เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖
นักภาวนาต้องดูหัวใจ
เราไปตามโรงพยาบาลต่างๆ โอ๊ย อดสงสารไม่ได้นะ เมื่อวานนี้มากถึง ๕ โรง โรงพยาบาลมาเอาของในโกดัง เราจัดไว้ให้สมบูรณ์เต็มที่ตามที่กำหนดไว้ ขาดไม่ได้เลย อย่างเด็ดขาด เราอยู่ไม่อยู่ไม่สำคัญ นอกจากสิ่งนั้นไม่มี สุดวิสัย ถ้าธรรมดาแล้วต้องให้ได้ตามนั้น ถ้าไม่มีมันก็สุดวิสัย คือตลาดไม่มี ถ้าตลาดมีอยู่แต่นี้ไม่มีไม่ได้ พวกคนไข้ไปก็ไปอยู่ในครัวโรงพยาบาล แล้วโรงพยาบาลมีอะไรบ้างล่ะ อาหารการกินไม่มีก็ลำบาก ไปอยู่โรงพยาบาลจะไปทรมานเรื่องการอยู่การกินอะไรอีกเยอะ โอ๊ย แย่เหมือนกันนะ เพราะฉะนั้นโรงไหนมาจึงต้องให้สมบูรณ์ตามที่กำหนดไว้เรียบร้อยๆ ทุกอย่าง คือทุกโรงพยาบาลเลย ให้เสมอกันหมด
นอกจากโรงไหนหรือจังหวัดใดที่จำเป็นซึ่งควรจะเพิ่มอาหารให้ ก็เพิ่มให้ แล้วเพิ่มอะไรบ้าง จดไว้หมดเลย เช่นอย่างอุบล อุบลนี้เพิ่มให้ทุกโรงพยาบาลเลย ไม่ว่าโรงไหนมาจะให้เสมอกันหมดด้วยการเพิ่ม แล้วอุตรดิตถ์ก็แบบเดียวกัน ทุกโรงในเขตจังหวัดอุตรดิตถ์ ชัยภูมินี่ให้พิเศษสองโรง คืออันนี้ไกล โรงพยาบาลเทพสถิต และภักดีชุมพล อันนี้ไกลมาก ไปติดกันกับเพชรบูรณ์ คือเราไปเองนะ เราไปเองด้วย ตั้งเข็มไมล์ไปด้วย อันนี้ก็ให้เป็นพิเศษ ส่วนนอกจากนั้นในเขตจังหวัดชัยภูมิก็ให้ธรรมดาๆ ให้เป็นพิเศษเพียงสองโรง กับจังหวัดเลย อำเภอนาแห้ว อันนี้ก็ให้พิเศษ นอกนั้นก็ธรรมดา
เราสงสารจริงๆ ถ้าโรงไหนเราไปเองนี้จะได้พิเศษอีกสองอย่าง เช่น กล้วย เอามาไว้เป็นประจำๆ สำหรับเราไปโรงพยาบาลต่างๆ ถ้าโรงพยาบาลทั่วๆ ไปมาขอไม่พอ ได้เฉพาะที่เราไป ไม่ต่ำกว่า ๔ ถุง กล้วยไข่ มาจากทางกำแพงเพชรหรือไง ไม่เสียง่าย อันหนึ่งก็พวกไก่ ๗๐ หรือ ๘๐ ตัวขึ้นไปถ้าเราไป สองอย่างนี้เพิ่มถ้าเราไปตรงไหน นอกจากนั้นก็ให้เสมอกันหมด เพียงในโรงพยาบาลนี้ก็เป็นล้านๆ ขึ้นไปนะเดือนหนึ่ง พี่น้องทั้งหลายกรุณาทราบ ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะ นี่ละเราให้ด้วยความเมตตาล้วนๆ เราไม่มีอะไรในโลกนี้ มีแต่ความเมตตาครอบโลกธาตุเลย เปิดให้เต็มเหนี่ยวนะ
