่นขึ้นโดยลำดับ ปราบความตายให้เป็นความปลื้มปีติขึ้นมาเลย เราระลึกถึงความตายระลึกถึงความดีของเราแน่นหนามั่นคง อิ่ม นั่นเห็นไหม จนกระทั่งได้ที่พึ่งเป็นที่พอใจ ความเป็นกับความตายไม่มี ไม่มีเป็นอารมณ์กับใจของท่าน จึงเรียกว่า อดีต อนาคตไม่มี ปัจจุบันก็ไม่มี เป็นสมมุติทั้งหมด ธรรมชาตินั้นเต็มตัวตลอดเวลาอนันตกาล นิพพานเที่ยงตรงไหน ดูหัวใจผู้ปฏิบัติ ถึงขั้นบริสุทธิ์พุทโธเต็มดวงแล้วไม่ต้องไปดูใคร ดูคนเดียวก็พอ ใครเชื่อไม่เชื่อก็ตาม ขอให้เราดูคนเดียวพอในหัวใจของเราเท่านั้นละ

นี่ละธรรมของศาสดามาสอนโลก ท่านสอนหลอกๆ เล่นๆ เหรอ พอที่จะมาทำอะไรเหยาะๆ แหยะๆ อย่างนี้นะ บทกิเลสขยำหัวมันลงนรกหลุมไหนใครช่วยได้เมื่อไร แม้แต่พระพุทธเจ้ายังช่วยไม่ได้ จึงต้องสอน ถอนออกมาอย่าเข้าไป ความชั่วช้าลามกไม่มีศาสดาองค์ใดจะลวงโลก อย่าฝืนศาสดานะ ท่านสอนว่าผิดให้รีบแยกตัวออก ถ้าสอนว่าถูกให้บำเพ็ญ นี่ศาสดาทุกพระองค์สอนแบบเดียวกันหมด ไม่มีศาสดาองค์ใดหลอกลวงโลกนะ เราอย่าให้กิเลสมาหลอกลวงตัวเอง แล้วเหยียบย่ำทำลายพระพุทธเจ้าว่าเทศน์ไม่จริงสอนไม่จริง เราจะจมนะ พากันจำเอานะ

โอ้ พูดไปพูดมามันก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อย เอาละพอวันนี้

 

 

ชมการถ่ายทอดสด ธรรมะหลวงตาวันต่อวัน  ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก