คนตาดีตาบอด คนใจดีใจบอด
วันที่ 18 เมษายน 2546 เวลา 18:45 น.
สถานที่ : กุฏิกลางน้ำ สวนแสงธรรม
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม

เมื่อวันที่ ๑๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๖ [ค่ำ]

คนตาดีตาบอด คนใจดีใจบอด

 

         คนตาบอดเรียนเหมือนคนตาดีเรียน ส่วนคนใจบอดนั้นไม่เห็นสนใจเรียนกันเลย พวกใจบอดเต็มโลกเต็มสงสารไม่เห็นใครเรียนกัน เห็นคัมภีร์พระพุทธเจ้าแล้ววิ่งเข้าป่า ชนต้นไม้ก็ยอมชน ขอได้พ้นภัยก็เอา พ้นภัยคือเรียนธรรม ใจบอดให้เป็นใจสว่างขึ้นมา มีแต่คนใจบอด อันนี้โลกไม่มองกันนะ ใจบอดนี้ไม่มองกันเลย เพราะฉะนั้นจึงมีแต่โลกใจบอดทั้งนั้น ธรรมพระพุทธเจ้าจ้าขึ้นมาเพื่อให้คนใจดี ส่องแสงสว่างให้รู้ดีรู้ชั่ว รู้บุญรู้บาป ละเว้นไปตามสิ่งที่เห็นว่าเป็นภัย แล้วบำเพ็ญในสิ่งที่เห็นว่าเป็นประโยชน์เพื่อให้ใจดีไม่ใช่ใจบอด ตาดี ตาบอด ใจดี ใจบอด

ใจของเราก็เหมือนกับคนตาบอด ไม่ผิดกันนะ คือมันก็รู้ไปตามประสีประสาของคนใจบอด ทั้งๆ ที่ใจบอดอยู่นั้นมันหยิ่งไม่มีใครเกินคนใจบอดนะ เย่อหยิ่งจองหองคนตาบอด ก็เหมือนกับคนใจบอดเหมือนกัน คนตาบอดไปนี้มันไม่ได้กลัวอะไรแหละ โดนดะไปเลย แม้ที่สุดไปโดนต้นไม้ เดินไปไม่เห็นต้นไม้ โดนหงายหมาลงไป หงายไม่เป็นท่าเขาเรียกหงายหมา ถ้าเห็นอยู่บ้างก็พอหลบหลีก ไอ้หงายมานี่หงายโดนเอาอย่างจังๆ พอหงายลงแล้วจะยอมรับตนว่าตาบอดไม่เห็นต้นไม้มันไม่ว่านะ มันยังขึ้นอีกช่องหนึ่งที่เราไม่เคยคาดคิดนะ มันขึ้นว่าไง

พอโดนปั๋งล้มทั้งหงายลงมานี้ ยังว่า ต้นไม้ต้นนี้สมหวังกูแล้ว กูพยายามโดนมาตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว ฟังซิน่ะ มันว่าพยายามโดนมาตั้งแต่เมื่อวาน แล้วมองดูต้นไม้มันก็มองไปโน้น ตามันไม่เห็น มันอย่างนั้นละมันหยิ่งคนตาบอด โม้เก่งนะคนตาบอดเพราะไม่อายใคร ทีนี้เวลาจิตมันด้านมันก็ไม่อาย นอกจากไม่อายบุญอายบาปยังไม่อายใครทั้งนั้น หน้าด้านที่สุดคือคนใจบอด พวกใจบอดนี่พวกหน้าด้านสันดานหยาบ ที่ทำความชั่วช้าลามกทั้งหลายมีแต่คนใจบอด คนใจดีรู้จักดีจักชั่ว รู้จักบุญจักบาป จะไม่ทำกัน ส่วนมากมีแต่คนใจบาปใจบอด ทำอะไรจนชิน ชินแล้วก็ด้านไปเลย เมื่อด้านไปแล้วก็ไม่รู้จักอาย

บาปบุญนรกสวรรค์ใครจะมาพูด อย่าว่าพระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียว ยกทัพพระพุทธเจ้ามาพูดมันก็ไม่ยอมเชื่อ มันจะเชื่อแต่ความตาบอดของมัน ใจบอดของมันอย่างเดียวเท่านั้น แล้วก็โดนเอา ๆ แต่พระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่โดน มีแต่พวกใจบอดตัวเย่อหยิ่งจองหองโดนทั้งนั้น ลงอยู่ในนรก จมในนรก มีแต่พวกใจบอด คนเย่อหยิ่งจองหอง เวลาลงในนรกแล้วไม่เห็นมันดิ้นอะไรนะ อะไรไม่เห็นเหนือกรรม กรรมทรมานตัวเองนั่นแหละ มันก็ไม่เข็ด คือมีกิเลสตัวหนึ่งบังคับไม่ให้เข็ด มันแทรกอยู่ในนั้นเป็นชั้น ๆ นะ

