หลวงตาบัวตายนี้ใครอย่ามายุ่ง
วันที่ 1 พฤษภาคม 2546 เวลา 18:50 น.
สถานที่ : กุฏิกลางน้ำ สวนแสงธรรม
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม

เมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖ [ค่ำ]

หลวงตาบัวตายนี้ใครอย่ามายุ่ง

 

        ท่านเอาเทศน์ไปเปิดให้ชาวอุบลฟัง คนมาฟังกันทั้งหมด นับแต่ผู้ว่าฯลงมา มาฟัง เปิดฟังที่วัดนั้นเลยล่ะ คนมาประชุมกันฟังว่าคำพูดนี้เป็นคำพูดของอาจารย์มหาบัว อัดเทปมาจากสวนแสงธรรม จะเปิดให้ฟัง ใครก็มาฟังเต็มหมด เปิดขึ้นจ้าขึ้นเลยเสียง โอ๋ยเสียงเผ็ดเสียงร้อน ไม่ใช่เสียงธรรมดานะ หมุนติ้วๆ เลย คนแน่นวัด เพราะท่านเป็นที่เคารพนับถือของคนทุกชั้นเต็มเหนี่ยว แล้วประกาศให้ทราบเมื่อเปิดเทปฟังจบลงเรียบร้อยแล้วว่า ผู้ใดจะคัดค้านต้านทานอะไรก็ให้คัดค้านต้านทาน ผู้เห็นด้วยก็ให้แสดงออกมาหลังจากการฟังเทปกัณฑ์นี้จบเรียบร้อยแล้ว

         แล้วก็บอกด้วยว่าเทปนี้ใครเป็นคนเทศน์ อัดมาจากไหน ๆ พระก็เป็นพระวัดหนองป่าพงเอง มาฟัง รับจากนี้ไป พอไปเปิดเอาจนกระทั่งจบลงแล้ว ผู้ว่าฯเลยเชียวแหละ ทีนี้ใครเห็นว่ายังไงจบเรียบร้อยลงแล้ว ใครจะคัดค้านต้านทานขึ้นมาด้วยเหตุผลกลไกอะไรก็ให้ค้านได้เต็มเหนี่ยว ผู้ไม่ค้านผู้เห็นด้วยก็ให้เห็นได้ตามอัธยาศัยของทุกๆ คน ที่ท่านพูดมานี้เป็นอาจารย์มหาบัวเป็นคนพูด อัดเทปมาจากนั่น พระเป็นผู้เอามา ยืนยันสักขีพยานกันอย่างเต็มเหนี่ยว เทศน์จบลงแล้วก็ประกาศหาผู้ที่คัดค้านต้านทาน และผู้เห็นดีด้วย

         สุดท้ายเลยเงียบหมดเลย ไม่มีใครคัดค้าน ขึ้นสองยกสามยกก็แบบเดิมเงียบเลย ถ้าเห็นตามท่านนี้แล้วก็ต้องปฏิบัติตามนั้น คือสายโยงยางเอาออกหมดเลย เพราะเราพูดแบบธรรมะล้วน ๆ ไม่ได้เอาโลกเข้ามาเจือปน เรื่องหลักธรรมชาติเอามาพูด นี่เป็นเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ ธาตุขันธ์เวลานี้ไม่ได้เป็นประโยชน์อะไรแม้นิดเดียว นอกจากเป็นภัยมหาภัยมาตลอด ตั้งแต่เริ่มต้นที่ทำอย่างนี้มา ฝืนความจริงมา เอาท่านไว้เพื่ออะไร ไล่เหตุไล่ผลกัน แต่ก่อนเป็นคุณเป็นประโยชน์ร่างกายอันนี้ เวลานี้เป็นโทษมหาโทษ แล้วยังจะเอาไว้ให้เผาท่านตลอดไปเหรอ ไล่เข้าไป ๆ เอาเต็มเหนี่ยวเลย

         สุดท้ายไม่มีใครค้านเลย เปิดให้ฟังสองครั้งสามครั้งเพื่อเอาข้อคัดค้านและความเห็นด้วยจากผู้ฟังมาหลายครั้งหลายหนแล้วอย่างชัดเจน ตกลงก็ไม่มีเลย ไม่มีก็เป็นอันว่ายอมตามนี้แหละนะ ใครก็ไม่ค้านว่าเอาออก ท่านก็ไปของท่านเลย ถ้าไม่งั้นป่านนี้ยังจะระโยงระยางทรมาน โห ตกนรกทั้งเป็นนะ เพราะไม่เกิดประโยชน์ และมีแต่โทษล้วน ๆ ยังจะเอามาไว้จี้กัน เหมือนอย่างไฟจี้ ไฟนี้หุงต้มแกงมันเป็นประโยชน์ เวลามาจี้เรามันเป็นโทษ เราจะยอมให้จี้อยู่เหรอ ตกลงก็ยอมกันหมดเลย ถอนอันนี้ออก ท่านก็ไปเลย

         อาจารย์ชาไม่ใช่พระประเภทที่จะมานอนจมกับสิ่งเหล่านี้ ยังหวงชีวิตจิตใจ ทั้ง ๆ ที่จะไปแล้วไม่ยอมไป อาจารย์ชาไม่ใช่พระประเภทนี้นะ ชี้แจงเหตุผลให้ทราบทุกอย่างเลย ธาตุขันธ์มันเป็นฟืนเป็นไฟ เป็นมหาภัยอย่างยิ่งโดยถ่ายเดียว ไม่มีคุณเจือปนแม้นิดหนึ่งเลยยังจะฝืนทำอยู่เหรอ ซัดกัน เพราะฉะนั้นถึงไม่มีใครค้าน เงียบเลย เพราะเป็นคำพูดของเรา ออกอย่างสด ๆ ร้อน ๆ แล้วท่านก็ไป สบายเลย ก็เรียกว่าเอาไฟออกจากการเผาท่าน เผาไม่ตาย ให้เผาอยู่อย่างงั้น แล้วจะเอาประโยชน์อะไรจากการเผาเหล่านี้ก็ไม่มี มีแต่โทษ ๆ ตลอด มันสมควรแล้วเหรอ

         อยากให้มีชีวิตอยู่ต่อไป ๆ ด้วยวิธีเอาไฟเผากันดิ้นรนกระวนกระวาย จะเป็นจะตาย ไม่ยอมให้ตาย ให้เผากันอยู่นี่เห็นด้วยเหรอ ถ้าเห็นด้วยเอาไฟเผาพวกนี้ลองดูซิ อย่าด่วนตาย จี้อยู่นี่มันจะยอมรับไหม ไม่มีใครยอมรับ ท่านก็เหมือนกัน ซัดกัน เอาออก นี่แหละเรื่องท่านถึงได้ไป เป็นไปจากใครก็เป็นไปจากเรา วิชาแพทย์วิชานั้นก็เป็นวิชาทางแพทย์ทางหมอเขา วิชาทางอรรถทางธรรมก็เป็นวิชาทางอรรถทางธรรม ไปตามเหตุตามผลกลไกทุกอย่าง

         ทางแพทย์เขาก็ทำตามนี้ เขามารักษาก็หน้าที่ของแพทย์ หลักวิชาของแพทย์ยังไงเขาก็ก้าวเดินไปตามของเขา เราก็ไม่ใช่คนตาย ผิด ถูก ดี ชั่ว เราเป็นผู้รับผิดชอบตัวของเราอยู่โดยตรง ควรยังไง ไม่ควรยังไง เราก็ต้องพิจารณากัน มีสองรายนี่แหละ เราไปเจอเององค์หนึ่ง สำหรับอาจารย์ชานั้นเป็นพระมาเล่าให้ฟัง ก็เข้ากันได้กับเราไปเจอเองเพราะเป็นเรื่องอันเดียวกัน อาจารย์คำดีก็มารักษาอยู่ที่กรุงเทพฯนี่ เราก็ไปเยี่ยมท่าน ไปเยี่ยมกำลังถูกเขาฉีดหยูกฉีดยา ร่างกายของท่านดีดปึ๋งปั๊ง ๆ เราไปดู ทั้งอึ๊ทั้งอ๊ะอะไรต่ออะไร

         จากนั้นท่านสีธนเป็นผู้มาดูแลท่าน รักษาท่าน เราก็ไปดูเขาฉีดยา พอดีกับจังหวะที่เราไปถึง เขามาฉีดหยูกฉีดยา ปฏิบัติต่อท่าน และท่านแสดงอาการยังไง ๆ เราก็เห็นชัดเจนนะ นั่นก็อีกอันหนึ่งเหมือนกัน พอเขาฉีดหยูกฉีดยาไปแล้ว พอท่านสงบลงแล้ว ใส่ท่านสีธนเลยเปรี้ยง ๆ แล้วสั่งเสียด้วยนะ นี่รีบเอาท่านกลับไป เอาท่านไว้ทำไม ซัดกันเปรี้ยง ๆ เลย ก็บอกชัด ๆ ว่าท่านไม่ใช่พระประเภทอย่างนี้นะ เรื่องจิตใจของท่านผ่านไปหมดทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว อันนี้เพียงครองธาตุครองขันธ์ มันอยู่ได้ก็อยู่ อยู่ไม่ได้ก็ปล่อยไปตามสภาพของมันเท่านั้น เป็นความถูกต้องดีงามตามอรรถตามธรรม มาฝืนความจริงยังไง แล้วเอาอะไรมาระโยงระยาง ดุเอาจริง ๆ นะ ให้รีบเอาท่านกลับนะ บอกตรงๆ 

         ได้สามวันก็รีบเอากลับ ท่านก็ผ่านไปได้ง่ายนิดเดียว อัฐิของท่านก็กลายเป็นพระธาตุเรียบร้อยแล้ว ดูเหมือนผ่านไปเพียงปีเดียว ไปดูก็เป็นพระธาตุ ไม่เป็นยังไงก็มันรู้เรื่องกันอยู่หมดแล้ว เพราะฉะนั้นถึงได้บังคับท่านสีธนให้รีบเอาท่านกลับไป อย่าให้ท่านมาทรมานอยู่กับสิ่งเหล่านี้ ซึ่งไม่เป็นของจำเป็นอะไรเลย ท่านก็ไปได้เร็ว องค์นี้ไม่ถูกทรมานนานนะ ถ้าเราไม่ไปเจอจะเอาอีกเหมือนกัน พระก็ไม่กล้าจะพูดอะไรกับหมอเขา หมอเขาก็มีหน้าที่ของเขา ตามหลักวิชาของหมอเป็นยังไง เขาก็ต้องดำเนินตามหลักวิชา เราก็ต้องเป็นตุ๊กตาให้เขาทำ แม้มีชีวิตอยู่เคยพูดยังไงก็ไปมอบให้เขาแล้ว เขาจะทำยังไงเขาก็ทำ นั่นแหละเรื่องราว

         ก็ได้พูดกันทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ท่านอาจารย์คำดีหายสงสัยทุกด้านทุกทาง ทางด้านจิตใจ ให้ท่านมาแบกถังขยะที่เป็นฟืนเป็นไฟเผาท่านอยู่ตลอดเวลานี่มันสมควรเหรอ ให้รีบเอากลับ อย่าเอามาไว้ แต่ก็ดีท่านสีธนก็เคารพเรามากแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว พอเราสั่งก็ไม่ฝืนเลย ปุ๊บปั๊บเตรียมเลย ดูเหมือนได้สองหรือสามวันเป็นอย่างช้า ออกมาเลย พอมาถึงอยู่ก็ไม่กี่วันแล้วท่านก็ผ่านของท่านไปเลย

         เรื่องของการเจ็บไข้ได้ป่วยนี้ต่างกันมากนะ นักภาวนา ฟังแต่ว่านักภาวนากับผู้ไม่ได้ภาวนาเลยเข้ากันไม่ได้เลยนะ นักภาวนาคือรู้เหตุรู้ผลทางด้านจิตใจทุกด้านทุกทาง นี่เรียกว่านัก ไม่ใช่สักแต่ว่าภาวนาเฉย ๆ ผู้นี้แลเป็นผู้ที่รู้เรื่องของธาตุของขันธ์ทุกสัดทุกส่วนได้เป็นอย่างดีด้วยอรรถด้วยธรรม ไม่ใช่ด้วยหลักวิชาแพทย์ ยังละเอียดเข้าไปอีก นี่สำหรับเราเองเราพูดตรง ๆ พูดมานานแล้ว พูดถึงเรื่องการเจ็บไข้ได้ป่วยของเรา ถ้าเราไม่ลงใจว่าจะไปเข้าโรงพยาบาลใดก็ตามนะ ห้ามไม่ให้เอาไปเป็นอันขาด อย่าฝืนเป็นอันขาด  ซ้ำเข้าอีกด้วย ให้เป็นเรื่องของเราลงใจทุกอย่าง เราจะปฏิบัติตัวของเราเต็มสัดเต็มส่วน ดังที่เคยปฏิบัติตัวมาแล้วเกี่ยวกับการละกิเลส ฆ่ากิเลส

         ทีนี้เพียงปฏิบัติต่อธาตุต่อขันธ์ล้วน ๆ เท่านั้น ไม่มีกิเลสอะไรเข้ามาเจือปน เราจะปฏิบัติเต็มสัดเต็มส่วนของเรา เราบอกอย่างงี้เลย ไม่มีอะไรภายนอก อย่างเรื่องกิเลสตัณหาที่จะมาแทรกมาซ้อนมารบกวน เราบอกแล้วก็เราไม่มีแล้ว นี่เห็นไหมภาษาธรรม เอาความจริงมาพูดผิดที่ตรงไหน เอาความหลอกลวงต้มตุ๋นกันมาที่มันฟังไม่ได้ โลกมันมีตั้งแต่ภาษาสกปรก มันไม่ได้เอาความจริงพูดกันนะ อย่างพูดตามความสัตย์ความจริงว่าพูดกระโชกกระชาก กระแทกแดกดัน พูดขวานผ่าซาก นั่นไปอย่างงั้นนะกิเลส

         กิเลสต้องนิ่มที่สุด และหลอกเก่งมากที่สุด หวาน คนตายเพราะความหลงของกิเลส ต้มตุ๋นกันล่มจมมีมากไหม เขาเอาความสัตย์ความจริงไปพูดที่ไหน หรือจะไปดุด่าว่าจะมาอาเงินเธอนะ อย่างงั้นอย่างงี้ไม่ว่านะ ฟาดเสียจนคว่ำบ้านคว่ำเรือนเพราะความต้มตุ๋นนิ่มนวลอ่อนหวานหลอกหลอนผู้นั้นจนตายใจ และแหลกไปเลย นั่นเรื่องของกิเลสเป็นนิสัยของมันอย่างนั้น มีแต่การต้มการตุ๋น พูดกันนี้จะหาความสัตย์ความจริงต่อกันไม่ได้นะ มีแต่ความหลอกลวงต้มตุ๋น แม้ที่สุดชายหนุ่มหญิงสาวไปพูดกันมันก็หลอกกันในตัวของมันเอง เป็นอย่างนั้นนะ ไม่ได้เอาความจริงมาพูด

         สำหรับเราเอาภาษาธรรมออกเลย บอกว่าเมื่อเราเจ็บไข้ได้ป่วยจวนตัวเข้ามาเท่าไรแล้ว เพื่อนฝูงหรือใครก็ตามที่จะเอาเราไปโรงพยาบาลนั้นโรงพยาบาลนี้ ต้องเราเป็นคนลงใจเสียก่อนถึงเข้าไปได้ ถ้าเราไม่ลงใจให้ไปห้ามฝืนเราเป็นอันขาด บอกอย่างนั้นเลย เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ลำพังเรา ให้ปฏิบัติตามคำสั่งของเราอย่าฝืน บอกมาเป็นลำดับ ๆ เป็นระยะ ๆ จนกระทั่งมันมากเข้าจริง ๆ แล้ว ถึงขนาดที่จะช่วยตัวเองไม่ได้ในทางธาตุทางขันธ์ ก็บอกว่าใครอย่ามาแตะต้องกายนะ และอย่ามาแตะเป็นอันขาด เราจะปฏิบัติต่อตัวของเราให้เต็มสัดเต็มส่วนของมันในวาระสุดท้าย เกี่ยวกับเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ล้วน ๆ ไม่ได้เกี่ยวกับกิเลสตัณหาประการใด

         นั่นเห็นไหมกล้าหรือไม่กล้าพูด กิเลสไม่มีก็บอกไม่มี เรื่องสลับซับซ้อน เรื่องหลอกลวงต้มตุ๋นอันนี้ไม่มีอะไรเกินกิเลส มันไม่มีแล้วมันจะเอาอะไรมาต้มตุ๋นเรา ก็มีแต่ความสัตย์ความจริง ดูมันตลอดรู้มันตลอดด้วยอรรถด้วยธรรมที่เคยปราบมันมาแล้ว เวลามันหนักเข้าไปห้ามไม่ให้ใครมาแตะต้องกาย และอย่ามาแตะนะ เราจะอยู่ของเราตามสภาพของเรา ท่าใดก็ตาม ถ้าเป็นท่าถนัดของเรานั้นละเป็นท่าที่เหมาะสมของเรา และใครอย่ามาแตะ ให้ต่างองค์ต่างสงบถ้าเป็นพระดูแลเราอยู่ บอกอย่างงั้น อย่ามาแตะ และอย่ามาเตือนคำนั้นคำนี้ มากวนใจเรานะ เตือนใจอย่างนั้นอย่างนี้

         เราไม่ได้อวดเหยียบย่ำทำลายธรรม เราพูดตามหลักความจริง เราพอทุกอย่างแล้วมาเตือนเราหาอะไร พูดให้มันตรง ๆ อย่างนี้ มันพอแล้ว คอยที่จะปัดขันธ์ออกพุ่งเท่านั้นเอง นี่ก็บอกถึงระยะ ๆ จนกระทั่งถึงไม่ให้มาแตะต้องกายก็อย่ามาแตะ ให้อยู่ตามสภาพ เป็นยังไงให้อยู่อย่างงั้นให้ดูเอา ทางนี้ปฏิบัติตัวเองอยู่ตลอด เรื่องเผลอไม่เผลออย่ามาพูด เข้าใจไหมล่ะ จนกระทั่งว่าหมดลมแล้ว ใครจะโยนลงเหวลงตมลงโคลนอะไรก็แล้วแต่ เราปัดแล้วเรื่องความรับผิดชอบทุกอย่าง ปัดกันแล้วตั้งแต่ลมหายใจขาด ใครจะเอาไปไหนก็เอาไปเถอะ

         อย่าเอาไปจำหน่ายขายกินก็แล้วกัน หลวงตาบัวตายแล้วเอาศพหลวงตาบัวหมักดองไว้นั้น เอา คนนั้นมาห้าคนนี้มาสิบอยู่อย่างงั้น ดองไว้กิน กินเลี้ยงกันอยู่งั้นตลอดไม่มีวันจบสิ้น อย่าทำนะ เมื่อเก็บไว้พอเหมาะกับกาลอันควรเท่านั้น เลยนั้นไปไม่ได้นะ แล้วจะเผาจะฝังจะโยนลงเหวลงบ่อก็โยนไปเถอะ เราสลัดหมดแล้ว แต่ที่เราพูดอยู่นี้ก็เกี่ยวกับเรื่องที่จะทำความสกปรกโสมมต่อคนดีทั้งหลายต่อไป ให้เป็นการเสียไปอีก แล้วจำหน่ายขายกิน กินศพครูบาอาจารย์ ตายแล้วกินกันอยู่ตลอด กุสลา ธมฺมา ๆ กินอยู่อย่างงั้นตลอด ไม่ได้หน้าได้หลังอะไร

         พระพุทธเจ้าก็ได้ยินแล้วไปกุสลาท่านที่ตรงไหน สิ้นพระชนม์เพียงเจ็ดวันก็เผาแล้ว ถวายเพลิงหรือเผา บรรดาพระสาวกทั้งหลายส่วนมากในตำราไม่ค่อยเห็นมีว่า พระสาวกองค์นั้นนิพพานอยู่ที่นั่นที่นี่ มีเป็นบางองค์ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง นอกนั้นไม่ค่อยมี ก็เพราะท่านพอตัวของท่านแล้ว ถึงกาลเวลาที่จะทิ้งธาตุทิ้งขันธ์เมื่อไรท่านก็ไปหาที่หลบซ่อนพอเหมาะพอดีแล้วดีดผึง ๆ เลย เพราะท่านพร้อมแล้วทุกอย่าง พอแล้วทุกอย่าง ด้วยอำนาจแห่งการฝึกฝนตนเอง จนไม่มีอะไรบกพร่องแล้ว ท่านตายที่ไหนท่านก็ตายได้สบาย ๆ

