เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖
สิ่งจำเป็นภายในใจคือธรรม
นกยูงที่วัดป่ากุงมีเยอะนะ ป่ากุง ร้อยเอ็ด ฟังว่าเป็นร้อยๆ กวางก็มาก สัตว์หลายประเภทมีจำนวนมากๆ ด้วยกัน พวกกวางเป็นฝูงๆ เวลามันยกพวกมันไปออกข้างนอกไปกินข้าวในนาเขา เจ้าของเขาไล่ วิ่งเข้าวัด ไม่รู้จะว่าไง กวางก็เป็นกวางพระ ว่างั้น กวางวัดกวางพระ ไม่รู้จะว่าไง แล้วมาแต่ละทีนี้มาเป็นฝูงๆ เสียด้วย ไม่ทราบจะทำไง คือนาอยู่แถวนั้น เวลาเขาออกไปเขายกพวกกันไปเป็นฝูง ๆ ไปกินข้าวในนาเขา เจ้าของเขาไล่แตกฮือเข้าวัด ไม่รู้จะทำไง กวางมันมาก นกยูงนี้ถ้าลงไปก็แบบเดียวกันนะ นกยูงก็เป็นฝูงเหมือนกัน แต่ไม่ค่อยปรากฏว่านกยูงยกพวกออกไปกินข้าวกินอะไร ไม่ค่อยมี มันกินอยู่ในวัด แต่กวางนี้ไปบ่อย ว่างั้น ไปแต่ละทียกพวกไปเลย เป็นฝูงๆ เลย เจ้าของเขาไล่ วิ่งเข้าวัด วิ่งไม่วิ่งไปไหนวิ่งเข้าวัด หมูก็เยอะนะ สำหรับวัดป่ากุงนี้มีสัตว์เลี้ยงไว้เยอะๆ ทั้งนั้น แต่ละชนิดๆ เยอะๆ
เอ๊ พวกควายพวกวัวมีหรือเปล่าเราไม่ได้ถามดู พวกวัวพวกควายอยู่ในวัดนั้นมีหรือเปล่าไม่รู้นะ อยู่ในวัดป่ากุงน่ะ (เห็นแต่กวาง หมู นกยูง ไก่ ครับ) เออ เราไปเห็นแต่กวาง หมู แต่ควาย วัว ไม่เห็น เห็นแต่พวกหมู พวกกวาง นกยูง พิลึกนะนกยูง โถ เต็มไปหมด มีอยู่ทั่วไปหมดเลย เราเห็นเรารักเขา เมตตาสงสารเขา
ที่ทางจงกรมเรา พระท่านเอาเชือกไนล่อนผูกเป็นราวเลยทางจงกรมเรา ล้อมไว้เรียบร้อย เราเห็นรอยก็พอดีระลึกได้ คือเราไปเที่ยวก่อนๆ นั้นพวกกวางมันเข้ามาเพ่นพ่าน เรากำลังเดินจงกรมอยู่มันก็เดินเข้ามาหาเรา ผ่านไปมาเหยียบแหลก พอเราระลึกเชือกนี้ได้ก็ อ๋อ พวกกวางนี้แหละ ก็พอดีจริงๆ ตอนเช้า เราออกเดินจงกรมตั้งแต่เช้าๆ คือตอนเย็นตอนกลางคืนไม่เห็น คราวที่แล้วๆ เห็นมันมาอยู่เพียง ขึ้นผ่านไปมา เราเดินจงกรมอยู่มันก็ผ่านมา ไปคราวนี้ไม่เห็นตอนค่ำ แต่เห็นเชือกเป็นเครื่องหมาย พอตอนดึกๆ ละซีเราเดินจงกรม ที่ไหนได้เขามานอนอยู่ เชือกอยู่ข้างใน เขานอนอยู่นอกเชือก คือเขาเข้าไม่ได้ นี่เหรอตัวสำคัญน่ะ ทำรั้วเอาไว้ ตัวนี้หรือนี่ เขาเฉย เขานอนอยู่นั้น เฉย เราก็เดินจงกรม เขาอยู่ข้างนอกเชือก ถ้าไม่มีเชือกนี้แหลกหมดจริงๆ แหละ น่ารักนะ เราเดินจงกรม เขาก็อยู่ของเขาเฉย มันชุ่มเย็น
คือมีสัตว์มากๆ นี้ทำให้ในสัตว์ก็ชุ่มเย็น เราเองมองเห็นสัตว์นี้มันเป็นเลยละ พอมองเห็นสัตว์นี้จิตมันจะเป็นเลย เหมือนหนึ่งว่าเป็นกรณีพิเศษไปอย่างนั้น กับพวกสัตว์เหล่านี้ ยั้วเยี้ยๆ ในวัด ไม่ว่าสัตว์ประเภทใดมันหากมีในจิตยิบๆ แย็บๆ อย่างไปวัดท่านศรีนี้ก็เหมือนกันนั่นแหละ อันนี้ทุกอย่างๆ ลดลงฮวบๆ นะ เราไปเห็นสัตว์ในวัดท่าน ไปทีแรกดุเอา ไปสร้างอะไรนักหนา ความหมาย ใส่เปรี้ยงเข้าไป ทีแรกนะ ตอนนั้นสัตว์ก็ยังไม่มีมาก พอไปเที่ยวหลังนี้สัตว์เต็มวัด เลยเรื่องดุเหล่านี้หายไปหมด ไปอยู่กับสัตว์หมด
