เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖
รู้เรื่องของจิตตัวพยศ
ก่อนจังหัน
พระที่มาจำนวนมาก ผมไม่ค่อยมีเวลาได้อบรมพระนะ ให้ดูหมู่ดูเพื่อน ดูตามตำรับตำราก็แล้วกัน ฟังเทปนะ ผมเวลามีน้อยมาก ทั้งกำลังวังชาก็ไม่พอ หมุนนู้นหมุนนี้ ผู้มาปฏิบัติให้สังเกตให้ดีนะ อย่าให้ได้ตำหนิตัวเองได้ ตรงไหนบกพร่องคือบกพร่องเราเอง ๆ ข้อวัตรปฏิบัติที่ออกกระจายในส่วนสามัคคีให้ดู นั่นละบกพร่องตรงนั้นแล้วก็บกพร่องเรา ให้ดูให้ดี ทำอะไรสติกับจิตอย่าให้พรากจากกัน ทำงานอะไรเคลื่อนไหวไปไหน สติต้องติดแนบๆ นี้คือผู้มีความเพียร แล้วปัญญาออกเป็นระยะๆ สำหรับสติติดแนบตลอดเวลา นี่คือผู้ภาวนา ให้พากันตั้งอกตั้งใจ
อย่าไปถือใครดูใครมากยิ่งกว่าถือตัวเองดูตัวเอง เพราะเรามารับผิดชอบเรา อาศัยครูอาจารย์และหมู่เพื่อน นั่นเป็นส่วนนอกๆ ส่วนใหญ่ที่ท่านสอนยังไงแล้วให้ยึดนั้นเป็นหลัก เช่นสติปัญญาความระมัดระวัง ตลอดข้อวัตรปฏิบัติอะไรอย่าให้บกพร่อง ดูให้ดีทุกอย่างนะ นี่ละเรื่องทางเดินของพระพุทธเจ้า เพื่อขนสัตว์โลกให้พ้นจากทุกข์ เดินอย่างนี้นะ ไม่ใช่เดินเพ่นๆ พ่านๆ เล่อๆ ล่าๆ ดูไม่ได้นะนั่นน่ะ นั่นคือกิเลสเข้าขวางธรรม เหยียบย่ำทำลายธรรมในวัดในวาในพระในเณร ในพวกเรานี้แหละ
มันเร็วที่สุดนะกิเลส เวลานี้มีแต่กิเลสออกเพ่นพ่านๆ โอ๋ย ผมพูดจริงๆ นะ เปิดเสียทีเถอะน่า ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นของเลิศเลอมาขนาดไหน กระจ่างที่ใจพระพุทธเจ้า สาวกทั้งหลาย จะพูดไม่ได้ยังไง นี่ละเรื่องธรรมเป็นอย่างนี้ เดี๋ยวนี้มีแต่กิเลสนะตีต้อนอยู่ทุกแห่งทุกหน ให้ท่านทั้งหลายพิจารณาให้ดี
อะไรๆ มีผู้เตือน อย่าไปถือทิฐิมานะเป็นอันขาดนะ มีผู้เตือนตรงไหนนั้นแลคือขุมทรัพย์ยื่นให้กันๆ สมกับมาอบรมศึกษานะ การถือสีถือสาถือทิฐิมานะนี้เรื่องของกิเลสทั้งมวล อย่านำมาใช้ในวงของพระ ให้สละตัวเป็นผ้าขี้ริ้ว นั้นแลจะเป็นแท่งทองขึ้นมา ในท่ามกลางแห่งการสละตัวเป็นผ้าขี้ริ้วนั้นแล คือทองธรรมชาติจะขึ้นที่ตรงนั้น เอาละที่นี่จะให้พร
หลังจังหัน
ประมาณ ๑๐ วันที่แล้วหลวงตาอยู่กรุงเทพ ลูกภาวนาเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน เวทนาเกิดขึ้นก็รู้ เวทนายังอยู่ก็รู้ เวทนาหายไปก็รู้ ส่วนร่างกายฟังเสียงข้างนอกไม่ได้ พูดไม่ได้ จำอะไรไม่ได้ เหลือแต่ลมหายใจอยู่อย่างเดียว ต่อมาอีกประมาณ ๑ ชั่วโมงจึงได้ยินเสียงอะไรเป็นปรกติ