         นี่คุณค่าแห่งการอบรม แห่งการฝึกฝนตัวเอง เป็นอย่างนั้นนะ ไม่ใช่แบบการปล่อยเนื้อปล่อยตัว เวลามีชีวิตก็ปล่อยเนื้อปล่อยตัว การทำบาปทำกรรมก็เอาความทะเยอทะยาน ความอยากดีดดิ้นนี้พาไปทำ ๆ ตายแล้วก็จมลงไป ๆ ไม่ได้เรื่องได้ราว ไม่ได้ฝึกฝนอบรมตน เมื่อฝึกฝนอบรมตนแล้วมันพร้อมอยู่ตลอดเวลา ถึงกาลเวลาแล้วที่ควรจะปล่อยปล่อยเอาไว้ทำไม พูดตรงๆ สอนบรรดาลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลาย ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อให้ฟังเอา ภาษาธรรมเป็นอย่างนี้ ความชั่วช้าลามก โลกสงสาร หรือเรื่องราวอะไร ๆ ใครไปหาอะไรมาได้มากได้น้อย เขาพูดสู่กันฟังได้ทั่วโลกดินแดน

         แม้ที่สุดเขาไปเล่นการพนัน ได้เท่าไรวันนี้ เสียเท่าไร ๆ เขายังพูดกันได้ เราหาคุณงามความดีซึ่งเป็นมหามงคลแก่ตัวของเราเองและผู้อื่น พูดเรื่องมหามงคลในการปฏิบัติตัวเองได้มากน้อยเพียงไรออกไม่ได้ มันมีอย่างเหรอ พิจารณาซิ จะให้กิเลสมาปิดปากเย็บปากทั้งหมด พูดความดีนี้พูดไม่ได้ ให้มีแต่เรื่องส้วมเรื่องถานประกาศโฆษณาลั่นโลกกันอยู่ทุกวันนี้ เอาความวิเศษมาจากไหน เอามาอวดกันซิ ผู้ปฏิบัติดีท่านเป็นคนดี ถึงขั้นสุดยอดของธรรม การนำเรื่องความจริงออกมาเพื่อเป็นคติตัวอย่าง แก่ผู้หวังดี หวังอรรถหวังธรรมอยู่ เสียหายตรงไหน ทำไมจึงจะว่าโอ้ว่าอวด ก็กิเลสนั่นเองมันไม่ให้พูด

         ธรรมะท่านก็พูดได้ของท่านล่ะซิ เรื่องกิเลสก็ให้มันอยู่ตามถังขยะ ธรรมะท่านก็พูดของท่านไป พูดไม่ได้พระพุทธเจ้าสอนโลกได้ยังไง สามแดนโลกธาตุใครสอนมากยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า พระสาวกทั้งหลายก็เป็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ไม่ควรเป็นสรณะ ใครจะยอมรับว่าเป็นสรณะ และจะประกาศตนเป็นสรณะได้ยังไง ต้องเป็นของคู่ควรกันทั้งสองฝ่าย ทั้งผู้เป็นสรณะ ทั้งผู้ยอมรับกราบไหว้บูชา ก็มีแต่ของดิบของดีทั้งนั้น ท่านเสียหายที่ตรงไหน ทำไมเอาเรื่องความดิบความดีที่ปฏิบัติมามาพูดเพื่อเป็นคติตัวอย่างแก่กัน ถึงจะเป็นความเสียหาย หาว่าโอ้ว่าอวด เรื่องโอ้อวดใครจะเกินกิเลสวะ ธรรมท่านไม่ได้โอ้อวด

         พูดอย่างนี้ท่านก็พูดตามความจริงต่างหาก ท่านไม่ได้โอ้อวด เรื่องกิเลสจริงไม่จริงโอ้อวด เดินไปนี่ตามถนนหนทางเขียนป้ายติดไว้ตามข้างถนนเต็มไปหมด บ้านหลังนี้ขายเท่านั้น เวลานี้ขายจะหมดแล้ว ยังเหลืออยู่เพียงเท่านั้นหลังเท่านี้หลังเท่านั้นนะ ราคาใครยังแพงอยู่ ราคาใครถูกกว่านี้จะคืนเงินให้ นู่นน่ะหาอวดกัน มีแต่อวดทั้งนั้นนะ ประกาศโฆษณาอวดตั้งแต่สถานที่อวดที่บ้านที่เรือน อยู่ริมคลองริมแคง ริมไหนไม่ใช่คนตาบอดมันก็เห็นทุกคน มาหาอวด นี่กิเลสมันชอบโอ้ชอบอวด

         เวลานี้การโอ้การอวดยกตนโพนตัว ไม่มีอะไรเกินกิเลส กำลังออกหน้าออกตา ธรรมนี้พูดไม่ได้นะ เพราะฉะนั้นโลกนี้มันถึงร้อนเป็นฟืนเป็นไฟ แล้วก็ไม่มีใครกล่าวถึงโทษนี้มาจากอะไร ก็มาจากกิเลสโฆษณาชวนเชื่อหลอกกันให้หลงเป็นบ้าไปตามมัน ถ้าเป็นเรื่องธรรมมันรู้ดีอยู่กับเจ้าของทุกคน ดีชั่วมันก็รู้ ให้มาดูเอาบ้านหลังนี้เป็นยังไง อยู่สถานที่เช่นไรบอกสถานที่ไว้ ปลูกขนาดไหนๆ ให้ไปดูเอา นี้โฆษณาเสียจนเป็นบ้าไปเลย ฟังแล้วจนฟังไม่ได้นะ แหม สกปรกเอามากกิเลส มีแต่เรื่องโฆษณา ยกตนโพนตัวขึ้นตลอดเวลา ที่จะผ่อนลงมา หรือเก็บเนื้อเก็บตัวบ้างไม่มีเวลานี้

         ดูเอาเดินไปตามถนนหนทาง ดูแล้วอ่านแล้ว โอ๊ย มันฟังไม่ได้นะ แหม สมัยทุกวันนี้มันหนาแน่น แล้วเขาเหมือนเรา เราเหมือนเขา ไม่มีใครสะดุดใจนะ ใครก็มีแต่อยากโอ้อยากอวดของตัวเอง ทั้ง ๆ ที่เหมือนขี้ แล้วอวดให้เป็นเหมือนทองคำ มันเป็นได้ยังไง ก็กองขี้วะ มองเห็นก็รู้ว่าเป็นขี้ ทองคำมองมองไปมันก็รู้ว่าเป็นทองคำ จำเป็นอะไรต้องมาโอ้อวดหลอกลวงต้มตุ๋นกัน พระสาวกท่านนิพพานที่ไหนๆ เงียบ ๆ ท่านไม่ได้ประกาศโฆษณา แล้วไม่ค่อยมีในตำรามากนักนะ มีนิด ๆ หน่อย ๆ ไป ทั้ง ๆ ที่พระอรหันต์เหล่านั้นท่านตายไปหมด ท่านนิพพานไปหมด แต่ทำไมจึงไม่เห็นโฆษณาว่าท่านได้ตายที่นั่นที่นี่ ท่านตายง่าย อยู่ที่ไหน ท่านสะดวกสบายที่ไหนท่านตาย

         อย่างพระอัญญาโกณฑัญญะ ที่นำมาแสดงให้ฟังก็เป็นปฐมสาวกของพระพุทธเจ้า พระอัญญาโกณฑัญญะในเบญจวัคคีย์ทั้งห้า เวลาบรรลุธรรมแล้วก็ไปอยู่กับช้างตั้ง ๑๑ ปี เขาเรียกสระฉัททันต์ มีช้างอุปถัมภ์อุปัฏฐาก จนถึงกาลเวลา ธาตุขันธ์มันจะไปไม่รอดแล้วก็มาทูลพระพุทธเจ้า จะลาปรินิพพาน ตายนั่นแหละ อยู่ในป่าในเขาก็จะไปหาแก่นขนุนมาจากไหนมาซักมาย้อม ก็ได้ดินแดงหินแดงอะไรมาฝนลงไป ขยำกันเข้า พอสีจีวรเป็นสีของพระแล้วท่านก็เอา ท่านอยู่ในป่าในเขา เวลาท่านมาครองผ้าสีแดงโร่ มีแต่พวกดินแดงพวกหินแดง พวกเณรก็เป็นเณรตาใสเหมือนตาแมว กำลังคึกคะนองตัวเล็ก ๆ เห็นท่านขึ้นมาก็ขึ้นมานั่งดูท่าน ท่านมาเฝ้าพระพุทธเจ้า

         เวลาท่านลงไปแล้ว ก็เข้ามาทูลถามพระพุทธเจ้า “นี่หลวงตาจากไหน มองดูสีผ้าเหมือนสียักษ์” ว่างั้นเข้าใจไหม มันเคยเห็นยักษ์หรือไม่เคยเห็นก็ไม่ถามถึงกระทั่งโคตรมัน ทางนั้นก็ “ อย่าพูดอย่างนี้” พระพุทธเจ้านะ “พวกเธอทั้งหลายอย่าพูดอย่างนี้ นี่พี่ชายใหญ่ของเธอทั้งหลายรู้ไหม นี่พระอัญญาโกณฑัญญะผู้บรรลุธรรมเป็นองค์แรกของเรา เป็นพี่ชายใหญ่ของเธอทั้งหลาย ถึงกาลเวลาแล้วเธอจะลาไปนิพพาน” พวกนั้นถึงหัวหดตดแตกไปก็ไม่ทราบนะ แต่ท่านไม่จารึกไว้ พอเห็นอย่างงั้นแล้วมันก็ตัวสั่น นี่เป็นพระอัญญาโกณฑัญญะ เรียกว่าปฐมสาวก ท่านก็ไปนิพพานเงียบเลย

         ท่านไม่ยุ่งเหยิงวุ่นวายอะไร ตายที่ไหนท่านก็ตายได้สะดวกสบาย เพราะทุกสิ่งทุกอย่างท่านพอหมดแล้ว เรื่องธาตุเรื่องขันธ์ทิ้งไว้ตามสภาพของสมมุติโดยหลักธรรมชาติของมัน ท่านไม่เสกสรรปั้นยอ ฟาดเอาเสียจน โถ หีบศพ ครั้นเวลาอยู่ดี ๆ ตัวสกปรกยิ่งกว่าหมาขี้เรื้อน ไม่สนใจชำระซักฟอกจิตใจ กาย วาจา ของตนเลย เวลาตายแล้วเอาโลงมาจากไหน อะไรก็ไม่ดิบไม่ดี ต้องไปสั่งโลงศพ ดูเหมือนจะประดับด้วยทองคำก็อาจเป็นได้ เวลาตายแล้วข้างในมันเป็นศพ ดูไม่ได้ ข้างนอกมาประดับประดาตกแต่ง  มันเป็นอย่างนั้นทุกวันนี้