เรื่องการก่อการสร้างสำหรับพระกรรมฐานเราไม่เหมาะ นี่ละเอาหลักธรรมมาพูด มีหลักวินัยแทรกอยู่ในนั้นด้วย ในป่าในเขาอย่างนั้นมีตั้งแต่ต้นไม้ กระต๊อบกระแต๊บไป ในตำรับตำรา ท่านอาศัยพอบังแดดบังฝนเท่านั้น ท่านไม่มุ่งอะไรยิ่งกว่านั้นไป เพราะท่านมุ่งเหล่านี้สำคัญมาก เราเห็นในตำรับตำราแต่ก่อน เราก็คิดเทียบธรรมดาไม่ค่อยซึ้ง ทุกวันจะว่าซึ้งหรือไม่ซึ้งก็ตามมันเต็มหัวใจเลย ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ทุกแง่ทุกมุม มีแต่แนวทางบุกเบิกออกสิ่งที่เป็นข้าศึกที่จะเข้ามายุ่มย่ามๆ ในหัวใจ ธรรมจะออกก้าวเดินไม่ได้ ความหมายว่างั้น เพราะฉะนั้นท่านจึงหาแต่ที่สงัดๆ ทั้งนั้น ในตำราเต็มไปหมด อันนี้มาก ไปอยู่ในป่าในเขาตามถ้ำเงื้อมผาต่างๆ มีแต่ที่สงบสงัดทั้งนั้นๆ ชมเชยตลอดเลย การก่อการสร้างท่านไม่พูดถึงเลยนะในตำรับตำรา
ก็มีเพียงสร้างศาลาที่วัดบุพพาราม นางวิสาขา หลังเดียวเท่าที่ปรากฏ นั่นก็มอบให้พระโมคคัลลาน์เป็นหัวหน้าคอยชี้แจงบอกกล่าวคนงานที่เขามาทำศาลา ทีนี้พระโมคคัลลาน์ท่านก็เป็นพระอรหันต์ ท่านจะไม่ติดไปพันอะไรพอจะเป็นกิเลส นอกจากนั้นไม่ปรากฏว่าพระเข้ามาเกี่ยวข้องเลย ก็มีเท่านั้น นอกนั้นมีแต่ชมป่าชมเขาตลอดเลยเทียว ชมอันนั้นเพื่อจะบุกเบิกอันนี้ออกๆ ให้มันสง่างามครอบโลกธาตุ เป็นของเล่นแล้วเหรอ ท่านทั้งหลายเห็นไหมหัวใจเป็นของเล่นเมื่อไร ให้มันเป็นขึ้นในหัวใจตัวเองเท่านั้น เริ่มแต่เพียงความสงบเท่านั้น เราก็เริ่มเห็นความวุ่นวายของโลก จิตใจเริ่มสงบเวลาเรานั่งสมาธิภาวนา จิตใจสงบเข้ามาๆ ยิ่งรวมลงไปแน่วสนิทไม่มีอะไรกวนเลย ที่นี่อะไรทุกสิ่งทุกอย่างไม่เคยรู้เคยเห็นมันจะเป็นขึ้นมา สง่างามๆ ขึ้นมา อัศจรรย์แปลกประหลาดขึ้นไปเรื่อยๆ ในนี้
นี่เห็นไหมกองมูตรกองคูถมันปกคลุมไว้ คือกิเลสตัณหาประเภทต่างๆ ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา ความดิ้นความดีด มีแต่พวกมูตรพวกคูถครอบเอาไว้ที่ทองคำทั้งแท่ง แสดงแสงความแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นมาไม่ได้เลย เมื่อพระพุทธเจ้าบุกเบิกออกหมดเป็นพระองค์แรกจากในป่าในเขาแล้ว จากนั้นก็สอน เรียกว่าส่งเสริมที่สุดเลยเรื่องจิตตภาวนา เป็นอันว่าไม่มีอะไรเท่าแหละในศาสนาของพระพุทธเจ้า ยกนี้ขึ้นเป็นพื้นฐานเลยเทียว เพราะอันนี้เป็นตัวจะเลิศเลอ จะทำสัตว์โลกให้มีความหมาย ให้มีจุดหมายปลายทาง ให้มีที่พ้นทุกข์ไปโดยลำดับ ความสุขก็มีเป็นระยะๆ มีความหมายไปเรื่อยๆ จากความดี จากธรรมที่บำเพ็ญมา
ยิ่งผู้ที่อยู่ในป่าในเขาเช่นนักภาวนา เช่นพระอย่างนี้ด้วยแล้ว มีหน้าที่อันนั้นร้อยเปอร์เซ็นต์เลย มอบให้เป็นร้อยเปอร์เซ็นต์เลยไม่ให้อะไรเข้ามาเกี่ยวข้อง เรื่องสติท่านสอนมากที่สุด เรื่องสติปัญญาให้รอบตัวรอบใจ ใจนั้นมีภัยรอบตัวของมัน ทางนี้อ่อนไม่ได้ ทางนั้นมันจะรุมเข้า ถ้าว่ารุมเข้า ความจริงก็คือตัวนี้แหละมันดีด มันอยากมันหิวมันดิ้นออกไป แต่เราก็ว่าอันนั้นมันหุบเข้ามา มันดิ้นออกไปหาต้นไม้หาภูเขา มันก็ปรากฏต้นไม้ภูเขา เหมือนว่าสิ่งเหล่านั้นรุมเข้ามา ความจริงตัวนี้ออกไปหมายเขาต่างหาก ถ้าตัวนี้ไม่ออกหมาย โลกนี้ว่างตลอดเลย ไม่มีอะไร หัวใจว่างเสียอย่างเดียว สามแดนโลกธาตุนี้ไม่มีอะไรเลย ว่างไปหมด นี่ก็เพราะหัวใจนี้เองเป็นตัวยุ่งที่สุด เมื่อหัวใจนี้ว่างที่สุดแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างว่างที่สุด แล้วไม่มีอะไรที่เข้ามาแฝง ให้ก่อกวนให้ได้รับความทุกข์ความลำบาก