เมื่อวานนี้ก็น้ำตาร่วงเห็นไหม อำนาจแห่งเมตตานี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะ มองไปที่ไหนความเมตตาจะซึมไปหมดเลย เม็ดหินเม็ดทรายก็หยาบไป ซึมยิ่งกว่านั้นไปอีก ทีนี้ผู้เห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ เห็นแก่เอา เอารัดเอาเปรียบเพื่อนฝูงตาดำๆ หัวใจมีด้วยกันนี้ มันจึงเป็นบาปมากอยู่นะ สลดสังเวชนะเรา เห็นคนใดเป็นอย่างนั้นแล้วมันสลดสังเวชนะ คือเห็นแก่ตัว ไม่ได้คิดดูหัวใจเขากับหัวใจเรามันมีน้ำหนักเท่ากัน นี่ละธรรมให้เสมอกันอย่างนี้
ยกตัวอย่างเช่น เราจัดเราแจกอาหารนี้ก็เป็นแบบเดียวกันเลย ส่วนที่จะมาเกี่ยวกับเรานี้ไม่เลยนะ เสมอกันหมดเลย มิหนำซ้ำเราเป็นหัวหน้ายังให้ลดกว่าเพื่อนเอาไว้ จะเอาเมื่อไรก็ได้ใช่ไหม ต้องตีหัวมันไว้เข้าใจไหม ยกทางโน้นเสมอ เวลาแจกอาหารที่ไหนสุดๆ สั่งให้ไปทางโน้นๆ อย่างนั้นนะ เพื่อความเสมอกัน ความเสมอนี้จะกินมากกินน้อย ได้มากได้น้อยเป็นธรรมด้วยกัน อบอุ่นตรงนี้นะ ไม่ได้อบอุ่นที่ท้องป่องนะ อบอุ่นที่ความสม่ำเสมอ นั้นคือความเป็นธรรมแทรกซึมอยู่ทุกหัวใจ ไม่มีหัวใจใดจะแสดงความกำเริบขึ้นมา เพราะความไม่เป็นธรรมของผู้อื่นผู้ใดมากระทบ นี่เรียกว่าธรรม ต้องให้เสมอหมดเลย เรียกว่าธรรม หัวใจทุกดวงเทียบ
ยิ่งที่มาอยู่ร่วมกันด้วยแล้วก็ยิ่งใกล้ชิดติดพัน ยิ่งเทียบหนักกว่าเพื่อนอีก ไกลก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง นี่พูดจริงๆ เราทำไม่ลง หมู่เพื่อนอด เจ้าของอิ่มอย่างนี้ โอ๋ย ไม่ได้เลยนะ มันฝืนเอาอย่างหนัก อย่างเต็มที่เลย เป็นข้าศึกกับตัวเองขึ้นทันที นั่นเห็นไหม คือสิ่งที่ไม่เป็นธรรมมันมาเป็นข้าศึกต่อธรรม มันก็กระเทือนในตัวเอง อะไรที่มันจะขัดอยู่ในนี้แล้วปัดออกทันทีเลย ให้เป็นแต่ธรรมล้วนๆ ออก เช่นอย่างเราอยู่ร่วมกัน มีอะไรๆ ให้เสมอกันหมด ของในวัดนี้เราบอกคำเดียวเท่านั้น สั่งขาดไปเลยไม่ต้องมาขอ ของมีอยู่ในนี้เป็นของทุกคน เว้นแต่บริขาร ๘ ที่มีตามหลักพระวินัย เป็นสมบัติประจำตัว เช่น บาตร สบง จีวร สังฆาฏิ อย่างนี้เป็นต้น นอกจากนั้นมีอะไรให้แจกให้เสมอกันหมดเลย