ภาวนาทีแรกกำหนดลมเหรอ (กำหนดลมค่ะ) แล้วมันเป็นยังไงที่นี่ จิตสงบ ร่างกายหายกังวลไป (ใช่ค่ะ) เหลือแต่ลมหายใจใช่ไหม (ใช่ค่ะ) นี่เรียกว่าลมหายใจละเอียด แล้วทีนี้อะไรต่อไปอีก (อีกชั่วโมงต่อมาประสาทรับรู้สิ่งต่างๆ ค่อยคืนมา แต่ยังกระดิกตัวไม่ได้) กระดิกไม่ได้อย่าไปกระดิก อย่าไปฝืน มันเหมือนตายไปหมดนะ คือจิตไม่ออกรับผิดชอบ อันนี้ก็เป็นท่อนไม้ท่อนฟืน คือปรกติที่ร่างกายของเราเคลื่อนไหวไปมานี้ คือความรู้นี่มันแทรกอยู่ทุกแห่ง ทีนี้พอความรู้นี้เข้าไป ๆ อันนี้ก็เริ่มหมดความหมายๆ พอความรู้เข้าไปเต็มที่แล้ว ร่างกายนี้เหมือนท่อนไม้ท่อนฟืนเหมือนกันหมด
เวลาความรู้หดเข้ามาอยู่จุดกลาง ร่างกายนี้ทุกส่วนจะเป็นเหมือนท่อนไม้ท่อนฟืน พวกหูพวกอะไรเหล่านี้มันจะดับไปๆ ไปเด่นอยู่ที่ความรู้อันเดียว นอกนั้นหายไปหมด นี่การภาวนา ท่านทั้งหลายจำให้ดีนะ คนเราที่เคลื่อนไหวไปมานี้ คือความรู้ที่ออกจากใจมันซ่านไปทุกแห่งเลย ซ่านไปหมด เพราะฉะนั้นเวลาเราสัมผัสปั๊บรู้ทันทีๆ คือความรู้มันซ่านออกทั่วสรรพางค์ร่างกาย ทีนี้เวลาความรู้มันหดเข้ามาๆ เกี่ยวกับเรื่องภาวนา ความรู้นี้จะหมุนเข้ามาๆ ความรู้ข้างนอกก็ค่อยจางไป ๆ ไปเด่นอยู่ภายในๆ นี่เรียกว่าจิตสงบแล้ว อาการของความรู้ทั้งหลายนี้จะสงบเข้าไปๆ
โห เรื่องภาวนานี่พิสดารมากนะ เอามาพูดนี้พูดเท่าที่พูดได้นะ ที่มันพูดยากหรือพูดไม่ได้นั้นเยอะ แต่จิตไม่สงสัย เป็นอย่างนั้นละ ทีนี้เวลามันสงบอย่างนั้นแล้วเป็นยังไงที่นี่ (ประสาทส่วนต่างๆ ไม่รับรู้อะไร) ช่างมันนะ ให้ทำเรื่อยๆ ให้มันสงบเข้าไปเรื่อยๆ จะเป็นการฝึกซ้อมตัวเองให้ชำนิชำนาญ ความละเอียดของจิตของความสงบ จะละเอียดเข้าไปเรื่อยๆ แล้วเป็นยังไงต่อไป ( แต่เหมือนมีอะไรมายึดทั่วร่างกายดึงไปหาหัวใจ รู้สึกเจ็บมากอยู่ลึกๆ ) อันนี้คนไม่ตาย ตั้งแต่ไอ้หยองถูกไม้เรียวมันก็เจ็บ ช่างมันไม่ต้องไปกังวลกับมัน (มันเจ็บทั้งวันทั้งคืน เจ็บมากๆ )
ถ้าเจ็บมากให้เอาจิตออกมาดูทุกขเวทนา ความเจ็บมันเป็นความจริงอันหนึ่ง มันอยู่ในร่างกายนี้ มันเจ็บอยู่ตรงนี้ มันจะมีความเข้าใจอันหนึ่งว่า เจ็บหนังบ้าง เจ็บเส้นเจ็บเอ็นบ้าง ความจริงเส้นไม่เจ็บ หนังไม่เจ็บ เวทนาเป็นเวทนา ความเจ็บนั้นก็ไม่มีความหมายในตัวเองว่าเจ็บ มันต่างอันต่างจริงให้ผู้รู้นี้เข้าไปจับ ผู้รู้ก็ถอยเข้ามาเป็นความจริงแล้วต่างอันต่างไม่กระทบกัน มันจะเจ็บมากก็ให้มันเจ็บซิ (พยายามกำหนดลมหายใจแต่เวทนามีมากกว่า) ถ้าเวทนามีมากก็ให้หันจิตออกไปดูเวทนา เพราะเวทนานั้นก็เป็นอริยสัจ เป็นความจริงอันหนึ่งเหมือนกัน ให้ดู