         เพราะฉะนั้น จึงสร้างความยุ่งเหยิงวุ่นวาย และความลุ่มหลงให้มากขึ้นทุกวัน ๆ  มันก็ยิ่งหนาขึ้นทุกวัน ทุกข์ยิ่งมาก ยากอะไรนักหนา ตายแล้วศพเอาขึ้นกองไฟเผาไปเลย มันยากอะไร หลวงตาบัวตายนี้ใครอย่ามายุ่งนะ เราจะตายอย่างสบายของเรา ไม่ให้มีอะไรในโลกอันนี้ สมกับเราสอนโลกมานานเป็นเวลา ๕๐ กว่าปีนี้แล้ว การเสาะแสวงหาคุณงามความดี กิเลสตัวจอมปลอมขนาดไหนได้มัดหัวใจเรามาพอแล้ว ฟาดจนมันหงายแหลกลงไป ๆ จนกระทั่งไม่มีกิเลสตัวใดเหลืออยู่ภายในใจ จ้าอยู่ตลอดเวลา จนกล้าพูดได้อย่างจัง ๆ เลยว่านิพพานเที่ยง คืออะไร ก็คือธรรมชาติที่บริสุทธิ์ล้วน  ๆได้แก่ธรรมธาตุ

         จิตนี้เป็นธรรมธาตุแล้วนี้เท่านั้น เป็นนิพพาน จะไปถามหานิพพานที่ไหน ดินเป็นดิน น้ำเป็นน้ำ ลมเป็นลม ไฟเป็นไฟ ไม่ใช่นิพพาน พระพุทธเจ้าก็ตั้งนี้เป็นนิพพาน จ้าออกไปแล้วก็เป็นมหาวิมุตติมหานิพพาน ถ้าอยู่ในธาตุในขันธ์ก็เรียกว่าจิตบริสุทธิ์ เป็นวิสุทธิจิต พูดได้แค่นี้ ธาตุขันธ์สลายลงไปแล้วก็เป็นมหาวิมุตติมหานิพพาน เป็นมหาวิมุตติไปเลย เหมือนน้ำมหาสมุทรทะเลหลวง จิตของท่านเป็นอย่างนั้น เป็นแบบเดียวกันเลย ดังที่เราเคยพูดให้ฟังแล้ว แล้วท่านจะไปถามหานิพพานที่ไหน ท่านจะถามหาพระพุทธเจ้าและสาวกที่ปรินิพพานก่อนแล้วหาอะไร ก็ธรรมชาติอันนี้มันอันเดียวกัน มันไม่มีก่อนมีหลังกัน

         พอตกลงไปปั๊บเข้าถึงธรรมชาตินั้นแล้วก็เป็นนิพพานอันเดียวกัน เช่นเดียวกับน้ำมหาสมุทรไหลลงมาจากคลองไหน ๆ พอไปถึงมหาสมุทรแล้ว ไม่ได้ว่านี่น้ำเก่าน้ำใหม่ เป็นน้ำมหาสมุทรด้วยกันหมด จิตใจของผู้บริสุทธิ์ก็เหมือนกัน เวลาสร้างบารมีก็เหมือนกับน้ำที่ไหลมาจากคลองต่าง ๆ ผู้ที่สร้างบารมีใกล้เข้ามา ๆ ไหลเข้ามา จะมาหามหาวิมุตติ มหานิพพาน ใกล้เข้ามา ๆ พอถึงนั้นได้แก่บริสุทธิ์เต็มเหนี่ยว ผางเข้าไปเท่านั้นไม่ว่าน้ำเก่าน้ำใหม่ มาจากคลองไหนไม่มี เป็นน้ำมหาสมุทรอันเดียวกันหมด นี่ก็เป็นมหาวิมุตติมหานิพพานอันเดียวกันหมด แล้วไปถามพระพุทธเจ้าที่ตรงไหน

         ฟังให้มันชัดนะ นี่แหละการปฏิบัติมามันรู้อย่างนี้เห็นอย่างนี้ จึงอาจหาญชาญชัย ใครจะว่าอะไรก็ว่า ประสาถังขยะเหยียบไปเลย ไม่ได้สนใจว่านั้นสูง นี้ต่ำ อันนั้นน่าเกรงขาม อันนี้น่ากลัว ไม่มีในหัวใจดวงนี้ เพราะมันเลิศเลอเหยียบไปหมดแล้ว เลิศเลอไปหมดแล้ว ไม่มีอะไรที่จะเทียบเท่า ดังที่ท่านหล้าพูดในภูจ้อก้อก็มากระเทือนใจเรา ท่านบอกว่านิพพานไม่ใช่ผู้รู้ ผางขึ้นนี่เลย คือนิพพานเป็นจุดจดจ่อของคนที่มีกิเลสทั้งหลาย ไปคิดว่านิพพานเป็นอย่างงั้น ๆ แต่ธรรมชาติที่แท้จริงนั้นท่านบอกว่านิพพานไม่ใช่ผู้รู้ ธรรมชาติที่รู้ของนิพพานนั้นน่ะ ไม่มีอะไรจะคาดจะหมายจะประมาณได้เลย นี่เข้าถึงปึ๊งเลย อันนั้นละอันแท้ อันนี้ไม่ใช่ เข้ากันปึ๋ง

         นี่ท่านก็ตายไปแล้ว ที่เขาเขียนไว้ เรามันก็รู้อยู่แล้ว แต่มันไม่มีอะไรเป็นสักขีพยาน พอนั่นขึ้นปั๊บรับกันปึ๋ง อ๋อ นั่นเห็นไหมค้านกันได้ที่ตรงไหนล่ะ นี่เราพูดถึงเรื่องการเจ็บไข้ได้ป่วยมา นี้เป็นอย่างนั้น ไม่ให้มายุ่งเลย เราปฏิบัติต่อตัวของเรา นี่เกิดอุบัติเหตุหลีกรถมอเตอร์ไซค์ เหตุที่จะตกคลองไม่ใช่อะไร รถมอเตอร์ไซค์สะเปะสะปะเข้ามา บทเวลามันจะเป็น ทางนี้ก็กว้างๆ ไม่ใช่แคบ ๆ นะ กว้างแสนกว้างไม่มีรถผ่านมา มันก็มาสะเปะสะปะ มาทางนู้นเราก็ไปทางนี้ก็ถูก เขาก็มาทางนู้น บทเวลามันจะเป็น สะเปะสะปะเข้ามาเลย หลบไม่ทัน

         ถ้าไม่หลบตรงไปนี้ก็แหลกเลย เราก็ต้องหลีก หลีกทีนี้มันก็เลยตกคลองลงไป หลีกคนขี่มอเตอร์ไซค์นี่เอง นี่แขนกระดูกแตก มันตกมันกลิ้งลงไป เราก็ดูไปเรื่อย ๆ ไม่ได้พลั้งได้เผลอนี่วะ ดูสภาพของมัน เขาวิทยุไปถึงโทรศัพท์ไปถึงโรงพยาบาล พวกหมอพวกพยาบาลมารอเต็มนี้ รถทางหลวงเป็นสายยาวเหยียดเลย วิทยุถึงกันล่ะซิว่าเราเกิดอุบัติเหตุ เข้าไปจะทำอะไรเอาว่าซิ ขอฉายเอกซเรย์ดู แขนตรงนี้เจ็บตรงนี้แหละ เขาก็ฉายปุ๊บลงไปว่าแขนตรงนี้กระดูกแตก ทำไงล่ะ มันแตกแล้วก็มีแต่ใส่หยูกใส่ยารักษากันไปเท่านั้นแหละ อย่างอื่นอะไรมีไหมล่ะ ไม่มี

         เขาเตรียมห้องหับไว้เรียบร้อยแล้ว คือเขาคิดไว้ร้อยเปอร์เซ็นต์ จะเอาเข้าโรงพยาบาล จนป่านนี้คงยังไม่ได้ออกจะอยู่แช่ในโรงพยาบาล พอเสร็จแล้วมีเท่านี้เหรอ มีเท่านี้ เอาละไปละนะ เอ้า จัดห้องหับ ห้องก็ห้อง เราสบายอยู่นี้เราไม่เห็นมีอะไร มีเท่านี้เราก็รักษาได้ เราก็ลุกจากนี้ มองหน้าหมดเลย ไปเลยเฉย เราทำตามความจริงของเรา เราถนัดในหัวใจของเราอย่างนี้ จนกระทั่งป่านนี้ นี่เขาจะตามไปฉายอีก ฉายอะไรรู้เรื่องแล้วนี่น่ะ หมอก็เลยไม่เข้าไป เข้าไปไม่ระวังไม่ได้นะ เอาอีกหน้าผากแตกเหมือนกันนะ จนกระทั่งป่านนี้ นี่กระดูกมันก็แตก มันก็หาย ไม่หายมันจะตายก็ตายซิ เกิดมามันจะไปไหนมันไม่ตาย เข้าใจไหม มันก็เรียบไปเลย ไม่เห็นมีอะไร ยุ่งอะไรมัน ควรจะรักษาขนาดไหนก็รักษาเท่านั้น จะให้มายุ่งเหยิงวุ่นวายแบบโลก ๆ เขาทำไม่เอา ไม่ได้เด็ดขาดเลย ดีไม่ดีปัดออกหมด เราตายคนเดียวเราดีกว่ามายุ่มย่าม ๆ นั่น

         นี่ละการปฏิบัติธรรม ถ้าลงได้ปฏิบัติตัวเองเป็นลำดับลำดา ความแน่ใจ ความอบอุ่นภายในตัวเอง ความมีหลักมีเกณฑ์ภายในจิตใจนี้จะแสดงขึ้น ๆ ภายในตัวเอง สิ่งทั้งหลายมีสารคุณขนาดไหน จะประมวลมาหมดแล้วก็มาสู่ที่ใจอันเดียว ไม่มีอะไรเป็นสาระ นั่นเวลามันปัดของมัน มีแต่ใจดวงเดียว เวลานี้ใจได้เป็นสาระขนาดไหนมันก็รู้ เป็นสาระขนาดไหน ๆ บำรุงรักษาเข้าไป ซักฟอกเข้าไปเรื่อย ขนาดไหน ๆ รู้เป็นลำดับ จนกระทั่งพุ่งเลยหมด แล้วบำรุงอะไรอีกทีนี้