ผู้รับแจกไปก็ต้องเป็นธรรมอีก ไม่ใช่เอาไปแบบไม่เป็นธรรม อันนี้ก็เข้ากันไม่ได้ เอาไปเท่าไรเอาไป ความจำเป็นมีเท่าไร สิ่งของที่จะสนองความจำเป็นมีมากมีน้อยเอาไป ไม่ว่า เป็นธรรม ถ้าเอาด้วยความโลภไม่ได้นะ ขัด ผิด อย่างนั้นนะ ผู้ให้ก็ให้ด้วยความเป็นธรรม เปิดโล่งไว้หมดเลย ผู้มาเอาก็ต้องมาเอาด้วยความเป็นธรรม จะมาเอาด้วยความโลภขัดกับธรรม เข้ากันไม่ได้ นั่น เอามากเอาน้อยให้เอาไปด้วยความเป็นธรรม คือความจำเป็นเต็มสัดเต็มส่วนแล้วเรียกว่าธรรม จึงเป็นเหมือนอวัยวะเดียวกัน ความเป็นธรรมคิดดูใจเขาใจเรา เทียบเข้าทันที ๆ เลย จะเอาใจเราเป็นใหญ่นี้ไม่ได้ ต้องเทียบธรรมเสมอไปหมดเลย
พอพูดอย่างนี้แล้วเราก็ยังระลึกได้ ตอนนั้นตอนสงครามโลกนะ ปี พ.ศ. ๘๔ ละมั้ง ๘๔-๘๕ พวกผ้าพวกอะไรอดอยาก เราอยู่บ้านโคกกับหลวงปู่มั่นเรา ทางสกลนคร บริษัทแม่นุ่ม เขาไปเที่ยวหากว้านเอาตามตลาด คือหน้าร้านไม่มีนะ เขาต้องไปหาซื้อเอาตามหลังร้าน ๆ เพราะเห็นว่าพระเณรขาดเขินผ้าสบง จีวร เขาไปเที่ยวหาเอาตามหลังร้าน ๆ มาแล้วขนไป เอาไปแจก นี่เป็นปรกติ
วันนั้นเผอิญแจกของขาดอยู่องค์หนึ่ง ให้พระแจก ท่านก็นั่งอยู่นั้นแหละ เอ้า พระให้เป็นผู้แจก ทีแรกก็ให้ท่านองค์หนึ่ง แล้วท่านก็นั่งดูเสียก่อนท่านก็เฉยแหละ แจกมาถวายท่านองค์หนึ่ง แล้วก็องค์นั้น ๆ พอดีขาดองค์หนึ่ง พอขาดองค์หนึ่ง ไหน ขาดองค์ไหน ท่านว่า พอว่าขาดองค์นี้ ปุ๊บปั๊บ นี่ไม่ขาดท่านว่าอย่างนั้นนะ นี่เอาองค์นี้ไปโน้นปุ๊บปั๊บเลย เอ้า แล้วพ่อแม่ครูจารย์จะใช้อะไร โอ๋ย.นี่เราทำบุญ ท่านว่า บุญมีมันจะเกิด นี่เราก็ไม่ลืมนะ นี่เราทำบุญ บุญมีจะเกิด เราก็จับปุ๊บเอาไว้เลย ตกลงก็ใครจะไปค้านท่านได้ ก็ท่านสั่งให้เอาไปให้เองนี่ ตกลงองค์นั้นก็ได้ท่านก็ไม่เอา แล้วพ่อแม่ครูอาจารย์จะใช้อะไร โห เราทำบุญ บุญมีจะเกิด มันจะเกิดแหละบุญมี เราก็จับเอาไว้คำนี้
พอดีบ่าย ๕ โมงเย็น เอ้า บริษัทแม่นุ่มไปอีกแล้ว โอ๋ย.ขนไปกองพะเนินพวกผ้า เขาไปหากว้านเอามาจากไหนก็ไม่ทราบแหละ เอามากองพะเนิน ท่านก็ไม่ได้พูดถึงว่าบุญมีจะเกิดนะ แต่เรามันจับเอาไว้ซิ ว่าบุญมีมันจะเกิด พอเขาเอาเข้ามา เหอ มาอีกเหรอ ท่านว่าอย่างนั้นนะ เอ้า แจกพระเณรอีกท่านว่าอย่างนั้นนะ เอาอีกแจกไป พอเศษเหลือแล้ว นี่ใครจำเป็นจะเอาก็เอา ไม่เอาก็เก็บไว้เผื่อผู้จำเป็นจะมี ท่านว่าอย่างนั้น ทีนี้องค์ไหนพอแล้วก็ไม่เอา แล้วก็แจกวัดอื่นอีก แน่ะ ก็อย่างนั้นละ เราไม่ลืมท่านพูดบุญมีจะเกิด บ่าย ๕ โมงเย็นมาแล้วกองพะเนิน แปลกอยู่นะ ถ้าท่านพูดคำไหน มีแปลกอยู่มากนะหลวงปู่มั่นพูดคำไหน แหม รู้สึกว่าเป็นฤทธิ์เป็นเดชมาก เราจับไว้ทุกระยะท่านพูดอะไร แปลกอยู่อันนี้นะ ท่านพูดอะไรขึ้นมานี้ จับไว้แล้วเข้ากันได้ปั๊บเลย