เวลาดูเวทนา ให้ดูทุกข์สมมุติว่าอยู่ตรงนี้ ให้ถามดู มันจะเข้าใจว่าหนังเป็นทุกข์บ้าง เส้นเป็นทุกข์บ้าง ถามมันดูว่าทุกข์นี้เป็นอะไร ทั้งสามนี้ไม่รู้เรื่องของกัน จิตต่างหากไปรับทราบอยู่ในนั้น หนังเป็นหนัง หนังไม่ได้เป็นทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่หนัง หนังไม่ใช่ทุกข์ เส้นเอ็นไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่เส้นเอ็น กระแสของจิตต่างหากไปหมาย อย่างนี้เรียกว่าแยกดู มันจะละเอียดเข้าไป มันเป็นหินลับปัญญาทั้งนั้น เหล่านี้เป็นหินลับปัญญา เวลาพิจารณาไปแล้วเหมือนหินลับปัญญา จะได้ความแยบคายๆ แล้วถอยจิตตัวมันหลงนี้เข้ามาๆ เรื่อยๆ สิ่งเหล่านั้นเขาไม่ได้หลงไม่รู้อะไรแหละ เขาเป็นเขาเป็นความจริงอันหนึ่ง แต่จิตไม่ค่อยจริงและไม่จริง หลอกตัวเองอยู่เรื่อยๆ
เวลาพิจารณาแล้วจิตถอยเข้ามาเป็นความจริงแล้ว ทีนี้ต่างอันต่างจริง ถึงทุกข์จะมีอยู่ก็ไม่กระทบกระเทือนกัน ก็เป็นความจริงอันหนึ่งอยู่อย่างนี้ เหมือนเรามองดูกองไฟ มันก็เป็นกองไฟอยู่งั้น เราไม่ได้เป็นอะไร นี่ก็ไม่ผิด ถ้ามันเจ็บมากก็ออกไปพิจารณาอย่างนั้นนะ ถ้าไม่มากให้กำหนดลมอานาปานสติลมหายใจ ให้ละเอียดเข้าไปๆ มันจะเป็นอะไรให้รู้กันหมดนั่นแหละ ใจเป็นนักรู้ มันเป็นอะไรให้รู้ตามความมันเป็นขึ้นมา ใจเป็นนักรู้ให้รู้ รู้ไปรู้มาแล้วจะมารู้ตัวเองเป็นตัวพยศ พูดง่ายๆ สิ่งเหล่านี้เขาไม่ได้เป็นอะไร อุบายวิธีการต่างๆ เพื่อจะดัดจิต ปรับจิตให้เข้าสู่ความจริง จิตมันไม่ได้จริง รู้อยู่ๆ ไม่ได้จริงนะจิต เวลาจิตจริงแล้วมันจริงหมดโลกธาตุนี่ ฟังซิน่ะ
มีจิตดวงเดียวเท่านี้ แน่ะเห็นไหมล่ะ มันไม่มีอะไรในโลกนี้ คือจิตดวงเดียวนี้ตัวพยศ นั่นละท่านเรียกว่าภาวนา คือตีตัวพยศนี้เข้ามาๆ จนกระทั่งถึงตัวจริงขนาดถึงร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว โลกนี้ว่างไปหมดเลย คือไม่มีอะไรออกไปหมาย ความรู้นี้มันก็ไม่ได้ติดอะไรทั้งนั้น มันก็ว่างของมัน โลกเลยกลายเป็นว่างไปหมด ตัวนี้หายพยศ หายพยศโดยสิ้นเชิงแล้วไม่มีโลก ท่านถึงว่า สุญฺญโต โลกํ ตัวนี้ว่างเสียอย่างเดียว เขาไม่มีความหมายอะไรสิ่งเหล่านั้น ตัวนี้ยุ่งต่างหาก เข้าใจแล้วนะ (เข้าใจค่ะ)
เราพยายามสอนให้รู้เรื่องของจิตตัวพยศ สิ่งที่เราดิ้นหาอยู่ทุกวันนี้ หามาเพื่อความสุข ๆ นะ คือจิตนี่มันไม่เป็นสุข มันดิ้น ได้มาเท่าไรมันจึงไม่มีความสุข เข้าใจไหม คือจิตไม่ยอมรับความสุขของตัวเอง เพราะยังลุ่มหลงในเรื่องทั้งหลายอยู่ มันจึงไม่ยอมรับความสุขความทุกข์ของตัวเอง ถ้ายอมรับตัวนี้มันก็ปล่อยนั้นเข้ามามาดู ทีนี้มันไม่ยอมรับมันจึงดิ้นของมันอยู่อย่างนั้น มีแต่จิตดิ้น มันสนุกดูนะถ้าว่าสนุก นี้เราก็พูดไปอย่างนั้นแหละว่าสนุก มันเป็นของจริงล้วนๆ ดูนี้ พูดให้ถึงใจ โลกเขาก็เรียกว่ามันสนุกดู คือมันไม่มีอะไรแล้วมันก็ดูได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยทุกสิ่งทุกอย่าง คือจิตดวงเดียวนี้เท่านั้น ว่าเท่านั้นเลย