กิเลสหลอกคนเป็นชั้นๆ พูดแล้วเราสลดสังเวชนะ โห มันเอาขนาดนั้นนะ เวลามืดมันไม่ให้รู้จักดีจักชั่ว รู้จักบุญจักบาป ไม่ให้ละอายบาปกลัวบาปเลย ไม่สะดุ้งสะเทือน ทำตามชอบใจๆ ความชอบคือชอบบาป ใจบาปชอบบาป ใจดีชอบดี มันไม่ชอบบุญ ชอบแต่บาป ทำตั้งแต่บาปหาบแต่กรรม ตายแล้วไปกองอยู่ในนรก แล้วไม่มีใครช่วย สัตว์โลกทั้งหลายจึงแน่นอยู่ในนรก ไม่มีที่ไหนจะอัดแน่นยิ่งกว่าในแดนนรก สัตว์เต็มอยู่ในนั้นหมด เพราะสัตว์ใจบอด พวกใจบอดต้องลง พวกใจดีต้องขึ้น ต่างกัน

สถานที่อยู่ของคนใจดีก็มีเป็นชั้นๆ เหมือนกัน ตั้งแต่มนุษย์เราที่มีสมบัติผู้ดีมีวาสนา ขึ้นไปถึงสวรรค์ชั้นพรหม นี่ละพวกคนใจดีมีบุญมีกุศล ถ้ามีกุศลแล้วก็ไป ไม่เคยเห็นก็ไปเอง ลงได้บุญติดหัวใจแล้วไปเอง เช่นเดียวกับบาปติดหัวใจ ไม่เคยเห็นนรกก็ลงเอง อำนาจของบาปพาไปได้ทุกแห่งทุกหน ขึ้นชื่อว่าสถานที่ทรมานหนักเบามากน้อยตามอำนาจแห่งบาปกรรมของตน แล้วผู้ที่ดีก็เหมือนกัน ไปได้เห็นได้ทั้งนั้น ตามอำนาจแห่งบุญกรรมของตนที่มีมากน้อย ไปได้สบายเลย

อันนี้เป็นสิ่งที่สุดวิสัยของโลกที่จะมองเห็นได้ นอกจากพระพุทธเจ้าของเราเท่านั้นที่มาสอนโลก ทีนี้โลกมันมีแต่โลกตาบอดซิ คนตาดีมีพระพุทธเจ้าพระองค์เดียว ใครจะไปยอมเชื่อ มันก็หมุนไปตามพวกตาบอดด้วยกัน พระพุทธเจ้าพูดคำหนึ่ง คนที่ฟังเสียงเพื่อค้านมันเต็มโลกเต็มสงสาร แล้วใครจะมีแก่ใจมาเชื่อพระพุทธเจ้าแล้วแหวกไปตามพระพุทธเจ้า มันก็ไปตามกัน ที่ว่าพวกมากลากไปๆ เป็นอย่างนั้น

ลองเปิดออกดูซิน่ะใจดวงนี้น่ะ ไม่ต้องหาใครมาเป็นพยานนะ ตัวมืดบอดคือกิเลสมันปิดอยู่ในหัวใจ ชำระมันออกมากน้อย ทีแรกมันมืดจริงๆ นะ จนไม่รู้จักบาปจักบุญอะไร มืดขนาดนั้น ส่วนที่อยากทำตลอดเวลาก็คือส่วนต่ำ ได้แก่พวกบาปพวกกรรม เวลาได้ยินได้ฟังเข้าบ้างก็ค่อยมีความรู้สึกนึกคิดผิดถูกดีชั่ว แล้วค่อยระมัดระวังตัวเอง ค่อยดำเนินไป ๆ ต่อไปก็ค่อยเปิดขึ้นมาๆ ความละอายต่อบาปต่อกรรมก็แจ้งขาวขึ้นมาภายในใจ ความยินดีในคุณงามความดีทั้งหลายก็แจ้งขึ้นมาภายในใจด้วยกัน มันก็บึกบึนไปได้คนเรา ที่จะให้อยู่เฉยๆ ให้มันเป็นไปได้ เป็นไปไม่ได้นะ