นี่จอมเมตตาแหละ หลวงปู่มั่นจอมเมตตา ระยะนั้นผ้ามันขาดเขิน ชาวบ้านเขาก็ไม่มีผ้าที่จะนุ่งห่มกัน แล้วมีศรัทธาเอามานี้ท่านแจกชาวบ้านไป อย่างนั้นนะ ชาวบ้านกับพระก็คนเหมือนกันท่านว่าอย่างนี้นะ เราแย้งได้ที่ไหนฟังซิ ชาวบ้านกับพระก็คนเหมือนกัน จำเป็นได้ด้วยกันท่านว่าอย่างนั้น ทีนี้เวลาเขามาขอผ้าในวัดนี้ ท่านเรียกพระเณรมาทันที ให้ไปค้นดูมียังไง ๆ บ้าง คือท่านจัดเอาไว้เผื่อแจกอย่างนี้แหละไม่ใช่อะไร เขามาท่านก็เอามาแจก ที่มันขบขันคือกับประชาชนญาติโยมเขาไม่รู้เรื่องอะไร ห้องนอนท่านอยู่ศาลา ท่านกั้นห้องนอน แจกอะไร ๆ แล้ว ท่านก็ปุ๊บปั๊บ ไหนมีที่ไหนอีกล่ะ ปุ๊บปั๊บเข้าไป พอดีโยมก็วิ่งตามท่านเข้าไปอีก พอท่านหันออกมานี่โยมอยู่ข้างหลัง อุ๊ย.เข้ามาอะไรอีกจะเอาไปให้อยู่นี่น่ะ ไล่ออกไป เราเลยไม่ลืมนะ พอท่านหันมานี้โยมอยู่ข้างหลัง โฮ้.เข้ามาอะไรอีกนี่ยังจะเอาไปให้อยู่น่ะ ไปออกไป เอามาแจกหมดเลยไม่มีเหลือละ
นั่นละหลวงปู่มั่นไม่มีอะไรเหลือเลย แจกหมด ไม่ว่าประชาชนญาติโยม ตอนนั้นผ้าอดอยาก ได้มานี้แจกไปหมดเลยนะ แจกไปหมดเพราะพระก็พอใช้แล้ว พระก็ไม่ใช่พระขี้โลภ องค์ไหนที่พอใช้ท่านก็เอาเท่านั้น ให้อีกท่านก็ไม่เอา จากนั้นท่านก็แจก วัดไหนไม่มีแจกเรื่อยไป ประชาชนขาดเขินแจก ๆ จนหมดไม่มีเหลือเลย นี่อำนาจแห่งความเมตตาของท่าน เราไม่ลืมหลวงปู่มั่น นี่ละที่ว่าโลกขาดธรรม จึงเดือดร้อนกันมากทุกแห่งทุกหน เพราะโลกมีแต่ความเห็นแก่ตัว ๆ เป็นเรื่องของกิเลสล้วน ๆ อยู่ในหัวใจ ๆ ถ้ามีธรรมอยู่ในหัวใจมันก็เฉลี่ยกันได้ทันที ถ้ามีแต่กิเลสไม่ยอม มีแต่จะเอาท่าเดียว ๆ ถ้ามีธรรมเฉลี่ย ๆ ทันที ๆ โลกพออยู่กันได้ ถ้ามีแต่กิเลสแล้วจะใหญ่ขนาดไหนก็เป็นฟืนเป็นไฟไปตาม ๆ กันหมด ถ้ามีธรรมแล้วไม่ว่าใหญ่ว่าน้อย ถัวเฉลี่ยอยู่กันได้เย็นใจสบายทั่วถึงกัน นี่จึงว่ามีธรรมโลกถึงอยู่ได้ ถ้าไม่มีธรรมเลยนี้โลกอยู่ไม่ได้นะ เพราะมีแต่กิเลสมันเป็นไฟเผาได้หมด