นี่ที่ว่าพุทธศาสนาสอนลงถึงจุดนี้เลย จุดนี้ตัวพยศ จุดนี้ก่อทุกข์ให้โลกสงสารตลอดมาเป็นกัปเป็นกัลป์ มีแต่จิตดวงนี้ คือมันมีตัวพยศอยู่ในนั้น แทรกอยู่ในนั้น เรียกว่ากิเลส ยอดของกิเลสก็คืออวิชชาอย่างที่พูดนั่น พออันนี้พังลงไปแล้วหมดโดยประการทั้งปวง อ๋อ มาอยู่จุดนี้ จึงไล่เข้ามา มันติดตรงไหนๆ ฟันลงไปๆ เหมือนกับเราจะเอาไม้ท่อนนี้แหละ มันเกาะอยู่ตรงไหน ตัดกิ่งนั้นกิ่งนี้มันก็หลุดลงๆ ตัดตรงนั้นหลุดลงตูม นั่น อันนี้จิตมันเกาะไหนๆ ตัดตรงนั้นตัดตรงนี้ พิจารณาลงไปมันเข้าใจมันก็ปล่อยเข้ามาๆ เข้ามาถึงกาย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มีแต่อาการทั้งนั้น ปล่อยเข้ามารู้เข้ามา สุดท้ายก็เข้าไปถึงอวิชชาตัวไปเที่ยวยึดเขา ซัดตัวนั้นแหลกไปแล้วหมด ทีนี้เรียกว่าหมดตลอดไปเลย
ท่านว่านิพพานเที่ยง คือจิตมันเที่ยงตรงอยู่แล้ว มันไม่สูญไม่สิ้นไปไหน เป็นแต่เพียงสิ่งที่จอมปลอมมันทำให้จิตพลิกไปทางนู้นหมุนไปทางนี้เท่านั้นเอง พออันนี้พลิกหมดแล้วมันก็หมด เที่ยงตรงเลย
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกเขาไม่ได้บกพร่องละนะ ทั่วโลกทั่วสงสารไม่มีอะไรบกพร่อง เต็มไปหมด มันบกพร่องอยู่ที่จิตดวงเดียว มันดีดมันดิ้นมันหิวมันโหย ไม่ว่าคนมีคนจน ยศถาบรรดาศักดิ์มากน้อย มีแต่เรื่องยุ่งเหยิงวุ่นวายของจิตดวงนี้ที่ไปยึดทั้งนั้นนะ เขาเหล่านั้นเขาไม่ได้ยึดนะ ไม่ว่าคนมีคนจน ยศถาบรรดาศักดิ์มากน้อย มีแต่เรื่องยุ่งเหยิงวุ่นวายของจิตตัวนี้ที่ไปยึดทั้งนั้นนะ เขาเหล่านั้นเขาไม่ได้ยึดนะ เขาไม่มีอะไร มีจิตดวงเดียวเท่านี้ เพราะฉะนั้นจึงพยายามฝึกหัดจิตตัวมันคึกคะนองนี้ให้เข้ามา ๆ ความกังวลจะค่อยเบาเข้ามา ๆ ๆ จนเข้ามาหาจิตตัวกังวล ละเอียดมันก็อยู่ที่จิต ฟาดอันนี้หมดไม่มีอะไรกังวล อยู่ไหนอยู่ได้ทั้งนั้น เป็นอย่างนั้นนะ พากันเข้าใจนะ
จิตนี้เลิศเลอสุดยอดแล้วนะ เราจึงได้พยายาม ยิ่งจวนตายเท่าไรยิ่งเน้นหนัก ๆ เพราะพุทธศาสนาเท่านั้นที่สอนลงให้ถึงความพ้นทุกข์ได้จริง ๆ เลย นอกนั้นเราพูดตรง ๆ ว่าเราไม่เคยเห็น ไม่มี มีแต่เป็นนโยบายอุบายของกิเลสทั้งนั้นสอนคน แต่มาตั้งเป็นศาสนา ว่าศาสนา ศาสนาแปลว่า คำสอน กิเลสสอนก็ได้ธรรมสอนก็ได้ ถ้าศาสนธรรม เอ้อ คำสอนที่เป็นธรรม นั่น มันก็เป็นอย่างนั้น
