เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม
เมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๖ [ค่ำ]
กิเลสสร้างเหตุการณ์ ธรรมแก้เหตุการณ์
แน่นแล้วยังไม่ถึงไหน เวลาไล่ลงทุ่งอยุธยาก็แน่น ไล่ลงมหาสมุทรก็แน่น กว้างที่ไหนมันก็แน่น ๆ คน ไล่เข้าใส่ตุ่มใส่ไหมันจะเป็นยังไง มันจะแน่นไหม มันพิลึกจริง ๆ นะ อยู่ที่ไหนมันก็แน่นๆ ตลอดเวลา อย่างวันนี้ก็เหมือนกัน จากวัดอโศฯ มาแวะที่ปากน้ำ ถนนที่หน้าบ้านงานเขาเลยปิดตายเลย รถเข้าไม่ได้ คนแน่นหมด อยู่ที่ไหนก็แน่น ๆ ไล่ลงทะเลกว้าง ๆ มันก็ยังแน่น หมดทางไล่แล้วจะว่ายังไง ไล่เข้าตุ่มมันจะเป็นยังไง มันจะแน่นไหมวะ ไล่เข้าตุ่มฝาปิดเลย ไฟจ่อเข้าไปจะเป็นยังไง ดีไม่ดีตุ่มแตกเลย ระเบิดเลย มันกลัวตายซิ
มนุษย์เรานี้ก็ว่ามาก มาเพียงเท่านี้ก็ว่ามาก เทวดาเต็มท้องฟ้ามหาสมุทรไม่เห็นว่ามาก ไม่ยุ่ง มนุษย์เรานี่ยุ่ง เทวดา อินทร์ พรหม มาเต็มหมดไม่เห็นยุ่ง แต่มันก็หลับตาปฏิเสธว่าเทวดา อินทร์ พรหม ไม่มีพวกตาบอด เป็นอย่างนั้นนะ นี่เรียกว่ากิเลส คือกิเลสต้องลบล้างธรรมตลอด ไม่ว่าจะเป็นกิเลสชนิดใดออกมา เพราะกิเลสเป็นสกุลลบล้างธรรม ทีนี้ธรรมก็ลบล้างกิเลสเหมือนกัน ต่างฝ่ายต่างลบล้างกัน ตัวสกปรกคือกิเลส ที่สะอาดคือธรรม ชะล้างกันเรื่อย ๆ ถ้ามีแต่กิเลสก็หมดความหมายเลยสัตว์โลก ถ้ามีแต่ธรรมล้วน ๆ เป็นนิพพานเลย แน่ะ สัตว์โลกก็ไม่มี
ทีนี้สัตว์โลกมันก็มีของมันอย่างงี้ ให้พอดีกันว่างั้น คือให้มีคู่ต่อสู้กัน มีแต่อันเดียวไม่มีคู่ต่อสู้ก็ไม่เหมาะ ต้องมีคู่ต่อสู้ เหมือนหมากัดกัน เห่าแว้ ๆ แล้วกัดกัน อยู่อย่างงั้นถูกต้อง ไม่ได้เห่าได้กัดกันอยู่ไม่ได้ สัตว์โลกที่มีกิเลสย่อมอวดดีทั้ง ๆ ที่ชั่ว ไม่อยากให้ว่าชั่ว ให้ว่าดี ถ้าใครไปตำหนิไม่ได้ นั่นแหละกัดกันตรงนั้นนะ ธรรมท่านไม่มี ถ้าธรรมแท้ ธรรมล้วนๆ แล้วหมดเรื่องเลย หมดโดยประการทั้งปวง ไม่มีเลย จึงว่าบรมสุข ที่ท่านให้ชื่อว่าบรมสุข คำว่าบรมสุขนั้นเราก็คาดอีก ทีนี้เลยนั้นไปอีกน่ะซี คาดไม่ได้เลย คือเลยสมมุติที่จะคาดไปหมดแล้ว
เวลามีขันธ์อยู่ก็คาดอยู่เฉพาะตัวเองกับสิ่งสมมุติทั้งหลาย พอพรากจากขันธ์แล้วก็เรียบไปเลย สมมุติไม่มีเลย ขึ้นชื่อว่าสมมุติเรียกว่าหมดโดยสิ้นเชิง ในแดนแห่งธรรมธาตุ หรือนิพพาน การพูดเหล่านี้กิเลสมันก็กีดกันทันที ว่าสุดเอื้อมหมดหวัง คำว่าสุดเอื้อมหมดหวังก็คือกิเลสกันทางแล้ว ไม่ให้มีความอุตส่าห์พยายาม ถ้าว่ามีหวัง หวังมากเท่าไรก็ยิ่งพุ่ง นั่นพ้น พอว่าสุดเอื้อมหมดหวังอ่อนเปียก ตายกองกันอยู่กับกิเลส เป็นอย่างงั้นนะ คือมีคู่ต่อสู้ มันเห็นชัดๆ จริงๆ ก็คือผู้ปฏิบัติจะฆ่ากิเลสจริงๆ จะไม่มีกิเลสอยู่ที่ไหนเลย จะอยู่ที่นี่หมด แล้วธรรมก็อยู่ที่นี่หมด นอกนั้นไม่มีความหมายเลย เพราะไม่ว่าเขาเป็นสุขเป็นทุกข์ มีอยู่ที่หัวใจที่มีกิเลสทำให้เป็นทุกข์ ที่มีธรรมทำให้เป็นสุขนี้เท่านั้น
พอกิเลสเบาลงไปความทุกข์ก็ค่อยเบาลง เพราะกิเลสเป็นตัวสร้างทุกข์ สร้างตลอดในหัวใจสัตว์โลก เป็นอัตโนมัติมาตั้งกัปตั้งกัลป์แต่กาลไหนๆ กิเลสจะสร้างผลประโยชน์ของมันบนหัวใจสัตว์ สัตว์เป็นผู้รับเคราะห์รับกรรมจากการสร้างผลประโยชน์ของกิเลส มันเป็นอัตโนมัติของมัน แต่ก่อนเราก็ไม่เคยคิดนะ ว่ากิเลสเป็นอัตโนมัติหรือธรรมเป็นอัตโนมัติก็ไม่เคยคิด นี่เห็นไหมล่ะเวลามันเจอเข้าแล้ว มันรู้ไม่ให้พูดได้ยังไง พูดจัง ๆ อย่างนี้ สด ๆ ร้อน ๆ ธรรมพระพุทธเจ้า กิเลสก็บอกว่าสุดเอื้อมหมดหวัง จืดชืดไปหมดแล้ว มรรค ผล นิพพานไม่มี คือกิเลสปิดทาง ๆ ให้หมดความหวังทุกสิ่งทุกอย่าง อ่อนเปียก ๆ นี่กิเลสตีลง ๆ ให้อ่อนเปียก ไม่ให้มีแก่ใจที่จะอุตส่าห์พยายามกระหยิ่มยิ้มย่องในความดีของตัวเอง และเพื่อความพ้นทุกข์ กิเลสดึงไว้ ๆ ให้สุดเอื้อมหมดหวัง
นี่ละมันอยู่ในใจ ทั้งๆ ที่ผู้หวังอรรถหวังธรรมอยู่เต็มหัวใจ เวลากิเลสมันหนามันก็ฟัดกันเต็มหัวใจเหมือนกัน ทำให้อ่อนเปียกไปเหมือนกัน มันของเล่นเมื่อไรกิเลส มันอยู่ที่ใจ อย่าพากันไปคิดว่ากิเลสอยู่นอกฟ้าแดนดินที่ไหน ไม่มี ธรรมก็ไม่มี ใจเป็นผู้สัมผัสดวงเดียวเท่านี้ที่สัมผัสกิเลสกับธรรม นอกนั้นต้นไม้ภูเขาเขาไม่มีความหมายอะไรในเขา กิเลสนี่ตัวสร้างความหมาย สร้างเหตุการณ์ต่าง ๆ ธรรมก็แก้เหตุการณ์ ต่างคนต่างสร้างด้วยกัน พอพูดถึงเรื่องอรรถเรื่องธรรมนี้กิเลสจะตีเข้ามา กันเข้ามาให้สุดเอื้อมหมดหวัง ว่ามรรค ว่าผล ว่าบุญว่ากุศล ความหลุดพ้นจากทุกข์ มรรค ผล นิพพาน นี้เป็นความสุดเอื้อมหมดหวัง สุดท้ายก็ลงไม่เชื่อ นี่คือกิเลสมันปิดตันแบบไม่เชื่อเลย นี่เรียกว่าตายเลยไปไม่ได้ คนนี้ไปไม่ได้ กิเลสปิดตายจนกระทั่งไปไม่ได้ แล้วก็อยู่กับกิเลสอย่างมีหวังว่างั้นเถอะ จะไปมรรค ผล นิพพาน หมดหวังไม่มีหวังแล้ว อยู่กับกิเลสมีหวังจะจมอยู่นี้ตลอดไป ไม่หวังก็จม อยู่กับกิเลสจมตลอดเลย