ขึ้นชื่อว่าไฟแล้วไม่เลือกเผาได้ทั้งนั้น กิเลสแล้วไม่เลือกเผาได้หมด ถ้าธรรมแล้วเป็นน้ำดับไฟ ๆ โลกจึงต้องมีธรรม เราเป็นนักภาวนานี้ให้สังเกตดูตัวเอง ถ้าวันไหนกิเลสมันสั่งสมอารมณ์ไม่ดีมาก วันนั้นเจ้าของจะทุกข์ร้อนมากทีเดียว อยู่คนเดียวก็ทุกข์อยู่คนเดียว ทุกข์อะไร เพราะวันนี้กิเลสสั่งสมอารมณ์มาก อารมณ์ไม่เป็นธรรม อารมณ์เป็นฟืนเป็นไฟเผาตัวเอง เอาเรื่องนั้นมาคิดเรื่องนี้มาปรุง เอาเรื่องนั้นมาเผาตัวเอง เผาตลอด ความสงบในใจไม่มีก็มีแต่ฟืนแต่ไฟ มันก็เผาแหลกซิ ต้องระงับกันด้วยการพักจิตสมาธิกำจัดสิ่งเหล่านั้นออกไป นำธรรมเข้ามาเป็นน้ำดับไฟห้ามไม่ให้คิด สิ่งนั้นคิดเป็นความผิดแล้ว คิดที่หนึ่งผิดหนึ่ง คิดที่สองผิดที่สอง คิดมากเท่าไรยิ่งผิดมาก ตัดออก ๆ นั่น ท่านเรียกว่า แก้กัน ทีนี้พอจิตสงบเย็นเท่านั้นก็สบาย อยู่ไหนสบาย ๆ ถ้าจิตไม่สงบอยู่ไม่เป็นสุข อยู่คนเดียวก็เป็นทุกข์ อยู่หลายคนก็เป็นทุกข์ ถ้าจิตสงบอยู่คนเดียวก็เป็นสุข อยู่มากน้อยก็เป็นสุขด้วยกัน
เพราะฉะนั้น ความสุขก็ดีความทุกข์ก็ดีจึงอยู่ที่หัวใจ ท่านทั้งหลายอย่าไปคิดว่าความสุขก็ดีความทุกข์ก็ดี จะอยู่ที่โลกกว้างแสนกว้าง ไม่อยู่ จะอยู่ที่หัวใจสัตว์ ทั้งความสุขทั้งความทุกข์จะอยู่ที่หัวใจสัตว์ เพราะใจนี้เป็นที่สั่งสมอารมณ์ทั้งดีและชั่ว คือกิเลสกับธรรมเกิดอยู่ที่ใจ กิเลสเป็นสาเหตุสร้างกองทุกข์ สร้างฟืนสร้างไฟขึ้นมา ธรรมเป็นสาเหตุที่จะสร้างความสงบร่มเย็นเป็นสุขขึ้นมา อยู่ที่หัวใจนี้เท่านั้น ไม่มีที่อื่นใดเป็นที่อยู่อาศัย มีใจของสัตว์โลกนี้เป็นที่อยู่ เพราะฉะนั้นธรรมะของพระพุทธเจ้าที่สอนจึงสอนลงที่ใจ ถูกต้องหาที่คัดค้านไม่ได้เลย เพราะนี้เป็นที่ระงับทุกข์ สั่งสมความสุขขึ้นได้จากใจแห่งเดียวเท่านั้น
จึงต้องได้สั่งสมจึงต้องได้ระมัดระวังใจเสมอ ขอให้ใจมีความสุขเถอะ อยู่ที่ไหนอยู่ได้ทั้งนั้น ถ้าใจเป็นทุกข์ที่ไหนคับแคบตีบตันไปหมด โลกกว้างแสนกว้างไม่ได้กว้างนะ มันมาบีบบังคับที่หัวใจ มาแคบที่หัวใจของผู้สั่งสมกิเลสสั่งสมทุกข์ขึ้นมานั้นแหละ ถ้าผู้สั่งสมธรรม อารมณ์แห่งธรรมอันดีงามเข้ามา ใจจะมีความสงบร่มเย็น เย็นไปเรื่อย ๆ นั่นละอยู่ที่นี่ทั้งนั้นนะ ความสุข ความทุกข์อันเป็นผลของกิเลสและธรรมอยู่ที่ใจ เพราะทั้งสองอย่างนี้เกิดที่ใจ อยู่ที่ใจ ต่างฝ่ายต่างสั่งสมผลประโยชน์ให้ตัวเอง ส่วนมากมีแต่กิเลสสั่งสมผลประโยชน์ให้มัน แล้วก็เอาฟืนเอาไฟมาทับเราเป็นผู้รับเคราะห์รับกรรมให้กิเลสสั่งสมผลประโยชน์ของมัน
