เทศน์อบรมฆราวาส
ณ วัดอโศการาม ต.ท้ายบ้าน อ.เมือง จ.สมุทรปราการ
เมื่อค่ำวันที่ ๒๕ เมษายนยน พุทธศักราช ๒๕๔๖
ความดีไม่มีในใจแล้วมืดมิดปิดตา
มีวัดเป็นสถานที่ภาวนาอย่างนี้ก็ดี มีวัดเป็นสถานที่เอิกเกริกเฮฮาหาแต่ส้วมแต่ถานมาเผาวัดเผาวาดูไม่ได้นะ ทุกวันนี้วัดจึงกลายเป็นส้วมเป็นถานขึ้นมามากต่อมากแล้ว แทนที่จะเป็นที่สงบอารมณ์ขุ่นมัวมั่วสุมทั้งหลาย ซักฟอกด้วยการอบรมจิตใจให้มีความสงบเยือกเย็น มันกลับกลายเป็นที่สั่งสมกิเลสตัณหาส้วมถานขึ้นมามากทุกวันๆ โห ยิ่งหนาแน่นขึ้นทุกวันนะกิเลสบนหัวใจสัตว์โลกเรา เฉพาะเมืองไทยเราเป็นเมืองพุทธ มันจะมีตั้งแต่ชื่อแต่นามว่าเป็นเมืองพุทธ ลมปากเฉยๆ นะ เรื่องกิริยาอาการที่จะเป็นอรรถเป็นธรรมแทรกขึ้นมาให้พองามหูงามตามันจะไม่มี มองไปไหนมันจะดูไม่ได้นะ
บางทีถึงอุทาน โอ๋ ทำไมหนาแน่นขึ้นมากมาย ๒๕๐๐ ศาสนาพระพุทธเจ้าที่ประกาศสั่งสอนโลกผ่านมาได้ ๒๕๐๐ กว่าปีนี้ แต่กิเลสมันยิ่งหนาแน่นขึ้นๆ ทุกวัน แม้ที่สุดในวัดก็กลายเป็นที่สั่งสมกิเลสเป็นส้วมเป็นถานขึ้นมาในวัดในวาในพระในเณร ในสิ่งก่อสร้างหรูหราฟู่ฟ่าแบบกิเลสตัณหากันไปหมดเลย แบบอรรถแบบธรรมจะไม่มี แล้วก็บ่นหาแต่ความสุขๆ จะบ่นหาอะไรก็มันหาตั้งแต่ความทุกข์ตามทางของกิเลส กิเลสไม่เคยให้ใครได้รับความสุข หาเท่าไรก็หาความยุ่งเหยิงวุ่นวายหากองทุกข์ทั้งนั้น ถ้าเป็นเรื่องหาอรรถหาธรรมได้ไม่สงสัย เพราะธรรมก็มีอยู่แล้วเช่นเดียวกับกิเลสที่มีมาดั้งเดิม นี่อะไรเอะอะกิเลสออกก่อนแล้วๆ มันผลักดันอยู่ปากคอก ปั๊บออกก่อนแล้ว เป็นอย่างนั้นนะ
โห เวลามันหนามันหนาจริงๆ นะกิเลส ในหัวใจโลกนั้นแหละ หัวใจสัตว์หัวใจเขาหัวใจเรา เวลามันหนามันหนาจริงๆ เราเองก็ไม่รู้ว่าเรากิเลสหนา พระพุทธเจ้าท่านสอนว่ากิเลสเป็นภัยทุกพระองค์ แต่กิเลสมันก็เป็นคู่มิตรสหายของเราในความรู้สึกของเราเอง ทั้งๆ ที่กิเลสเป็นภัย มันจึงเป็นภัยต่อเราอยู่ตลอดเวลา โลกจึงหาความสุขความสะดวกสบายไม่ได้ เช่นมีที่วัดที่วาที่เหมาะสมเช่นนี้ เป็นสถานที่บำเพ็ญอบรมจิตใจ พักเครื่องแห่งความคิดความปรุงทั้งหลายเสียบ้าง เอาธรรมเข้าไปเป็นน้ำดับไฟ สงบอารมณ์ของกิเลส เอาอารมณ์ของธรรมเข้าไปเป็นน้ำดับไฟ มันก็เริ่มสงบเย็นใจเรา เพราะเรียกร้องหาความช่วยเหลือตลอดเวลา แต่เจ้าของไปค้นกว้านเอาแต่ฟืนแต่ไฟมาเผา มันก็ยิ่งได้แต่ความเดือดร้อนทั่วหน้ากัน