เดี๋ยวนี้เป็นอย่างงั้น พูดถึงเรื่องบุญ เรื่องกุศล มรรค ผล นิพพาน จืดชืดไปหมด หัวใจกิเลสแทรกเข้าเต็มไปหมด มันไม่ให้แย็บ ๆ ออกมาทางด้านอรรถด้านธรรมเลย นี่คือความหนาของกิเลสปิดทางเดินของเรา ให้พากันเข้าใจทุกคนนะ นี้เปิดให้ฟังอย่างเต็มหัวใจ มันรู้จริง ๆ ใครจะมาว่าอะไรมันไม่สนใจกับใคร ประสาถังขยะว่างั้นเลย เหยียบหัวมันไปเลย ธรรมเลิศกว่าถังขยะ มาสนใจกับถังขยะอะไร กลัวเขาจะติฉินนินทาหาว่าโอ้ว่าอวดอย่างงั้นอย่างงี้ ก็เรื่องถังขยะมันก็ว่าของมันอย่างงั้น มันจะเอาดีมาส่งเสริมธรรมไม่มี มีแต่เหยียบธรรมเรื่องของกิเลส ธรรมก็เหยียบหัวกิเลสไปล่ะซิ
อย่างที่พูดตะกี้นี้ แต่ก่อนเราไม่เคยคิดเลยว่ากิเลสทำงานบนหัวใจสัตว์โดยอัตโนมัติของมันมาตั้งกัปตั้งกัลป์ แล้วไม่มีต้นมีปลายนะ เงื่อนต้นเงื่อนปลายของกิเลสไม่มี หมุนเหมือนมดไต่ขอบด้ง หมุนสูงหมุนต่ำเป็นอัตโนมัติ หมุนในหัวใจสัตว์ ให้คิด ให้ปรุง ให้อยากนั้นอยากนี้ อยากรู้ อยากเห็น อยากอะไร มันเป็นแต่ความอยากทั้งนั้น ดีดออกให้คิดให้ปรุง มีแต่ความอยากผลักดันออกมาๆ ความหิวโหย ไม่มีหัวใจใดสะดวกสบายได้เลย ถ้ามีกิเลสมากน้อยเพียงไรความหิวโหยจะเต็มหัวใจ หาความสุขไม่ได้นะ
เราไม่เคยคิดแต่ก่อน ที่ว่ากิเลสมันสร้างตัวของมันโดยอัตโนมัติบนหัวใจสัตว์ เราไม่เคยคิด ทีนี้เวลาเราปฏิบัติธรรมเข้าไป ธรรมเราก็ไม่เคยคิดอีก เช่นเดียวกันกับกิเลสสร้างตัวมันโดยอัตโนมัติ ธรรมแก้กิเลสก็แก้อัตโนมัติเหมือนกัน นี่ก็มืดมิดแปดด้านเหมือนกัน ไม่เคยคิด เวลาปฏิบัติเข้าไปมันเป็น นั่นเห็นไหมล่ะ ไปถามใครล่ะ เวลากิเลสมันหนาก็ซัดกัน ก็เคยพูดแล้ว จนถึงขนาดน้ำตาร่วงบนภูเขา ออกถึงกูถึงมึงเทียวนะ ออกอยู่ในจิตใจ ไม่ได้ออกเป็นคำพูดแหละ อยู่ในป่าในเขาคนเดียวฟัดกับกิเลส คือตั้งใจอย่างเต็มที่เลยจะเอากับกิเลสให้เต็มเหนี่ยว ขึ้นไปยังไม่ได้ยกครู กิเลสเตะหงายหมาลงไป หงายหมาหงายไม่เป็นท่า หงายแมวมันตบได้ หงายหมาไม่มีทางตบ มีแต่ร้องแง ๆ ซัดเอาหงายหมาลงไป
ตั้งสติปั๊บล้มผล็อย ๆ ตั้งพับล้ม ตั้งเพื่อล้มไม่ได้ตั้งเพื่ออยู่ นี่พลังของกิเลสมันหนาแน่นขนาดนี้ เห็นประจักษ์เวลามันหนา เอามาพูดตอนที่มันหนา ๆ ทั้งๆ ที่เราตั้งใจจะฟัดกับมัน ทีนี้เวลามันหนามันก็เหมือนเราสู้เสือด้วยกำปั้น เสือมันแพรวพราว เล็บมันเป็นอาวุธ เขี้ยวมันเป็นอาวุธ ลวดลายทุกอย่างมันเป็นอาวุธทั้งหมด เรามีแต่กำปั้น สู้เสือด้วยกำปั้น เป็นยังไงสู้เสือด้วยกำปั้น วาดภาพมันก็รู้เอง นี่แหละมวยเรามีแต่กำปั้น มวยกิเลสมันมวยเสือ มันฟาดเอาหงายหมาลง ๆ แหม น้ำตาร่วง เราไม่ลืมนะ มันฝังลึกจริง ๆ ถึงขนาดโอ้โหขึ้นเลย มึงเอากูขนาดนี้เทียวหนา ก็ตั้งหน้าจะมาฟัดกับมัน ไม่เป็นท่าอะไรเลย มันเอาหงายหมา ๆ หงายแบบไม่เป็นท่าตลอด ขึ้นอุทาน
แต่มันดีอันหนึ่ง ขึ้นอุทานว่า โถ มึงเอากูขนาดนี้เทียวเหรอ เอาละ นี่ที่แก้กันนะ ยังไงมึงต้องพังวันหนึ่ง ให้กูถอยกูไม่ถอย เคียดแค้นขนาดนั้น จึงว่าเคียดแค้นเราอย่าเข้าใจว่า การเคียดแค้นเป็นกิเลสไปทุกแบบทุกอย่าง ไม่นะ เคียดแค้นทางกิเลสเคียดให้ผู้ใดอยากฟัน อยากฆ่า อยากดุ อยากด่า นั่นเรียกว่าเป็นกิเลส แต่เคียดแค้นให้กิเลสตัวเป็นฟืนเป็นไฟ ตัวเป็นพิษเป็นภัยต่อเรานี้ เคียดแค้นจะฆ่ามันนี้เป็นความเคียดแค้นที่เป็นมรรค เป็นธรรม แก้ได้ เอาความเคียดแค้นนี่แหละมาผูกก่อกรรมก่อเวรกับกิเลส อันนี้ไม่มีภัย
ถ้าก่อกรรมก่อเวรกับคนอื่นไม่ได้นะ เป็นกรรมเป็นเวรต่อกัน ดังท่านแสดงไว้ในธรรมว่า น หิ เวเรน เวรานิ สมฺมนÚตีธ กุทาจนํ ตลอดกาลไหน ๆ เวรย่อมไม่ระงับเพราะความก่อกรรมก่อเวรต่อกัน อเวเรน จ สมฺมนÚติ แต่เวรย่อมระงับเพราะการไม่ก่อกรรมก่อเวรต่อกัน เป็นพุทธพจน์ โลกเขาก่อกรรมก่อเวรกัน เป็นกรรมเป็นเวรต่อกันเป็นลูกโซ่เลย ทีนี้ทางนี้ก่อกรรมก่อเวรกับลูกโซ่คือกับกิเลส ฟาดมัน ก่อกรรมกัน เคียดแค้นเท่าไรความเพียรยิ่งหนัก มุมานะยิ่งหนัก ซัดกันลง ๆ เคียดแค้นให้กิเลสนี้เป็นธรรม เอาไม่ถอย เพราะความเคียดแค้นมันฝังลึก มุมานะความอุตส่าห์พยายามที่จะซัดกับกิเลสให้มันพังวันหนึ่งจนได้ มันมุมานะมันก็ดีดของมันเต็มเหนี่ยว เพราะความเคียดแค้นให้กิเลสในหัวใจเรา
ทีนี้ต่อไป ๆ มันก็มีทาง นั่นเห็นไหม มันไม่ได้ชนะเราตลอดไป เมื่อเราสู้ไม่ถอยก็มีทางแก้หลบหลีกปลีกได้ ชนะกันได้เป็นครั้งคราว ก็จับเหตุจับผล จับเป็นพยานได้ แล้วจับอุบายวิธีการที่สู้มันได้เพราะเหตุผลกลไกอะไรเข้ามาแนบติดกับใจ ซัดเข้าไป มันก็ค่อยจาง อุทานก็มีเท่านั้น นอกนั้นไม่ได้อุทานอีก เพราะเคียดแค้นพอแล้ว กลับคืนไปนี้มีแต่สู้กันตลอดๆ จนได้ชัยชนะไปเป็นลำดับลำดา สรุปความเลยนะทีนี้เพื่อไม่ให้เสียเวล่ำเวลา นี่กำลังของความพากเพียร ความมุมานะ ความเคียดแค้นให้กิเลส จะเอาให้กิเลสพัง ไม่หยุดไม่ถอยภายในจิตใจ หมุนติ้วตลอดเวลา มันก็ค่อยได้เข้าไปโดยลำดับๆ