ต้นเหตุสิ่งที่ก่อกวนให้ได้รับความทุกข์ความลำบาก ก็คือกิเลส แน่ะ ถ้ากิเลสมีมากน้อย เครื่องก่อกวนทั้งหลายก็มีตามส่วนของมัน มีลดลงไปเท่าไรความวุ่นวายยิ่งน้อยลงๆ ฟาดเสียกิเลสขาดสะบั้นลงไปหมดไม่มีอะไรเหลือเลยแล้ว ความมายุ่งอะไรๆ ในจิตนี้เรียกว่าไม่มีเลย หมดโดยสิ้นเชิง ก็ชี้นิ้วได้เลยว่า เพราะกิเลสนี้เท่านั้นตัวยุ่งเหยิงที่สุด ตั้งแต่เล็กจนใหญ่สุด มีกิเลสเท่านั้นเป็นตัวเหตุ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงสอนให้ฆ่ากิเลส ไปที่ไหนสอนแต่ให้ฆ่ากิเลสทั้งนั้น สอนให้ส่งเสริมกิเลสไม่มีในธรรมของพระพุทธเจ้า เพราะกิเลสมันก็เสริมตัวของมันอยู่เต็มที่อยู่แล้ว เผลอไม่ได้กิเลสเสริมตัวของมันเหยียบย่ำทำลายธรรมในใจของเราไปโดยลำดับ
จึงต้องได้ระมัดระวังสำหรับผู้ภาวนาแล้ว สติเป็นที่หนึ่ง อยู่ที่ไหนอย่าปล่อยสติ ทำหน้าที่การงานอย่างน้อยให้มีสัมปชัญญะ ความรู้สึกตัวในวงกว้างๆ จากกิริยาอาการเคลื่อนไหวของเราเสมอ ถ้าว่าสติจริงๆ จ่อเข้าไปนี้ สติภาวนาจริงๆ จ่ออยู่ที่ใจ สัมปชัญญะกระจายออก แล้วรู้รอบตัวในความเคลื่อนไหวของตัวก็ยังดี ถ้าไม่มีสติเลยก็เหมือนตุ๊กตา ดิ้นไปอย่างนั้นแหละไม่มีความหมายอะไร ได้อะไรมาก็ไม่เห็นมีความหมายเพราะใจไม่มีความหมายเสียอย่างเดียว ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีความหมายนะ ถ้าใจมีความหมายเสียอย่างเดียว ทุกสิ่งทุกอย่างก็มาเป็นความหมายได้ เป็นประโยชน์ได้สำหรับผู้มีสาระในหัวใจของตัวเอง ท่านจึงสอนลงที่นี่
สำหรับวัดป่าบ้านตาดนี้เราก็ได้พยายามที่สุด ถึงขนาดนั้นท่านทั้งหลายก็ดูเอาซิ เลอะๆ เทอะๆ ไปหมดเลยนะ ดูซิเวลานี้ไปที่ไหนมองดู เลอะเทอะไปหมด นี่เราสงวนไว้เฉพาะใกล้แถวนี้ เฉพาะพระนี้ใครไปยุ่งไม่ได้ เพราะมันขั้นแตกหักแล้วนี่ ถ้าหมดนี้ก็แตกหัก วัดร้างเลยเทียว เพราะฉะนั้นสงวนอันนี้เอาไว้ไม่ให้ใครไปแตะ ให้พระท่านภาวนาอยู่สบายๆ พระตั้ง ๔๐-๕๐ เป็นประจำอยู่เหมือนเดิมในป่า ต่อไปก็จะขยายข้างนอกออก กำแพงนอกกำแพงใน ให้เป็นที่กุฏิของพระตามนั้นหมดเลย ต้นไม้ก็จะใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ พระก็จะได้ภาวนาสะดวกสบาย กิจการงานของโลกไม่ให้มายุ่ง จะให้มีเฉพาะงานของพระ อันนั้นละทีนี้จิตใจยิ่งสง่างาม
ดูภายนอกเป็นผ้าขี้ริ้วห่อทอง มองดูอะไรไม่สวยไม่งาม มองไปหาความสวยความงามไม่ได้มองภายนอก เพราะกิเลสมันไม่เคยสวยงาม มันตัวสกปรก สิ่งเหล่านี้มันเกี่ยวโยงกับกิเลส จึงเป็นเรื่องสกปรกไปตามๆ กันหมด แต่กิเลสมันก็เสกสรรปั้นยอว่าสิ่งเหล่านี้เลิศเลอไปหมดด้วยกัน เพราะฉะนั้นโลกถึงเป็นบ้ากันทั้งโลก พูดให้มันเต็มยศนี้เลย เดี๋ยวนี้ยิ่งเป็นบ้า อะไรก็พอเป็นไปทุกอย่างๆ ที่มันขาดเขินให้โลกเป็นบ้าอยู่ทุกวันนี้มากที่สุดก็คือไอ้หลังลาย ไอ้หลังลายนี้ทำให้โลกเป็นบ้าได้มากที่สุด ทุกสิ่งทุกอย่างมีสมบูรณ์พูนผล แต่ไอ้หลังลายนี่ขาดมาก มีเท่าไรก็ขาดมากเท่านั้น ไอ้หลังลายนี่นะ เพราะฉะนั้นโลกถึงได้ดีดได้ดิ้นแย่งชิงกัน ชิงดีชิงเด่น ชิงอะไรออกจากอันนี้ทั้งนั้น วิ่งเต้นหาเสียเป็นบ้ากันเลย