ธรรมนี้ประกาศจ้าอยู่แต่ไหนแต่ไรมา แต่มันมีแต่เหยียบย่ำกันไปมาไม่สนใจ คว้าหาแต่กิเลส แย็บออกทางไหนก็เป็นเรื่องกิเลสไปหาผลประโยชน์ของมันเสีย แล้วสร้างฟืนสร้างไฟใส่หัวใจสัตว์โลก มันเป็นอย่างนั้นด้วยกันเราจะไปตำหนิใครไม่ได้นะ เพราะกิเลสมันฉลาดกว่าเรา เราว่ากิเลสมันโง่เหรอ อะไรครองโลกอยู่เวลานี้ ก็คือกิเลสนั่นเอง ครองหัวใจสัตว์โลกบีบบี้สีไฟให้ดีดให้ดิ้น ก็มีแต่กิเลสละพาให้ดีดดิ้น ธรรมท่านไม่ดีด ธรรมมีมากมีน้อยสงบเย็นสบาย
อย่างพระท่านไปเที่ยวภาวนาอยู่ในป่าในเขาอย่างนั้น กิเลสมันมองข้ามท่าน ท่านภาวนาอยู่ในป่าในเขา ท่านผู้เช่นนั้นละอย่างน้อยมักมีความสงบเย็นใจ มากกว่านั้นเย็นใจ แล้วเป็นธรรมแห่งธรรมภายในใจตลอดอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอนอยู่ในป่าในเขา อดบ้างอิ่มบ้างเป็นเรื่องภายนอกของธาตุของขันธ์ เราเกิดมากับความอดความอิ่มย่อมมีเป็นธรรมดา ท่านไม่ได้ตื่นเต้นท่านไม่หวั่นไหวกับสิ่งเหล่านั้น ทำยังไงจิตใจจะให้มีความสงบ ท่านเร่งความพากเพียรสติปัญญาจ่อลงไป นี่ละคือน้ำดับไฟ อยู่ที่สติรักษาใจ ปัญญาใคร่ครวญพินิจพิจารณา เห็นว่าเป็นภัยท่านปัดออกๆ ไอ้เราที่เห็นว่าเป็นภัยมันกวาดเข้ามาๆ มันก็มีแต่ไฟ
ผู้ที่ทรงความสุขตามหลักความเป็นจริงแล้ว คือผู้อยู่ในป่าในเขาบำเพ็ญสมณธรรม ได้แก่พระกรรมฐานท่าน ท่านอยู่อย่างเงียบภายในจิตใจไม่ยุ่งเหยิงวุ่นวาย จิตใจสง่างามตลอดและเห็นคุณค่าของใจเป็นประจำในอิริยาบถต่างๆ ใจเมื่อได้รับการรักษาการบำรุงแล้วย่อมมีความสง่างามขึ้นมาภายในตัวเอง เรื่องภายนอกท่านไม่ได้สนใจ เพราะสิ่งใดก็ตามในโลกนี้ไม่มีอะไรเลิศเลอยิ่งกว่าธรรมครองใจ กิเลสครองใจใครก็รู้ทั่วกัน ใครวิเศษเอามาอวดกันไม่เห็นมี คนที่กิเลสหนาๆ นั้นแหละมันยิ่งเป็นฟืนเป็นไฟต่อส่วนรวม ผู้กิเลสบางไม่เป็นนะ
อย่างผู้มีธรรมหนานั้นเป็นยังไง พระพุทธเจ้า พระสงฆ์สาวกท่าน ผู้มีธรรมหนากับกิเลสหนาต่างกันยังไงบ้างล่ะ คนกิเลสหนาก่อแต่ฟืนแต่ไฟเผาโลก คนมีธรรมหนามีแต่สาดกระจายไปด้วยศีลด้วยธรรมให้ร่มเย็นเป็นสุขทั่วหน้ากัน พระพุทธเจ้าเสด็จไปที่ไหน เทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมชมเชยสรรเสริญกราบไหว้บูชาทุกแห่งทุกหนทั้งๆ ที่โลกตาบอดมันมองไม่เห็นเทวบุตรเทวดา แต่พระพุทธเจ้าผู้มีสายตาเป็นโลกวิทูท่านดูตลอดเวลา รู้อยู่ตลอดเวลา เพราะคนตาดีมองไปไหนก็เห็นตลอดเวลา มองใกล้เห็นใกล้ มองไกลเห็นไกล มองบนฟ้าก็เห็นบนฟ้า มองลงดินก็เห็นดิน มองไปที่ไหนเห็นคนตาดี