เรื่องศาสนานี้ มีพุทธเท่านั้นเคยพูดให้ฟังชัดเจนแล้ว เราไม่สงสัยในหัวใจของเรา หมดโดยประการทั้งปวง ค้นดูหมดศาสนาใด ๆ เป็นยังไง ๆ เอามาดูหมด มันเป็นเรื่องของกิเลสทั้งมวล ไม่ใช่ธรรมไม่ใช่ศาสนาเพื่อธรรม มันศาสนาคำสอนเพื่อกิเลส กว้านมาเพื่อกิเลส ๆ ทั้งหมด มีกี่หมื่นกี่แสนกี่ล้าน ๆ ศาสนาก็เป็นคำสอนของกิเลสทั้งหมด สอนสัตว์ให้ลุ่มหลงไปตาม ๆ กันหมดเลย แล้วผู้เชื่อถือปฏิบัติตามนั้นก็สั่งสมความชั่วไปที่ผู้สอนว่าดีว่าถูกนะ ทางนี้ก็ทำตามด้วยความเชื่อ มันก็ผิดไปเรื่อย ๆ จึงไม่เรียกว่า สวากขาตธรรม สวากขาตธรรมตรงแน่วเลย สอนตรงไหนถูกตรงนั้น ๆ ปฏิบัติไปเท่าไรยิ่งละเอียดลออ จนหมดทางสงสัย
นี่พูดจริง ๆ เราหมดเรื่องสงสัยพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ หมด เรียกว่าจิตอยู่ท่ามกลาง ถ้าเป็นน้ำ น้ำหยดนี้อยู่ท่ามกลางมหาสมุทรทะเลหลวง เป็นอันเดียวกันหมด จิตดวงนี้เป็นจิตธรรมธาตุอยู่ท่ามกลางแห่งวิมุตติ ธรรมธาตุด้วยกันก็เป็นธรรมธาตุด้วยกัน มหาวิมุตติมหานิพพานด้วยกันหมด แล้วจะไปสงสัยพระพุทธเจ้าที่ไหน กว้างแคบมันก็อันเดียวกันแล้ว เหมือนกันกับอันนี้แล้ว เหมือนกับหยดน้ำตกปั๊บลงไปนี้ก็เป็นมหาสมุทรเหมือนกันหมดแล้วไปสงสัยตรงไหน จิตดวงนี้พอถึงนั้นปั๊บเท่านี้ก็เป็นอันเดียวกันแล้วกับคำว่ามหาวิมุตติ มหานิพพาน สงสัยกันที่ไหน พระพุทธเจ้าอุบัติมากี่พระองค์ก็คือน้ำ มหาวิมุตติมหานิพพาน ไปนับทำไมจ้าอยู่กับหัวใจนี้แล้ว นั่นละที่ว่าเลิศเลออยู่ตรงนั้น
โอ้ จิตนี้เวลามันพิสดาร ไอ้เรื่องทุกข์ที่มาพูดเหล่านี้เรามันเคยมาหมดแล้วนะที่มาพูดเหล่านี้ เฉพาะอย่างยิ่งที่มันเอาจริง ๆ ก็คือนั่งตลอดรุ่ง มันเป็นบางคืนนะ นั่งตลอดรุ่ง คืนไหนจิตเอายากคืนนั้นจะบอบช้ำมากทีเดียว ถ้าคืนไหนจิตทรมานได้ง่ายและทรมานง่ายนี้ วันนั้นนั่งตลอดรุ่ง ลุกแล้วไปเลยไม่เจ็บไม่ปวดที่ไหน มันขึ้นอยู่กับจิตนะ ถ้าจิตฝึกทรมานยากมันลงได้ยาก วันนั้นบอบช้ำร่างกายมากทีเดียว ลุกนี้ต้องได้จับขาดึงออก จับขานี้ดึงออก มันตายหมด ตายหมดเลย ตั้งแต่นี้ลงมาตายหมดเลย เหลือแต่นี้ขึ้นมา เวลาเรานั่งอยู่นี้มันเหมือนไฟนี้นะ มันท่วมท้นขึ้นมาเผาเราทั้งกายเรานี้ทั้งตัวเรานี้ ทุกขเวทนาเปรียบเหมือนไฟมันเผาขึ้นมาเต็มตัวเราเลย แต่สำคัญที่จิตมันไม่หวั่น เอ้า อะไรจะเผาที่ไหน ถ้ามันจะเป็นเถ้าเป็นถ่านในปัจจุบันนี้ก็ให้เห็นกัน นู่น มันไม่ได้ถอยนะ
เพราะฉะนั้นมันถึงได้ตามรู้ความจริงจนหมดเพราะจิตไม่ถอย จิตจะหาแต่ความรู้เอาแต่ความรู้ ส่วนทุกข์มากน้อยไม่ไปเป็นกังวล มันจะเป็นขนาดไหน เอ้า ฟาดลงไป เวลามันเอาเต็มที่ ทุกขเวทนาหนักมาก ๆ ในวันทรมานจิตยาก ๆ นะ คือมันเป็นวัน ๆ ไป ถ้าวันไหนจิตพอกำหนดพิจารณาติดปั๊บ ๆ ๆ แล้วลงผึง ๆ วันนั้นลุกจากที่แล้วไปเลย ทั้ง ๆ ที่เวลาเรานั่งนานเท่ากันนะ ๑๒,๑๓ ชั่วโมงกว่าจะลุกขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่มืด