จนกระทั่งจิตตั้งเนื้อตั้งตัวได้ นี่ขึ้นแล้วนะ จิตที่เคยว้าวุ่นขุ่นมัวจนไม่เป็นตัวของตัว อย่างนี้ก็ตั้งตัวได้ ตั้งตัวได้ ขึ้นเป็นลำดับ ต่อไปจิตก็เป็นสมาธิแน่นหนามั่นคงขึ้น ก็ยิ่งมีทุนมีรอนค้าหวังกำไรต่อไปเรื่อย ๆ ได้ หนักเข้า ๆ สมาธิก็เต็มภูมิ นี่เห็นไหมความมุมานะ สมาธิที่ตั้งไม่อยู่แต่ก่อน ล้มผล็อย ๆ ตั้งกึ๊กนี้อยู่เลย แน่นหนามั่นคงปึ๋ง ๆ ทั้งวันทั้งคืน อยู่ไหนอยู่ได้หมดที่นี่เมื่อจิตเป็นสมาธิ จิตไม่วอกแวกคลอนแคลน ความแน่นหนามั่นคงอยู่กับจิตกับธรรมเท่านั้น สงบแน่วได้ทั้งวัน เห็นไหมที่นี่ แต่ก่อนมันล้มผล็อย ๆ อันนี้สงบได้ทั้งวัน นี่ผลแห่งความเคียดแค้นให้กิเลส มันก็ยิ่งหนักมือเข้า
จนกระทั่งออกทางด้านปัญญา ปัญญายิ่งพิสดารมากในตำรับตำรา เราก็เรียน โอ๋ย อย่าไปคาดเลย ความคิดในตำรับตำรามีน้อยนิดเดียว ท่านแสดงไว้เท่าที่จำเป็นๆ แต่ความคิดสติปัญญาที่ออกจากภาคปฏิบัติแตกแขนงไม่มีหยุดมีถอย เหมือนไฟได้เชื้อ เชื้อไฟอยู่ที่ไหนไฟจะลุกลามตามไปหมด ความจริงมีอยู่ที่ไหนความรู้คือธรรมจะติดตามรู้เห็นไปตามลำดับลำดา ที่เปรียบเหมือนไฟ ความจริงมีอยู่ทั่วแดนโลกธาตุ ความรู้นี้ก็ครอบโลกธาตุ เมื่อถึงกาลจะครอบ เมื่อยังไม่ครอบมันมีที่ไหนมันก็ติดตามรู้ตามเห็นไปเรื่อย ๆ ๆ
ที่นี่ธรรมตั้งตัวได้แล้ว ตั้งได้ตั้งแต่สมาธิ อยู่ได้ทั้งวันอยู่ไหนอยู่ได้ นั่งที่ไหนเป็นสมาธิ ไม่กังวลวุ่นวายกับอะไรเลย จากนั้นก็ออกทางด้านปัญญา ปัญญานี่แก้กิเลส ตั้งแต่ก่อนสมาธินี่เป็นหินทับหญ้า ตีตะล่อมกิเลสเข้ามาสู่ความสงบ แล้วก็อยู่ด้วยสมาธิ สบาย แค่นั้นก็ว่าดี พอออกด้านปัญญาเบิกกว้างออก ๆ ทีนี้ฆ่ากิเลสละที่นี่ พิจารณาแยกธาตุแยกขันธ์ แยกอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อสุภะ อสุภัง ป่าช้าผีดิบผีสดทั้งโลกนอกโลกในตลอดทั่วถึงอยู่อย่างนั้น เหมือนเขาคราดไร่คราดนา คราดกลับไปกลับมา พิจารณาย้อนหน้าย้อนหลัง จิตก็เบิกกว้างออก ๆ กิเลสที่หลบซ่อนอยู่ในเหล่านั้นมันก็เห็นไป ๆ แก้ออกไปเรื่อยๆ
พอปัญญาก้าวเดินแล้ว นั่นละเริ่มแล้วที่นี่ เริ่มหมุนตัวแล้ว ความพากเพียรที่เราเคยเพียรไม่มี เวลามันหมุนตัวเข้ามาก ๆ ได้รั้งเอาไว้ มันจะเลยเถิด ความเพียรกล้าเกินไป ไม่รู้จักหลับจักนอน กลางวี่กลางวันกลางคืนไม่สนใจนอน มีแต่หมุนติ้วฆ่ากิเลสไปเรื่อยๆ เพราะความฆ่ากิเลสมันเพลิน เพลินยิ่งกว่าขั้นสมาธิเป็นไหนๆ เพราะฉะนั้นมันถึงย้อนเข้ามาตำหนิสมาธิ เหอ ความสุขในสมาธินี้มันเหมือนหมูขึ้นเขียง ปัญญาต่างหากแก้กิเลส สมาธิไม่ได้แก้กิเลส มันย้อนมารู้เอง ปัญญาเบิกกว้างเท่าไรก็ยิ่งเพลินตัวเรื่อย ๆ แก้ถอดถอนเป็นลำดับลำดา รู้ประจักษ์ ๆ ๆ ในจิตใจ
จากนั้นสติปัญญาก็หมุนตัวเป็นอัตโนมัติไปเลย ถอยไม่ได้ เป็นอัตโนมัติแล้วที่นี่ แก้กิเลสเป็นอัตโนมัติ ไม่ต้องบังคับให้แก้ หากเป็นอัตโนมัติของสติปัญญาขั้นนี้หมุนตัวไปเอง กิเลสอยู่ที่ตรงไหน ๆ เหมือนไฟได้เชื้อ กิเลสเท่ากับเชื้อไฟ ไฟเท่ากับสติปัญญาไหม้เข้าไป เผาเข้าไปเรื่อยๆ ตอนนั้นก็ยังไม่ได้มาคิดอะไรมากนักว่า กิเลสทำงานบนหัวใจสัตว์โดยอัตโนมัติ และการแก้กิเลสก็เป็นอัตโนมัติ ยังไม่ค่อยคิดเวลานั้น จนกระทั่งมันผ่านปึ๋งออกไปหมดโดยสิ้นเชิง กิเลสมุดมอดไปหมด ไม่มีอะไรเหลือภายในใจ เอาฟาดให้เต็มยศ วางเปล่าทั่วแดนโลกธาตุ ไม่มีอะไรเข้ามาขวางจิตใจได้เลย มีแต่ธรรมล้วน ๆ เวิ้งว้าง เราจะว่าเวิ้งว่างอย่างนี้ไม่ได้อีกแหละ เวิ้งว้างของธรรม กับเวิ้งว้างของอากาศมันต่างกัน แต่พอมาเทียบได้ ให้คาดให้คิดไปได้ทั้งนั้น
เมื่อมันหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ไอ้ที่สติปัญญาหมุนตัวเป็นเกลียวในการฆ่ากิเลส หยุดลงโดยสิ้นเชิง ให้มันเห็นอย่างนั้นซิ แต่ก่อนมันหมุนตลอดเวลา จะพาหลับพานอนมันไม่ยอมหลับนอน มันจะเอาเจ้าของให้ตาย เพราะมันด่วนมากที่จะให้หลุดพ้น สติปัญญาขั้นนี้เป็นขั้นที่ด่วนมากที่จะให้หลุดให้พ้นภัยในวัฏสงสาร มันมาเห็นด้วยสติปัญญาขั้นนี้ ภัยที่พันกันมาตั้งกัปตั้งกัลป์แต่ก่อนไม่เห็น พอสติปัญญาขั้นนี้ขึ้นมาแล้วมันเห็น ทางนั้นตามเผามา ทางนี้ก็ผึง ๆ จะดีดให้หลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งหลายที่กิเลสสร้างขึ้นมา ฟาดเอาจนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นลงไป ไม่มีอะไรเหลือเลย
กิเลสเป็นสาเหตุสร้างทุกข์ขึ้นมาดับลงไปโดยสิ้นเชิง ทุกข์ที่เป็นผลของกิเลสภายในจิตใจก็ดับโดยสิ้นเชิงเหมือนกัน ไม่มีอะไรเหลือเลย ทีนี้ใจก็เป็นธรรมล้วน ๆ สติปัญญาที่เป็นอัตโนมัติจนกระทั่งเป็นมหาสติมหาปัญญาหมุนเป็นอัตโนมัติ แล้วยังเชื่อมเข้าไปหามหาสติมหาปัญญา รวดเร็วพูดไม่ถูก มหาสติมหาปัญญาทำงาน แวบ ขาดสะบั้นไปเลย สติปัญญาอัตโนมัติถ้าเป็นยำอันนี้ก็เหมือนมียำมีคลื่นมีอะไร สติปัญญาที่เป็นมหาสติมหาปัญญามันราบไปเลย มันกวาดไปเลย มันเรียบไปเลย มันเร็ว ความรวดเร็วคล่องตัว ละเอียดต่างกันมากทีเดียว