คนตาบอดมองไปไหนมันก็มืด มันไม่เห็นนะ จากนั้นก็เอาความมืดบอดของตัวเองมาเป็นอำนาจบาตรหลวงขึ้นมา ว่าไม่เห็น ถือเอาอำนาจบาตรหลวงความไม่เห็นนั้นเป็นใหญ่เป็นโตขึ้นมา ผู้ที่เห็นอยู่นั้นก็ไปตำหนิติเตียนเหยียบย่ำทำลาย เทวบุตรเทวดาไม่มี ก็มีแต่มนุษย์เท่านั้นซิ เห็นกันอยู่นี้เท่านั้น นี่ละโลกในโลกนอก ตาจิตตาธรรมมันต่างกัน อยู่ที่ไหนเวลาท่านอยู่เงียบๆ นี้หัวใจทำงาน มันทำงานตุบตับๆ ท่านก็ได้ยิน คือจิตมันละเอียด ความสงัด สงัดมากจิตละเอียดมาก นั่งอยู่เงียบๆ นี่หัวใจทำงานตุบตับๆๆ ท่านได้ยิน คือจิตมันละเอียดไม่มีอะไรเข้ามาสัมผัสสัมพันธ์ มีแต่ความรู้รักษาจิตอยู่ตลอดคือสติ นอกจากนั้นจิตยังแสดงความสว่างไสวประจำตนอีกด้วย
ท่านอยู่ด้วยธรรมท่านเย็นตลอด ผิดกับอยู่ด้วยกิเลสนะ อยู่ด้วยกิเลสนี้ร้อนตลอด อยู่คนเดียวก็ร้อนอยู่หลายคนก็ร้อน ยิ่งมาคละเคล้ากันแล้วต่างคนต่างมีกิเลสก็เอาไฟมาเผากันเท่านั้นเอง ส่วนผู้ที่สั่งสมธรรมด้วยกัน ต่างคนต่างนำธรรมมาหากันแล้ว คุยกัน เรื่องธรรมะธัมโมนี้ โหย เพลินตลอดเลย ท่านไม่สนใจกับเวล่ำเวลา มีแต่อรรถแต่ธรรมออกแสดงด้วยความเพลิดเพลินต่อกัน องค์นี้รู้อย่างนั้นองค์นั้นเห็นอย่างนั้น เอาความรู้ความเห็นที่เกิดขึ้นจากการบำเพ็ญของตนมาเล่าสู่กันฟัง ก็เป็นเครื่องเพิ่มพูนกำลัง ให้มีกำลังจิตใจ ได้คติจากกันๆ ไปโดยลำดับลำดา
นั่นพระท่านผู้เสาะแสวงหาธรรม ผู้เช่นนั้นท่านไม่แสดงท่านไม่บอกนะ เพราะฉะนั้นโลกทั้งหลายจึงมองข้ามท่านผู้หาธรรมไปเสีย ว่าเป็นผู้ไม่มีค่าไม่มีราคา นั้นแหละคือผู้มีค่ามีราคาในสายตาของธรรม ท่านกระหยิ่มยิ้มย่องตลอดเวลา อย่างกิเลสนี้มันได้เรื่องได้ราวอะไร ธรรมก็มีความเพลินเช่นเดียวกับกิเลส กิเลสคุยเรื่องกิเลสเพลิดเพลินด้วยกิเลสนี้ลืมเนื้อลืมตัวเหมือนกัน นี่ละกิเลสพาให้เพลินไปทางกิเลสจนลืมเวล่ำเวลา ลืมไปทุกสิ่งทุกอย่าง อันนี้ธรรมก็เหมือนกัน เวลาท่านคุยธรรมะท่านก็เพลินทางด้านธรรมะของท่านไปอย่างนั้นละ รสชาติของธรรมกับรสชาติของกิเลสมีคนละทางมันจึงทำโลกให้หลงได้ แต่รสชาติของธรรมปรากฏขึ้นมาแล้วชนะรสชาติกิเลสไปเป็นลำดับลำดา ท่านจึงเรียกว่ารสชาติใดไม่เหนือรสชาติของธรรมไปได้เลย ธรรมนี้เหนือทุกอย่าง