มันก็กระดาษ ถ้าเอาธรรมมาพิจารณาแล้วโลกจะพออยู่พอเป็นพอไป สิ่งเหล่านี้นำมาใช้สอยในเวลาจำเป็น ไม่ถึงกับกลายเป็นไฟมาเผาเจ้าของเพราะความดีดดิ้นไม่รู้จักประมาณ อันนี้มันเลยเถิดไปเสียทุกอย่าง เราก็พิจารณา ที่ไหนๆ มันบกพร่องอะไรนัก โลกอันนี้มันถึงได้เดือดร้อนกันมากมาย ดูอะไรๆ ก็มีสมบูรณ์พูนผล ไม่ว่าบ้านเขาเมืองเรา ที่ไหนก็ไม่เห็นอดอยากขาดแคลน ไปในเมืองก็ดี ออกนอกเมืองไปในป่าในเขาก็ดี อาหารการกินที่อยู่ที่อาศัยที่ไหนก็สมบูรณ์เหมือนกัน ยิ่งไปในเมืองตลาดลาดเลแล้วเต็มไปด้วยสิ่งเหล่านี้ แล้วมันบกพร่องอะไรโลกถึงได้ดิ้นเอานักหนา ถ้าว่าดิ้นหาสิ่งเหล่านี้ สิ่งเหล่านี้ก็ไม่เห็นอดอยากขาดแคลนอะไร ครั้นเวลาพิจารณาไปมาก็มาลงจุดนี้ ตัวนี้ตัวดีด ตัวทำให้โลกเดือดร้อนมากทีเดียว อะไรจะมากขนาดไหน ตัวนี้ไม่พอ เพราะฉะนั้นโลกถึงได้ร้อน ร้อนเพราะตัวนี้เอง
การกล่าวทั้งนี้ไม่ได้หมายถึงว่าไม่ให้มีสิ่งเหล่านี้นะ ให้มีให้รู้จักความพอ ความพอดิบพอดี อย่าให้ดีดให้ดิ้นจนตาย อันนี้เรียกว่าสังหารตนโดยตรงทั่วโลก มีเพียงพอแล้วก็พออยู่พอกินเป็นไปแล้วก็เป็นไป แล้วการที่จะเสาะแสวงหาสิ่งจำเป็นภายในใจก็คือธรรม ให้มีความสงบบ้างจากการงานทั้งหลาย ใจได้พักเครื่อง ทำจิตใจให้มีความสงบเย็น แล้วใจจะแสดงฤทธิ์เดชออกมาเป็นความสงบร่มเย็น แล้วแผลงฤทธิ์แห่งความดีของตัวนี้ออกไปข้างนอก ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะชุ่มเย็นไปตามๆ กัน ถ้าจิตมีประมาณเสียอย่างเดียว ถ้าไม่มีประมาณอย่างนี้มันก็เป็นอย่างนั้นทั้งเขาทั้งเรา แล้วจะไปตำหนิใครล่ะ ตำหนิใครไม่ได้นะ
เพราะกิเลสตัวนี้มันมีอยู่ทุกหัวใจ ถ้าตำหนิตัวนั้นก็ต้องตำหนิตัวนี้ด้วย เพราะมันมีอยู่ในหัวใจด้วยกัน ทีนี้เมื่อผ่อนผันสั้นยาวให้พอดิบพอดี เพราะต่างคนก็ต่างคิดดูตัวเองๆ แล้วผ่อนผันสั้นยาว โลกก็พอจะชุ่มเย็นไปบ้าง แต่นี่เราอย่าไปหวังมันเลย คำว่าธรรมนี้ไม่มีใครเหลียวแลแล้วนะ ถ้าว่ากิเลสนี้ทุกตัวสัตว์ แล้วจะให้กิเลสมันบกบางไปได้ยังไงเมื่อส่งเสริมกันทุกหย่อมหญ้าแล้ว มันก็ต้องเจริญขึ้น ความเจริญของกิเลสกับความเจริญของฟืนของไฟมันก็เป็นไปด้วยกัน เผาโลกไปอย่างนี้ตลอด ธรรมไม่มีก็ไม่มีน้ำดับไฟ เพราะฉะนั้นผู้ที่ควรจะหาได้บ้างก็ควรหา หาความสงบร่มเย็นใส่ตัวเอง
เวลาว่าง เช่นอย่างเรามาอยู่ในวัดในวา เวลาจะทำความสงบใจก็ให้มี อย่าปล่อยให้ดีดให้ดิ้นทั้งๆ ที่อยู่ในวัดก็ยังดีดยังดิ้น อยู่โลกก็ดิ้นอยู่แล้ว เข้ามาในวัดก็มาดิ้นอยู่ในวัด ทะเลาะเบาะแว้งยุ่งเหยิงวุ่นวายเรื่องนั้นเรื่องนี้ต่อกัน อย่างนี้ไม่ใช่ทางของธรรม แล้วก็ก่อเรื่องราวขึ้นมา จึงต้องให้ใช้ความสงบ ให้ทำความสงบต่อใจบ้าง เราจะได้มีที่พักผ่อนนอนหลับสบาย ถ้าใจสงบเย็นแล้วสบายทั้งนั้น ไม่ว่าวันใดคืนใดมืดแจ้งเป็นของมีมาดั้งเดิม แต่ใจเป็นของที่แสดงตัวทั้งดีและชั่วได้ตลอด และแก้ไขดัดแปลงได้ เราควรนำมาแก้ไขในเวลาเช่นนี้ เวลาสงบก็ให้มี ใจสงบจะเหมือนอะไรสงบไม่มี ไม่มีอะไรเหมือนนะ ยิ่งได้สว่างกระจ่างแจ้งขึ้นมาด้วยแล้ว โลกธาตุนี้มันเป็นกองมูตรกองคูถไปหมดเลย