ทั้งสองนี้เมื่อเวลากิเลสสิ้นซากลงไปโดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรเหลือแล้ว ก็ระงับตัวลงไปโดยหลักธรรมชาติ ไม่ได้บีบบังคับให้หยุดงาน ไม่มี ที่หมุนตัวเป็นเกลียวเหมือนหนึ่งว่าจะไม่มีเวลาหยุดเลย มันหมุนเพื่อฆ่ากิเลสต่างหาก เมื่อกิเลสสิ้นซากแล้วมันก็หยุดหมุนเอง สติปัญญาตั้งแต่อัตโนมัติขึ้นไปถึงมหาสติมหาปัญญา สงบเงียบลงไปโดยอัตโนมัติ หมด เหลือแต่ธรรมธาตุล้วน ๆ จ้าครอบโลกธาตุ ไม่มีอะไรเข้าไปเกี่ยวข้องเลย สติปัญญานี้ก็เป็นมรรค เป็นสมมุติ ตั้งแต่สติปัญญาธรรมดาถึงสติปัญญาอัตโนมัติ และมหาสติมหาปัญญาเป็นธรรมเครื่องแก้กิเลสด้วยกันเป็นขั้น ๆ ของกิเลส เป็นขั้น ๆ ของสติปัญญา
พอกิเลสสิ้นซากลงไปโดยสิ้นเชิงแล้ว สติปัญญาเหล่านี้ทั้งหมดลงไปพร้อมกัน ยุติหมด ไม่ต้องบอกต้องกล่าว และไม่ต้องไปปรึกษาหารือจากผู้ใดว่าควรปล่อยหรือไม่ควรปล่อย สติปัญญาประเภทที่หมุนตัวเป็นเกลียวควรหยุดหรือไม่ควรหยุด หรือบังคับให้หยุดไม่มี เป็นหลักธรรมชาติของตัวเอง เมื่อมันเปิดจ้าออกหมดแล้วมันก็เห็นหมด อ๋อ เรื่องกิเลสมันหมุนอยู่ในหัวใจเรา ทีแรกมันยังไม่ได้หมุนออกไปทางโลกนะ เอาตัวของเราก่อน มันหมุนอยู่หัวใจเรานะ นานสักเท่าไรก็ไม่รู้ว่ามันหมุนเป็นอัตโนมัติของมัน สร้างภพสร้างชาติ สร้างกิเลสตัณหาเพิ่มเข้าไปในหัวใจของเราตลอดมาตั้งกัปตั้งกัลป์ พร้อมกับการเสวยความทุกข์ความลำบาก หนักเบามากน้อยตามกิเลสที่สร้างขึ้นมาโดยลำดับจนกระทั่งบัดนี้ นี่มันเป็นอัตโนมัติ นั่นมันรู้นะ มันสร้างของมันเองเป็นอัตโนมัติโดยไม่มีใครทราบเลย
ทีนี้เวลากิเลสได้สิ้นซากลงไปไม่มีอะไรมาสร้างเลย หายเงียบไปหมด สุญฺญโต โลกํ ว่างไปหมด ทุกข์ก็ว่าง สมุทัยคือกิเลสก็ว่าง เพราะสมุทัยเป็นตัวเหตุสร้างทุกข์ขึ้นมา เมื่อสมุทัยเป็นตัวเหตุสร้างทุกข์ขึ้นมาดับลงไปโดยสิ้นเชิงแล้ว ทุกข์ไม่ว่าชนิดไหนดับโดยสิ้นเชิงภายในใจ ทีนี้เรื่องสติปัญญาเครื่องปราบกิเลสนี้ก็สงบตัวลงไปโดยหลักธรรมชาติ ย้อนพิจารณาถึงเรื่องหัวใจตัวเองที่กิเลสทำงานโดยอัตโนมัติ แล้วก็พิจารณาถึงเรื่องอรรถธรรม สร้างขึ้นมาจนกระทั่งถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติเพื่อฆ่ากิเลสเป็นอัตโนมัติเหมือนกัน ๆ หาที่สงสัยไม่ได้ อ๋อ กิเลสสร้างภพสร้างชาติในหัวใจสัตว์มันก็เป็นอัตโนมัติอย่างนี้ตลอดมาเหมือนกัน ธรรมะที่ถอดถอนกิเลสให้สิ้นภพสิ้นชาติสิ้นความทุกข์ทั้งหลายไปก็เป็นอัตโนมัติเหมือนกัน เสมอกัน ให้คะแนนเสมอกัน เป็นอัตโนมัติเหมือนกัน
ทีนี้เวลาฆ่ากิเลสหรือดับกิเลสโดยสิ้นเชิงแล้ว มรรคคือเครื่องแก้กิเลสมันก็ระงับตัวของมันไปเอง ไม่ต้องบีบไม่ต้องบังคับ หยุดโดยประการทั้งปวงโดยอัตโนมัติ มันก็เห็นชัด ๆ อ๋อ ธรรมนี้เวลามีกำลังแก่กล้าแล้วก็เป็นตัวของตัวขึ้นมาเต็มเหนี่ยว แล้วเป็นอัตโนมัติ ฆ่ากิเลสเป็นอัตโนมัติได้ เช่นเดียวกับกิเลสสร้างตัวเองเป็นอัตโนมัติ นั่นถามใครล่ะ มันประจักษ์ขึ้นมา จึงได้เอาคำพูดนี้มาพูดนะ แต่ก่อนเราก็ไม่เคยคิด ไม่เคยรู้เคยเห็น เวลามันมาเป็นหัวใจทั้งสองประเภท เวลากิเลสเป็นอัตโนมัติจนกระทั่งน้ำตาร่วงก็เห็นชัด ๆ ทีนี้เวลาธรรมเป็นอัตโนมัติเอาจนกิเลสพังไม่มีอะไรเหลือเลยมันก็ประจักษ์ภายในหัวใจ แล้วจะไปถามใคร
พระพุทธเจ้าก็ สนฺทิฏฺฐิโก ประกาศออกมาแล้ว ว่าผู้ปฏิบัตินั้นแลจะเป็นผู้รู้เองเห็นเองในผลของตนที่ทำมา ทีนี้เราก็ทำมาเองเราก็เห็นในผลของเรา จะไปทูลถามพระพุทธเจ้าอะไร ถ้าไปทูลถามก็เหมือนว่ากลั่นแกล้ง หรือเสแสร้งไป มันไม่สนิทใจ เหมือนมันเป็นเองรู้เอง ไม่ต้องถามใคร อันนี้สนิทเต็มที่แล้ว นั่นเห็นไหมธรรมพระพุทธเจ้า เป็นยังไงจืดชืดไหม พี่น้องทั้งหลายพิจารณา ให้รู้เนื้อรู้ตัวนะ หลวงตาไม่นานนะตาย แล้วจะไม่มีใครเทศน์อย่างนี้ ไม่ใช่เราคุย เราพูดตามหลักความจริง จะมีได้น้อยมากทีเดียวหรือไม่มี
อย่างที่พูดมานี้นานเท่าไร ๕๔ ปีแล้วที่เทศน์ ยิ่งเทศน์สอนพระสอนเณรยิ่งละเอียดลออ มีแต่ธรรมขั้นสูงและสูงสุด พุ่ง ๆ เลย สอนพระแต่ก่อนกำลังวังชาเราก็ดี ธาตุขันธ์หนาแน่นมั่นคง เทศน์สอนพระนี้ไหลไปเลยเทียว มันลื่นไปเลย นั่นล่ะธาตุขันธ์พร้อม ต่อมาโรคหัวใจเกิดขึ้นแล้วมันก็เป็นกรรมอันหนึ่งเหมือนกันนะเรา ถ้าหากว่าโรคหัวใจไม่เกิดไม่มีขึ้นนี้ การเทศนาว่าการมันยังจะเก่งกว่านี้ ไม่ใช่คุย มันเก่งกว่านี้ อันนี้มาเป็นปี ๒๕๐๖ โรคหัวใจ ตั้งแต่นั้นมาทรุดผึงเลยทันที ต้อนรับแขกไม่ได้ จนถึง ๒๕๑๒ เป็นเวลา ๖ ปีเต็ม รับแขกรับคน เทศนาว่าการไม่ได้เลย จนกระทั่ง ๒๕๑๓-๒๕๑๔ พอพูดได้บ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ๒๕๑๕ ขึ้นไปค่อยคลี่คลายออก จนกระทั่งถึง ๒๕๒๐ จึงได้ เริ่มสอนบ้าง เช่นสอนคุณเพาพงา นั่นละเริ่มมา