เราอยากเห็นพี่น้องทั้งหลาย ได้ทำใจอบรมภาวนาเป็นกาลเป็นเวลาบ้างในวันหนึ่งๆ อย่าปล่อยทิ้งไปเปล่าๆ ซึ่งไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย อบรมจิตใจให้มีความสงบเย็น ถึงมันจะดีดจะดิ้นก็บังคับ เราบังคับเพื่อความดีของเราไม่เสียหาย ดีดไปไหนก็ดีดซิมันเคยดีดมาตั้งแต่ไหนแต่ไร กิเลสมันคล่องตัว ใครจะไปสู้กิเลสได้ ความคล่องตัวของกิเลสนี้รวดเร็วมาก เวลาเราฝึกหัดทีแรกมันดีดมันดิ้น มันไม่อยากอยู่ ให้สงบไม่ยอมสงบ ต้องดิ้นเพลินกับสิ่งนั้นดิ้นเพลินกับสิ่งนี้ อยากคิดเรื่องนั้นอยากคิดเรื่องนี้ มีแต่เรื่องของกิเลสพาให้หิวโหย เพิ่มเติมขึ้นโดยลำดับ หาความสงบไม่ได้ในวันทั้งวัน มีแต่ความเพลินของกิเลสแล้วเป็นทุกข์ไปด้วยกัน
เวลาเราพยายามฝึกหัดอบรม เฉพาะเวลาที่จะหลับจะนอน ควรจะสละเวล่ำเวลาของกิเลสออกเพราะมันไม่มีค่าอะไร เอาเวล่ำเวลาของอรรถของธรรมเข้าอบรมจิตใจเรา บังคับจิตไม่ให้มันคิดออกไปทางกิเลสดังที่เคยคิดมาตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งเวลาเรามาอบรมจิตใจนี้ ทีนี้บังคับใจของเราให้ดี มีสติจ่ออยู่ตรงนั้น จ่ออยู่เรื่อยๆ มันจะค่อยอ่อนตัวลง สติ เช่นคำบริกรรม เอ้า ว่าพุทโธห่าง จิตมันแย็บๆ ออกไปคิดเรื่องกิเลสได้ เอาภาวนาคำบริกรรมพุทโธถี่เข้าไป ตั้งสติมั่นเข้าไป
ทุกข์ก็ทุกข์ เวลานี้ต่อสู้กับข้าศึกคือกิเลสตัววุ่นวาย ต่อไปมันก็สงบของมันได้ วันนี้ไม่ได้วันหลังได้ เมื่อทำความอุตส่าห์พยายาม เพราะการทำนี้เพื่อคุณค่าแก่ตัวเราเอง ไม่ได้เป็นความเสียหายอะไรเลย ทำไมเราจะทำไม่ได้ ปล่อยเนื้อปล่อยตัวไปตามกิเลสยังปล่อยได้ สงวนตัวเพื่ออรรถเพื่อธรรมทำไมเราจะสงวนไม่ได้บำเพ็ญไม่ได้ มันได้ด้วยกันนั่นแหละ นี้มองดูแล้ว แหม สลดสังเวชเหมือนกันนะ เราพูดจริงๆ มันรู้จริงๆ เห็นจริงๆ พูดอย่างอาจหาญอย่างนี้ไม่เคยสะทกสะท้านกับอะไรในสามแดนโลกธาตุ
ใครจะมาตำหนิติเตียน ว่าโอ้ว่าอวดว่าอะไรก็ตามมันไม่สนใจ คุณค่าเหล่านี้มันไม่มี ที่เขามาโจมตีต่างๆ แต่คุณค่าของธรรมมีประจำหัวใจ ทำไมจะนำออกแสดงเพื่อประโยชน์แก่ผู้มาเกี่ยวข้องไม่ได้ นั่น ก็เอาตรงนั้นซิ โห มันมืดมิดปิดตาจริงๆ นะ ถ้าความดีไม่มีในใจแล้วนี้ มืดมิดปิดตา ไปที่ไหนก็เหมือนหลับตาไปเลย มันไม่มีความแจ้งความสว่างภายในจิตใจ พอจะหลีกภัยได้ มีธรรมภายในใจมันจะค่อยสว่างออกไปแจ้งออกไป ค่อยเห็นเหตุเห็นผลเห็นต้นเห็นปลายไปเรื่อยๆ
การภาวนานี้มันเป็นหลายอย่างสำหรับนิสัยของคนเรา ภาวนาค่อยสงบลงๆ สงบจากความคิดความปรุงนั้นแหละ สงบลงไปๆ ก็ไปอยู่จุดที่รู้ๆ จุดเดียวนั้นคือใจ นั่นละ พอกิริยาเหล่านี้ไม่วุ่นวายจิตก็สงบ มันก็เย็น นี่เรียกว่าน้ำดับไฟด้วยการภาวนา สงบเย็นลงๆ พยายามทุกวัน ศาสดาองค์เอกสอนโลกไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย กิเสลมันเอกที่ไหน เราทำไมเชื่อมันมากี่กับกี่กัลป์ได้ประโยชน์อะไร ก็ควรเอามาเทียบเคียงกันบ้างซิ