ฟังซิน่ะ ธรรมท่านไปหาเหยียบย่ำใคร ท่านไม่เที่ยวดูถูกเหยียดหยามใคร แต่ธรรมชาติที่เลิศเลอก็เลิศเลออยู่อย่างนั้น ไม่ไปกระทบกระเทือนใคร โลกกิเลสมันถือสิ่งเหล่านี้เป็นข้าศึกไปเสีย ถือว่าตัวของมันเป็นคุณ เป็นใหญ่เป็นโต เป็นของดิบของดี เป็นของมีราค่ำมีราคา มันจึงพอกพูนหัวใจสัตว์มากขึ้นๆ มองไปที่ไหนหาความสุขไม่เจอ ใจที่มีความสุขแล้วหาไม่หามันก็เจอ ใจที่มีความทุกข์พอตัวแล้วอยู่ที่ไหนมันก็เจอทุกข์เช่นเดียวกัน ยิ่งหามาเพิ่มอีกก็ยิ่งเพิ่มเข้า ปรกติมันก็มีทุกข์อยู่แล้วในหัวใจสัตว์ ทีนี้ต่างคนต่างดิ้นต่างดีดด้วยแล้วก็มีแต่ฟืนแต่ไฟ ที่จะให้สงบตัวลงด้วยอรรถด้วยธรรม เจ้าของไม่สนใจเสียอย่างเดียว อรรถธรรมจะมาจากไหน มาจากการขวนขวายของตัวเอง นี่มันไม่ขวนขวายละซิ มีแต่ดีดแต่ดิ้นอยู่อย่างนั้น
นี่เราพูดถึงเรื่องวัด ทีแรกขึ้นวัดเสียก่อน ที่สงบงบเงียบทางนี้ไปนี้สงบทั้งนั้น จากนี้ไปนี้เข้าไปสงบ พระมีจำนวนมากก็เหมือนไม่มีพระนะ เดินท่านก็เดินจงกรมของท่านเสีย ภาวนาของท่านเสีย จะไปสร้างปึ๊งปั๊ง ๆ อย่างนอกไม่ได้นะ ให้อบรมตัวเองให้สงบสงัดสบาย ถ้าใจสบายแล้วอยู่ไหนสบายหมด ท่านทั้งหลายอย่าไปเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้จะพาให้สบายนะ สิ่งเหล่านี้เสริมไฟ ถ้าใจสบายใจได้อบรมธรรมแล้วกลายเป็นน้ำดับไฟ สิ่งเหล่านี้จะมีมากมีน้อยก็ไม่ทำความเดือดร้อนแก่ตัวเอง เพราะตัวเองสร้างแต่ความดีเครื่องดับไฟไว้ประจำใจ สิ่งเหล่านั้นก็ไม่เป็นไฟมาเผาเราได้ ถ้าเราสร้างแต่ฟืนแต่ไฟข้างนอกออกไปข้างในออกไป ตัวของเราก็ถูกเผาหมด ไม่มีอะไรเหลือเลย
มีพุทธศาสนาเท่านั้นแหละ เราพิจารณาค้นเต็มกำลังความสามารถของเราแล้ว เราหาที่ต้องที่ติไม่ได้เลย หมดเลย แง่ไหนมุมใดมีแต่เรื่องแก้ทุกข์น้ำดับไฟ ๆ ทั้งนั้นสอนโลก แต่กิเลสมันก็แทรกเข้ามา เพราะฉะนั้นกิเลสกับธรรมจึงเป็นข้าศึกกันอยู่กับเราทุกคน ๆ ให้พากันทำความสงบใจบ้างนะ นั่งภาวนาก็ให้ภาวนาจริง ๆ ให้มีสติอยู่กับตัว การทำความเพียรไม่มีสติไม่เรียกว่าความเพียร เดินจงกรม จะนั่งสมาธิหรือนั่งทำท่าใดก็ตาม ถ้าสติไม่มีไม่เรียกว่าความเพียร ถ้ามีความเพียรท่าใดก็เป็นความเพียร เคลื่อนไหวไปมาสติมีจดจ่อ แม้จะไม่ได้ชำระกิเลสในขณะนั้นก็เป็นการต่อต้านกันอยู่ในตัว ยิ่งมีตั้งแต่เวลาสติกับปัญญาทำหน้าที่ด้วยแล้ว เรียกว่า ระงับดับกิเลสโดยตรง ๆ ไปเลย จิตก็สว่างไสวขึ้นมา
ในโลกอันนี้ไม่มีอะไรใหญ่กว่าจิต มันมีอยู่ ๒ อย่าง ทุกข์หนึ่ง สุขหนึ่งอยู่ที่จิต ทุกข์เกิดจากกิเลสที่เป็นตัวภัยของธรรม ความสุขเกิดขึ้นจากธรรมที่เป็นภัยของกิเลสเหมือนกัน ทั้งสองอย่างนี้เป็นภัยต่อกันในหัวใจเรา หัวใจเรานั้นละเป็นเวทีระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกัน ส่วนมากมีแต่พวกเราละหงายไม่เป็นท่า ๆ กิเลสตีธรรมละซิ หงายลงไป ๆ หาความสุขจึงไม่มี ตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งวันตายคิดแส่หาความสุขอะไรไม่มี ๆ เราจะหวังพึ่งอะไรพิจารณาซิ เพราะผู้พึ่งอยู่กับเรา ผู้ที่จะเกาะจะยึดตามสิ่งที่เรามุ่งหมายว่าเป็นความสุข ความเจริญก็คือเรา ทีนี้สิ่งที่เราจะเกาะนั้นมันผิดหรือถูก ดีหรือชั่วต้องพิจารณาอีกทีหนึ่ง ถ้าเป็นทางผิดแล้วผิดแน่ ๆ เกาะปั๊บก็ผิดเลย ถ้าเป็นทางถูกอยู่ ยังไม่ตายก็รู้ ๆ