บางวันจนสว่างตะวันโผล่ขึ้นมาถึงจะลุกขึ้นมา ไม่ทราบว่าปวดหนัก ปวดเบามันไม่มี มีก็ให้ออกเลย คือมันเด็ดกันขนาดนั้น เอ้า ปวดหนักออกเลยปวดเบาออกเลย ไม่มีข้อแม้ว่าเว้นแต่ ไม่มี ตั้งแต่เป็นเด็กมันขี้ใส่ตักแม่มันมาเท่าไร นั่น เอาอันนี้มาดัดนะ แล้วโตขึ้นมาขนาดนี้ขี้ใส่ผ้าสบงจีวรเจ้าของแล้วไปซักไม่ได้ไปฆ่าทิ้งเสีย หนักศาสนาพระประเภทนี้ อย่าให้อยู่หนักศาสนา นั่น จะว่ายังไง ทีนี้มันก็ไม่มี ไม่เคยมีนะปวดหนักก็ไม่เคยมีปวดเบาก็ไม่เคยมี มีก็เอาจริง ถ้าลงได้ขนาดนั้นแล้วยังไงก็ไม่มีถอย แต่ไม่เคยมี
นี่เวลาทุกข์มากในร่างกาย ทุกข์เป็นประหนึ่งว่าเป็นไฟหมดเลยหมดทั้งตัว จนเหมือนกับว่ามองดูตัวไม่เห็น เห็นแต่ไฟท่วมท้นหมดร่างกาย ไฟคือทุกข์ แต่จิตอยู่ในท่ามกลางมันไม่ถอยอยู่ข้างใน มันหมุนติ้ว ๆ ทุกข์มากเท่าไรมันยิ่งแยกธาตุแยกขันธ์ แยกความทุกข์ความสุข แยกอาการต่าง ๆ อันไหนเป็นทุกข์อันไหนเป็นสุขแยกหากัน ทุกข์มากเท่าไรเราจะนอนหรืออยู่เฉย ๆ ทนเฉย ๆ ไม่ถูกนะ ทนเฉย ๆ ทนสู้เฉย ๆ ไม่ถูก ต้องทนด้วยสติปัญญาหมุนติ้วตลอด นั่นละที่นี่มันก็มารู้ ทีนี้เวลามันรู้แล้วมันเป็นโลกใหม่ขึ้นมานะ ที่มันเป็นไฟนั้นดับพรึบหมดเลย มิหนำซ้ำร่างกายพรึบไปพร้อมกันเลย เหลือแต่ธรรมชาตินั้นสว่างจ้าทั้ง ๆ ที่อวิชชายังมีอยู่นะ มันก็สว่างจ้าของมันเต็มภูมิของมัน นั่น ของดีมีอยู่ ทีนี้มันจะเป็นยังไงวันหลัง เอ้าเป็น มันจับหลักฐานพยานได้แล้ว นี่ละมันก็ยิ่งแข็งแกร่ง
ทีนี้เวลามันฝึกได้แล้วก็อย่างที่ว่านี้แหละ มันหมดอะไรที่จะฝึก อย่างทุกวันนี้เราพูดจริง ๆ เราไม่ได้ฝึกอะไรเลย ไม่มีที่จะฝึก กิเลสตัวเดียวตั้งแต่ขณะนั้นแล้วจนกระทั่งป่านนี้ ไม่เคยเห็นมันดีดดิ้นให้สะดุดใจ เอ๊ กิเลสนี้กูว่ามึงม้วนเสื่อไปตั้งแต่วันนั้นแล้วมึงยังมาโผล่อยู่เหรอ ไม่เคยมี แล้วก็พร้อมกับที่ว่ามันตัดสินใจขาดสะบั้นไปแล้วในขณะนั้น จะเอาขณะไหนมาทำลายมันล่ะ มันก็เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้วอยู่อย่างนั้น เป็นปัจจุบัน ว่าปัจจุบันมันก็ไม่ถูก คือไม่มีอะไรจะชัดยิ่งกว่าหมดเรื่องว่างั้นเถอะ ว่าหมดเรื่อง ชัดเจน จากนั้นมามันก็ไม่มีอะไร พูดจริงๆ เราอยู่กับโลกเราก็อยู่ด้วยธาตุด้วยขันธ์ ธาตุขันธ์นี้เป็นโลก ทุกสิ่งทุกอย่างแยกซิ แยกความรู้อันนี้ ความรู้กับธาตุกับขันธ์อยู่ด้วยกันเป็นยังไง ความรู้ธรรมชาติที่เป็นวิมุตติล้วน ๆ เป็นยังไง มันไม่ได้เป็นอันเดียวกันนะ ความรู้ในธาตุในขันธ์มันก็เหมือนเรา ๆ ท่าน ๆ แต่เรา ๆ ท่าน ๆ มันมีจิตที่มายึดอยู่ คือจิตที่ไม่หลุดพ้นจากกิเลสมันก็ยึดของมันเรื่องขันธ์ เรื่องขันธ์กับจิตเลยเป็นอันเดียวกัน