จากนั้นก็ค่อยคลี่คลายมาเรื่อยๆ แต่อยู่ในเกณฑ์ระวัง ไม่ระวังไม่ได้ อย่างทุกวันนี้ต้องระวัง คือโรคหัวใจมันไม่ได้หายนะ มันสงบ สงบมากประหนึ่งว่าไม่มี นู้นเวลาเราเทศน์ธรรมะเด็ดขาดเผ็ดร้อน แกงหม้อเล็กหม้อจิ๋วมันจะพุ่งเลย นี่ล่ะที่นี่เข้าไปกระเทือน อันนั้นจะยิบแย็บขึ้นมา พอรู้แล้วเหยียบเบรกทันที ฝืนไปไม่ได้ เวลานี้มันเป็นอย่างงั้น มันถึงไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย การเทศนาว่าการมีเครื่องมือคือร่างกายของเราเป็นสำคัญ ถ้าเครื่องมือพร้อมแล้วธรรมไม่ต้องถาม ควรจะออกหนักเบามากน้อยนี้พุ่งเลยทันที ขอให้เครื่องมือคือร่างกายมันสมประกอบมันจะออก ไหลไปเลยทีเดียว นี่ล่ะแต่ก่อนเป็นอย่างงั้น
ตั้งแต่โรคหัวใจเกิดแล้วเป็นคนใหม่ขึ้นมา อย่างเทศน์มาตลอดทุกวันนี้ ใครจะว่าเทศน์ดีไม่ดีอะไรก็ตามเถอะ เจ้าของเป็นผู้เทศน์มาเองเคยเทศน์มาแล้ว มันเหมือนกับเป็นคนละคน อย่างเทศน์ทุกวันนี้เหมือนเป็นคนละคนกับแต่ก่อน สะเปะสะปะไปอย่างงั้น ธาตุขันธ์ก็ไม่อำนวย นี่พูดถึงเรื่องธรรม ถ้าลงได้เกิดในหัวใจแล้วไม่ถามใครเลย พระพุทธเจ้าท่านไปถามใคร ตรัสรู้ขึ้นมาสอนโลกทั้งสามได้ในทันทีทันใด บรรดาสาวกก็เหมือนกันไม่เคยไปทูลถามพระพุทธเจ้า องค์ไหนบรรลุธรรมปึ๋งขึ้นมาก็เต็มภูมิของตัวเอง สอนโลกอย่างเต็มภูมิของตัวเอง ไม่ต้องไปขอแบ่งจากพระพุทธเจ้าเรื่องความรู้วิชาไม่เพียงพอ ไม่มี เต็มภูมิของแต่ละองค์ๆ
ความรู้เกิดขึ้นจากใจแท้เป็นอย่างงั้น ผิดกันกับที่เราเรียนจดจำมาจากคัมภีร์ใบลาน อันนั้นเป็นความจำ อันนี้เป็นความจริง เอาความจำที่จำได้แล้วมาเป็นภาคปฏิบัติ กางแปลนออก ปลูกบ้านสร้างเรือน อันนี้กางแปลนคือตำรับตำราออก และปฏิบัติตามนั้นก็ปรากฏผลขึ้นมาเรื่อย ๆ ปริยัติแล้วก็มาเป็นปฏิบัติ เมื่อเป็นปฏิบัติแล้วปฏิเวธมันก็รู้ผลของงานมาโดยลำดับตั้งแต่เริ่มทำงาน เริ่มปลูกบ้านปลูกเรือน เริ่มภาวนา จิตใจเริ่มสงบสงัด เริ่มมีความสงบเย็นก็รู้ ละเอียดขนาดไหนค่อยรู้ไปๆ เรื่อย นี่ธรรมะอย่างนี้สด ๆ ร้อน ๆ อย่าให้กิเลสมันตบหูตบตานะ
เวลานี้กำลังลบล้างกันทั่วแดนชาวพุทธเรา บาป บุญ นรก สวรรค์ แทบจะไม่มีติดใจ แต่การสร้างบาปนี้ไม่มีใครแข่งได้ละพวกชาวพุทธเรา เรียกว่าสร้างอย่างไม่รู้จักประมาณ ไม่รู้เนื้อรู้ตัว ตายจมเมื่อไรก็ไม่รู้ แต่การสร้างบาปสร้างไม่ถอย ถ้ามันบาปหนามันลบบาป บุญ สวรรค์ ไปหมด กิเลสลบ แล้วก็สร้างตั้งแต่เรื่องความชั่วช้าลามก แล้วก็เผาเจ้าของ ไม่เผาใครนะ ผู้ท่านรู้บุญรู้บาป ผู้มีหิริโอตตัปปะท่านไม่ทำ จะไปเผาท่านได้ยังไง นั่น นี่เวลานี้กำลังหนาแน่นมากทีเดียว โอ๊ย มองไปไหนจนจะดูไม่ได้ เราไม่ได้ประมาทโลก เรามองโดยความเป็นธรรม ด้วยสายตาของธรรม ผิดกันกับสายตาของโลก มองดูคอยจะยกยอ คอยจะสรรเสริญ ตำหนิติฉินนินทา สะดุดในใจ ๆ ดีใจเสียใจไปตามเขา กระทบกระเทือนไปตามเขา ถ้าไม่พอใจก็เคียดให้เขาก็ได้ พอใจดีใจตามเขาก็ได้
ส่วนสายตาของธรรมไม่มี จะอะไรก็ตาม ว่าไม่ถูกนี้ก็ไม่ไปกระเทือน ไม่ไปยึดเอาความไม่ถูกมาเป็นอารมณ์เผาตัวเอง และไม่ไปยึดเอาความถูกต้อง ดีอกดีใจมาเป็นบ้าเผาตัวเองอีกเหมือนกัน ท่านไม่เผา ผ่านธรรมดา รู้เห็นตามหลักธรรมชาติ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกัน เพราะไม่ซึมซาบต่อกันแล้ว สายตาของธรรมดูด้วยความเรียบราบ ไม่ซึมซาบ ไม่มากระทบกระเทือนตนเอง ทีนี้เวลาดูอย่างงั้นซิ ไฟดวงนี้ดวงเก่านี้ เวลาฝึกหัดอบรมแล้วด้วยอรรถด้วยธรรม ธรรมประเภทนี้มีในศาสนาไหนล่ะ เอามาสอนซิ เอามาแข่งกันซิ มีในพุทธศาสนาของเราเท่านั้นที่สอนถึงขั้นบริสุทธิ์พุทโธ ไม่ต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้า แม้เป็นสาวกก็ตามได้ยินได้ฟังจากพระองค์ แต่เวลาปฏิบัติได้รู้เห็นเต็มหัวใจแล้วไม่ต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้า ก็คือธรรมของพระพุทธเจ้าประกาศเป็น ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ หรือ สนฺทิฏฺฐิโก ขึ้นในผู้ปฏิบัติเสียเอง
เราไปหาธรรมที่ไหนไม่มี พูดได้อย่างยัน ๆ จะเอาคอไปตัด ตัดขาดก็ขาด แต่ที่จะให้ยอมรับตามที่เขามาคัดค้านต้านทาน ไม่ยอมรับ ขาดก็เพื่อบูชาพระพุทธเจ้าโดยถ่ายเดียวเท่านั้น ไม่เป็นอย่างอื่น มันรู้ขนาดนั้นแล้วมันจะไปไหวอะไร สามแดนโลกธาตุนี้อะไรจะมาหลอกให้ไหว ใครจะมาคัดค้านต้านทานให้ไหวไม่มี เพราะฉะนั้น การพูดการจาเทศนาว่าการหนักเบามากน้อยจะเอาธรรมเป็นประมาณ ไม่ได้เอาถังขยะมูตรคูถมาเป็นประมาณ เหยียบไปเลย เข้าใจไหมล่ะ เหยียบไปเลย ๆ