         ปุญญปาปปหินบุคคล บุญและบาปซึ่งเป็นทางเดิน บุญนี้เป็นทางก้าวเดิน เหมือนบันได ละหมดเมื่อถึงที่แห่งความบริสุทธิ์หลุดพ้นแล้ว ปล่อยสมมุติโดยประการทั้งปวง เพราะบุญก็เป็นสมมุติ บาปเป็นสมมุติ จิตที่หลุดพ้นแล้วไม่ใช่สมมุติ ผ่านผึงเลยไม่ต้องถามใคร รู้ นี่การปฏิบัติปฏิบัติอย่างงั้น ธรรมะพระพุทธเจ้าไม่ใช่ธรรมะของเล่น ๆ เป็นตุ๊กตาเครื่องเล่นของเด็ก เหยียบย่ำไปมา เห็นกิเลสตัณหานี้เป็นทองคำทั้งแท่ง ใครก็เทิดทูน ไปที่ไหนมีแต่คนเทิดทูนส้วมถานนั่นแหละ เต็มไปหมดเลยนะ ส้วมถานคือกิเลสตัณหา เทิดทูนสุดยอด ๆ

         ส่วนอรรถส่วนธรรมที่จะเป็นผลเป็นประโยชน์แก่ตน เพื่อความหลุดพ้นมันไม่ค่อยจะเห็นมี มันถึงดิ้นดีดไปกับกิเลสทั้งหมด เวลาพูดอรรถพูดธรรมสู่กันฟังหัวเราะเยาะเย้ยกัน เห็นไหมกิเลสมันหนาขนาดไหน ประสากองขี้กองมูตรกองคูถ หัวเราะเยาะเย้ยธรรมที่เป็นของเลิศเลอ มันหยาบขนาดไหน มันหนาขนาดไหน มันเลวขนาดไหนกิเลส อยู่ในหัวใจของใครมันก็เลวเหมือนกัน เพราะกิเลสเป็นตัวเหตุให้เลว ถ้าลงนี้สะอาดมากน้อยเพียงไร พระพุทธเจ้านิพพานกี่ปีกี่เดือนก็เหมือนกับน้ำที่ไหลลงสู่มหาสมุทร ไม่ทราบว่าไหลมาแต่ก่อนแต่หลังเป็นแม่น้ำมหาสมุทรอันเดียวกันหมด ว่าน้ำนี้มาแต่เมื่อไร น้ำนั้นมาแต่เมื่อไร ผู้นี้บริสุทธิ์แต่เมื่อไร ๆ ไม่ต้องถามกัน ผางเข้าไปตรงนั้นเป็นอันเดียวกันหมด เหมือนน้ำมหาสมุทรเป็นอันเดียวกัน จิตนี้ไม่ว่าจิตเก่าจิตใหม่ไม่มี พากันเข้าใจหรือยัง

         นี่ละธรรมที่เลิศเลอของพระพุทธเจ้า ถ้าตั้งใจปฏิบัติเห็นเพราะธรรมนี้เป็นสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว เบิกทางเพื่อเข้าสู่จุดหมายปลายทาง แต่สัตว์มันดื้อด้าน มันแฉลบนู้นแฉลบนี้ ทะลึ่งทะลิ่งไปทุกอย่าง ทางเดินเพื่อความราบรื่นมันไม่ยอมไป มันจะไปแต่ทางกิเลส ซึ่งเป็นหลุมเป็นบ่อ เป็นขวากเป็นหนาม เพราะงั้นมันถึงได้มีตั้งแต่กองทุกข์แบกกันทั่วโลกทั่วสงสาร ไปที่ไหนมีแต่คนบ่นว่าทุกข์ ๆ จะไม่บ่นยังไงมันก็แบกไปหาทุกข์ มันก็โดนเอา ๆ ผู้แบกไปหาสุขไม่โดน เป็นอย่างงั้นนะ

         วันนี้พูดถึงเรื่องการเจ็บไข้ได้ป่วย นั่นละการปฏิบัติตัวสำหรับผู้ปฏิบัติธรรมง่ายมาก ปฏิบัติโดยหลักธรรมชาติ ไม่ยุ่งเหยิงวุ่นวายอะไรนะ อยู่สบาย ไปสบาย ตายสบายเลย อย่างหลวงปู่มั่นของเรานี่มีหยูกมียาที่ไหนไปยุ่งท่าน ท่านไม่ให้ยุ่ง ท่านบอกตั้งแต่เริ่มป่วย นี่เป็นการป่วยวาระสุดท้ายของเรา ไม่หาย ท่านบอกไว้เลย มีแต่ตายท่าเดียว จะเอายาเทวดามารักษาก็ไม่หาย มีแต่จะตายท่าเดียว แต่มันยังไม่ได้ตายง่าย ๆ นะ โรคทรมาน เขาเรียกโรคคนแก่ ว่างั้น แล้วก็ไปเรื่อย ๆ อย่างว่า ใครจะเอาหยูกเอายามาจากไหน มายุ่งอะไร มันเท่ากับต้นไม้ที่ตายยืนต้น จะให้มันผลิดอกออกใบมาจากที่ไหน ด้วยปุ๋ยด้วยอาหารด้วยน้ำที่มารดมัน มีแต่มันจะล้มลง

         อันนี้จะเอาอะไรมาเยียวยารักษาทำไม ให้มันงอกเงยขึ้นมาไม่มีทาง มันก็รอวันของมัน เวลาของมันเท่านั้นเอง ไปอย่างว่า พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทั้งหลายท่านนิพพานไม่ค่อยมีในตำรามากนัก เพราะท่านตายง่าย ท่านสบาย พอสมควรแก่กาลเวลาแล้วท่านก็ไปหาที่สะดวกสบายแล้ว อยู่ที่นี่เหมาะแล้ว ร่มไม้ร่มนี้ ป่านี้ หรือเขาลูกนี้เหมาะแล้วเท่านั้นเอง ดีดผึงไปเลย ๆ จิตที่พอตัวแล้วไม่หวังพึ่งอะไร ไม่งั้นจะว่าจิตเป็นเอกหรือ หาพึ่งอันนั้นพึ่งอันนี้อยู่เรียกว่าเอกได้ยังไง เอกมันเอกในหัวใจ ไม่พึ่งอะไรเท่านั้นเอง ถึงกาลเวลาแล้วก็ดีดผึงไปเลย

         ทุกวันนี้ก็มีพระที่ตั้งใจปฏิบัติเพื่ออรรถเพื่อธรรม ส่วนมากจะมีอยู่ในป่านะ ในป่าในเขามีอยู่ทั่ว ๆ ไป แต่ก็ดีอยู่อันหนึ่งที่มีเทป ท่านก็ฟังเทปกลางค่ำกลางคืน ท่านจะเปิดฟัง แล้วนั่งภาวนาฟัง เช่นอย่างวัดถ้ำภูวัวนี้ เทปมีแต่เทปของเราเป็นส่วนมาก พอตกค่ำมานี้ท่านจะมารวมกันเอง เปิดเทปแล้วต่างองค์ต่างนั่งภาวนาฟัง อย่างน้อยวันละม้วน พอจบแล้วใครอยากไปก็ไป ไม่อยากไปจะนั่งภาวนาต่อก็ได้ เป็นประจำ ๆ เมื่อจิตได้รับการอบรม หรือบำรุงรักษาอยู่ทำไมจะไม่เจริญ ก็รักษาอยู่ตลอดเวลามันก็ต้องเจริญ ๆ แสดงความแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นมาภายในใจ จนกระทั่งหลุดพ้นได้

         ที่ไม่ปฏิบัติตาม เฉยอยู่ไม่สนใจอะไรเลย แบกคัมภีร์มาจนหลังหักก็ไม่เกิดประโยชน์ เพราะคัมภีร์มีแต่ชื่อบาปชื่อบุญ ชื่อกิเลสตัณหา ชื่ออรรถชื่อธรรม ไม่ใช่อรรถธรรม ไม่ใช่กิเลสตัณหาจริง ๆ กิเลสตัณหา อรรถธรรมจริง ๆ อยู่ที่ใจ ท่านจึงสอนจากคัมภีร์เข้ามาสู่ใจ ให้มาแก้ใจด้วยภาคปฏิบัติ ท่านจึงเรียกว่าปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ เรียนมาแล้วแผนที่บอกมายังไงจี้เข้ามาตรงนี้ เอามาปฏิบัติตรงนี้ แก้ไขยังไงแก้ตรงนี้ ก็ปรากฏเป็นรูปเป็นร่าง เป็นความสงบเย็นใจ เป็นสมาธิ เป็นขั้น ๆ ขึ้นมา จนกระทั่งเป็นปัญญา จากนั้นก็ฟาดปัญญาถึงวิมุตติหลุดพ้น

         นี่ละการปฏิบัติ ปฏิเวธคือความรู้ในผลของตนที่ปฏิบัติมา วันนี้จิตสงบดี อ๋อรู้ว่าสงบ วันนี้จิตไม่ค่อยสงบก็รู้ เพราะเหตุผลกลไกอะไรจิตจึงไม่สงบ มันก็ตามต้อนหาเหตุผล วันนี้เพราะได้กระทบกับอารมณ์อะไรจิตมันถึงเป็นอย่างนี้ พยายามแก้ไขดัดแปลง แล้วก็ก้าวเดินไปเรื่อย ๆ มันก็ถึงจุดที่หมายได้ แต่นี้ไม่ได้สนใจอะไร วันหนึ่ง ๆ จนกระทั่งหลับมีแต่ว้าวุ่นขุ่นมัวกับเรื่องกิเลสตัณหา เรื่องส้วมเรื่องถาน อยากเอางั้น จะเอาอย่างนี้ จะให้ได้อย่างนั้น จะให้ได้อย่างนี้ แซงหน้าแซงหลัง ชิงดีชิงเด่น มันไม่มีอะไรดี เด่นก็เด่นแบบกองทุกข์ ชิงดีมันก็มีแต่ชิงเลว ถ้าชิงนอกจากอรรถจากธรรมไปแล้ว เรื่องของกิเลสมีแต่ชิงเลวทั้งนั้น แล้วกองทุกข์ ถ้าชิงด้วยอรรถด้วยธรรม ไปเท่าไรยิ่งดี ๆ ยิ่งเด่น เรียกว่าชิงดีชิงเด่น ให้พากันตั้งใจปฏิบัตินะ