ดังที่เราเคยพูดให้อุบาสกคนหนึ่งที่แกภาวนาเก่ง ภาวนาจนแกรู้เห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ภายนอกภายใน เทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม แกเห็นหมด ครั้นเวลาแกจวนจะตายนี้จิตของแกไม่ได้ฟุ้งซ่านรำคาญ หมุนเข้าไปสู่ธรรมจิตสงบลง ออกรู้สิ่งต่าง ๆ พวกเทวบุตรเทวดาเขามาอยู่บนท้องฟ้า ท่านจวนตัวแล้ว เทวดาทุกชั้นสวรรค์ รถทิพย์มาทุกชั้นเลย เพราะท่านควรแก่สวรรค์ทุกชั้น เพราะฉะนั้นเทวดาจึงมาทุกชั้น ทางนั้นก็เชื้อเชิญทางนี้ก็เชื้อเชิญให้ไปขึ้นรถของตัวเองๆ เต็มท้องฟ้า กำหนดจิตดูจิตสว่างเห็นหมด ก็เลยหลุดปากออกมา
คำว่า หลุดปาก เป็นคำพูดออกมา ความจริงกระแสของใจติดต่อกับเทพต่างหาก คุยกับเทพต่างหาก บอกว่าให้รอเสียก่อน เวลานี้กำลังฟังเทศนาว่าการ พระท่านกำลังสวด ให้ฟังธรรมนี้ให้เพลินเสียก่อน ก็บอกเทวดาอย่างนั้น แต่ทีนี้มันเป็นคำหยาบอันหนึ่ง คือ ทางจิตพุ่งอยู่โน้น คำพูดนี้เลยหลุดออกมาเป็นภาษาของเรา ให้รอไว้ก่อน รอก่อน ๆ ว่างั้น พวกพระใครต่อใครก็ได้ยินทั่วหน้ากัน ว่าท่านให้รอก่อน พระก็เลยหยุดสวด
พระก็เป็นพระแบบหลวงตาบัวตาบอดนี้แหละ พระก็ดี พอท่านว่าให้หยุดก่อนพระก็เลยหยุดสวด แล้วก็พากันกลับไป ทีนี้พอจิตถอยออกมาจากพวกเทพทั้งหลายเข้ามาสู่ตัวเอง แล้วมาดู พระเจ้าพระสงฆ์ไปแล้ว เลยถาม เอ้า พระคุณเจ้าไปไหนกันหมด ก็คุณพ่อห้ามท่านให้รอก่อน ๆ ท่านก็ไปละซิ ท่านนึกว่าให้หยุดเทศน์นะ เอ้า พ่อไม่ได้ห้ามพระคุณเจ้านะ ห้ามพวกเทพทั้งหลายต่างหาก พวกเทพเจ้าทุกชั้นสวรรค์เอารถทิพย์มาเต็มอยู่บนท้องฟ้า มาเชิญพ่อให้ไปสวรรค์ชั้นนั้น ๆ พ่อกลัวจะเป็นการรบกวนแก่การฟังธรรม จึงห้ามท่านเหล่านั้นไว้ก่อน พ่อไม่ได้ห้ามพระนะ ไปนิมนต์พระกลับมาอีก
พอดีพระไปถึงวัดก็ถูกพระพุทธเจ้าขนาบอีก รับกัน ทางนี้ก็อุบาสก ทางโน้นก็พระพุทธเจ้า เอ้า นี่มากันทำไม ก็อุบาสกคนนั่นห้ามไม่ให้สวดมนต์ ก็เลยต้องมากัน อุบาสกไม่ได้ห้ามพวกเธอทั้งหลายนะ ห้ามพวกเทพทั้งหลายที่อยู่บนท้องฟ้ามาจากสวรรค์ชั้นต่างๆ ที่จะมารอรับด้วยรถทิพย์ต่างหากนะ ไป กลับไปเดี๋ยวนี้ ไล่กลับไป กลับไปนี้ พออุบาสกคนนั้นตื่นขึ้นมาก็ไล่ลูกให้ไปนิมนต์พระมา สวนทางกัน นั่นเห็นไหม นี่เวลามันเป็น มันจ้าอยู่ข้างบน จิตจ่ออยู่กับพวกนั้นคุยกับพวกนั้น เป็นภาษาของจิตคุยกัน ทีนี้ภาษาของกายก็เลยหลุดออกมา เรียกว่าเป็นคำพูดลอย ภาษาลอยว่างั้น ไม่ใช่ภาษาที่จริงๆ อย่างกระแสของจิตกับพวกเทพ เพ่งกันอยู่นี้ ทีนี้เวลาออกมาทางนี้ มันเลยเป็นภาษาลอย ว่าให้รอก่อน มันออกมานี้ พวกหยาบได้ยินมันก็เปิดเลยซี เข้าใจไหม พวกหยาบ