ทีนี้เวลาจิตผ่านไปหมดไม่มีอะไรเหลือแล้ว ความรู้นี้ก็อยู่ในขันธ์นี้แหละ แต่มันอยู่เฉพาะขันธ์เท่านั้น ไม่นอกเหนือจากนี้ ไม่กำเริบ เอ้า ถ้าว่ายินดีในสิ่งนี้ก็พอจับได้ว่ายินดีในสิ่งนี้ มันก็ดับของมัน มันไม่กำเริบ ไม่ยินดีในสิ่งนี้มันก็ไม่กำเริบ รักสิ่งนี้ไม่รักสิ่งนี้มันก็พอจับได้ๆ เข้าใจไหมล่ะ นี่เรียกว่าความรู้นี้อยู่ในวงขันธ์ มันเป็นของมันอย่างนี้ ความเจ็บปวดแสบร้อนอะไรมันมีเหมือนกันรับทราบเหมือนกัน แต่มันไม่เลยจากวงขันธ์ไป เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าหรือสาวกที่ว่าต่างจากเราจึงแยกได้ที่ว่า คืออันนี้มันก็เป็นอย่างขันธ์ของมันนี้ละ ส่วนที่พระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ กับปุถุชนเราที่เหมือนกันอยู่นั้นก็คือว่า หัวเราะหนึ่ง แล้วก็สะดุดต้นไม้ที่จะหกล้มหนึ่ง ช่วยตัวเองนี้เท่ากันเหมือนกัน ถ้าไม่สุดขีดไม่ยอมล้ม ไม่ยอมให้ล้มง่าย ๆ ช่วยจนสุดขีด อันนี้เป็นสัญชาติญาณ
แต่จิตของท่านเป็นอีกอย่างหนึ่งนะ ไม่มายึดมาถือมาแสดงร้อนวูบ ๆ วาบ ๆ ตกอกตกใจเหมือนเราทั้งหลาย ต่างกันตรงนี้ แต่เรื่องช่วยตัวเองเหมือนกัน ทีนี้ความรู้ของขันธ์นี้ก็เป็นแบบนั้น อยู่ในวงขันธ์นี้เป็นความรู้ของขันธ์ มีอะไร ๆ จะอยู่ในวงขันธ์นี้จะไม่เลย บังคับให้เลยก็ไม่เลย เรียกว่าความรู้ในวงขันธ์ ความรู้นี้อยู่กับวงขันธ์ปฏิบัติต่อกันนี้ เพราะรู้ที่นอกจากวงขันธ์ที่เป็นวิมุตติพระนิพพานแล้วไม่ใช่อันนี้ นั่น มันต่างกันอย่างนั้น เราจะไปจับมาใส่อันเดียวกันไม่ได้นะ อันนี้มันจะดับลงไปเมื่อขันธ์ดับ ทุกอย่างดับวูบ เช่น ตาย นั่นละที่นี่ความรู้นี้ก็พรึบเข้าหมด เข้าสู่สภาพเดิมของตนหมดโดยสิ้นเชิง ท่านว่า อนุปาทิเสสนิพพาน ดีดเลย สอุปาทิเสสนิพพาน คือความรู้เจือกับขันธ์ มันยังเจือกับขันธ์กับสมมุติอยู่ก็เรียก สอุปาทิเสส อนุปาทิเสส หมดโดยสิ้นเชิง พากันเข้าใจ
เรื่องอะไร ๆ มันเหมือนกันหมดแหละ แต่มันอยู่ในวงขันธ์นี้เท่านั้น ไม่นอกจากนี้ไป บังคับให้นอกก็ไม่นอก คือมันเป็นหลักธรรมชาติ เป็นอฐานะคนละอย่าง คือจิตดวงนั้นจะมาซึมซาบก็ไม่ใช่ฐานะ ผู้นี้จะไปซึมซาบอย่างนั้นก็ไม่ใช่ฐานะ เรียกว่า อฐานะด้วยกันทั้งสองฝ่าย เรื่องขันธ์จึงเป็นความกังวลถ้าพูดตามสมมุตินะ พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่านจะรับภาระอยู่แต่เรื่องขันธ์ เวลาท่านครองขันธ์อยู่นะ พาอยู่ พากิน พาขับ พาถ่าย พาหลับ พานอน มีแต่ขันธ์เคลื่อนตัวเองตลอดเวลา กวนตลอด ธรรมชาตินั้นจะมีอะไร ไม่มี นั่น พออันนี้ดับพรึบหมดโดยสิ้นเชิง แน่ะ ท่านจึงมีอยู่กับอันนี้เท่านั้น จะว่าท่านเป็นทุกข์กับอันนี้ก็ไม่ใช่มันพูดยากนะ