         เราอยู่กับพุทธศาสนา กอดคัมภีร์อยู่เฉย ๆ ไม่เกิดประโยชน์ โอ้ จิตใจยิ่งหนาขึ้นมาๆ มีตั้งแต่ความจำ จำได้ ใครเรียนอะไรมันก็จำได้ จำชื่อเฉย ๆ ชื่อบาป ชื่อบุญ ชื่อกิเลส ชื่อตัณหา ชื่อนรก สวรรค์ นิพพาน จำได้ทั้งนั้น แต่สิ่งเหล่านั้นหากมีแต่ชื่อ ตัวจริง ๆ มาอยู่ที่ใจของเรา ผู้ที่จะรับรู้รับเห็นสิ่งต่างๆ  จากการปฏิบัติของเรา ถ้าไม่มีปฏิบัติเรียนจนตายมันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรล่ะ ดังที่ท่านแสดงไว้ว่า โปฐิละๆ ๆ ใบลานเปล่า เรียนเปล่า ๆ หัวโล้นเปล่า ตายเปล่า ๆ ย้ำลงไปอย่างงั้นซิ ถ้ามีแต่การศึกษาเล่าเรียนไม่มีภาคปฏิบัติผลจะพึงได้รับไม่มี ถ้ามีภาคปฏิบัติมีหวัง

         พอมานั่งปุ๊บปั๊บ ๆ ท่านทั้งหลายฟังเอานะ วันนี้ก็พูดเริ่มมาตั้งแต่นั้น ให้พากันไปเทียบเคียง เราหลอกเรากี่หนวันหนึ่งๆ  กิเลสหลอกเรา ว่าจะทำความดิบความดีมันก็มาหลอกเสีย แล้วไม่รู้นะ เพราะเราอ่อนแต้มกว่ามันอยู่ตลอดเวลา ว่าจะทำความดีอะไรมันแทรกเข้ามาแล้ว แล้วไม่รู้ อยู่ธรรมดาคุยกัน โม้กันเป็นบ้า จนหมดน้ำลายก็ไม่เห็นว่าเป็นความลำบากลำบน หมดเวล่ำเวลาอะไร พอความคิดแย็บไปทางไหว้พระสวดมนต์ จะนั่งภาวนา โอ๊ย เหนื่อยมาก มาแล้วนะ วันนี้ดึกแล้ว เอาวันหลัง วันไหนไม่ดึกล่ะ ก็ตัวนี้ตัวดึกอยู่แล้ว มันจะเอาวันไหนมาวัน ๆ ตายทิ้งเปล่า ๆ กับความที่ว่ามันดึกแล้ว เอาละพอ

         วันที่ ๑ พฤษภา รวมทั้งวันดอลลาร์ได้ ๒๗,๖๖๙ ดอลล์ ทองคำได้ ๖ กิโล ๑๗ บาท ๘๔ สตางค์ ดอลลาร์ที่ได้รับบริจาคหลังจากมอบแล้วเป็นจำนวน ๑๓๑,๒๐๔ ดอลล์ ทองคำที่รับบริจาคหลังจากมอบแล้วได้ ๕๙ กิโล ๑๔ บาท ๓๑ สตางค์ เกือบถึง ๖๐ กิโล หวุดหวิดไป

        วันที่ ๔ ออกเดินทางไปเทศน์ร้อยเอ็ด วัดท่านศรี ท่านก็มีลูกศิษย์ลูกหามาก ท่านประกาศบอกบรรดาลูกศิษย์ลูกหาเรื่องมาทำบุญทอดผ้าป่าในวันเกิดของท่าน วันที่ ๔ พฤษภา เราไปวันที่ ๔ พอฉันเสร็จแล้วก็ออกเดินทางไป ตอนบ่ายก็เทศน์ ค้างที่นั่นคืนหนึ่ง วันที่ ๕ ก็ออกเดินทางกลับมา (อายุมากเท่าไรครับอาจารย์ศรี) แต่ท่านรู้สึกว่าทุพพลภาพ อายุอ่อนกว่าเรา แต่ร่างกายท่านไม่สมบูรณ์นะ ทุพพลภาพ ไปไหนมาไหนลำพังตัวเองได้เหรอ ดูเหมือนไม่ได้ ไปก็ไปสะเปะสะปะไปอย่างงั้น ในวัดในวา ที่จะให้ออกไปเที่ยวไกล ๆ นี้ไม่ได้นะ

         ท่านเคยอยู่หนองผือกับหลวงปู่มั่นด้วยกัน จำได้แต่ว่าเคยจำพรรษาอยู่หนองผือ แต่พอครูบาอาจารย์มรณภาพจากไป หลวงปู่มั่นมรณภาพ ลูกศิษย์ลูกหาแตกกระสานซ่านเซ็นกันไปหมดนะ โอ๊ย กว่าจะเกาะกันติดนี่หลายปี สามปีสี่ปี ตอนนั้นตอนได้เห็นโทษของการจากไปของครูบาอาจารย์ คือหลวงปู่มั่น พอท่านมรณภาพแตกกระจัดกระจาย หาเกาะครูบาอาจารย์ องค์นั้นก็อยู่นี้ เข้านี้ องค์นั้นไปนี้ ไม่ทราบจะองค์ไหน ต่อองค์ไหน เกาะไม่ติด ๆ ท่านล่วงไปแล้ว เราย้ายมาจำพรรษาหนองผือก็ปี ๒๔๙๓ นั้นแหละ

         ทีแรกว่าจะไปจำพรรษาที่ถ้ำอำเภอวาริชภูมิ เพราะเคยไปแล้ว ไปก็ว่าจะไปตั้งกึ๊กตรงนั้นเลย เพราะจวนเข้าพรรษาแล้ว ลงจากวัดดอยธรรมเจดีย์ เดือน ๖ แรม ๑๕ ค่ำพอดี มาอยู่วัดสุทธาวาสสองคืน เที่ยวไปล่ะที่นี่ ไปเรื่อยไปตามป่าตามเขา ออกวาริชภูมิเพราะตั้งใจจำพรรษาที่นั่น เดินไปค่อนข้างตรงไป แต่มันไปตามป่าตามเขา พอไปถึงนั้นแล้วอยู่สองสามคืน เขามาเล่าสภาพหนองผือให้ฟังกระเทือนใจอย่างหนัก เพราะบ้านนี้เป็นบ้านที่เป็นคุณมาก บรรดาพ่อแม่ครูอาจารย์มีชีวิตอยู่นี่พระเณรเหลืองอร่ามเต็มวัด เขาเลี้ยงดูได้หมด ทั้ง ๆ ที่ไม่มีตลาดร้านค้าอะไรเลยนะ เขาขวนขวายหามาด้วยกำลังของเขาเองหลายปี ๕ ปี ๖ ปี ที่หนองผือ ที่พระมาก ๆ นะ

         พอท่านมรณภาพไป พระเณรก็ต่างคนต่างแตกกระจัดกระจาย วัดหนองผือประหนึ่งว่าวัดร้างนะ เผาศพท่านแล้วก็ขึ้นหลังวัดดอยธรรมเจดีย์ ๑๐๐ วันเขาก็ไปนิมนต์ลงมางานศพท่าน ก็เพราะความเคารพเราก็ลงมา พอมาแล้วก็เตลิดไปอำเภอบ้านผือ ท่าบ่อ ศรีเชียงใหม่ แต่ก่อนอำเภอศรีเชียงใหม่นี้ไม่มี มีแต่อำเภอท่าบ่อ อำเภอบ้านผือ เข้าในป่าในเขาไปองค์เดียว เข้าไปในภูเขาก่อนนะ ออกมาก็มาอยู่ตีนเขา จนมาเจอเอาโรคอันนี้แหละ จากนั้นก็เดินทางกลับมา เลยไปวัดดอยธรรมเจดีย์อีก เรื่องราวเป็นอย่างงั้น ห่างกันไปสามเดือนล่ะมั้ง

         ลงจากวัดดอยนั้นก็ไปวาริชภูมิ ไม่จำพรรษาที่นั่น ต้องกลับมาจำพรรษาหนองผือ ออกหนองผือแล้วไปห้วยทราย อยู่ห้วยทรายไปเจอกับแม่ชีแก้วนั้นแหละ นั้นก็จะเป็นจะตาย ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นนะแม่ชีแก้ว ภาวนานี่ โถ ของง่ายเมื่อไร จึงไม่ลงใครง่าย ๆ เวลาเราไปถึงทีแรก ความรู้ของแกพิสดารมากจริง ๆ และไม่ผิดเสียด้วยนะ เวลาหลวงปู่มั่นป่วยนี่แกรู้แล้วนะ แกอยู่ห้วยทราย หลวงปู่มั่นอยู่หนองผือ เดินทางสามคืนสี่คืนกว่าจะไปถึง เพราะไม่มีรถมีรา ท่านเริ่มป่วยอยู่ที่หนองผือ แกรู้อยู่ทางห้วยทราย ป่วยหนักเท่าไรแกยิ่งรู้เร่งที่จะมาเยี่ยม ทอผ้าไหมจะมาถวายบังสุกุลท่าน แต่ไม่ทันท่านเสีย แกร้องไห้ในคืนนั้นนะ เห็นไหมล่ะ

         คือแกเร่งให้เขาทอ “ญาท่าน หลวงปู่มั่นป่วยหนักมาแล้ว จะไม่ทันนะ” ไม่มีใครมาบอกข่าวนะ ไม่มี ให้เร่ง ๆ ทางนี้ก็เร่ง ทางนั้นก็มาเตือนทุกคืน หลวงปู่มั่นมา “นี่พ่อจวนแล้วนะ” คือแต่ก่อนแม่ชีแก้วเคยเป็นลูกของท่าน ท่านจึงบอกว่านี่พอจวนแล้วนะ ให้รีบไปนะ มาทุกคืน เร่งทุกคืน จวนวันท่านมรณภาพนี้บอกนี่ถ้าช้ากว่านี้ไปจะไปเห็นแต่กระดูกของพ่อนะ บอกอย่างงั้นเลย พออีกคืนสองคืนพอดีล่วง ท่านเสียแล้ว มาอีกแล้ว “ไปดูเสียดูกระดูก นี่พ่อไปแล้วนะ ให้ไปดูเสียดูกระดูกพ่อ พ่อไปแล้วนะ” พอออกจากภาวนาแกก็ร้องไห้เลยเชียว พอสว่างออกมานี้ร้องไห้ พวกแม่ชีแม่ขาวรุมมาหา “คุณแม่เป็นอะไร ”  “จะเป็นอะไรหลวงปู่มั่นเสียแล้วเมื่อคืน” ถึงขนาดนั้นนะ บางคนเขาว่าเป็นบ้า ทุกคนว่าไป แกไม่ได้สนใจเลย ร้องไห้ นี่เสียแล้วเมื่อคืน โอ๊ย หมดท่า ๆ เลย