นี่แหละเรื่องราว คือมันแน่อยู่อย่างนั้น ชั้นไหนก็มารออยู่หมด สวรรค์หกชั้นควรแก่สวรรค์ชั้นนั้นๆ ทุกชั้นไปเลย นี่ความแน่ แล้วท่านภาวนาเก่งเสียด้วยนะ พอจากนั้นท่านก็ไปละ นี่มันแน่ขนาดนั้นนะจิต ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเทวบุตรเทวดามารอที่ไหน เจ้าของชัดอยู่ในเจ้าของ ไม่ได้เกี่ยวกับใคร จะไปที่ไหนไม่ต้องเอาพวกนี้มาแห่มาแหน เอาธรรมชาติที่ดีพอตัวนี้แล้วไปเลย ถ้าว่าแห่ก็แห่ตัวเองเลย เป็นอย่างนั้นนะ
นี่พูดจริงๆ หลวงตาไม่ได้โอ้ได้อวด เพราะฉะนั้นจึงไม่เคยสะทกสะท้านกับสิ่งใดในสามแดนโลกธาตุนี้ ซึ่งเท่ากับกองมูตรกองคูถเท่านั้น ว่าอย่างนี้ให้เต็มปาก มันจวนจะตายแล้วนี่นะ ท่านทั้งหลายยังเห็นเป็นของเล่นอยู่เหรอ มันจ้าครอบโลกธาตุตลอดเวลาตั้งแต่ฟ้าดินถล่มมาแล้ว จนกระทั่งบัดนี้ เรียกว่านิพพานเที่ยง สงสัยที่ไหน ธรรมชาตินี้มันจ้าอยู่ นี้มันจะไม่มีฤทธิ์มีเดช มีศักดานุภาพ พอที่จะระงับดับกิเลสตัวมันดิ้นทั้งวันทั้งคืนมาตั้งกัปตั้งกัลป์ ในหัวใจของเราทั้งหลายได้บ้างเหรอ เอาไปถามเจ้าของบ้างนะ
พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาหลอกลวงโลกเหรอ พระสงฆ์สาวก สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ซึ่งล้วนแล้วตั้งแต่ท่านผู้ครองธรรมอันเลิศเลอนี้นะมาสอนพวกเรา กลายเป็นท่านผู้ที่ลวงโลกไปหมดแล้วเหรอนับแต่พระพุทธเจ้าและสาวกลงมา ลวงโลกไปหมดกันแล้วเหรอ มีความจริงตั้งแต่กิเลสตัวเป็นส้วมเป็นถานเต็มหัวใจของเรานี้เท่านั้นเหรอ ให้ถามตัวเองบ้างนะ แล้วอยากขอถามเข้าไปอีกอันหนึ่ง หลวงตาบัวเทศน์อยู่เวลานี้มาโกหกท่านทั้งหลายเหรอ อยากถามอีกทีหนึ่งนะ เราก็แทบเป็นแทบตายถึงขั้นจะสลบไสลจะตายก็มี ไปหลายครั้งกับความเพียรที่ฟัดกับกิเลส เรียกว่าไม่มีใครถอยใคร เพราะเรามุ่งอย่างเดียวจะให้หลุดพ้น
นี่แหละเป็นพลังที่รุนแรงมากที่สุด ความทุกข์ความลำบากของเรามากน้อยนี้ ความมุ่งมั่นอันนี้มีรุนแรงกว่าทุกอย่าง เพราะฉะนั้นมันถึงเป็นก็เป็น ตายก็ตาย พุ่งเลย ตลอด จนกระทั่งได้ธรรมนี้มา ถึงขั้นแดนอัศจรรย์ จนกระทั่งได้ยกโคตรพ่อโคตรแม่เรามา มันมาคิดว่า โอ๊ยนี่โคตรพ่อโคตรแม่หลวงตาบัวก็ไม่เคยเห็น ไม่เคยรู้ธรรมเหล่านี้นะ เพราะท่านก็ไม่เคยปฏิบัติ แน่ะ มันก็มีข้อออกของมัน เพราะเราที่รู้นี่ เพราะเราปฏิบัติ คือมันเลิศมันเลอเสียจนเกินเหตุเกินผล เกินสมมุติทั้งหลาย ถ้าว่าอัศจรรย์ก็เลยเสียทุกอย่างๆ ประมวลตั้งแต่บัดนั้นมาจนกระทั่งบัดนี้
นี่ก็สอนโลกมาเป็นลำดับลำดา ไม่เคยสะทกสะท้านใครจะตำหนิติเตียนว่าหลวงตาเป็นอย่างไรก็ตาม มันพวกถังขยะทั้งนั้น พูดให้มันชัดเจนเสียเลย และจะไปขยาดครั่นคร้าม ไปกลัวไปกล้ากับมันอะไร ประกองมูตรกองคูถ สิ่งที่เลิศเลอมีอยู่ในหัวใจเป็นอยู่นั้น แสดงออกอยู่นั้น แล้วมันต่างกับกองมูตรกองคูถขนาดไหนนี่ซิ เพราะฉะนั้นถึงได้ย้อนมาถามอีกทีหนึ่ง รู้สึกตัวแล้วยัง หรือจะตายกองกันอยู่ต่อไปอีกไม่มีเวล่ำเวลาเหรอ ว่าเทศน์นี้เป็นของจริงหรือเป็นของปลอม เราอยากถามว่างั้นนะ มันได้สอนมาเต็มเหนี่ยวแล้วนี่นะ เต็มเม็ดเต็มหน่วยทุกอย่าง ให้บึกบึนนะ กิเลสเก่งมากจริงๆ หนา เอาให้จมได้ตลอดไปไม่สงสัย ธรรมเท่านั้นจะเอาออกได้ นอกจากธรรมไม่มี