ทีนี้สั่งสมธรรมก็กำจัดความทุกข์อันเป็นเรื่องของกิเลสออกไปเรื่อย ๆ ที่ใจของเรา ใจก็มีความสุขเย็นขึ้นภายในใจ เพราะฉะนั้นใจจึงเป็นที่รับทั้งสุขและทุกข์ไม่มีที่อื่นใด โลกกว้างแสนกว้างจะเป็นที่รับความทุกข์และความสุขของสัตว์โลกนี้ไม่มี มีแต่หัวใจดวงเดียวนี้เท่านั้น แต่ละสัตว์แต่ละบุคคลมีหัวใจเป็นที่รับรองความทุกข์และความสุขเอาไว้ จึงต้องได้กำจัดตรงนี้ ศาสนาพระพุทธเจ้าของเราเป็นศาสนาชั้นเอกสอนไว้โดยถูกต้อง ดับกันตรงนี้ เพราะตัวนี้เป็นตัวก่อฟืนก่อไฟ กิเลสจะก่อตั้งแต่เรื่องฟืนเรื่องไฟเผาไหม้สัตว์โลก ธรรมจึงก่อความดิบความดีเป็นน้ำดับไฟไปเรื่อยๆ มีอยู่เพียงเท่านี้แหละ
จึงต้องได้อบรมจิตใจของเรา ไม่อบรมไม่ได้นะ กิเลสมีมากมีน้อยจะสร้างตั้งแต่ความทุกข์ ความกังวลให้มากน้อยตามที่มันมีอยู่ ธรรมถ้ามีมากน้อยก็สั่งสมตั้งแต่ความเย็น ความสงบเย็นใจขึ้นเช่นเดียวกัน ท่านจึงต้องให้รบกันตลอด กิเลสกับธรรมรบกันภายในใจของเรา เมื่อใครมุมานะอุตส่าห์พยายามรบกับกิเลสได้มาก ผู้นั้นก็จะเป็นผู้มีความสุขมากขึ้นภายในจิตใจ ๆ
ยกตัวอย่าง เช่น เอาให้สุดยอดเลยนะ จิตของคนที่มีกิเลสเต็มหัวใจกับจิตท่านผู้มีกิเลสเต็มหัวใจเหมือนกัน คือจิตพระพุทธเจ้า จิตพระอรหันต์ ท่านเหล่านี้จะไม่มีทุกข์แม้เม็ดหินเม็ดทรายเข้าไปแทรกในจิตท่านได้เลย ตั้งแต่ขณะที่กิเลสขาดสะบั้นลงไป เพราะกิเลสเป็นตัวสร้างทุกข์ เมื่อกิเลสดับลงไปทุกข์ก็ดับลงไปพร้อมกันโดยสิ้นเชิง นี่ท่านผู้ครองความบรมสุขก็คือท่านผู้สิ้นกิเลสแล้วเท่านั้น นอกนั้นไม่มีโลกอันนี้ มีแต่กองทุกข์เต็มโลกเต็มสงสาร นี่ละต่างกันตรงนี้นะ ก็เทียบกันได้กับจิตเราเวลากิเลสมันหนา ๆ เป็นยังไง มันแสดงความทุกข์ความลำบากทรมานให้เรามากน้อยเพียงไร บางครั้งบางคราวบางคืนนอนไม่หลับ ความคิดความปรุงฟืนไฟเผาหัวอกตลอดเวลา นี่คือกิเลสมันสั่งสมตัวของมันมากขึ้นจนเจ้าของเองนอนไม่ได้ นี่ละมันเห็นชัดเจน
เช่นเราเป็นนักปฏิบัติ ระงับดับความทุกข์ ความคิดความปรุงนั้นแหละเป็นสาเหตุให้เกิดความทุกข์ เพราะคิดมันจะไม่คิดทางอรรถทางธรรม มันจะคิดไปตามแถวแนวของกิเลส แล้วเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาเผาหัวอกเจ้าของนั้นแหละ ทีนี้เวลาเรากำจัดมันตรงนี้ด้วยการประกอบความพากเพียร ระงับดับอารมณ์เหล่านี้ไม่ให้มันเกิดมาก