         พอ ๗ โมงเช้า แต่การคมนาคมมันไม่ได้สะดวกทั้งนั้นแหละ เขามีวิทยุที่อำเภอคำชะอี หลานชายแกไปอำเภอคำชะอี เขาประกาศตอน ๗ โมงเช้าวันนั้นแหละ ว่าหลวงปู่มั่นได้เสียแล้วเวลาเท่านั้น ๆ พอหลานชายแกได้ยินชัดเจนแล้ววิ่งตั้งแต่นู้นเลย จนกระทั่งมาถึงห้วยทราย วิ่งเข้าสำนักแม่ชีเลย แกเล่าให้ฟัง ทางนั้นกำลังสนทนากันอยู่ แกก็มีร้องไห้อยู่นะ ๗ โมงเช้าว่า เขาวิ่งเลยนะ ไม่ธรรมดานะเหมือนวิ่งรถ มาก็มาเล่าให้ฟัง พวกนี้ โอ๋ย ตาตื่นกันไปหมด ร้องไห้หมดวัด ทีแรกมีแต่ร้องไห้แต่แกคนเดียว แล้วหาว่าแกเป็นบ้า บทเวลาเขามาเล่าให้ฟังตามความสัตย์ความจริง เลยร้องไห้กันทั้งวัด เป็นบ้ากันทั้งวัด นั่นแหละเรื่องของแกเป็นอย่างงั้นนะ  

         อย่างที่เราไปนี่ถึงกาลเวลาที่จะพูดเราก็พูด ก่อนเวลาเราจะไปนี้แกก็รู้ไว้แล้ว อย่างงั้นนะ แกรู้ไว้เรียบร้อยแล้ว พอถึงปีที่เราจะไป แกก็ออกประกาศให้สำนักของแกฟัง “อาจารย์ของพวกเราจะมาแล้วนะ ปีนี้จะมาที่นี่” ฟังซิน่ะ ใครไปบอกเมื่อไร เราก็ไม่เคยเห็นหน้าของแกเลย แล้วแกก็ไม่เคยเห็นหน้าเรา แต่ยังไงแกจึงกล้าพูด “อาจารย์ของเราจะมาที่นี่ ปีนี้จะมีพระมากนะแถวนี้” บอกตรง ๆ เห็นไหมล่ะความรู้ของแก “มองดูนี้เหมือนดาวบนฟ้า” เวลาแกแยกเป็นนิมิตออกให้เห็น “เหมือนดาวบนฟ้า เหาะมาบนฟ้า ดวงใหญ่ ๆ อย่างนี้ก็มี ดวงเล็กดวงน้อยสว่างไสวมาบนฟ้า มาตกลงที่ห้วยทราย แล้วกระจัดกระจายไปแถวนั้น ๆ รอบ ปีนี้พระจะมาก คล้าย ๆ กับปีหลวงปู่มั่นมาจำพรรษาที่นี่”

         พอเล่าให้ฟังใครก็ทราบ ทราบแล้วทีนี้มีใครเขามาวัดนั้นสำนักแม่ชี เขาก็มาดู แล้วแกก็มาดู ๆ แกก็บอกไม่ใช่เรื่อย จนถึงวาระก็ในแล้งนั้น หลวงพ่อบัวก็ไปนะ หลวงพ่อบัวหนองแซงก็ไป เราก็มาถึงพอดี พอเรามานี่ซิมันสำคัญ พอมาถึงเท่านั้น มันพูดไม่ถูกเลย กับที่พิจารณานี่ทำไมมันจึงตรงกันเป๋งเอานักหนา เหมือนได้พบได้เห็นสนิทสนมกันมาทั้งๆ ที่ไม่เคยเห็นหน้ากัน พูดไม่ถูก ทั้งปวดหนัก ทั้งปวดเบา ทั้งกลัว ทั้งกล้า อะไรอยู่ในนั้นหมด ว่างั้นนะ ทั้งปวดหนักปวดเบาเป็นขึ้นในเวลานั้นเลย พอกลับออกไป “อาจารย์องค์นี้ใช่ไหม” พวกแม่ชีทั้งหลายก็ถาม “องค์นี้แหละ” ชี้นิ้วเลย “องค์นี้แหละ แน่ไม่มีสงสัยเลย แต่ท่านสอนเราหรือไม่สอนคอยพิจารณาไปก็แล้วกันนะ แต่องค์นี้ แน่แล้วไม่เป็นอื่นแล้ว ท่านจะสอนเราหรือไม่สอนก็ไม่รู้”

         เราพักอยู่บนเขากับเณรหนึ่งบนเขา ให้พระอยู่ข้างล่าง เวลาแกไปเขายกขบวน ตอนบ่ายสี่โมงก็ไป พอเริ่มหกโมงเย็นเขาก็ลงมา เพราะบ้านอยู่ตรงนี้ แล้ววัดพระอยู่ทางด้านตะวันตก สำนักเขาอยู่ด้านตะวันออก บ้านอยู่ตรงกลาง เขาก็เดินตัดทุ่งนาขึ้นเขาเลย พูดถึงเรื่องภาวนา เรื่องหลวงปู่มั่นอะไรๆ ให้ฟัง เวลาจะไปหลวงปู่มั่นท่านห้ามไม่ให้ภาวนา เราก็สะดุดกึ๊กเลยนะจุดนี้ ท่านห้ามไม่ให้ภาวนา แล้วท่านพูดทิ้งท้ายตอนท่านจะจากไป  “นี่ถ้าหากว่าเป็นผู้ชาย จะบวชเป็นเณรให้เรียบร้อยจะเอาไปด้วย แต่นี่เป็นผู้หญิงมันลำบาก เอาล่ะทิ้งไว้นี่แหละ อยากเป็นบ้ากับโลกกับสงสารเขาก็แล้วแต่เถอะ”

         นั่นหมายถึงว่า จะมีครอบครัวเหย้าเรือนตามประเพณีของโลกก็แล้วแต่  ความหมายก็ว่าอย่างงั้น ท่านพูดอย่างงั้น “ต่อไปจะมีผู้มาสอนอยู่นั่นแหละ” จับคำนั้นเอาไว้ แล้วแกก็มีครอบครัวอย่างว่า จากนั้นมันทนต่อการอยากบวชไม่ไหว อยากภาวนาไม่ไหว ทั้ง ๆ ที่ท่านห้ามไม่ให้ภาวนา ทนไม่ไหว คือท่านห้ามเลยไม่ให้ภาวนา เราก็จับอันนี้เอาไว้ เวลาแกเล่าให้ฟังเรื่องความรู้ของแก อ๋อ ก็เราจับเอาไว้แล้ว มันต้องมีจุดสำคัญที่พ่อแม่ครูอาจารย์ห้ามไม่ให้ภาวนา จิตใจต้องผาดโผน เวลาแกแย็บออกมาแกมาเล่า มันก็เข้าจุดนั้น อ๋อใช่แล้วมันจุดนี้แหละ

         ทีนี้เวลาแกเล่าให้ฟังเราก็ค่อยตีตะล่อมเข้ามา ยังไม่ทันผาดโผนว่างั้นเถอะ ค่อยตีเข้ามา คือเวลาแกภาวนานี้จิตนี้พิสดารมาก โอ๋ย ผาดโผนโจนทะยาน ไปเที่ยวรู้หมด เทวดา อินทร์ พรหม พวกเปรต พวกผี พวกอะไรนี้ละเอียดลออมากนะ เราก็เป็นแต่เพียงฟัง ต่อไปเราก็บอกค่อยตีตะล่อมเข้ามา แกก็ยังไม่อยากฟังเสียงเราแหละ คือแกเพลินความรู้ของแก เพลินไปเรื่อย เราตีเข้ามาแกก็ยังไม่ฟัง จากนั้นเด็ดเข้ามาเรื่อย ถึงขั้นสุดท้ายก็ เอา ให้อยู่โดยถ่ายเดียว แต่ก่อนให้ออกก็ได้ไม่ให้ออกก็ได้ได้ไหม ไปปฏิบัติดู ก็มีแต่ออก ให้อยู่กับที่ไม่อยู่ พอรวมปั๊บนี่ออกรู้ เราก็บอกให้ออกรู้ก็ได้ ไม่ให้ออกรู้ก็ได้ ได้ไหมไปทดลองดู แล้วมีแต่ออกรู้ ต่อไปไม่ให้ออก ไล่เข้ามา จนกระทั่งบังคับไม่ให้ออกเด็ดขาด มันจะดิ้นขนาดไหนให้มันดิ้น ห้ามไม่ให้ออก

         คราวนี้เด็ดเข้าแล้วนะ จวนครั้งสุดท้ายแล้วเด็ด บังคับเลยอย่าให้ออก เอาให้ได้ คือวันพระเขาขึ้นไปตอนวันพระ ยกขบวนกันไปหมดสำนักเขา วันพระบ่ายสี่โมงเขาก็ไปถึง จวนหกโมงเขาก็ลงมา ทีนี้วันสุดท้ายบอกอย่างเด็ด ครั้นเวลาขึ้นไปหา “เป็นยังไงล่ะได้ไหม ไม่ให้ออกเลย” “ยังไม่ได้อยู่” ทีนี้เอาหนักเลยคราวนี้ ไล่ลงภูเขาเลยเชียว บอก “สถานที่นี่ไม่มีบัณฑิตนักปราชญ์ มีแต่คนโง่เง่าเต่าตุ่น ใครฉลาดแหลมคมเป็นจอมปราชญ์ให้ลงไปเดี๋ยวนี้ อย่ามาอยู่ที่นี่” ไล่ลง ร้องไห้ลงภูเขา ถึงขั้นเด็ดต้องเด็ด ไม่เด็ดไม่ได้ แกก็ร้องไห้ เราก็เฉย น้ำตานี้ไม่เห็นเกิดประโยชน์อะไร ธรรมต่างหากมีประโยชน์ ที่เราสอนเป็นประโยชน์ขนาดไหน แกไม่ฟังเสียง แกเห็นว่าน้ำตาดีกว่าก็ตามเรื่องของแก ไล่ลงไปก็ร้องไห้ลงไป เราก็เฉย