เราภาวนาลงไปนี้ ความรู้ความเห็นที่เป็นไปด้วยธรรมไม่เหมือนความรู้ของเราธรรมดาที่กิเลสพาไปนะ มันไม่ได้อัศจรรย์อะไรละความรู้ที่กิเลสพาไป ให้รู้ให้เห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่ความรู้ที่รู้ขึ้นจากอรรถจากธรรม เห็นขึ้นจากอรรถจากธรรมนี้ต่างกันมาก เจ้าของเชื่อแน่เป็นลำดับลำดาไป แล้วอบอุ่นภายในตัวเอง จิตใจเย็นสบาย คิดดูซินั่งอยู่เฉยๆ ทั้งๆ ที่เราไม่ได้ทำจิตให้สงบอะไรแหละ เราอยู่ธรรมดาจิตของเราก็สงบเย็นอยู่แล้ว หัวใจทำงานตุบตับๆ มันยังได้ยิน นั่งเงียบๆ นี่ หัวใจมันทำงานอยู่บนหัวอก เสียงตุบตับๆๆ เพราะไม่มีเสียงอะไรมากวน ถ้าจิตก็เป็นจิตที่สงบเย็น มีสติรู้อยู่ประจำ หัวใจทำงานมันก็ดังตุบตับๆๆ ได้ยินชัดเจน
เวลาเราเริ่มภาวนาทีแรกมันก็ได้ยิน หัวใจเราทำงานตุบตับๆ พอจิตตั้งหน้าทำงานต่อการภาวนาเข้าไป เสียงบางครั้งหัวใจทำงานก็สงบแล้วหายเงียบไป ก็มีแต่งานของธรรมต่อไปเรื่อยๆ เวลามันได้สงบเข้าเต็มที่แล้ว โลกธาตุนี้มันดับไปหมด อำนาจของจิต อย่างนี้มันมีอยู่เกลื่อน เวลามันออกรับกันมันก็เต็มอยู่ในนี้ เวลาจิตมันถอยเข้าไปนี้ไปเป็นธรรมภายในตัวเองแล้วโลกมันก็เหมือนไม่มี แล้วอะไรจะมากวน ถ้าเจ้าของไม่ออกไปหากวนหากว้านเอา มันจะมีอะไรมากวนเรา มีแต่ความสงบเย็นสบาย อยู่ไหนก็สบายๆ
ท่านผู้มีธรรมในใจ ท่านมีหลักมีแหล่งนะ อยู่ที่ไหนท่านมีหลักภายในใจท่าน เรามันไม่มีหลักมีแหล่งซิ สมบัติเงินทองข้าวของกองเท่าภูเขามันก็ไม่มีหลักเป็นเครื่องประกันใจของเราว่าตายแล้วจะไปที่ไหน มันลงนรกได้นะ เศรษฐีก็ลงนรกได้ คนมีคนจนลงนรกได้ ถ้าใจเป็นฟืนเป็นไฟ ใจไม่ได้อบรมธรรม ถ้าใจอบรมธรรมเศรษฐีก็ไปสวรรค์เป็นความสุขได้ คนจนเป็นความสุขได้ด้วยกัน
โอ๊ย เราเป็นห่วงจริงๆ นะ เป็นห่วงพี่น้องชาวพุทธเรา พระพุทธศาสนาเป็นธรรมชาติที่เลิศเลอมาแต่ไหนแต่ไร แต่ครั้นแล้วมันก็ไปดีดไปดิ้นงมเงาอยู่ข้างนอก ตัวจริงไม่มาสนใจ คือรักษาใจอบรมใจให้มีหลักมีเกณฑ์ พอตั้งหลักตั้งฐานขึ้นได้เป็นที่แน่ใจแก่ตัวเองบ้าง มันไม่ได้มาอบรม มันคว้าตั้งแต่ภายนอกซึ่งเป็นเงาๆ แล้วก็ทำความเหลวไหลให้แก่ตัวเองจนกระทั่งวันตายไม่มีหลัก ตายไปเปล่าๆ ครั้นตายไปแล้วจิตมันไม่ตายซิ มันเป็นนักท่องเที่ยว พอออกจากร่างนี้ปั๊บมันออกไปแล้ว บาปกรรม บุญกรรม พัวพันกันไปแล้ว ถ้าใครสร้างบาปมากมันก็หมุนติ้วลงไปเลย สร้างบุญมากก็หนุนกันขึ้นไปเลย
จิตไม่เคยตายแต่ไหนแต่ไร ไม่เคยมี จิตดวงนี้ไม่เคยตาย นี่เรียกว่าจิตเที่ยงในความไม่ตายของมัน แต่ไม่เที่ยงเพราะสิ่งพาให้แปร เช่นไปเกิดที่นั่นที่นี่ สูงๆ ต่ำๆ ได้รับความสุขความทุกข์ บีบบี้สีไฟใจ และส่งเสริมใจให้ได้รับความสุขมันก็เลยกลายเป็นจิตไม่เที่ยง นั่น มันไม่เที่ยงเพราะอาการที่เกี่ยวข้องกับจิต ถ้าจิตได้ลงความบริสุทธิ์เต็มที่แล้วเที่ยงไม่เที่ยงก็รู้เอง เป็นขึ้นทันทีเลยเที่ยง ตรงเป๋งเลย นั่น อย่างพระพุทธเจ้าตรัสรู้ พระอรหันต์ตรัสรู้ นั่นละตรัสรู้ถึงความเที่ยงของจิต จิตหมดสมมุติโดยประการทั้งปวงแล้วเที่ยง ตั้งกัปตั้งกัลป์กี่กัปกี่กัลป์ก็เที่ยงอยู่อย่างนั้น ไม่มีเอนเอียง
นี่ผลแห่งการบำเพ็ญความดีของเจ้าของ หลายครั้งหลายหนทุกข์ยากลำบากเราก็ทนเอา หลายครั้งหลายหนมันก็ได้มากขึ้นๆ จนกระทั่งถึงความเที่ยงของจิตวิมุตติหลุดพ้น พ้นไปเลย ไม่ต้องมาวกเวียนเกิดตายแบกหามกองทุกข์ ดังที่เคยเป็นมานี้ตั้งกัปตั้งกัลป์ จึงควรที่จะอบรมเจ้าของของเราเอง วันหนึ่งๆ เราจะมัวตั้งแต่ดินฟ้าอากาศ มัวตั้งแต่พวกแดดพวกดินพวกลมวัตถุต่างๆ แล้วเพลินกับเขา ครั้นตายแล้วสิ่งเหล่านี้เขาไม่ได้ไปนรกสวรรค์ ไอ้ผู้ที่เราไปเพลินกับเขานั้นแหละมันไป มันอยู่ไม่เป็นสุข ออกจากเพลินในสิ่งที่เราเห็นอยู่นี้แล้วมันก็ไปโดนเอาสิ่งที่เราไม่เห็นนั้นละ ที่ว่าไม่มี บาปไม่มี บุญไม่มี นรกสวรรค์ไม่มี แล้วมันก็ไปโดนเอาแต่สิ่งที่ชั่วนั่นแหละ ใจเรานี่มันไปได้ทุกแห่ง มันเป็นนักท่องเที่ยว ทำดีก็ไปแบบอัศจรรย์ ทำชั่วก็ลงแบบอัศจรรย์อีกแบบหนึ่งเหมือนกัน
ให้พากันอบรมจิตตภาวนาบ้างนะทุกคนๆ เช่นอย่างมีวัดมีวา เรามาอย่างนี้ก็เพื่ออบรมจิตตภาวนาให้สงบใจ อย่างอื่นไม่สำคัญ ขอให้ใจสงบเท่านั้นอะไรก็หมดความหมายไปเลย มันไม่สงบอยู่ที่ใจนี้ก่อกวนตลอดเวลา พอตัวนี้สงบการก่อกวนตัวเองลงไปแล้วจะสงบเย็น ปลงใจลงได้เลยสบาย นั่น มันอยู่ที่ใจนะความสบาย ความทุกข์ความลำบากก็อยู่ที่ใจ ชำระสิ่งเป็นเหตุให้เกิดทุกข์คือกิเลสประเภทต่างๆ ที่มันแสดงความวุ่นวายอยู่ตลอดเวลาออกได้เป็นลำดับแล้วจิตของเราสงบลงก็เย็น เย็นทีเดียว
มีแต่กินไปนอนไปวันหนึ่งๆ เพลิดเพลินไปตามดินฟ้าอากาศเป็นเงาๆ ไปอย่างนั้น ไม่เกิดประโยชน์อะไร แล้วมันก็จะตายด้วยกันทุกคนด้วย ถึงวันเวลาแล้วไม่มีใครห้ามได้ละ มันตายด้วยกัน เราจะตายแบบไหนล่ะ ถามตัวเองบ้างซิ มาเกิดนี้มันก็เป็นคนละแบบๆ เป็นมนุษย์เหมือนกันก็ตาม แต่มันหากเป็นอยู่รูปร่างนิสัยวาสนาความสุขความทุกข์ ความโง่ความฉลาด เป็นอยู่คนละแบบๆ ภายในตัวของบุคคลแต่ละคนๆ มันไม่ได้เหมือนกันนะ ถึงเกิดมารูปร่างว่าเป็นมนุษย์ มองเห็นด้วยตานี้ก็ตาม แต่จริตนิสัยความหยาบ ความละเอียดของความดีความชั่วมันมีอยู่ด้วยกัน ถ้าใครได้ตั้งใจอบรมจิตใจให้สงบเย็นแล้วคนนั้นจะเย็น อยู่ที่ไหนก็สบาย ตายแล้วก็เป็นสุขไปเลย ให้พากันอบรมนะ
ชาวพุทธเราเหลวไหลมาก เกี่ยวกับเรื่องด้านอบรมจิตใจจนอดวิตกวิจารณ์ไม่ได้ ศาสนาใดที่จะเลิศยิ่งกว่าพุทธศาสนาเรายันได้เลยว่าไม่มี พูดได้คำเดียวเท่านี้ เป็นศาสนาคู่โลกคู่สงสารนำสัตว์ให้หลุดพ้นจนถึงนิพพานได้ตลอดมา พุทธศาสนานี้เป็นศาสนาของผู้สิ้นกิเลสรู้แจงแทงทะลุ สอนอรรถสอนธรรมด้วยความถูกต้องแม่นยำ ผิดเป็นผิดทันที ถูกเป็นถูกเลย สอนตรงไหนไม่มีผิดพลาด คือพุทธศาสนา เรื่องศาสนาที่มีกิเลสนั้น สอนว่าถูกมันก็ไม่ถูก กิเลสพาผิดอยู่ในใจ เจ้าของถูกใจชอบใจอะไรก็สอนคนอื่นเขาให้ทำอย่างนั้นๆ ทั้งๆ ที่ผิดก็มี นั่น เพราะกิเลสมันบ่งบอกว่าถูกไปเสีย ดี ชอบใจตัวเองแล้วก็สอนคนอื่นให้ทำ ทีนี้เมื่อเขาเชื่อถือทำตามเราก็เป็นบาปตามเราอีก เลยบาปไม่มีสิ้นสุด มาสอนศาสนาก็สอนคนให้ผิดๆ พลาดๆ สร้างแต่บาปแต่กรรมเต็มศาสนานั้นๆ มีเยอะ
สำหรับพุทธศาสนานี้ไม่มี นอกจากมันดื้อด้านเอง ผู้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วแหวกแนวไปทำความชั่วช้าลามก ที่พระองค์สอนให้งดให้เว้น มันกลับไปสั่งสมขึ้นมาเสีย อย่างนี้มี แต่ที่จะให้พระพุทธเจ้าสอน แล้วทำตามที่ท่านสอนนั้นผิดไปอย่างนี้ไม่มี มันผิดสำหรับสัตว์มันดื้อด้านต่างหาก ท่านสอนให้ทำอย่างหนึ่งมันกลับไปทำอย่างหนึ่งเสีย ผลมันก็ได้มาคนละแบบ
คำสอนพระพุทธเจ้าท่านจึงเรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วๆ ไม่มีผิดมีพลาด จะเห็นได้ชัดในภาคปฏิบัติแม่นยำมากทีเดียว เราปฏิบัติทางด้านจิตใจ เวลาปฏิบัติไปความรู้ความเห็นที่เป็นขึ้นภายในใจ จะเป็นขึ้นจากภาคปฏิบัติจิตตภาวนา มันจะรู้ขึ้นแปลกๆ ต่างๆ สิ่งที่ไม่เคยรู้ รู้ ไม่เคยเห็น เห็นขึ้นมา อย่างจริงอย่างจังไปตลอด อย่างพวกเปรตพวกผีสัตว์นรกอเวจีมันน้อยเมื่อไร โห โลกมนุษย์เราสู้พวกนี้ไม่ได้นะ จำนวนมาก มากกว่านี้เป็นไหนๆ แต่เราก็ไปลบล้างเสียว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มี ก็ยิ่งมีการส่งเสริมความประมาทให้มากขึ้น ทำแต่ความชั่วช้าลามก มันก็ไปเป็นเปรตเป็นผี ไปกองกันอยู่ในนรกเพิ่มเข้าไปอีกอยู่อย่างนั้นแหละ