จำให้ดีคำนี้ นอกจากธรรมแล้วจะไม่มีสิ่งใดเลยที่จะฝากเป็นฝากตายได้ ถ้าธรรมแล้วเอาเถอะ เราให้ทานข้าวทัพพีหนึ่งเป็นแล้วนะนั่น เข้าในหัวใจเราแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่บริจาคมากน้อยนี้จำได้ไม่ได้ก็ตามไม่ไปไหนเข้านี่แล้วนะ นี่แหละที่จะเป็นเครื่องยึดเครื่องเกาะของเรา อันนี้เอง นอกนั้นอะไรจะเต็มท้องฟ้ามหาสมุทรก็ตาม มันเป็นเรื่องภายนอกๆ ไม่ใช่เป็นความดีงามที่จะเข้าติดจิตติดใจของเราเหมือนความดีทั้งหลาย เพราะฉะนั้นจึงว่า เอาทุกข์ให้ทุกข์ พระพุทธเจ้าพาทุกข์มาแล้ว สลบสามหนก็คือพระพุทธเจ้า ถ้าว่าเลยสลบ ตายก็คือพระพุทธเจ้านั่นเอง ท่านไม่ตายกิเลสตาย
บรรดาสาวกทั้งหลายท่านก็แสดงเอาไว้ ในความพากเพียรของท่าน โอ๊ย อย่างพระจักขุบาลตาแตก นี่แหละตั้งสัจจอธิษฐานจะไม่นอน รักษาตา หมอเขาว่าให้นอนหยอดตา หยอดยาใส่ตา ท่านบอกว่าไม่นอน เพราะตั้งความสัตย์แล้ว ถ้าท่านไม่นอนท่านก็ตาบอดเขาก็บอก บอดก็บอดท่านว่าอย่างนั้นนะ นั่นเห็นไหม ท่านไม่ได้เชื่อหมอ ท่านเชื่อธรรมต่างหาก เอ้า บอดก็บอด คำสัตย์คำจริงเราประกาศออกมาแล้วว่าเราจะไม่นอน เราจะนอนไปไม่ได้ ไม่นอน สุดท้ายตาแตก ตาแตกข้างนอก ใจจ้าเข้ามาข้างใน เห็นไหมกิเลสแตกข้างใน นี่พระจักขุบาลถึงขนาดตาแตก ท่านก็ไม่ยอมถอย พระโสณะเดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตก ท่านก็ไม่ถอย กิเลสแตก เห็นไหมท่านเอาขนาดนั้นนะ ท่านถึงได้สิ่งเลิศเลอ คำว่า ฝ่าเท้าแตก หมอนแตก ไม่เห็นวิเศษวิโสอะไร ยิ่งกว่ากิเลสแตกจากหัวใจนะ เอาตรงนี้นะ เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านี้แหละ
งานเรามากต่อมากนะ วันหนึ่งมันว่างเมื่อไรๆ โห ลำบากมากนะวันหนึ่งเรา ลำบากจริงๆ ไม่ใช่ธรรมดา ออกมาอย่างนี้ไม่ได้เลย ไม่ใช่เล่นๆ เรียกว่าเป็นภัยไปเลย ออกไปไหนยั้วเยี้ยๆ รุมเลยๆ เราเลยจะตาย อยู่ที่นี่ก็เหมือนติดคุกติดตะราง เราหลบหลีกออกไปนอนอยู่ในรถเรา ชั่วสงบนั่นละๆ เราพักของเรานะนั่น เราไปที่นั่นที่นี่เราเข้าอยู่ในรถ พักจิตของเรา ไม่มีอะไรกวน ตอนนั้นเราสบาย เข้าใจไหมล่ะ แล้วปิดม่านเอาไว้ไม่ให้ใครเห็น จนกลายเป็นนิสัยระแวงตัว เข้าใจไหม เห็นไม่ได้รุมใส่เลย ไม่ว่าที่ไหน เหมือนกันหมด เพราะเขาเห็นทางทีวีแล้ว กวนตลอดเวลา
เราอดสลดสังเวชไม่ได้ เอ้อ ความทุกข์นี่ก็ทุกข์ทั่วฟ้าทั่วแผ่นดิน แต่ก็ไม่รู้จักวิธีที่จะหาความสุข พอเป็นที่พึ่งพิงอิงอาศัย มันถึงดีดดิ้นหาครูหาอาจารย์อย่างเดียว การวิ่งหาครูหาอาจารย์ก็เป็นมงคลอันหนึ่ง แต่สำคัญที่มันขาดตัวเองที่ว่า ความดีในเจ้าของนี้มันไม่มีบ้าง พอที่จะให้อบอุ่นตายใจ มันจึงวิ่งอาศัยตั้งแต่ภายนอกอย่างเดียว เข้าใจไหม ถ้าภายในเราก็มี ภายนอกก็มีนี้ก่ำกึ่ง เสมอ นี่เราอยากให้เป็นอย่างนั้น ทุกคนให้สร้างความดี เห็นครูบาอาจารย์ยิ้มแย้มแจ่มใส ความดีเรารับกันเป็นผลสองอย่างเพิ่มขึ้นแล้ว เข้าใจไหม อย่าให้มีแต่หวังพึ่งครูบาอาจารย์อย่างเดียว ตัวเองไม่สนใจตัวเองนี้เสีย ให้เข้าใจเอานะ
ชมการถ่ายทอดสด ธรรมะหลวงตาวันต่อวัน ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th |