สั่งสมอารมณ์ของธรรมขึ้นมาทับกันไว้ ๆ แล้วอารมณ์ของกิเลสก็จะค่อยเบาลง ๆ อารมณ์ของธรรมหนาแน่นขึ้น แล้วระงับทุกข์ที่กิเลสสั่งสมขึ้นด้วยความวุ่นวายนั้นให้สงบลงไป ๆ ใจก็เย็นเรื่อย ๆ นั่น ดูใจของเรา ไม่ได้อยู่ที่ไหนนะ เราระงับได้มากเท่าไรเรื่องความคิด ความปรุงของเรา จิตเรายิ่งเย็นไปโดยลำดับลำดา นั่นละท่านสอนนักภาวนา
นักภาวนาต้องดูหัวใจ จะไปดูที่อื่นใดไม่เหมาะเลย ต้องดูที่หัวใจ ความคิดนี่จะปรุงขึ้นที่ใจ ทีนี้ปรุงขึ้นนี้คืออะไรพาให้ปรุง นั่น กิเลสมันอยู่ภายในใจ มันผลักดันให้คิดให้ปรุงให้อยากคิดอยากปรุง นี้เป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้น มันอยากคิดมากปรุงมากนี้ตัวไหวไปเลยเรา อยู่ไม่ได้เป็นฟืนเป็นไฟ จึงต้องอาศัยเรื่องอรรถธรรมเข้ามาแทนที่ มันอยากคิดมากขนาดไหนเรื่องความเป็นฟืนเป็นไฟของกิเลส เอ้า เราคิดธรรมแทนเข้าไปให้มากอย่างนั้น ฟัดกันให้เต็มเหนี่ยว แล้วความคิดนั้นก็สงบลงไป ความคิดที่เป็นธรรมก็หนาแน่นขึ้นมาแล้วใจสงบ นั่น ความคิดสองอย่าง ความคิดเป็นธรรมอย่างหนึ่ง ความคิดเป็นกิเลสอย่างหนึ่ง เกิดขึ้นที่ใจของเราดวงเดียวกัน
นี่ที่ท่านว่ากิเลส ๆ คือมันเป็นธรรมชาติอันหนึ่งเกิดภายในใจ แต่มันก็ทำหน้าที่ของมันอย่างนั้น ธรรมก็เกิดภายในใจ ทำหน้าที่ของธรรม ถ้าฝ่ายไหนมีกำลังมากฝ่ายนั้นก็ตักตวงเอาผลประโยชน์มาก เช่น กิเลสก็เอาความทุกข์ใส่หัวใจโลกมาก ธรรมก็เอาความสุขมากเข้าใส่หัวใจผู้บำเพ็ญ อันนี้ละสำคัญมากที่กล่าวอยู่เดี๋ยวนี้นะ ความคิดนี้มันมีอะไรผลักดันอยู่ภายใน นั่นละท่านเรียกว่ากิเลส ตัวผลักดันอยู่ภายในให้อยากคิด อยากปรุง อยากแต่ง นั่นละมันดันออกมา ปรุง ๆ ดันออกมาให้คิดให้ปรุง ทางนี้ก็คิดเพลินไปตามมัน มันก็ยิ่งออก เรื่อย ๆ จึงต้องเอาความคิดที่เป็นธรรมตบเข้าไป ตีเข้าไป ทับเข้าไป มันอยากคิดทางกิเลสมาก ทางนี้ก็เอาธรรมเข้าบังคับ คิดทางธรรมให้มาก อันนั้นก็สงบลง ถ้าเราไม่คิดอย่างนี้ไม่ได้เลยนะ ตายกี่กัปกี่กัลป์ก็อยู่อย่างนี้