การเทศนาว่าการ ต้องเล็งถึงประโยชน์ที่ผู้มารับจะได้หนักเบามากน้อยจ้าไปเลย ควรจะได้รับหนักเบามากน้อยมันจะออกรับกันพอดี เทศน์ขนาดไหนพอดี ๆ ควรจะหนักหนักเอง ควรจะเบาเบาเอง ควรจะทุ่มทุ่มเอง ควรจะเป็นหม้อเล็กหม้อจิ๋วเป็นขึ้นเอง พุ่งไม่รอ เป็นหลักธรรมชาติของจิตที่เหมาะสมกันกับสิ่งที่มาเกี่ยวข้อง ดึงดูดถึงกัน ได้มากน้อยเพียงไร ออกรับกันขนาดนั้น ๆ นั่นธรรมเป็นอย่างงั้น ท่านไม่สอนแบบด้น ๆ เดา ๆ เกาหมัด ถ้าลงได้รู้ในใจแล้วจะไปสงสัยอะไร ไม่สงสัย เรื่องใครจะเชื่อไม่เชื่อ เต็มหัวใจท่านแล้ว ท่านจะไปแบ่งหนักแบ่งเบาอาศัยอะไรมาเพิ่มเติม ท่านไม่หวังอะไรทั้งนั้น ท่านพอแล้ว สามแดนโลกธาตุจะมาเพิ่มอีกท่านก็ไม่เอา จะมาดึงออกท่านก็ไม่เอา พอดี นี่คือความพอที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว นี่ธรรมของพระพุทธเจ้า แล้วจะไปหาสักขีพยานที่ไหน
เมื่อเป็นเช่นนั้นการเทศนาว่าการทุกสิ่งทุกอย่าง หนักเบามากน้อยจะไปหาใครมาเป็นสักขีพยาน ไปอาศัยพึ่งพิง รู้ขึ้นในใจพอ จะควรหนักเบามากน้อยมันก็ออกเองๆ ไม่ควรออกดึงก็ไม่ออก ถ้าควรแล้วก็เหมือนเราไปทอดแห ยังไม่ผูกเพลาก็ตามแห ถ้าปลาตัวใหญ่ๆ ผุดขึ้นมานี้พันกันเลย กางแหเรียบร้อยแล้วเตรียมจะทอด มองไปนี่ขี้หมูอันนั้นขี้หมา วันยังค่ำมันก็ไม่ได้ทอดแห ไม่ได้เหวี่ยงแหลงไป ก็มันมีแต่ขี้หมูขี้หมา ธรรมะกางไปตรงไหนก็มีแต่ขี้หมูขี้หมา จะเอาอะไรมาเทศน์ เทศน์ใส่ขี้หมูขี้หมามีเหรอ เข้าใจไหมล่ะ
ถ้าไปแล้วมันผุดขึ้นมาตัวใหญ่ ๆ อันนี้ปลาบึก อันนี้ปลาตะเพียนอย่างนี้พันกันเลย ไม่ต้องบอกเพราะเตรียมจะทอดอยู่แล้ว จะหว่านจะทิ้งแหอยู่แล้ว มันทำไมจะไม่ขว้างแห ถ้าไม่สมควรขว้างหาอะไร ฟาดลงไปถูกขี้หมากองหนึ่งมาล้างแหทั้งวันมันก็ไม่ได้เรื่อง ขาดทุนไหม ฟาดลงไปขี้หมาเพียงกองเดียวเท่านั้นผสมผเสกับแหก้อนนี้ แหก้อนนี้เลยเป็นขี้ทั้งหมดเลย ล้างทั้งวันมันก็ไม่สะอาด แล้วใครจะไปเสี่ยงบ้าอย่างงั้น ไปทอดกองขี้หมา นั่นละธรรมขนาดไหนควรเทศน์ก็เทศน์ ไม่ควรเทศน์ท่านไม่เทศน์ ไม่ใช่จะสุ่มสี่สุ่มห้า จึงว่าธรรมกับโลกไม่เหมือนกัน ธรรมพอประมาณทุกอย่างจึงเป็นแบบฉบับของโลกได้ ถ้าเป็นแบบโลกก็ไม่ใช่ธรรม มันก็แบบโลก เขาเหมือนเรา เราเหมือนเขา ถ้าเป็นแบบธรรมไม่เหมือนใคร ใครเป็นขึ้นรู้ตัวเองเลย ไม่เหมือนใคร เหมือนคือตัวเองนี้เท่านั้น
พูดเริ่มต้นตั้งแต่กิเลสสร้างตัวของมันโดยอัตโนมัติ แล้วธรรมก็แก้กิเลสเป็นอัตโนมัติ เราก็ไม่เคยมีแต่ก่อน ไม่เคยเห็น แต่เวลามันเป็นขึ้นในใจไม่เคยสะทกสะท้าน ใครจะเชื่อไม่เชื่อก็ตาม ก็มันเป็นมาแล้ว เป็นอัตโนมัติ กิเลสก็เป็นในหัวใจเราแล้ว เราฟาดกิเลสลงโดยอัตโนมัติก็เป็นในหัวใจเราแล้ว กิเลสขาดสะบั้นก็เป็นในหัวใจเรา ไม่ได้เป็นในหัวใจผู้ใดนี่นะ พอจะไปหาถาม เป็นยังไงหัวใจแก ถ้าเขาตอบมาก็ไม่เป็นไรหรอกเมื่อคืนเห็นแต่หมอนขาด ไปอย่างงั้นเสีย เราจึงไม่อยากถามกลัวเขาตอบหมอนขาดมาให้เราฟัง
อะไรจะเลิศเลอยิ่งกว่าธรรมพระพุทธเจ้า โอ้โห ได้เจอเข้าไปซิน่ะ หูหนวกตาบอดของกิเลสมันมีรสมีชาติ มันบีบบี้สีไฟมากี่กัปกี่กัลป์ไม่มีใครเข็ดหลาบอิ่มพอ มันเก่งของมันแบบหนึ่ง เพราะฉะนั้นมันถึงได้ครองโลก ถ้าธรรมยังไม่เข้าสัมผัสเมื่อไร กิเลสนี้ตัวสำคัญมาก กล่อมจิตใจของสัตว์โลกให้จมไปเป็นกัปเป็นกัลป์ไม่มีประมาณ เมื่อธรรมเข้าสัมผัสแล้วจะตื่นเนื้อตื่นตัว รู้สึกสะดุ้งแล้วตื่นเนื้อตื่นตัว เห็นเป็นความสำคัญขึ้นภายในใจตัวเองทันที ๆ ถ้าไม่มีธรรมเข้าในใจแล้วมันก็หลับทั้งตื่นไปอย่างงั้น โลกเรานี้หลับทั้งตื่น ไม่มีใครตื่น มีแต่หลับทั้งตื่น ตื่น ๆ อยู่นั้น ตาใสยิ่งกว่าตาหมาตาแมว แต่มันก็หลับอยู่ยิ่งกว่าหมากว่าแมว
เวลาดำเนินลงไป ๆ ธรรมพระพุทธเจ้าเป็น อกาลิโก มีต้นมีปลายที่ไหน ไม่มีกาล สถานที่ เวล่ำเวลา ไปทำลายได้ ไปให้คะแนนตัดคะแนนได้ นอกจากผู้ทำผู้บำเพ็ญ นั่นผู้ทำงาน ผู้นี้เป็นผู้เพิ่มคะแนนตัดคะแนนของตัวเองได้ คนอื่นไม่ได้ การทำชั่วเหมือนกัน การทำดีเหมือนกัน เป็น อกาลิโก ทำชั่วได้ชั่วทันที วิ่งตามกิเลสเป็นกิเลส เป็นไฟไปทันที วิ่งตามธรรมเป็นธรรม เป็นน้ำดับไฟไปทันที อยู่ในหัวใจของเราเอง เพราะได้พูดแล้วว่า กิเลสกับธรรมเกิดที่หัวใจอยู่ที่หัวใจ ไม่มีนอกจากนี้ สามแดนโลกธาตุไม่มีสถานที่อยู่ของกิเลสและธรรม นอกจากหัวใจของสัตว์นี้เท่านั้น มันก็หัวใจของเรานี่จะว่าไง ดูเรานี่ซิ เมื่อมันจ้าลงไปแล้วอยู่ที่ไหน จะว่าสบายไม่สบายมันก็เลยเสียทุกอย่าง
ให้พากันตั้งอกตั้งใจนะพวกเรา จะให้แต่กิเลสมากล่อมศาสนา ครั้นเวลาถามแล้วถือศาสนาอะไร ถือศาสนาพุทธ ลูกอยู่ในท้องก็พุทธโผล่ออกมา แย่งแม่โผล่ออกมาถือศาสนาพุทธ ครั้นเวลาปฏิบัติ โอ๋ย หมาขี้เรื้อนยังสู้ไม่ได้ ยังเก่งกว่าหมาขี้เรื้อนอีก มันมีแต่คำปากเฉย ๆ กิริยาแห่งชาวพุทธคืออรรถธรรมไม่มี ในกิริยามารยาท การแสดงออก ข้อประพฤติปฏิบัติ กำจัดความชั่วช้าลามก หน้าที่การงานเป็นเนื้อเป็นหนัง เป็นเหตุเป็นผลไม่มี มีแต่ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม เห่อคะนองตลอดเวลา นี้เป็นธรรมเหรอ เป็นกิเลสทั้งนั้นนี่นะ