จิตดวงนี้ละ ตัวมันดีดมันดิ้นพาโลกสงสาร เอ้า พูดให้เต็มยันเลย เรามองไปที่ไหนมีอะไรบกพร่อง ไม่มีนะ สมบูรณ์แบบทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีอะไรบกพร่อง แต่จิตดวงนี้ตัวบกพร่อง ตัวเดียวเท่านั้นทำให้ยุ่งหมด ยุ่งด้วยกันทุกขั้นทุกภูมิทุกฐานะของคนไม่มีอะไรผิดแปลกจากกัน ก็คือคนที่มีกิเลสบีบบังคับอยู่ที่หัวใจจะเป็นคนประเภทใด สิ่งนั้นมีอันนั้นดีอันนี้ดี ตัวหัวใจที่กิเลสบีบอยู่นี้มันไม่ดี นี่เข้าใจไหม ตัวนี้ตัวเดือดร้อน ไม่ว่าชั้นใด ๆ เดือดร้อนเหมือนกันหมด ตัวนี้พาให้เดือดร้อน เรามองดูสัตว์โลก เราจะไปมองดูชาติชั้นวรรณะมองไม่ได้นะ ต้องเอาธรรมมอง ธรรมมองจะมองดูตามความจริง ธรรมกับกิเลสมันก็จ้อกันเลย ธรรมมองก็มองดูกิเลสนั้นละที่มันเป็นภัยต่อสัตว์ มันก็เห็นตรงนั้นซิ
นี่ละจึงต้องปรับตัวนี้ให้ดี อะไรมีไม่มีให้เข้าใจกัน อย่าไปตื่นกับเขาจนเกินไป ให้ปรับตัวให้ดี มีมาก็รู้ว่ามี ได้มาก็รู้ว่าได้ ได้มากได้น้อยรู้ไว้ เสียไปมากน้อยให้รู้ว่าเสีย ตัวนี้อย่าลืมตัวให้ปรับตัวนี้อยู่เสมอ สิ่งเหล่านั้นจะได้มาเสียไปก็ไม่ค่อยเกิดทุกข์มากนักละ เพราะตัวนี้ปรับตัวอยู่เสมอไม่ให้หลงไปตาม แล้วต่อมายิ่งตัวนี้รอบด้วยแล้วไม่มีทุกข์ หมด มันอยู่ที่ตัวนี้ตัวเดียว เป็นตัวบังคับจิต จึงไม่มีชาติชั้นวรรณะ ว่าคนนี้ชาติชั้นวรรณะนี้แล้วจะไม่มีทุกข์ ไม่มี เป็นทุกข์แบบเดียวกันหมดเลย คือ กิเลสเหนือหมด เหยียบไว้ตลอดเวลา เอาละที่นี่เทศน์พอ ไปภาวนานะ
โยม มีอีกหน่อยครับผม
หลวงตา มีอะไรอีก จะหยุดแล้วไม่หยุดยังไงนี่ มันเหนื่อยแล้ว
โยม อินโดนีเซีย (ถามปัญหาภาวนา) เปลวเทียนมันเปลี่ยนสีไปเรื่อย ๆ
หลวงตา เปลี่ยนสีไปเรื่อย ๆ เอาเท่านั้นแหละ เปลวเทียนเปลี่ยนสีไปเรื่อย ๆ ตามันเหมือนตาลิงมันก็เปลี่ยนละซิ เดี๋ยวเป็นอย่างนั้นเดี๋ยวเป็นอย่างนี้ ตัวเราเหมือนตาลิง เปลี่ยนสีเรื่อย คือตามันพาเปลี่ยน ใจพาเปลี่ยนนะ เอาละเท่านั้นละไม่พูดมากเหนื่อย เมื่อวานทองคำได้ ๖๐ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๑๓๔ ดอลล์เท่านั้น นอกนั้นก็เหมือนเดิมขี้เกียจอ่าน
เรานี้อยากให้บรรดาประชาชนได้อบรมจิตใจตามหลักพุทธศาสนา จะได้เห็นคุณค่าของใจขึ้นไปเป็นลำดับลำดา เวลานี้เราเห็นแต่คุณค่าของสิ่งภายนอกซึ่งมันเหยียบใจเราลงไปตลอดเวลาหาคุณค่าไม่ได้ พอพยุงใจนี้ให้มีคุณค่าขึ้นมามันจะเหยียบสิ่งที่เคยกวนมันลงไป ๆ ความสุขจะค่อยมีขึ้น ๆ พากันจำเอานะ ให้พร
ชมการถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาทุกวัน ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
|