         นี่ละพอถึงหมัดเด็ดแล้ว หมดที่พึ่งแล้วทีนี้ มีแต่หมดที่พึ่ง เรารู้มาตั้งแต่นู้น ก็ว่าองค์นี้จะเป็นอาจารย์ของเราฝากเป็นฝากตายได้ ครั้นมาแล้วก็ถูกท่านไล่ลงภูเขา เราหมดที่พึ่ง หมดที่พึ่ง ทีนี้มันก็ได้ปัญญาเวลาจนตรอกจนมุม หมดที่พึ่งเพราะอะไร ท่านดุท่านด่า ท่านไล่ ท่านไล่เพราะเหตุผลกลไกอะไร นี่เวลาแกย้อน ก็เพราะเราไม่ฟังเสียงท่าน  แน่ะ ก็ถือว่าท่านเป็นครูเป็นอาจารย์ เราทำไมไม่ฟังเสียงท่าน การไม่ฟังเสียงท่านก็เป็นความผิด ที่ท่านไล่ลงภูเขาเหมาะแล้ว นั่นเห็นไหมล่ะ

         เอาทีนี้ปฏิบัติตามท่าน ถ้าหากถือท่านเป็นครูเป็นอาจารย์แล้ว เอา ปฏิบัติตามท่าน ท่านบังคับยังไง เอา ปฏิบัติตามนั้น อย่างนั้นเรารู้มาพอแล้ว อันนี้เรายังไม่รู้ที่ท่านสอน เอาลองจุดนี้ จิตก็เลยปล่อยเลย ปล่อยความรู้ทั้งหลายที่เคยรู้เคยเห็น พอลงทีนี้บังคับเลย บังคับผางนี่ก็ลง นี่จ้าขึ้นมาเลย พอลงจ้า ออกจากที่แล้วกราบไปที่ภูเขาที่เราอยู่ พอตอนบ่ายสี่โมง ห่างจากกันสี่วัน วันที่เราไล่ลงภูเขานับไปอีกสี่วันแกขึ้นไปอีก พอมันเป็นขึ้นมานี้ทีนี้แกได้หลักได้เกณฑ์ตามที่เราสอนแล้วแกก็ขึ้นไป พอโผล่ขึ้นไป เรากำลังปัดกวาดบ่ายสี่โมงกับเณร “ขึ้นมาอะไรพวกบัณฑิตใหญ่นี่น่ะ นักปราชญ์ใหญ่” “เดี๋ยว ๆ ให้พูดเสียก่อน”

         ตกลงเราเลยได้นั่งที่นั่น ไม้กวาดก็เลยวางที่นั่น เณรก็เลยมานั่งด้วยกัน เขาก็ขึ้นมาที่นั่น เป็นลานอยู่หน่อย ก็เลยมาเล่าภาวนาให้ฟัง เป็นอย่างนั้น ๆ ถูกต้องแล้วทีนี้ จากนั้นเราก็เลยสอนต่อไปเลย ตั้งแต่นั้น โอ๋ย ลงแบบราบเลย เห็นไหมล่ะ นั่นเวลามันดื้อมันดื้อขนาดนั้นนะ ที่ว่าความรู้ความเห็นมันไม่ใช่เล่น ๆ นะ มันติดติดอย่างนั้น อย่างที่เราฟัดกับพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นก็แบบเดียวกัน เราเคยฟัดมาแล้วกับพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น ทีนี้แกก็มาฟัดกับเรา ไล่ร้องไห้ลงภูเขา ตั้งแต่นั้นมาหมอบราบเลย สอนยังไงได้ยังไง มันก็เร็วซิทีนี้ ผึง ๆ ๆ แกจึงผ่านพ้นไป

         เราไปอยู่ที่นั่น ปี ๒๔๙๔   ๒๔๙๓ จำ(พรรษา)หนองผือ ๒๔๙๔-๒๔๙๗ จำห้วยทราย ๒๔๙๕ แกก็ผ่านได้ ตั้งแต่บัดนั้นมา อยู่สองปีแกก็ผ่าน ก็เร็วอยู่ เพราะฉะนั้น ความรู้ของแกจึงพิสดารมากทีเดียว อย่างเราไปไหนมาไหนนี่ไม่ต้องบอกเลย แกบอกเลยวันนี้ท่านอาจารย์ไปแล้วนะ คือนิสัยของเราก็อย่างนั้น คือจะไหนไปเลยไม่ได้บอกใคร อยากมาก็มาอยากไปก็ไป แต่แกรู้ วันนี้ท่านไม่อยู่แล้วนะ ถ้าไม่เชื่อไปดูซิ ไปดูไปแล้วจริง ๆ ทีนี้เวลาจะมาเอาอีกนะ แบบเดียวกันอีก นี่จวนจะถึงแล้วนะ พอมาถึงวัดปั๊บ เราเข้าวัดอยู่ทางด้านตะวันตก แกไม่รู้นี่ เรามาจากทางภูเขาเข้าทางนั้นปั๊บ ไปไหนมาไหนเราก็ไม่เคยไปเข้าบ้านชี ไม่ทราบว่านานสักเท่าไรถึงจะไปด้วยความจำเป็นสักหนหนึ่งเท่านั้น ไม่เคยไปนะ

         เวลาเรามาจากภูเขา ไปที่ไหนมาพอมาถึงแล้ว มาถึงแล้วนะ ให้เตรียมหมากพลู และหุงข้าวเจ้าหม้อขนาดนี้หม้อหนึ่ง แล้วก็มีหมากพลูมาตอนเช้า เราก็ถาม “หมากพลูก็ดี ข้าวนี่ก็ดีหุงทุกวันหรือ” “ไม่ได้หุงทุกวัน” “แล้วหมากพลูนี่ล่ะ” “หมากพลูก็ไม่ได้ทำทุกวัน”  “แล้ววันนี้มาทำไม” “คุณแม่สั่ง” “สั่งเพราะเหตุไร” “บอกว่าท่านอาจารย์มาถึงแล้ว” เราก็ฟังเฉย ๆ ทีนี้ตลอดไปเลยนะ ไปอยู่นั้น ๔ ปี ไปนั้นมานี้ แกรู้เองทั้งนั้น แกเก่งขนาดนั้น มาถึงแล้วก็บอก เราไปไหน ไปดูแล้วไม่มีจะพลาดแหละ ถูกต้องตลอด ๆ แล้วไม่เคยถามใคร เก่งไหมล่ะพิจารณาซิ

         วันนี้พูดอย่างนี้เรื่องภาวนา ตามจริตนิสัยแกผาดโผน ครูบาอาจารย์แกไม่ได้ลงง่าย ๆ แหละ คิดดูกับเราแกยังต่อสู้ จนได้ไล่ลงจากภูเขา ร้องไห้ จากนั้นมาจึงได้เอากันอีกจึงลง อันนี้เข้ากันได้แล้วกับที่ว่าอาจารย์องค์นี้แลที่จะสอนเรา และคอยดูเสียก่อนท่านจะสอนหรือไม่สอน คอยสังเกต ทีนี้แน่ใจแล้ว เมื่อแน่ใจแล้วจนน้ำตาร่วงแล้วถึงแน่ใจ ร้องไห้แล้วค่อยแน่ใจ อัฐิของแกเป็นพระธาตุเรียบร้อยแล้ว โอ๊ย พิสดารมาก เป็นหลายชนิดมาก หลายอย่าง แกเป็นพระธาตุเรียบร้อยแล้ว

         ต่อไปนี้ก็จะให้ศีลให้พร การเล่าเรื่องภาวนาให้รู้สาระสำคัญของการภาวนา เข้าใจไหมล่ะ จิตใจอยู่เฉย ๆ ไม่มีธรรมเข้าหล่อเลี้ยงมันไม่มีอะไรเป็นของแปลกนะ เขาเหมือนเราเราเหมือนเขาทั่วโลกดินแดน แล้วก็เห็นอันนั้นดีอันนี้ดี ยุ่งไปข้างนอก ตัวเจ้าของเป็นบ๋อยเขา ไม่รู้ว่าตัวเป็นตัวนะ ต่อเมื่อธรรมได้เข้าแทรก ๆ เห็นความเด่นขึ้น ๆ ทีนี้อันนี้มันมีค่าขึ้นเอง อันนั้นก็เลยค่อยเสื่อมค่าเสื่อมราคาลง เข้ามาอยู่จุดนี้ ๆ ปรากฏมากเท่าไรยิ่งเด่นมาก สิ่งเหล่านั้นยิ่งอ่อนลง ๆ แต่ก่อนเป็นเทวดาของเรา เห็นอะไรดีหมด เป็นเทวดาของเราได้หมด คืออันนี้มันเป็นน้อยกว่าเขา ไปถือเขาว่าดี เจ้าของหมดคุณค่าหมดราคาเพราะไม่ได้อบรม

         พออบรมอันนี้ขึ้นมา ความมืดมัวทั้งหลายซึ่งเป็นกิเลสตัณหาเทียบกันกับส้วมกับถานมันพอกอยู่นี้ค่อยกระจายออกๆ ทีนี้ค่อยฉายแสงออกมา มันก็ค่อยเห็นชัด แล้วสิ่งเหล่านั้นมันก็ค่อยอ่อนลง ทางนี้ค่อยเด่นขึ้น ต่อไปก็เด่นเรื่อย ๆ สิ่งเหล่านี้จืดจางเข้ามา จืดจางเข้ามา อันนี้เข้มข้นเข้าเรื่อย ๆ นั่น การภาวนาเป็นอย่างงั้นนะ เพราะฉะนั้นจึงสอนให้พากันภาวนา นี้หลักพุทธศาสนาที่แท้จริงอยู่กับภาวนานะ ไม่ได้อยู่ที่ไหน รากแก้วคือภาวนา แก่นของศาสนาก็คือภาวนา ให้พากันจำไว้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยภาวนา พระสาวกที่เป็นสรณะของพวกเราบรรลุธรรมด้วยภาวนา ตลอดครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่ปรากฏชื่อลือนามมาจนกระทั่งทุกวันนี้ มีหลวงปู่มั่นเป็นต้น มีแต่ออกจากภาวนาทั้งนั้น จำเอานะ ทีนี้จะให้พร

       

ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาทุกวัน ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก