เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม กรุงเทพฯ
คืนวันที่ ๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๖
รบกันมีแต่ความพินาศฉิบหาย
สำหรับดอลลาร์เรานั้นเวลานี้ขาดอยู่ ๒๐,๐๐๐ ที่จะถึง ๔๐๐,๐๐๐ นะ เรากำหนดไว้ว่า ๓๐๐,๐๐๐ ขาดไม่ได้ กับทองคำ ๕๐๐ กิโล ขาดไม่ได้ ส่วนที่จะเพิ่มตรงนั้นก็แล้วแต่จะเพิ่มเท่าไร แต่เราคาดไว้ ถ้าทองคำเพิ่มขึ้นถึง ๕๐ กิโล เราจะเอาบวกกัน ทีนี้พอมองเห็นทองคำอยู่เดี๋ยวนี้นะ ยังไม่ได้ถึง ๕๐-๖๐ กิโลอะไร พอเห็นทองคำน้ำลายแตกปากออกแล้ว คว้าเลยนี่จะเอาแล้ว ๒ แท่งก็เอา ๓ แท่งก็เอา เท่าไรเอาเรื่อยเลย ดอลลาร์กำหนดไว้ว่าให้ได้ ๓๐๐,๐๐๐ เป็นอย่างน้อยขาดไม่ได้ นี่เรียกว่าขีดเส้นตายไว้เลย นี่มันได้ถึง ๓๘๐,๐๐๐ แล้วนะ ยังเหลืออีก ๒๐,๐๐๐ จะเอาให้ได้ ๔๐๐,๐๐๐ เราคิดว่าจะได้แน่ ๆ ตกลงทองคำเราก็จะได้ ๕๒๕ กิโล ดอลลาร์ได้ ๔๐๐,๐๐๐ พอใจละในคราวนี้ เป็นระยะ ๆ ไป
เราดูว่าพูดบ้างเล็กน้อยกับบรรดาพี่น้องทั้งหลายตอนท้าย ๆ มานี่ แต่ก่อนไม่ได้พูดเลย มีแต่ดัน ๑๐ ตัน เราไม่ได้แย็บออกมาเลย ทีนี้พอ ๑๐ ตันนี่ใกล้เข้ามาๆ ใกล้จะสมหวังเข้ามา อันนี้เลยแย็บแฝงกันออกมาอีกว่า ตอนที่เราไปดูทองคำในคลังหลวงนั้น ทองคำที่มีอยู่เวลานั้นมีน้อยด้วย แล้วคี่ด้วยไม่คู่ มันเป็นคี่ เราก็ทิ้งอันนั้น คี่ไม่สนใจมันแหละ เอาแต่จำนวนนี้ก่อน ให้ได้ ๑๐ ตัน จึงพูดแต่นี้ตลอดมา ทีนี้ถ้าหากว่ามันมีเศษเหลือที่จะไปอุดตรงที่คี่ให้เป็นคู่ขึ้นมานั้นเราก็พอใจ เพราะฉะนั้น เวลาทองคำได้น้ำหนัก ๑๐ ตันแล้วสำหรับเรานี้เรียกว่าหยุดทันที น้ำหนักทองคำ ๑๐ ตัน และดอลลาร์ ๑๐ ล้าน แล้วหยุดทันที ตามคำสัตย์คำจริงที่ได้ให้พี่น้องทั้งหลายไว้
ส่วนที่เศษที่เหลือนั้นที่ท่านผู้มีศรัทธารักชาติ และรักความเสียสละจะบริจาคมามากน้อย เราพอใจรับตลอดไป แต่สำหรับที่จะให้เรารบกวนพี่น้องทั้งหลายดังที่เป็นมานี้จะไม่ทำอีก จะหยุดเพียงเท่านั้น สำหรับที่ได้มาจากนี้เรียกว่าเพิ่มไปอีก จากคู่นี้ให้เป็นคู่ข้างหน้า ข้างหน้ามีคี่อยู่นั่นละ เราก็จะเพิ่มอันนั้นเข้าไป ได้แค่ไหนก็เอา จะให้ขีดแน่นอนไม่ได้นะ ได้เรียนให้พี่น้องทั้งหลายทราบว่า เวลานี้ทองคำเรายังอยู่ในคลังหลวงนั้นมีคี่อยู่ ยังไม่คู่ เช่นอย่าง ๙ ได้มา ๑๐ ตันนี้มันก็เป็น ๑๙ อยู่นั่น ได้มาอีก ๑๐ ตันก็เป็น ๒๙ ก็ ๒๙ อยู่เรื่อย มันไม่คู่สักที
เราอยากจะให้ปิดตรงนั้น อุดตรงนั้น ให้มันคู่ สมมุติว่า ๙ ก็ ๑๐ เลย หรือ ๑๙ มาอีกอันหนึ่งก็ ๒๐ เลย พอใจเต็มที่ แต่เราไม่พูด เพราะเราพูดในจุดนี้แล้ว ต้องเป็นจุดนี้ อันนั้นเป็นกรณีพิเศษ จะได้เท่าไรก็ปล่อยให้เป็นไปตามนั้นแหละ ส่วนที่กำหนดไว้นี้ ต้องเรียกว่าเอาจริงเอาจังมากทีเดียว ปักลงในจุดนี้ ส่วนเศษเหลือที่มันคี่นั้นมันจะได้มากน้อยเพียงไร เราก็รับไปตามที่เกิดที่มีนั้นแหละ วาสนาเมืองไทยเราก็มีแต่คนบุญนี่นะ เมืองพุทธศาสนาด้วย คนนั้นอุดคนนี้ยาเข้าไป มันก็จะเข้าไปถึงคู่จนได้นั้นแหละ
ถ้าได้ทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตันนี้แล้วเรารู้สึกว่าค่อยอบอุ่นขึ้นภายในจิตใจ เพราะไปดูทองคำเองนะ ตั้งแต่วันไปมอบทองคำ ดูเหมือนเป็นครั้งแรกเลยละ ไปมอบทองคำ หัวหน้าคลังหลวงนิมนต์เราไปดูทองคำ ท่านก็คงมีหวังอยู่บ้างเพราะเราไปมอบทองคำ จึงได้นิมนต์เราเข้าไปดูทองคำในคลังหลวง เขาบอกว่าในคลังหลวงนี้มีผู้ที่มาเห็นทองคำนี้เพียง ๒ องค์ หนึ่ง สมเด็จพระเทพฯ แล้วก็หลวงตา เราก็เข้าไปดูอย่างละเอียดถี่ถ้วน ออกมาแล้วเราก็ถาม เราบอกย่อๆ เลยว่าทองคำเราที่มีอยู่นั้นมีน้อยมาก นี่ละที่เราตกใจมากทีเดียวนะ มีน้อยมาก แล้วทีนี้ยังเป็นคี่อีกด้วย คี่เราก็ยังไม่สนใจ สนใจแต่จุดที่ว่ามีน้อยมาก
เราจึงต้องพยายามประกาศตั้งแต่บัดนั้นออกมา ในวันนั้นเลยละ ประกาศตั้งแต่บัดนั้นจนกระทั่งบัดนี้ ไม่เคยลดหย่อน ประกาศมาเรื่อยให้ได้ ๑๐ ตัน เมื่อได้ ๑๐ ตันนี้เข้าไปอุดนั้นจะพอหายใจโล่งปอดเราบ้างทั่วเมืองไทยเรา ถ้าหากว่าได้ที่มันคี่ให้มันคู่ขึ้นมานั้นเรียกว่าหายใจเต็มปอด อันนี้เพียงโล่งปอด ยังไม่เต็ม ช่างมัน เอาแค่นี้แหละ ว่าตรงไหนต้องเป็นตรงนั้น ๆ ค่อยเป็นค่อยไป สำหรับดอลลาร์นั้นก็จะให้ได้ ๑๐ ล้าน จากนั้นจะเพิ่มขึ้นมาไม่ว่าดอลลาร์หรือทองคำ เพิ่มมาเท่าไรก็เข้าคลังหลวงเราเรื่อย ๆ