นักภาวนาเป็นผู้ที่เข้าใจเรื่องกิเลสกับธรรมได้ดีในหัวใจของท่าน แล้วก็นำมาสอนโลกได้โดยถูกต้อง ดังพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่านสอนไม่ผิด เพราะท่านดำเนินมาแล้วถูกต้องหมด พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เลิศเลอด้วยนะ อย่าให้หลุดไม้หลุดมือไปเปล่า ๆ นะ เหลือแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้หัวใจเราคือกิเลส ไม่เป็นท่าเลย ให้พากันระงับดับมันบ้าง อย่างพวกที่มาภาวนาก็ให้ตั้งหน้าตั้งตาภาวนา อย่ามาเร่ๆ ร่อนๆ มันขวางหูขวางตาดูไม่ได้นะ ตั้งหน้าตั้งตาทำภาวนาให้จิตใจสงบ แล้วจิตใจของเราตัวของเราก็จะเริ่มมีคุณค่าขึ้นมาภายในตัว หากรู้สึกตัวเองนั้นแหละ ถ้าหมดคุณค่าคือเรามันหมดคุณค่า มันก็มีแต่ฟืนแต่ไฟอยู่ที่ไหนหาความสบายไม่ได้ ให้พากันระงับดับให้มาก
ความคิดทางกิเลสมันอยากคิดมากเท่าไร ให้รู้ว่านี้ข้าศึกเกิดขึ้นภายในใจของเรามาก เราต้องเอาความคิด ถ้าสมมุติว่าเราเอาคำบริกรรม พุทโธ บีบบังคับไว้ในขั้นนี้ เราก็เอานี้ให้หนัก มันอยากคิดอันโน้น เราคิดพุทโธแทนเข้าไป เพราะจิตนี้ทำหน้าที่อันเดียว เวลาคิดอะไรมันจะคิดอันนั้น เวลาคิดทางธรรมจะเป็นธรรมขึ้นมา บังคับให้คิดทางธรรมทางกิเลสก็เกิดไม่ได้ เมื่ออย่างนั้นทางโน้นก็อ่อนลง ๆ ไม่ฝืนกันไม่ได้นะ ต้องฝืน พอปล่อยก็ไหลเลยเชียวละ กิเลสมันคอยแต่จะไหลตลอดเวลา ธรรมะต้องได้ผลักดันขึ้น ๆ เมื่อยังไม่ถึงขั้นที่จะเป็นเองขึ้นมา
ถ้าถึงขั้นเป็นเองก็ดังที่เคยเรียนให้ทราบแล้ว เป็นเองทั้งนั้น กิเลสไหลไปเป็นเองฉันใด ธรรมะก็ไหลดับกิเลสไปเป็นเองฉันนั้นเหมือนกัน นี้ถึงขั้นแล้วแก้ร้อยทั้งร้อยเหมือนกันเลย กิเลสเป็นอัตโนมัติผูกมัดสัตว์โลก ธรรมะก็เป็นอัตโนมัติผูกมัดกิเลสเหมือนกัน แก้ตัวเองออกจากทุกข์ได้เป็นอัตโนมัติ นี่ละให้จำเอาไว้ เราอย่าเข้าใจว่ามีแต่กิเลสมันคิดของมันเป็นอัตโนมัติ เมื่อธรรมมีกำลังแล้วคิดแบบเดียวกัน สังหารกิเลสจนไม่มีอะไรเหลือเลย นั่น หมดที่นี่ หมดเหตุหมดปัจจัย ทุกข์ก็ไม่มี พากันจำเอานะ วันนี้พูดเท่านั้นละไม่พูดมากอะไรนะ มันเหนื่อยนะ วันหนึ่ง ๆ เหนื่อย ไม่ทราบว่าจะพูดว่ายังไง
เมื่อวานได้ทองคำ ๓ บาท ๘๗ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๑,๒๗๙ ดอลล์ ดอลลาร์เราหลังจากมอบแล้ว ได้ดอลลาร์ ๑๔๐,๙๗๘ ดอลล์ ส่วนทองคำที่ได้หลังจากการมอบแล้วได้ ๖๙ กิโลกรัม ๑๐ บาท ๙๐ สตางค์
ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาทุกวัน ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
|