การเสาะแสวงหาแทบล้มแทบตาย หามาเพื่อความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ไม่มีขอบเขตเหตุผล น้ำล้นฝั่งตลอดเวลาคือพวกเราที่ว่าชาวพุทธนี่แหละ มันไม่มีพุทธ มีแต่น้ำล้นฝั่ง ๆ จะหาของดิบของดีมาจากที่ไหนล่ะ นี่จะตายทิ้งเปล่า ๆ นะ ศาสนาเลิศขนาดไหนมันจะไม่ยอมฟังนะ กิเลสจะต่อสู้กับธรรมตลอด หนักเข้าไปจนกระทั่งไม่เชื่อบุญเชื่อบาป คนนี้หมดหวังยังจะเหลือแต่ลมหายใจ แม้จะดีกว่านั้นแต่เวลาท่านพูดถึงอรรถถึงธรรมที่จะควรกระหยิ่มยิ้มย่องและอุตส่าห์พยายาม ก็สุดเอื้อมหมดหวังเข้าไปใส่เสีย กิเลสก็บอกว่าสุดเอื้อมหมดวัง ไม่ไหวแล้วเรา เราเป็นฆราวาสหาอยู่หากินไปอย่างงั้นแหละ ไปอย่างงั้นเสียนะ บทเวลากิเลสพันคอมันไม่เห็นว่าคอข้านี่คอฆราวาสนะ อย่ามาพัน ไปพันคอพระที่บวชเข้ามากินข้าวกินน้ำกับประชาชน แต่ขี้เกียจขี้คร้าน นอนอยู่บนหมอนไม่ลง ให้ไปพันคอตัวขี้เกียจ พระหัวโล้น ๆ นะ ไม่เห็นมันไป มันพันได้ทั้งคนทั้งพระนั่นแหละ ใครขี้เกียจขี้คร้าน ท้อแท้อ่อนแอ กิเลสพันทันทีเลย เอาละพูดเพียงเท่านั้น
(ลูกศิษย์อ่านคำถามปัญหาธรรมที่ส่งเข้ามาทางเว็บไซด์หลวงตาดอทคอม กราบเรียนถามหลวงตา) ข้อแรก กราบเรียนหลวงตาครับ ภาวนาพุทโธได้สักครู่หนึ่งเกิดความรู้สึกว่า เห็นโครงกระดูกนั่งสมาธิ แล้วก็ดูเหมือนจะมองเห็นตัวเองมีโครงกระดูกอีก ใจอยากฟังเทศน์หลวงตา อีกใจหนึ่งก็อยากดู อีกใจหนึ่งก็อยากพุทโธ ใจก็ยังดูและทำทั้งสามอย่างได้สักพักก็ตัดสินใจฟังเทศน์ต่อ และพุทโธต่อไป แต่ก็ยังเห็นโครงกระดูก อยากทราบว่าควรจะทำอย่างไร ข้อที่ ๑ ฟังเทศน์หลวงตาต่อไปดีไหม ข้อที่ ๒พิจารณาโครงกระดูก ข้อที่ ๓ ทำทั้งสองอย่าง ข้อ ๔ ฟังเทศน์หลวงตาแล้วต้องภาวนาพุทโธหรือไม่ ข้อที่ ๕ ภาพที่เกิดขึ้นจากภาพความจำเก่า แล้วผมสามารถนำมาพิจารณาได้หรือไม่ครับ กราบนมัสการและขอขอบพระคุณมา ณ ที่นี้ด้วย ลงชื่อคุณ ธ ธง
หลวงตา : คุณ ธ ธง เราก็ตอบธ ธงเหมือนกัน ให้พิจารณากระดูกมากนะ ส่วนจะกำหนดพุทโธไม่พุทโธหรืออะไรนั้นให้ปล่อยเสียก่อน ถ้ามันเห็นกระดูกพิจารณากระดูก แยกแยะกระดูก ทำลายกระดูกให้กระจัดกระจายออกไป และตั้งเป็นรูปร่างใหม่ขึ้นมา ถ้ามันจะเป็นไปได้จริงๆ ก็ตั้งขึ้นมาอีก พิจารณาอีก แยกแตกอีก ต่อไปความชำนิชำนาญมันจะบอกขึ้นเองเจ้าของจะรู้ เราจะไม่อธิบายมากอันนี้ ดูร่างกระดูกให้ดี ให้คลี่คลายดูร่างกระดูก ให้ชำนิชำนาญ มันคล่องแคล่วของมันเอง คำว่าชำนาญคือมันคล่องตัวของมัน โอกาสที่อยากจะกำหนดภาวนานี้ก็ทำได้ ไม่ได้บอกว่าขาดตัวทีเดียวนะ อันไหนที่มันหนักมากก็ให้ทำอันนั้นก่อน เข้าใจเหรอ เอ้าว่าไป
(เขาบอกว่า กราบนมัสการหลวงตาด้วยความเคารพอย่างสูง อยากจะรบกวนหลวงตาช่วยให้ความกระจ่างกับปัญหาที่อาจจะดูธรรมดาสำหรับคนอื่น แต่สำหรับผมคิดว่าสำคัญมาก อาจทำให้การปฏิบัติหลงทางได้ คืออยากจะทราบว่าถ้าจะภาวนา พุทโธ อย่างเดียวโดยไม่กำหนดลมหายใจ แต่ไม่ทราบว่าจะกำหนดจิตไว้ที่ใด จากการปฏิบัติมักจะมีความรู้สึกอยู่แถว ๆ หน้าผากหรือระหว่างคิ้วซึ่งไม่แน่ใจ บางคราวถ้าบริกรรมแบบเน้น ๆ จะรู้สึกหน่วง ๆ ที่บริเวณหน้าผากหรือระหว่างคิ้ว ไม่ทราบที่กระผมทำอยู่ถูกวิธีหรือไม่ ถ้าไม่ถูกต้องจะปฏิบัติอย่างไร หลวงตาได้โปรดแนะนำตั้งแต่เริ่มต้นโดยละเอียดสำหรับกระผม ซึ่งมีปัญญาน้อยในทางปฏิบัติ ลงชื่อคุณชาญชัย)
หลวงตา : นึกพุทโธนั่นแหละ มันจะอยู่ข้างบนข้างล่างอะไรไม่สำคัญ สำคัญที่ว่าพุทโธมีสติอยู่กับคำบริกรรมว่าพุทโธ ๆ เป็นใช้ได้ จะอยู่สูงอยู่ต่ำไม่สำคัญ ขออย่าเผลอกับคำบริกรรมที่ติดแนบด้วยสติก็แล้วกัน ถ้าเผลอสติไม่ได้ คำบริกรรมพลาดไป ให้มีคำบริกรรมแล้วสติควบคุมคำบริกรรม คำบริกรรมติดกับใจไม่ให้ทำงานอย่างอื่น เข้าใจแล้วนะ เท่านั้นยังไม่สอนมาก
(อีกข้อครับผม กราบนมัสการหลวงตา ผมมีเรื่องกราบเรียนถามหลวงตา ภาวนาสองแบบ คือกำหนดจิตใสเป็นบางครั้ง และฝึกสติโดยการดูที่จิต แบบนี้ผมทำบ่อยมากครับ ตอนนี้เกิดผลทางกายหลายอย่างคือ หนึ่งบางครั้งผมทานอาหารลิ้นไม่รู้สึกถึงรสชาติของอาหารเลยครับ ทราบแต่ว่าร้อน อุ่น เย็น แข็ง นุ่ม เป็นติดต่อกันถึง ๔ วัน ต่อมาระยะหลัง จะเป็นบ้างสำหรับอาหารบางมื้อครับ อยากทราบว่าหากเกิดอาการแบบนี้อีกควรแก้ไขอย่างไรครับ)
หลวงตา : ไม่อยากตอบนะ
(ข้อสอง บางครั้งผมรู้สึกจิตสงบจะปรากฏมีไอร้อน ระเหยออกจากท้ายทอย จากไหล่ทางด้านหลังครับ ผมไม่ได้นั่งสมาธิอะไรเลย ส่วนมากเป็นตอนขับรถคนเดียวครับ อยากถามหลวงตาว่าคืออะไรครับ ควรจะแก้ไขหรือไม่ครับ)
หลวงตา : บอกเขาว่าขี้เกียจตอบ ความจริงตอบแล้ว ไม่เป็นสาระก็ไม่ตอบ ตอบไปหาอะไร