พี่น้องทั้งหลายกรุณาทราบว่าหลวงตาช่วยชาติไทยเราคราวนี้ คือช่วยพี่น้องคนไทยเราทั้งชาติ หลวงตาบริสุทธิ์สุดส่วนนะ ไม่มีอะไรเลยที่จะเป็นความระแคะระคายในจิตใจว่าได้มัวหมอง เพราะความทุจริตจากสมบัติที่พี่น้องทั้งหลายบริจาคผ่านหลวงตามาไม่มี พิถีพิถันเอามากมาย ตลอดมาจนกระทั่งป่านนี้ หลวงตายังนำอยู่ก็ต้องเป็นอย่างนี้ตลอดไป เป็นอื่นไปไม่ได้ว่างั้นเถอะ เราบริสุทธิ์ใจเต็มที่ในการพี่น้องทั้งหลายช่วยบริจาคมาเรื่อย ๆ มาเท่าไรเข้าๆ อันไหนที่ควรจะแยกไปทางไหน แยกไปด้วยเหตุด้วยผลทุกอย่างไม่มีบกพร่องอะไร
ก็ยังอีก ๒ วันที่เราจะรวบรวมทองของเราที่จะให้พอในกำหนดนี้ เช่นอย่างเวลานี้ขาดอยู่ ๕ กิโล ก็เป็นขาดอยู่เพียง ๔ กิโลแล้ว นี่ได้มา ๑ กิโล อันนี้เราจะหนุนเข้าไป ให้ได้เป็น ๒ แท่ง ตกลงก็เป็น ๕๒๕ กิโลคราวนี้ ส่วนดอลลาร์คิดว่าจะไม่ต่ำกว่า ๔๐๐,๐๐๐ ละ เพราะขาดอยู่เพียง ๒๐,๐๐๐ มันควรจะได้จะว่าโลภก็ยอมรับแหละเรา มันควรจะได้ก็ต้องเอาล่ะซิ จะว่าไง เรากำหนดมาตายตัวว่าให้ได้ ๓๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์ ทีนี้ได้มา ๆ มันเขยิบเข้า จวนเข้ามามันก็ยิ่งผ่าน ๓๐๐,๐๐๐ ขึ้นไป เวลานี้เข้าถึง ๓๘๐,๐๐๐ แล้วนะ ยังเหลืออยู่อีกเพียง ๒๐,๐๐๐ จึงคาดว่าจะได้ ถ้ามันจะได้จริง ๆ ก็เอาเสีย คราวนี้ก็ให้ได้ทองคำ ๕๒๕ กิโล แล้วดอลลาร์ ๔๐๐,๐๐๐ ดอลล์ ก็พอใจเป็นพัก ๆ ไปแหละนะ เรื่องหนักหลวงตาหนักจริง ๆ เพราะไม่มีแต่เพียงว่าแต่นำเฉยๆ การคิดการอ่านทุกอย่างก็เป็นไปด้วยกัน แล้วนำด้วยทุกอย่างหลายด้านหลายทาง มันจึงมาหนักอยู่คนเดียว
วันนี้ก็ร้อน ๆ หน่อยนะ แต่มีลมนิดหน่อยไม่ค่อยร้อนเท่าไร รถมาคราวนี้ ๖ ชั่วโมงพอดีเลย มาคราวที่แล้ว ๆ ดูเหมือนขาดอยู่ประมาณ ๑๐ นาทีบ้าง ๑๕ หรือ ๑๐ นาที มาคราวนี้ ๖ ชั่วโมงพอดี เพราะรถตามสายทางมีเยอะ ตั้งแต่โคราชมารถมากเป็นลำดับ ยิ่งผ่านเข้ามานี่ด้วยแล้วยิ่งมากเข้าๆ พอเข้าสระบุรีนี้รถเป็นแผ่นเลย มาเร็วไม่ได้ เรามีแต่นอนเรื่อยมา นอนมาสามพักสี่พัก นอนภาวนามาเรื่อย เราไปในรถเราสบายของเรา ไม่ยุ่งกับอะไร นอนก็ดูหัวใจ เวลานอนก็ดูหัวใจมันดีดมันดิ้นไปยังไง ตัวนี้ตัวเสนียดจัญไรมาก ตัวแสบมากที่สุดคือหัวใจคน หัวใจสัตว์ไม่ต้องพูด เขาไม่รู้วิธีแก้ไขดัดแปลง แต่หัวใจมนุษย์เรานี้รู้วิธีด้วยกันทั้งนั้น มิหนำซ้ำยังได้วิธีที่ถูกต้องแม่นยำ เช่นวิธีของพุทธศาสนานำมาแนะแนวทางให้นี้ เรียกว่าถูกต้องแม่นยำหาที่ตำหนิไม่ได้แล้ว ถูกต้องสุดยอดเลย คือพุทธศาสนา เราจึงควรที่จะได้วิธีอย่างนั้นเข้ามาสู่หัวใจเรา เรามีกำลังวังชาขนาดไหน สิ่งที่จะต้อนรับเราคือแนวทางหรืออรรถธรรมนั้นเรียกว่าไม่บกพร่อง เราพยายามให้ได้มากน้อยเพียงไรก็ควรจะได้นะ
เราไม่ค่อยเห็นปรากฏว่าศาสนาใดที่มีใจเป็นหลักเป็นเกณฑ์ เป็นรากแก้ว เป็นแก่น เหมือนพุทธศาสนาเรา สำหรับพุทธศาสนานี้หยั่งลงถึงจิตเลย ขึ้น มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา สิ่งทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นประธาน สำเร็จแล้วด้วยใจ เวลาแยกออกไป ถ้าใจพาชั่วจะชั่วไปตามๆ กันหมด ไม่ว่าสิ่งใดจากใจนี้พาให้ชั่วไปได้ทั้งนั้น ตัวเองก็ชั่ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับตน สมบัติเงินทอง ทุกอย่างก็ชั่วไป เพราะการกระทำชั่ว ได้มาก็ชั่ว ได้มากได้น้อยชั่วมากชั่วน้อยไปเลย อยู่กับใจ ถ้าใจดีแล้วได้มาก็โดยสุจริตยุติธรรม ได้มากเท่าไรไม่เฟ้อ ได้มาด้วยความดีอย่างนี้ไม่เฟ้อ ถ้าได้มาด้วยความชั่วนี้เริ่มเฟ้อแล้วตั้งแต่เริ่มได้เริ่มเสาะแสวงหา เริ่มเป็นคนเฟ้อแล้ว เป็นคนไร้ค่าไร้ราคา ทั้งๆ ที่จะไปหาราคามาเพิ่มเติมคนไร้ค่า ก็เท่ากับเอาสมบัติมาโปะให้คนตายนั้นแหละ ไม่เกิดประโยชน์อะไร ใจจึงสำคัญ จึงว่ายกให้ใจเลย มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา ขึ้นใจเป็นเบื้องต้นเลย นี่ละพุทธศาสนาสอนใจ
เราก็เป็นลูกชาวพุทธ และได้พุทธศาสนาซึ่งเป็นแก่นศาสนาด้วย ควรจะได้ปฏิบัติต่อตัวเอง ดูความคิดความปรุงของใจ นี่ละตัวสำคัญอยู่ที่ความคิดความปรุง สัญญาอารมณ์หมายนู้นหมายนี้ออกจากใจ คิดปรุงเรื่องได้ เรื่องเสีย เรื่องดี เรื่องชั่ว คิดได้หมด ไม่มีคำว่าอั้น คิดได้ทั้งนั้น คิดได้ทั้งวัน สัญญาอารมณ์หมายกันไป คิดกันไป เกาะกันไป หาที่ยึดที่เกาะให้เป็นสาระแก่นสารไม่ได้ คือหัวใจที่ถูกกิเลส ท่านเรียกว่าสมุทัย แดนแห่งทุกข์ แดนที่ให้เกิดความทุกข์ ท่านเรียกสมุทัย มันอยู่ที่ใจ เมื่อมันอยู่ที่ใจแล้ว มันก็ผลักดันใจนี้ออกให้เสาะแสวงหาผลรายได้ของมัน แต่เป็นความเสียหายสำหรับเราผู้โง่ ได้รับเคราะห์รับกรรมจากกิเลสพาคิดพาปรุง พาเสาะแสวงหาสิ่งต่างๆ ได้มามักจะเป็นแต่ความเสียๆ ได้มาเท่าไรก็ไม่มีคุณค่า ทั้งๆ ที่เจ้าของภูมิใจลมๆ แล้งๆ แต่สิ่งที่ได้มามันเป็นไฟเผาตัวเอง ไม่รู้
พระพุทธเจ้าจึงสอนให้หาด้วยความสุจริตยุติธรรม ดูใจเสียก่อน ก่อนที่จะหาอะไรให้ดูใจ ใจพาคิดทางไหน ใจนี่ส่วนมากจะคิดตั้งแต่เรื่องต่ำ เพราะกิเลสเป็นของต่ำ ขนตั้งแต่เรื่องทุกข์มาให้ตัวเองเรื่อย ๆ ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ ไม่มีสติสตังเลยว่าเราคิดมาทั้งวันนี้ได้คิดดีหรือคิดชั่วประการใดบ้าง ไม่คิด จนกระทั่งหลับ แล้ววันหลังตื่นนอนคิดอีก กิเลสมันติดเครื่องแล้วแต่ตื่นนอน การตื่นนอนของเรานั้นแลคือการเริ่มติดเครื่องของกิเลส แล้วก็คิดไปอีกอย่างนี้ๆ ไปเรื่อยๆ คนคนหนึ่งอายุเท่าไรกว่าจะตาย แล้วคิดแบบเดียวกันนี้ตลอด ถ้าว่าจะหาผลประโยชน์มันก็มีแต่ผลเสียเสียมากต่อมากทุกวันๆ ผลเสียวันนี้ก็ได้ วันหน้าก็ได้ ได้ไปจนกระทั่งถึงวันตาย
ผลเสียทั้งหมดเราเป็นผู้รับเคราะห์รับกรรม จากผลงานที่เราทำมาด้วยความไม่สุจริต ทีนี้เราจะปฏิเสธได้อย่างไรว่า ตายแล้วเราจะไปสู่ที่สมมักสมหมายตายใจได้ทุกอย่าง ไม่มี ต้องผิดหวังไปเรื่อยๆ เพราะเราเริ่มสร้างแต่ความผิดหวังเต็มหัวใจๆ ทั้งวันนี้วันหน้า เดือนนี้เดือนหน้า ปีนี้ปีหน้า ตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งวันตาย เอาจนไปไม่ไหว เอาความชั่วแบกความชั่วไปไม่ไหว ตายแล้วก็จมแล้วจะไปตำหนิใคร สิ่งที่จะจมมันไม่ว่าให้จมนะ มันบอกว่ามีแต่จะเจริญทั้งนั้น ๆ เพราะฉะนั้นสัตว์โลกจึงหลวมตัวทำลงไป หลวมตัวทำลงไปก็เข้าช่องทางที่กิเลสจะเผาสัตว์โลกเรื่อยๆ ไป นี่การทำความชั่ว ทำไม่มียับยั้งชั่งตัว ไม่มีคิดอ่านไตร่ตรองผลได้ผลเสียพอได้หักห้ามกันบ้างในทางความไม่ดี ปล่อยให้ไปแต่ความชั่ว มันก็มีแต่ความชั่วไหลเข้าทุกวี่ทุกวัน ตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งวันตาย ตายแล้วมันก็จมละซี เพราะมันขนมานาน
กว่าจะหมดกองทุกข์ทั้งหลายที่ตัวเองเป็นผู้ขนมาทับตัวเองนั้น ไม่ทราบว่ากี่ปีกี่เดือน ปีก็ปีทิพย์ ตั้งกัปตั้งกัลป์แล้วค่อยพ้นมา พอจะลืมตาอ้าปากได้บ้าง เอ้ากิเลสมันก็ยัดความชั่วไสเข้าไปอีกแล้ว ก็ทำแต่ความชั่วตกแล้วตกเล่า จนเขาเรียกพี่ชายหรือพี่เบิ้ม นักโทษมันติดคุกติดตะรางเสียจนชินจนชา ติดแล้วออกไปไม่กี่วันมาติดอีกแล้ว มาติดอีกแล้วเขาเลยเรียกลูกพี่ ไอ้นี่มันติดคุกติดตะรางอยู่ตลอด มันชินต่อตะรางเสียแล้วเขาเลยเรียกลูกพี่ พี่เบิ้ม อันนี้ติดคุกในเมืองผีก็เหมือนกัน ทำแล้วทำเล่าลืมตัวตลอด ก็ไปจมลงในนรก พอโผล่ขึ้นมาแล้วก็ไปทำความชั่วอีก ลงไปอีกๆ มันก็เลยมีตั้งแต่พี่เบิ้มละซิในนรก เต็มไปหมดมีแต่ลูกพี่ ๆ ให้เป็นลูกน้องไม่มี มีแต่ลูกพี่ สั่งสมแต่ความชั่วเผาตัวเอง
คำศาสดาสอนมันไม่ฟังนะกิเลส มันจะตามกิเลสอย่างเดียว เพราะฉะนั้นสัตว์โลกจึงไม่มีคำว่าเข็ดหลาบอิ่มพอในความชั่วทั้งหลาย จมกันไปเรื่อย ๆ อย่างนี้ ทีนี้เวลาเรารู้เนื้อรู้ตัวพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงละที่นี่ เพราะเราเป็นผู้รับผิดชอบในตัวของเรา นตฺถิ อตฺตสมํ เปมํ ความรักอื่นเสมอด้วยความรักตนไม่มี คือความรักตนนี่เป็นเยี่ยมทุกคน เราก็ต้องมีคัดมีเลือก สิ่งใดที่จะเข้ามาหาเรา เราเป็นผู้รับ ดีก็รับ ชั่วเราก็รับ เราจึงต้องคัดเลือกหาสิ่งที่ดีเข้ามา เพื่อบรรเทาความไม่ดีทั้งหลายลงบ้างๆ หนักเข้ากว่านั้นก็มีแต่ความดี ความชั่วมีน้อยลงๆ มีแต่ความดีมากขึ้นก็เด่นขึ้น
ใจตัวนี้แหละนะ ใจตัวพาสัตว์ให้เกิดให้ตายไม่หยุดไม่ถอย ไม่มีคำว่าป่าช้า คือใจดวงนี้ไม่เคยตายกับใคร ร่างกายจะตาย ตายลงไปก็เป็นธาตุสี่ดิน น้ำ ลม ไฟ สลายลงไปธาตุเดิมของเขา จะว่าเขาตายเขาก็ไม่ตาย เขาสลายจากส่วนผสมเท่านั้น เมื่อจิตออกไปแล้วเหล่านี้ก็จะลงสภาพเดิม พวกเป็นธาตุน้ำก็เป็นน้ำตามเดิม ธาตุไฟก็เป็นไฟ ธาตุดินเป็นดิน ธาตุลมเป็นลม จิตออกแล้วไปกับบาปกับบุญแล้ว ไปกับบาปก็พากันหมุนตัวลงนรก ถ้าไปกับบุญก็หมุนขึ้นไปสู่สวรรค์ชั้นพรหมจนกระทั่งถึงความพ้นทุกข์ นี้คือไปกับบุญจากการคัดเลือกตัวเองด้วยดี ไม่ทำเอาแบบสุกเอาเผากิน เราก็มีส่วนเหลือที่เราจะได้รับผลประโยชน์จากการกระทำของเรา
สังเกตบ้างจิตใจเรามันฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมนะ วัยแก่มันไม่แก่นะจิตใจ เราอย่าเข้าใจว่าจิตใจของคนจะแก่ไปตามวัย วัยนี้มันมีสังขารร่างกายเป็นเครื่องวัดกัน เด็กเกิดขึ้นมาทีแรกเป็นยังไงตัวแดง ๆ ต่อมาก็ค่อยเติบโตขึ้นเพราะมีการบำรุงรักษาก็เป็นผู้ใหญ่เหมือนเราๆ ท่านๆ จากนั้นก็เฒ่าแก่ชราคร่ำคร่าลง อ่อนลงๆ นี่ร่างกายมีวัย สุดที่จะไปได้แล้วก็ตาย แตกสลายลงไป ส่วนจิตไม่มีวัยไปเรื่อยเลยตลอด ไปดีไปชั่ว สัตว์ไม่มีว่างจากการไปดีไปชั่ว ไปเพื่อความสุขหรือความทุกข์ ไม่มีว่าง แต่ไปเพื่อความทุกข์มีมากกว่าไปเพื่อความสุข เพราะอำนาจของกิเลสมันกล่อมสัตว์โลกได้ดีมากนะ ธรรมมาสอนโลกเป็นกาลเป็นเวลา กิเลสสอนโลกสอนเป็นประจำ เพราะฉะนั้นผลมันจึงเหนือกันอยู่ตลอด ผู้ที่จะพ้นทุกข์จึงมีน้อย ผู้ที่จมลงในทุกข์นั้นจึงมีมาก เพราะผลมันต่างกันเนื่องจากกิเลสพร่ำสอนตลอดเวลา
พอตื่นขึ้นมาคิดแล้วอยากจะทำอะไรก็จะทำตามความอยาก แล้วไม่คำนึงว่าผิดถูกชั่วดี อยากฉกก็ฉก อยากลักก็ลัก อยากทำอะไรก็ทำตามความอยาก ไม่คำนึงผิดถูกชั่วดี หาทางหลบหลีกปลีกตัวจนได้ เอาซึ่งหน้าไม่ได้ก็ขโมยเอา อย่างงั้นนะ มันความคิดเอา แล้วขโมยเขาจับได้ก็ติดคุก ถ้าเขาจับไม่ได้มันก็ติดคุกในเมืองผีอยู่ในใจนี้อีกแหละ ขอให้พากันคิดนะบรรดาพี่น้องทั้งหลาย เวลาจะหลับจะนอนควรระลึกพุทโธไว้ในใจ ดูซิใจเป็นยังไง เราจะกำหนดลมหายใจเข้าออกก็ได้ กำหนดลมเข้าก็ให้รู้ ออกก็ให้รู้ หรือเข้าก็พุทโธ ออกก็พุทโธ หรือเข้าว่าพุท ออกว่าโธก็ได้ ให้มีสติอยู่กับใจของเรา นี่ประการหนึ่ง
ประการหนึ่งเราจะนำคำบริกรรม เช่น พุทโธก็ได้ ธัมโมก็ได้ สังโฆก็ได้ หรือมรณัสสติ คือความตายก็ได้ ตามแต่เราที่ชอบในธรรมบทใด นึกอยู่ในนั้นเป็นคำบริกรรมภายในใจ มีสติความระลึกรู้ตัวนั้นแหละติดแนบอยู่กับคำบริกรรม ห้ามไม่ให้จิตคิดไปนอกลู่นอกทางที่เคยคิดมามากต่อมากแล้ว สร้างแต่ความทุกข์ความเสียหายแก่เรา บัดนี้เราจะสร้างความสุขความเจริญแก่จิตใจของเราด้วยคำบริกรรมภาวนาบทใดก็ได้ บังคับสติของเราไว้ให้ดี จิตจะมีความสงบเย็นลงไปๆ เพราะเป็นน้ำดับไฟ คำบริกรรมแต่ละคำ ๆ นั้นคือน้ำดับไฟ ไฟคือกิเลสมันแสดงเปลวขึ้นมาด้วยความคิดความปรุง ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม พุ่งตัวอยู่ตลอดเวลา นี่เป็นไฟ เรานำคำบริกรรมมาทำงานแทนที่กิเลส มันเคยคิดเรื่องของกิเลสเราเอามาคิดเรื่องธรรมเสีย แทนกัน เอาพุทโธเข้ามาแทนเสีย จิตจะสงบเย็น นี่ละจิตได้รับการบำรุงรักษาย่อมมีความสงบเย็นเป็นลำดับลำดามา เราอยากให้พี่น้องทั้งหลายได้ทำ
พุทธศาสนาเอกอยู่ที่จิตใจ จากนั้นก็มาเอกอยู่ที่การภาวนา ผู้ได้สนใจภาวนาจะเป็นผู้ค่อยเข้าใจหลักพุทธศาสนาได้พอประมาณ หรือได้ดี จนกระทั่งถึงขั้นดีเยี่ยมไม่สงสัย ถ้าไม่ภาวนาเลยนี่มันก็กลายเป็นประเพณีไปเสีย ไม่ค่อยได้เป็นชิ้นเป็นอันข้อหนักแน่นจริงๆ เหมือนมีจิตตภาวนาแอบแฝงอยู่ในนั้น ถ้ามีจิตตภาวนาแฝงอยู่ด้วยแล้ว การทำบุญให้ทานก็พิถีพิถัน เราจะเอาอะไรไปทำบุญจิตมันคิดแล้วคิดเล่าเพื่อบุญเพื่อกุศล เรื่องกิเลสที่จะมาแย่งมาชิงเอาไปนั้นมีน้อยมาก นี่ละอำนาจของจิตตภาวนา เชื่อบุญเชื่อกรรมเป็นลำดับลำดาจากการภาวนา ทำบุญมากน้อยนี้ความหวังพึ่งบุญพึ่งกุศลเต็มหัวใจๆ นี่เพราะภาวนาเป็นรากฐานให้การสร้างบุญสร้างกุศล มีทานศีลเป็นต้น มีกำลังมากขึ้น ทำอะไรลงไปก็เต็มเม็ดเต็มหน่วย
แม้ที่สุดการประพฤติตัวอย่างนี้ก็เหมือนกัน มีธรรมคอยเตือน เราอยู่ด้วยความสงบเย็นใจกับภาวนา กลับมาคึกคะนองเวลานี้ไม่ใช่เรื่องเข้ากันได้ นี่ระงับตัวได้นะ ไม่คึกไม่คะนองมากไป นึกถึงพุทธ ธรรม สงฆ์ บทใดก็ได้เข้าสู่ใจ เรื่องความคึกคะนองที่จะเป็นไปในทางเสียหายจะค่อยระงับตัวลงๆ นี่การภาวนามีผลสำคัญอยู่มากทีเดียว บางรายเกิดความอัศจรรย์ขึ้นอย่างตื่นเต้นภายในตัวเอง มีเยอะนะ แล้วแต่ใครจะปรากฏช้าหรือเร็วต่างกัน เมื่อเราบำเพ็ญอยู่เสมอ จะมีวันหนึ่งจนได้ธรรมของการภาวนานี้จะกระเทือนใจเรา พออันนี้ปรากฏขึ้นแล้ว วันนั้นทั้งวันเอิบอิ่ม จิตใจไม่ห่างเหินจากจิตที่สงบร่มเย็นในเวลากลางคืนที่เราภาวนานั้นเลย ไปทำการทำงานจิตก็ประหวัด ๆ อยู่นั้นไม่ไปที่ไหน มันดูดดื่มนะ ยิ่งทำได้มากเข้าๆ จิตก็ยิ่งดื่มไปเรื่อยๆ
ทีนี้มันก็จางออกเรื่องหลอกลวงของกิเลส มันไม่หลอกลวงมากนัก จิตใจก็ค่อยเย็นๆ ท่านจึงสอนลงที่ใจ ใจเป็นตัวเคลื่อนไหว สิ่งที่พาให้เคลื่อนไหวท่านเรียกว่ากิเลส มันฝังอยู่ภายในใจนั้น เวลามันมีกำลังมีแต่กิเลสทั้งนั้นแหละผลักดันออกไปให้คิดให้ปรุงในทางไม่ดีทั้งหลาย ธรรมมีแต่ไม่มีกำลัง สู้กิเลสไม่ได้ คิดเรื่องศีลเรื่องทานการกุศลได้เพียงเล็กน้อย เรื่องกิเลสคิดได้วันยังค่ำ แน่ะมันต่างกัน ต่อเมื่อเราได้อบรมเข้าไปเรื่อยๆ การคิดถึงศีลถึงธรรมคุณงามความดีมันจะคิดมากขึ้นๆ สุดท้ายเป็นไปได้ทั้งวันทั้งคืน จิตใจกับกุศลผลบุญที่เราคิดด้วยความปฏิพัทธ์ยินดี ทีนี้มันก็ชนะกันไปเรื่อยๆ ทางพ้นทุกข์ก็ยิ่งเปิดจ้าขึ้นมาๆ ยิ่งหมุนตัวเข้าไปเรื่อยๆ นี่ละจิตดวงนี้จะพาพ้นทุกข์ เพราะอำนาจแห่งธรรมแห่งกุศลทั้งหลาย อย่างอื่นเราอย่าหวังนะ ที่เราจะหวังพึ่งนั้นพึ่งนี้ดังที่โลกทั่วโลกดินแดนหวังพึ่งภายนอกกันทั้งนั้นแหละ
การพึ่งภายนอกเราก็ไม่ปฏิเสธ การพึ่งภายนอกขอให้มีหลักภายในใจไว้ อย่าพึ่งแต่ภายนอกโดยถ่ายเดียว ให้มีพึ่งภายในคือธรรมด้วย ถ้าผู้เป็นเช่นนี้แล้วจะไม่เสียท่า ภายนอกเมื่อมีชีวิตอยู่ การอยู่การกินหลับนอนนี้ก็ต้องอาศัยสมบัติภายนอก เราก็จำเป็นต้องเสาะแสวงหา สมบัติภายในคือจิต มันไม่ได้อยู่กับตึกรามบ้านช่องถนนหนทางเหล่านั้น มันอยู่กับบุญกับกุศล ถ้าไม่มีบุญมีกุศล จิตใจนี้แม้เราจะทำอะไร เช่นอย่างเรารับประทานอิ่มหมีพีหมาไปก็ตามเถอะ แต่จิตใจจะแห้งผาก เดือดร้อนวุ่นวาย เรียกร้องหาความช่วยเหลือจากเจ้าของ เพราะใจไม่มีอาหาร คือบุญกุศลไม่มี มันต่างกันตรงนี้ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องอุตส่าห์ทั้งสองทาง เพราะธาตุขันธ์เราก็ยังมี เราต้องเสาะแสวงหาเพื่อธาตุเพื่อขันธ์เมื่อมีชีวิตอยู่
นอกจากได้เพื่อธาตุขันธ์แล้ว สมบัติเงินทองเหล่านั้นเรายังแบ่งทาน แบ่งทำประโยชน์ จะเป็นประโยชน์ส่วนใดก็ตาม ก็เป็นประโยชน์เพื่อจิตใจของเราที่เรียกว่าบุญคุณงามความดีนั้นแหละ ใจก็ได้รับส่วนกุศลอันนี้ไม่เดือดร้อน ไม่หิวโหยโรยแรง ไม่เรียกร้องหาความช่วยเหลือ จิตใจก็อิ่มอาหารธรรม อาหารบุญกุศล ธาตุขันธ์ก็เอิบอิ่มไปด้วยสมบัติเงินทองข้าวของที่หลับที่นอนเครื่องใช้ไม้สอย ภายในใจก็เอิบอิ่มไปด้วยบุญด้วยกุศลผลทานที่เราได้ให้ทานมากน้อย ผู้นี้เรียกว่าผู้ที่ไม่เสียท่าเสียที เป็นอยู่ก็ดี ตายไปก็ดี เป็นผู้ไม่เสียท่าทั้งนั้น
จึงควรอบรมจิตใจนะบรรดาพี่น้องชาวไทยเรา หลวงตานี้สงสารทางด้านจิตใจมากทีเดียวนะ ต่างคนต่างดีดต่างดิ้น เห็นกันทั่วหน้าปิดกันไม่อยู่ เพราะต่างคนต่างดีดต่างดิ้นด้วยกัน แต่สิ่งที่จะได้มาให้สมหวังกับความดีดความดิ้นนั้น ได้มาเป็นลมเป็นแล้งไปเสียมากต่อมาก ไม่ค่อยได้เป็นเนื้อเป็นหนังที่ตายใจได้เหมือนธรรมนะ คนที่มีหลักใจนี้ หาภายนอก ภายในใจก็มีหลักอยู่แล้ว ได้มาก็เพื่อร่างกายเพื่อจิตใจ แม้สิ่งเหล่านั้นจะบกบางไปหรือสูญหายไปก็ตาม จิตใจมีธรรมไม่ได้เดือดร้อนมากเหมือนคนไม่มีธรรม คนไม่มีธรรมทุ่มหมดทั้งตัวเลย ถ้าได้มานี้ก็ดีใจจนจะเหาะเหินเดินฟ้า ถ้าเสียไปก็จนจะจมลงนรกทั้งเป็นไปเลย เพราะความร้อนมากในใจ มันต่างกันนะ คนที่มีหลักใจกับไม่มีหลักใจต่างกันมากทีเดียว ให้พากันเสาะแสวงหาหลักใจ
ใจของเรานี้ถ้าลงได้ส่งเสริมเข้าไปมากๆ จนกระทั่งเต็มที่แล้วนี้ ไม่ได้ถามใครแหละน่ะ มันจ้าอยู่อย่างนั้นตลอดเวลาเลย ที่พึ่งอะไร ๆ มันปล่อยกันหมด นี่เห็นไหม อะไรไม่ได้เลิศเลอเหมือนที่พึ่งของใจคือธรรม สิ่งเหล่านั้นเป็นที่พึ่งที่อาศัยชั่วกาลเวลาเล็กน้อย ๆ แต่ใจนี้ได้อาศัยธรรมแล้วหนักแน่นเข้าทุกวันๆ จนกระทั่งธรรมเต็มหัวใจแล้วอิ่มหมด ปล่อยได้หมด ทั้ง ๆ ที่อาศัยเขาอยู่ ถึงเวลากินก็กิน ถึงเวลานอนก็นอนเหมือนโลกทั่วๆ ไป แต่จิตใจไม่เคยหิวโหย ถึงจะตายเพราะความหิวโหยไม่มีอะไรจะกิน ใจก็ไม่เป็นทุกข์ ใจก็เอิบอิ่มด้วยอรรถด้วยธรรมตลอดไป นั่นมันต่างกันนะเรื่องใจ ท่านจึงสอนให้อบรมทางด้านจิตใจ ให้ได้ไปด้วยกันนั้นแหละ เราวิ่งเต้นขวนขวายด้วยธาตุด้วยขันธ์ ด้วยทางด้านจิตใจ ต้องพยายามให้สม่ำเสมอกัน แล้วไปที่ไหนจะเป็นสุข
พระพุทธเจ้าสอนไว้อย่างไรแล้ว อย่าให้กิเลสไปตบหูตบตาไปจมได้เพราะอำนาจของกิเลส ทั้ง ๆ ที่เราเป็นชาวพุทธลูกพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว อย่าหลงกลกิเลสจนเกินไปนะ อันใดที่เราสู้มันยังไม่ได้ยอมรับมันเสียก่อน แต่ยอมรับเพื่อจะสู้ เพื่อจะเอาธรรมพระพุทธเจ้าเข้าสู่จิตใจเป็นความแน่นอน ๆ ตลอดไป สำหรับความรู้ของกิเลสไม่ได้แน่นอนนะ มีมากมีน้อยมีแต่สร้างความสงสัยสนเท่ห์ แล้วอยากจะทำแต่ความผิดพลาดไปเรื่อยๆ ไม่อยากทำความดีนะกิเลสหนาในใจ ส่วนธรรมหนาในใจนี้อยากทำแต่ความดีงามเรื่อยๆ ไป มันต่างกันตรงนี้นะ
เราก็อดวิตกวิจารณ์ไม่ได้ เพราะเราก็ช่วยโลก บวชมาก็ช่วยตัวเองเต็มสติกำลังความสามารถ จนกระทั่งพอใจทุกอย่าง ไม่มีอะไรบกพร่องแล้วในหัวใจ เต็ม ไม่มีอะไรสงสัย คำว่าที่พึ่งหรือไม่ที่พึ่ง ไม่ไปคิดให้เสียเวล่ำเวลาเลย นี่เวลามันเต็มเป็นอย่างนั้นนะจิตใจ ดูโลกดูสงสารดูได้เต็มหูเต็มตาเต็มเม็ดเต็มหน่วย ดูแบบไม่สงสัย ดูด้วยความแม่นยำ เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วก็ทำให้คิดถึงโลกถึงสงสารกว้างขวางออกไป ในบุคคลผู้เสาะแสวงหาความสุขความเจริญ หาอำนาจบาตรหลวง หาความเคารพนับถือ อยากให้เขาเคารพนับถือ อยากมีชื่อมีเสียง อยากให้มีคนเกรงขาม ไปที่ไหนให้เขาเยินยอสรรเสริญเต็มท้องฟ้ามหาสมุทร มุดลงใต้น้ำก็ให้มีใครตามไปชมเชยสรรเสริญ
นี่เรื่องกิเลส ไปที่ไหนชอบยกยอปอปั้นสรรเสริญเป็นประจำๆ ได้มาเท่าไรก็ตาม เงินมีมากมีน้อยถ้าไม่มีคนมาชมเชย สมบัติเหล่านั้นก็เป็นเศษเงินเศษทองไป ถ้ามีคนมาชมเชยแล้วดีอกดีใจ แม้ไม่มีสักสตางค์เขามายกยอว่านี่เขาเป็นเศรษฐีนะ เขาเคยเป็นมาแต่โคตรแต่แซ่นู่นน่ะของเล่นเมื่อไร โอ๋ย เป็นบ้าขึ้นสด ๆ ร้อนๆ นี่ละกิเลสทำคนให้เสียเวลานี้ เป็นอย่างนี้นะ ยิ่งเราก็มาเห็นเหตุการณ์ของบ้านของเมือง นี่พิจารณาซิ เรื่องของกิเลสมันหมุนเวลานี้ มันเป็นยังไงกิเลสหมุน มันจะทำให้โลกมีความสงบร่มเย็นที่ตรงไหน พิจารณาซิ มีตั้งแต่เรื่องที่จะเอาฟืนเอาไฟเผาโลก ทั้งคนโง่คนฉลาด ทั้งคนมีคนจน จะถูกเผาด้วยอำนาจของกิเลสที่มันเป็นตัวฉลาดมากกว่าตัวของเรานั่นแล ให้ล่มจมฉิบหายไปตาม ๆ กัน จึงน่าทุเรศเหมือนกันนะ
คนที่จะเข้ารบเข้ารากัน เกิดข้าศึกสงครามกันอยู่เวลานี้ เรื่องของกิเลสเขาต้องยกนิ้วให้เลยว่า นี่พวกนี้พวกฉลาดสุดยอดแล้ว นี่ความฉลาดสุดยอดของกิเลส จะทำโลกให้พินาศฉิบหายอย่างสุดยอดอีกเหมือนกันไม่สงสัย ไม่เหมือนความฉลาดของธรรม ความฉลาดของธรรมฉลาดมากเท่าไร ยิ่งทำโลกให้มีความสงบร่มเย็นไปตาม ๆ กันหมด ไม่มีคำว่าถือสีถือสา ไม่มีการดูถูกเหยียดหยามกัน นี่เรียกว่าธรรม แม้แต่สัตว์ก็เข้ากันได้ ทำไม่ลง จะไปดูถูกเหยียดหยามทำลายสัตว์ ทำลายไม่ลง ความมีธรรมเข้ากันได้หมดเลย ใจกับสัตว์ทั้งหลายนี้เป็นอันเดียวกัน นิ่มถึงกันเลย นี่ละธรรมเป็นอย่างนั้น
คนที่มีธรรมมีความรู้มากน้อยเท่าไร ก็ต่างคนต่างอาศัยซึ่งกันและกัน ผู้ใหญ่มั่งมีศรีสุขมากน้อย ก็ได้เป็นความร่มเย็นแก่ผู้น้อย ผู้น้อยก็ได้เกาะผู้ใหญ่ไป เหมือนเราเคารพผู้ใหญ่ เหมือนเราเคารพพ่อแม่ของเราที่เลี้ยงเรามาตั้งแต่วันเกิดนั้นแหละ นี่เขาไม่ได้เลี้ยงดูเรา แต่เขามีคุณงามความดี เฉลี่ยเผื่อแผ่ตามคุณธรรมของเขาที่มี ไปที่ไหนก็มีความร่มเย็นเสมอหน้ากัน
ใครเกิดมาในโลกนี้จะชอบความตาย พิจารณาซิ แม้แต่สัตว์ยั้วเยี้ย ๆ อยู่ตามแผ่นดิน มันกลัวความตายทั้งนั้น สัตว์เหล่านี้เขาไม่ได้เรียนนะความตาย แต่เป็นอยู่ในหลักธรรมชาติของสัตว์ให้กลัวตายด้วยกัน พิจารณาซิ ทีนี้เราก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง สูงกว่าสัตว์ขนาดไหนถ้าหากว่าตามความนิยมที่จะยกยอกันนะ แต่สัตว์จะยกยอเราหรือจะสาปแช่งเราก็ไม่ทราบนะ ว่ามนุษย์นี้ตัวร้ายกาจที่สุด ตัวเป็นยักษ์เป็นมารร้ายแรงที่สุด ร้ายกาจที่สุดไม่มีใครเกินมนุษย์ เขาว่าอย่างนั้นเขาก็ว่าได้ แต่เรายังมาลืมเนื้อลืมตัว เพลินตัวเอง ว่าเป็นผู้มีอำนาจบาตรหลวง มีความรู้ความฉลาด สามารถผลิตได้ทุกอย่าง แม้ที่สุดอาวุธนิวเคลียร์นิวตรอนก็ผลิตได้
หาได้รู้ไม่ว่าอาวุธนิวเคลียร์นิวตรอนผลิตขึ้นมาเพื่ออะไร ถ้าไม่เพื่อสังหารตนและคนอื่นแล้วจะเพื่ออะไร ไม่มีอะไรที่จะดีเลย การผลิตสิ่งที่เป็นภัยมาทำลายกันนี้ ไม่มีอะไรเป็นประโยชน์ มีแต่ความพินาศฉิบหายป่นปี้ นี้หรือความรู้ของมนุษย์ที่ว่าฉลาด ฉลาดเพื่อเผาผลาญซึ่งกันและกัน แล้วก็ความรู้อันนี้เลวกว่าสัตว์ไปอีก ไม่ได้เหมือนสัตว์ สัตว์ก็อยู่ตามประสาของเขา มนุษย์นี้มันเลยเถิด ว่าตัวสูงตัวเด่นเท่าไร ยิ่งพองตัวขึ้นไปเรื่อยๆ โลกอันนี้เหมือนว่าอยู่ในกำมือของตัวคนเดียว ทั้ง ๆ ที่โลกไม่ใช่โลกกำมือ มันก็เป็นได้ด้วยความทะนงตัว นี่ละเสียหายมากนะ
ในธรรมท่านก็สอนไว้แล้ว พระพุทธเจ้าท่านไม่เคยชมเชยในการเบียดเบียนทำลายกัน รบราซึ่งกันและกัน ไม่เคย มีแต่การประสับประสานด้วยความเมตตาสงสาร เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน นี้เป็นเนื้ออรรถเนื้อธรรมโดยแท้ ท่านตำหนิติเตียนในการทำความชั่วช้าลามกต่อกัน ให้เกิดความฉิบหายวายปวงไป ในบาลีท่านก็มีแต่เราก็จำได้บ้างไม่ได้บ้าง ในบาลีท่านว่า
โย สหสฺสํ สหสฺเสน สงฺคาเม มานุเส ชิเน
เอกญฺจ เชยฺยมตฺตานํ ส เว สงฺคามชุตฺตโม
การรบราฆ่าฟันกันแห่งมนุษย์ทั้งหลาย ที่เรียกว่ารบกันนี้ จะคูณด้วยล้านก็ตาม ไม่มีอะไรวิเศษวิโส ผู้แพ้สร้างความทุกข์ สร้างการก่อกรรมก่อเวรขึ้นแก่กัน ผู้ชนะก็ไม่พ้นที่จะสร้างกรรมสร้างเวรจากผู้แพ้จนได้นั้นแล ไม่เรียกว่าวิเศษ จะรบกันกี่ครั้งกี่หน ชนะมาตั้งแสนๆ ล้านๆ ครั้งก็เป็นการก่อกรรมก่อเวรกันแสนๆ ล้านๆ ครั้งต่อไปไม่มีที่สิ้นสุดตลอดกาลไหนๆ ไม่มีทางที่จะระงับดับเวรซึ่งกันและกันได้ เอกญฺจ เชยฺยมตฺตานํ ส เว สงฺคามชุตฺตโม การชนะสงครามเหล่านั้นไม่ได้วิเศษวิโสอะไรยิ่งกว่าการชนะตัวเอง คือกิเลสตัวเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ทั้งตนและผู้อื่นนี้ออกจากใจแล้ว นั้นแลชื่อว่าเป็นผู้ประเสริฐสุด
ท่านกล่าวไว้เป็นบทที่สองอีกว่า
น หิ เวเรน เวรานิ สมฺมนฺตีธ กุทาจนํ ตลอดกาลไหนๆ เวรย่อมไม่ระงับเพราะการก่อกรรมก่อเวรกัน อเวเรน จ สมฺมนฺติ เวรย่อมระงับลงเพราะการไม่ก่อกรรมก่อเวรต่อกันต่างหาก นี่พระพุทธเจ้าสอน เราจะหวังเอาสวรรค์วิมานที่ไหนจากการทำร้ายผู้อื่นมาเป็นเครื่องเสวยสุข อย่างนี้ไม่มีทาง นอกจากจะก่อกรรมก่อเวรด้วยกันทั้งสองฝ่าย ผู้แพ้ก็เคียดแค้น ก่อกรรมก่อเวร หมายปองกันด้วยเวรด้วยกรรมต่างๆ ไม่มีลดละตลอดกาลไหนๆ ผู้ชนะก็ระมัดระวังตัว มีภัยรอบด้าน หาความสุขไม่มีด้วยกันทั้งสอง
เพราะฉะนั้นการที่มนุษย์ทั้งหลายที่ว่าตัวเฉลียวฉลาด ควรที่จะมีธรรมนำเข้าไปปฏิบัติเยียวยารักษาฟืนไฟที่เกิดความทะนงขึ้นว่าตัวรู้ตัวฉลาด ตัวมีอำนาจวาสนามาก ให้ลดลงไปในความที่ว่า สพฺเพ สตฺตา อันว่าสัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น สัตว์ในโลกนี้จะเป็นจะตายด้วยกันนั่นแหละ ให้ต่างคนต่างประคับประคอง ให้มีความสุขความเจริญ อย่าทำลายกัน อย่าก่อกรรมก่อเวรกัน อย่าอิจฉาพยาบาทอาฆาตจองเวรซึ่งกันและกัน จงนำตนไปสู่ความสุข ๆ โดยทั่วกันเถิด นี่ธรรมท่านสอนอย่างนี้ ท่านไม่ได้สอนแบบจะเอาไฟเผากันทั้งเป็น อย่างที่เป็นอยู่เวลานี้
นี่น่าวิตกเราพูดจริงๆ เพราะเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องฉิบหายวายปวง ไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะก่อความสุขความเจริญให้แก่ฝ่ายใดเลย ทั้งผู้แพ้ผู้ชนะจะมีตั้งแต่ความทุกข์ความทรมาน และมีแต่เรื่องกรรมเรื่องเวรเผาผลาญกันไปอย่างนี้เรื่อยๆ ดังที่ท่านแสดงไว้ในนิทานนางยักขิณี อันนั้นก็ก่อกรรมก่อเวรกันมาหลายกัปนับไม่ถ้วน เบื้องต้นสัตว์พวกไก่พวกพังพอน สัตว์ก่อกรรมก่อเวรกัน พังพอนมากินลูกไก่ ไก่เวลาจะตายเคียดแค้นที่เขามากินลูกตัวเอง ก็ขอสร้างกรรมสร้างเวรเอาไว้กับพังพอนตัวนี้ ครั้นเวลาตายแล้วก็ไปก่อกรรมก่อเวร เอา เวลาตายลงนี้ ผู้นี้ตายเพราะเสียท่า จะตายก็ก่อกรรมก่อเวรเอาไว้ ต่อไปชาติหน้ากลับมาเป็นผู้ชนะ ผู้ที่แพ้ก็ก่อกรรมก่อเวรมาตลอด จนกระทั่งวาระสุดท้ายเป็นนางยักขิณี
ฝ่ายหนึ่งเป็นยักษ์ ฝ่ายหนึ่งเป็นมนุษย์ มนุษย์นั้นมีลูกคนหนึ่ง อุ้มลูกไป พอดีนางยักขิณีเห็นก็ปรี่เข้าใส่เลยเทียว จะเอาเป็นอาหารว่าง ผู้หญิงคนนั้นไม่มีที่พึ่ง พอดีอยู่ตรงหน้าวัดพระเชตวัน จึงวิ่งเข้าวัดพระเชตวัน พอดีพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่นั่น ทรงรับสั่งให้เข้ามาเดี๋ยวนี้ ไล่กันมาทำไม ทรงชี้หน้าเลย นี่พวกเธอถ้าไม่ได้พบเราตถาคตในคราวนี้แล้ว พวกเธอทั้งสองนี้ยังจะต้องก่อกรรมก่อเวรไปอีกยืดยาวยิ่งกว่าที่เป็นมาแล้วเป็นไหนๆ นี่ก็เป็นการดีแล้ว พระองค์ก็รับสั่งให้เข้ามาหา สั่งสอนเรื่องก่อกรรมก่อเวรนี้ไม่มีชิ้นดีเลย ก่อกันมาเรื่อยอย่างนี้ แล้วยังจะเป็นต่อไปอีก แล้วสอนถึงเรื่องการไม่ก่อกรรมก่อเวรดังที่ว่า น หิ เวเรน เวรานิ สมฺมนฺตีธ กุทาจนํ กรรมเวรตลอดกาลไหนๆ เวรย่อมไม่ระงับเพราะความมีเวรต่อกัน จะก่อกันไปเรื่อยๆ เหมือนลูกโซ่ แต่เวรจะระงับเพราะการไม่ผูกกรรมผูกเวรต่อกัน เรียกว่าเป็นการล้างไปหมด กรรมเวรไม่มีต่อกัน ต่างคนก็มีแต่ความสุขความเจริญ