ถ้าเชื่อตามพระพุทธเจ้าแล้วต่างคนต่างสำรวมระวัง ตัดทอนการลงฝ่ายต่ำออกได้โดยลำดับๆ ให้นรกเบาบางบ้างซิ เรามีแต่จะไปเหมานรกว่าไม่มีๆ สัตว์แน่นอยู่ในนรกจมอยู่ในนั้นจำนวนเท่าไหร่ ไอ้เราก็เคยไปจม ฟื้นขึ้นมาแล้วก็เหมือนไม่เคยตกนรก กิเลสปิดหูปิดตาไม่ให้รู้ร่องรอยของตัว มันทำบาปทำกรรมด้วยความดื้อด้าน แล้วก็ไปจมอีกอยู่อย่างนั้น จมแล้วจมเล่าอยู่อย่างนั้น ไปสวรรค์ก็เคยไป เว้นแต่ไปนิพพานหรือพรหมโลก ๕ ชั้น ถึงอันนี้แล้วแน่ แน่ต่อความหลุดพ้นจากทุกข์ นอกนั้นมีผิดมีพลาดได้
ให้พากันอย่างน้อยก็เวลาจะหลับจะนอน ให้พากันอบรมจิตใจให้สงบด้วยการภาวนาบ้างนะ เช่นใครเคยชินกับนิสัยตัวเองด้วยธรรมบทใด เช่น พุทโธ ธัมโม หรือสังโฆ หรืออานาปานสติ หรือธรรมบทใดก็ตาม เรานำมาบริกรรมตั้งสติไว้กับธรรมบทนั้นให้จิตติดอยู่นั้นไม่ให้ออกคิดไปนอกลู่นอกทางแล้วจะพาสงบได้ ถ้าจิตสงบได้ก็หมดการกวนตัวเองในเวลานั้น ไม่มีอะไรกวน มีแต่ความสบายเย็นไปหมด พากันอบรมนะ เราเป็นห่วงมาก
พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เลิศเลอ แก่นของพุทธศาสนาก็คือภาวนา แต่ไม่ค่อยได้สนใจกันกับแก่นพุทธศาสนาคือการภาวนา พอลูบๆ คลำๆ ตามกิ่งตามก้านไปข้างนอกนั้นเสีย ผลที่ได้มันไม่สมใจเหมือนการภาวนานะ การภาวนานี้สมใจเป็นลำดับ จะประจักษ์ในหัวใจ เมื่อรู้ชัดๆ แล้วไม่ทูลถามพระพุทธเจ้า นั่นฟังซิ ทีแรกก็อาศัยคำสอนของท่าน ปฏิบัติไปตามคำสอน รู้ไปเห็นไป รู้ไปยังไงก็แบบที่พระพุทธเจ้าทรงรู้แล้วๆ มันก็รู้ไปอย่างเดียวกัน พ้นไปอย่างเดียวกัน แน่ะ ก็อย่างนั้นละ
วันนี้จะไม่พูดอะไรมากละ ให้บรรดาพี่น้องทั้งหลายอบรมภาวนา วันนี้มาวัดมาวามาอบรมจิตใจกัน ให้ภาวนาอบรมใจให้สงบเย็นบ้าง เรามาในวัดนี้มาเพื่อสั่งสมคุณงามความดี อย่ามาหลับมานอนเฉยๆ ให้ตั้งหน้าตั้งตาฝึกฝนอบรมจิตใจตัวดิ้นตัวดีดตัวคึกคะนองที่สุดคือใจ ให้ฝึกด้วยธรรม อย่างอื่นฝึกไม่ได้ ต้องเอาธรรมเข้าฝึก ใจจะสงบเย็นเข้ามาได้ เอาเท่านั้นละวันนี้ ไม่พูดมาก พอละ มันเหนื่อยมันไม่อยากพูดอะไรนะ มันหากเป็นในธาตุในขันธ์นี่ละ อ่อนเหนื่อย ไม่อยากพูด เอ้ากราบเสีย อยากจะกลับก็กลับได้
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
และเครือข่ายทั่วประเทศ |