(ขอเมตตาจากหลวงตากราบเรียนเรื่องการปฏิบัติธรรมภาวนาดังนี้ครับ กระผมปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิภาวนา โดยกำหนดคำบริกรรมภาวนาพุทโธให้สติติดแนบกับคำบริกรรมพุทโธ บริกรรมภาวนาไปจนกระทั่งลมหายใจละเอียดมาก เสมือนไม่มีลมหายใจอยู่เลยครับ ปรากฏว่าร่างกายเริ่มเบา และมีอาการคล้ายกับร่างกายหายไป เหลือแต่ตัวรู้คือจิต ทุกสิ่งทุกอย่างว่างไปหมด สว่างไปหมด ขาวไปหมด จิตมีอาการสงบเย็น เบาสบายอย่างน่าอัศจรรย์ แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลยครับ คล้ายกับว่าเหลือแต่ตัวรู้คือจิต เมื่อกระผมดีใจอาการของจิตก็ถอนออกมาทันที เมื่อกระผมเสียใจหรืออยากที่จะเข้าไปสัมผัสกับอาการดังกล่าวอีก ปรากฏว่าไม่เป็นอาการอย่างที่ผ่านมา
กระผมจึงปล่อยวางจิต ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ ปล่อยวางเฉย ๆ ไม่ยึดมั่นถือมั่นกับอาการดังกล่าว ปรากฏว่าจิตยิ่งดำดิ่งลึกมาก สว่างมาก ขาว และว่างไปหมดเลยครับ ร่างกายเหมือนหายไป เหลือแต่ตัวรู้คือจิต เมื่อถอนออกจากสมาธิปรากฏว่าร่างกายเบามาก จิตใจมีความสงบเย็น สุขุม มองอะไรคิดอะไรเห็นเป็นธรรมไปหมด ต่างจากสภาวะปกติทั่วไป จากนั้นกระผมก็หัดพิจารณาธรรม กำหนดลงความไม่เที่ยงเป็นทุกข์ในขันธ์ห้า รวมทั้งพิจารณาอสุภะภายใน น้อมเข้ามาสู่ไตรลักษณ์ จิตก็ค่อย ๆ วางความยึดมั่นถือมั่นลง ในขณะที่กำลังปฏิบัติธรรมภาวนา กระผมขอกราบเรียนถามหลวงตาว่า ปฏิบัติตามนี้ถูกต้องหรือไม่อย่างไรครับ)
หลวงตา : บอกเลยว่าถูกต้องแล้ว ให้พิจารณาอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ นะ มันจะเหมือนเก่า ไม่เหมือนเก่า อย่าไปกังวล ให้ถือหลักปัจจุบันด้วยความมีสติในการภาวนาเสมอไป
(ถ้ากระผมจะละกิเลส กระผมควรสละทางโลก มุ่งหน้าปฏิบัติธรรมภาวนา จะพอมีทางความหวังบ้างไหมครับ ลงชื่อ ผู้ยังมีกิเลส)
หลวงตา : ตอบผู้ยังมีกิเลส ถ้าเขาหวังก็มี เขาไม่หวังก็ไม่มี ก็มีเท่านั้น ไม่เห็นมีอะไร ถามลอย ๆ เราก็ตอบลอย ๆ
(กราบเรียนหลวงตา ได้ปฏิบัติสมถกรรมฐาน โดยนั่งทำสมาธิทุกวันปีกว่า บางครั้งจิตจะสงบนิ่ง ไม่มีสัญญาสังขารเลย โดยมากจะมีสติรู้ตัวอยู่ในขณะนั่ง เมื่อพยายามพิจารณาเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ จิตยังไม่สามารถเห็นสภาพแท้ของกายสักที ขอกราบรบกวนหลวงตาช่วยโปรดแนะแนวทางปฏิบัติสำหรับผู้มีจิตดื้อด้วย กราบนมัสการด้วยความเคารพอย่างสูง)
หลวงตา : ตอบว่าอย่าดื้อ ก็ไม่เห็นได้เรื่องอะไร ถามมาอย่างงั้น เราก็ตอบอย่างงั้นแหละ ตอบส่งเดช
(อยากทราบว่าเวลาหลวงตากราบรูปเหมือนพระอาจารย์มั่น หลวงตาสวดอย่างไร จะนำไปปฏิบัติตามครับ)
หลวงตา : ไม่ตอบ
(เมื่อเราซื้อผลไม้ หรืออาหารมาเพื่อถวายพระ หรือใส่บาตร เราก็แบ่งไว้ส่วนหนึ่ง แล้วก็นำอีกส่วนหนึ่งมาทานก่อน จะบาปหรือไม่ครับ)
หลวงตา : ขี้เกียจตอบ
(ที่บ้านมีศาลเจ้าจีนอยู่ในบ้าน ซึ่งคุณพ่อคุณแม่เคยไหว้มาประจำ พอหมดพ่อแม่แล้ว ปัจจุบันเราก็ยังมีการไหว้อยู่ ไม่ทราบว่าในฐานะชาวพุทธทำถูกหรือไม่ หรือจะต้องปฏิบัติอย่างไร ลงชื่อผู้กลัวบาป)
หลวงตา : ขี้เกียจตอบไม่เอา มันจะกลัวขนาดไหนก็ไม่ตอบ มันกลัวเฉยๆ แต่ปากมัน อย่างนั้นแหละปัญหาถามสุ่มสี่สุ่มห้าไม่น่าตอบ ไม่ทราบจะตอบไปหาอะไร
(อยากกราบเรียนถามหลวงตาว่าในอดีตตอนยังหนุ่ม เคยบวชพระตามประเพณีแล้วเคยทำอาบัติข้อสังฆาทิเสส หลังจากนั้นก็สึกมาโดยไม่ได้อยู่กรรมแก้ไข มาปัจจุบันสนใจทำบุญ และภาวนา แต่ทุกครั้งที่ภาวนา พอจิตจะสงบจะนึกถึงเรื่องนี้แล้วทำให้จิตฟุ้งซ่านไม่มีสมาธิ จนต้องเลิกทำทุกครั้ง จะทำอย่างไรดี พอจะมีวิธีแก้ไขหรือไม่ ขอความเมตตาจากองค์หลวงตาช่วยชี้ทางสว่างให้ด้วยครับ ลงชื่อคุณคิดไม่ตก)
หลวงตา : ไม่ตอบ ขี้เกียจตอบ
(กราบเรียนหลวงตาครับ ด้วยผมได้เห็นบารมีที่หลวงตาท่านได้ปกปักรักษาประชาชนและประเทศไทยให้ผ่านพ้นภัยพิบัติต่างๆ มาด้วยดี จึงขอกราบเรียนขอให้หลวงตาอยู่เป็นมิ่งขวัญดูแลประชาชนและประเทศไทยอีกนานๆ ครับ ขอให้หลวงตามีอายุ ๑๒๐ ปีด้วยครับ
หลวงตา : ไม่ตอบ ฟังไปเฉย ๆ
(เมื่อประมาณ ๒-๓ เดือนที่ผ่านมา กระผมได้ฟังเทศน์และอ่านเทศน์ของหลวงตาให้ภาวนาพุทโธ ให้วางไว้กลางอก แล้วมีคืนวันหนึ่งผมได้นั่งสมาธิสักครู่ แล้วรู้สึกว่าได้กำหนดพุทโธ แล้วรู้สึกว่าพุทโธ เคลื่อนไปสู่กลางอกเอง และรู้สึกว่าเห็นในอกเป็นโพรงโล่งขาวว่างครับ แต่ปัจจุบันด้วยมีปัญหาหลายอย่างจึงมิค่อยได้นั่งสมาธิ แต่ผมก็ยังจำภาพนั้นได้ในใจอยู่ กระผมจึงขอกราบเรียนถามว่า
๑) ถ้าผมนั่งสมาธิแล้วผมจะนำภาพความจำเก่า มากำหนดสมาธิได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ควรแก้ไขหรือปฏิบัติอย่างไรครับ ๒) บางครั้งในกลางอกนั้น ผมก็นึกให้เห็นภาพหัวใจ ปอด อันนั้นผิดหรือไม่ และควรปฏิบัติอย่างไรดีครับ)
หลวงตา : ไม่ค่อยมีสาระอะไร มีอันหนึ่งที่ว่าจิตว่างเห็นโครงกระดูก เพราะฉะนั้นเราจึงแนะไป มันจะมีสืบต่อทางดีงามไปเรื่อย ๆ นอกนั้นธรรมดา ๆ
ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาทุกวัน ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
|