พอพระพุทธเจ้าประทานพระโอวาทจบลงแล้ว นางยักขิณีนั้นได้สำเร็จเป็นพระโสดาทีเดียว พระองค์ทรงเล็งญาณดู เป็นที่แน่ใจแล้ว นางยักขิณีได้สำเร็จธรรมขั้นต้นแล้ว ยอมรับพระพุทธเจ้า กราบพระพุทธเจ้าอย่างสนิท พระองค์ก็รับสั่ง เอ้าที่นี่ คู่เวรกันน่ะ ทั้งสองนี้เป็นคู่เวรกันมากี่กัปกี่กัลป์แล้ว คราวนี้เป็นคู่บารมีสร้างคุณงามความดีต่อกัน เป็นมิตรเป็นสหายคู่พึ่งเป็นพึ่งตายกัน เอาลูกคนนี้มอบให้แม่คนนั้น แม่นั่นหมายถึงยักษ์ มันจะกินลูกคนนี้ ทีนี้พอได้สำเร็จธรรมขั้นต้นแล้วพระพุทธเจ้าก็รับสั่ง ให้ยกลูกตัวเองนี้ไปให้แม่ใหม่ชมด้วยซี โอ๊ย แม่คนนี้ตัวสั่นแทบเยี่ยวราดไปนั่นละ ก็ลูกกำลังน่ารัก มันไล่มานี้จะกินลูกคนนี้ แล้วกลับจะเอาลูกคนนี้ไปให้มันอีก มันก็จะเคี้ยวต่อหน้าเรานี่ ทีแรกก็ตัวแข็งไปหมดไม่ยอมให้
พระพุทธเจ้าก็ว่า เอ้าให้ พระพุทธเจ้ารับสั่งเลยเทียว เอ้ายื่นให้ ทนพระพุทธเจ้าไม่ได้เพราะความเคารพพระพุทธเจ้า เลยยื่นลูกให้แม่ยักษ์ตนนั้น แม่ยักษ์ตนนั้นก็หอม เวลาแม่ยักษ์ก้มลงหอม นึกว่าแม่ยักษ์จะกินตับลูกตัวอีก ตั้งแต่นั้นมาเลยหายกรรมหายเวร เป็นความสุขต่อไป นี่ละการก่อกรรมก่อเวรกัน ได้สมใจขณะหนึ่ง สิ่งที่ทำให้เสียใจมันหนักมากขนาดไหน ไม่ใช่ของดี
อย่างที่รบรากันนี่ เราหวังอะไรจึงมารบกัน ความตายมันก็มีเต็มตัวอยู่ด้วยกัน ถ้าว่าสมบัติเงินทองข้าวของมากน้อย ใครอยู่เมืองใดบ้านใดก็พออยู่พอกินพอเป็นพอไปด้วยกัน ไปหิวโหยอะไร กระหายอะไร ถึงจะมาฆ่ามาฟันกัน เรื่องศาสตราอาวุธมีเท่าไรเอามาเผากันๆ ทั้งๆ ที่ชีวิตรักด้วยกันแล้วทำไมจึงมาเผากัน โง่ขนาดไหนมนุษย์เรา ควรที่จะนำธรรมเข้าไป ให้มีความเมตตาสงสารกัน สพฺเพ สตฺตา อันว่าสัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ให้ต่างคนต่างเสาะแสวงหาอยู่ดีกินดีด้วยกัน ตามกำลังนิสัยวาสนาของตน สัตว์โลกก็จะอยู่ด้วยกันเป็นสุขๆ เพราะอำนาจแห่งความมีธรรมย่อมมีเมตตาจิตด้วยกัน โลกทั้งหลายก็จะเป็นสุข
นี่เราถ้าหากว่าห้าม เราห้ามนานแล้วแหละ ที่มันเป็นอยู่เวลานี้นะ ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย โลกนี้จะเกิดความเดือดร้อนสะทกสะท้านไปหมดทั่วดินแดน เห็นไหมล่ะ แล้วความฉิบหายวายปวงก็มีอีกทั่วประเทศเขตแดน แล้วหาความดีที่จะมาเป็นหลักเป็นเกณฑ์สมกับที่เสียสละรบรากันนั้นมันก็ไม่มี ได้อะไรมาก็คนมันตายไปหมดแล้ว ได้มาก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดประโยชน์ เอามาพอกพูนคนตายเท่านั้นเองไม่เกิดประโยชน์อะไร เราจึงอยากจะให้หยุดกันเสีย เราอยู่อย่างนี้ไม่เกิดสงครามก็พออยู่พอกินกันแล้วแหละ อาหารการกินบ้านใดเมืองใดมีอยู่ด้วยกัน พออยู่ด้วยกัน พอใช้ด้วยกัน ไม่ควรที่จะมีความโลภโมโทโสโทสาจนเกินเหตุเกินผล ถึงขนาดว่าโลภมากแล้วเอาไฟเผากัน เพื่อจะร่ำรวยสวยงาม เพื่อจะมาเสวยความดิบความดี มันมีความดิบความดีที่ไหน มีแต่ฟืนแต่ไฟ มันตายด้วยกัน ฉิบหายด้วยกัน เราจึงไม่อยากให้ทำ
พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้อย่างนั้น ความสงบร่มเย็นในครอบครัวหนึ่งๆ แม้ที่สุดพ่อแม่ไม่ทะเลาะกันก็เย็นแล้ว ลูกเล็กเด็กแดงในครอบครัวเย็นกันหมดนะ แล้วครอบครัวใดต่างคนต่างเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันแล้ว ครอบครัวนั้นๆ จะเย็นไปหมด ไม่ว่าบ้านใดเมืองใด ต่างคนต่างรักกันเท่านั้น ผัวใครเมียใครลูกใครหลานใครรักกัน ให้ต่างคนต่างปฏิบัติตามระบอบแห่งผู้มีศีลมีธรรม รักกันด้วยศีลด้วยธรรมเถิด โลกนี้จะมีความสุขความเย็นใจ แต่การรบราฆ่าฟันกันไม่มีคำว่าเย็นใจ มีแต่ความพินาศฉิบหายโดยถ่ายเดียว หาความเป็นมงคลไม่มีเลย จึงไม่ควรจะไปตัดสินใจในสิ่งที่เหลวแหลกอย่างนั้นมาเป็นความมงคลแก่ตน มันเป็นโลกพินาศ โลกฉิบหาย จึงไม่ควรอย่างยิ่ง
วันนี้ก็พูดถึงเรื่องจิตใจเป็นสำคัญ จนกระทั่งถึงเรื่องฆ่าฟันรันแทง ก็เพราะจิตใจมันโหดร้ายทารุณ จิตใจมันโลภในสิ่งที่จะได้มา หวังจะได้มาเท่านั้นเท่านี้ ไม่สมใจก็โกรธเคียดแค้นเข้ามาๆ สุดท้ายก็พังกันไปทั้งนั้นแหละ จะมีใครดีไม่มี ในวงสนามรบกันไม่มีใครดี มีแต่ถ่านฟืนถ่านไฟ อีแร้งอีกามันก็หนีไปหมด มันกินไม่หวาดไม่ไหว กินคนฉลาดฆ่ากัน เอาละวันนี้เทศน์เพียงเท่านั้นพอ เหนื่อย
ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาทุกวัน
ได้ที่ www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
|