คือกิเลสมันเหนียวแน่นมาก ที่จะปล่อยสัตว์ทั้งหลายให้เล็ดลอดเงื้อมมือมันไปนี้ไม่มี ต้องอาศัยธรรมเป็นเครื่องฉุดเครื่องลากออกไป ธรรมก็ต้องมีผู้คอยแนะนำสั่งสอน ไม่มีก็ไม่รู้จะทำยังไง มันก็ลงในช่องของกิเลสอีกถ้าไม่รู้ ดังที่พระพุทธเจ้าแสดงแก่เบญจวัคคีย์ทั้งห้านั้น อาโลโก อุทปาทิ ทีแรกท่านก็ว่า ญาณํ อุทปาทิ ปญฺญา อุทปาทิ วิชฺชา อุทปาทิ อาโลโก อุทปาทิ ญาณํ อุทปาทิ คือญาณหยั่งทราบที่ละเอียดสุดยอดได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาอีกรองญาณลงมาได้เกิดขึ้นแล้ว วิชชา เช่นวิชชา ๓ เกิดขึ้นแล้ว อาโลโก อุทปาทิ ความสว่างรอบพระทัย ที่นี่เต็มส่วนละ อันที่สี่นี้ อาโลโก อุทปาทิ ความแจ้งสว่างรอบพระทัยครอบโลกธาตุได้เกิดขึ้นแล้ว สอนเบญจวัคคีย์ทั้งห้า ประกาศพระองค์ตอนสุดท้าย

เทศน์มาตั้งแต่ เทฺวเม ภิกฺขเว อนฺตา ปพฺพชิเตน น เสวิตพฺพา  ขึ้นต้นด้วยธัมมจักกัปปวัตตนสูตร สอนเบญจวัคคีย์ ไม่ได้สอนธรรมต่ำกว่านั้นนะ สอนเป็นขั้น ๆ ท่านเหล่านี้เป็นผู้อยู่ปากคอกแล้ว ต่อไปจับประตูเปิดปากคอกแล้วออกเลย ไม่ต้องไปเที่ยวหาไล่มันนอนกรนครอก ๆ แครก ๆ อยู่ในหลังคอก เปิดปากคอกพวกนี้ออกเลยผึงผัง ๆ ญาณญฺจ ปน เม ทสฺสนํ อุทปาทิ ความรู้ความเห็นอันเลิศเลอได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา อกุปฺปา เม วิมุตฺติ ความหลุดพ้นจากวัฏจักร คือกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ไม่มีการกำเริบแล้วภายในจิตของเรา หลุดพ้นโดยสิ้นเชิง ไม่มีการกำเริบที่จะกลับมาเกิดอีกอะไร ไม่มี อยมนฺติมา ชาติ  ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา คือชาติอัตภาพร่างกายของพระองค์ นี่เป็นชาติสุดท้าย จะตาย จะเผา จะฝัง ก็เพียงอัตภาพเดียวเท่านี้ ต่อไปนี้ไม่มีอะไรมาสืบกันอีกแล้ว นี่เป็นชาติสุดท้ายของเรา

อยมนฺติมา ชาติ ตั้งแต่บัดนี้ต่อไปเราไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว ไม่มีอะไรที่จะพาให้เกิด นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว  ความเกิด ความเป็น ความตาย ไม่มีอีกแล้ว หมดเลย นี่เป็นธรรมะขั้นสูง ที่พระพุทธเจ้าแสดงแก่เบญจวัคคีย์ทั้งห้า แสดงอย่างนั้นเลยทีเดียว นี่คือแสดงแก่สัตว์ประเภทที่อยู่ปากคอก คอยที่จะออกอยู่แล้ว พอเปิดประตูปั๊บพุ่งออกเลย จากนั้นก็รองกันลงมา ประเภทปากคอกนี้เป็นประเภทนี่ล่ะพวกพระยส ๖๐ คน พวกชฎิล ๑,๐๐๓ คน เบญจวัคคีย์ทั้งห้า ที่ประเภทอยู่ปากคอก ๆ นี่เป็นรายๆ  ไปอีก ที่อยู่ปากคอกก็มีเยอะ พอมาได้ยินได้ฟังออกเลย ๆ มีอยู่เยอะนะ แต่ที่เป็นคณะ ๆ ก็มีอยู่สามคณะด้วยกัน คือเบญจวัคคีย์ทั้งห้านี้ และพระยสกุลบุตร มี ๖๐ คนด้วยกัน  แล้วชฎิล ๑,๐๐๓ คน ไปด้วยกัน ประเภทที่อยู่ปากคอกทั้งนั้น

จากนั้นก็สอนสัตว์โลกบรรลุธรรมไปเรื่อย ๆ ๆ ๆ มากต่อมาก ไม่พรรณนาว่ากี่พวกกี่เหล่า ประเภทที่อยู่ปากคอก นอกนั้นก็ได้ยินได้ฟังด้วยความพออกพอใจ บำเพ็ญไปก็สำเร็จมรรค ผล นิพพาน ขึ้นมาเรื่อยๆ ตามกันไปเรื่อย ๆ ธรรมประเภทที่จะให้พวกอยู่ปากคอกฟัง มีแต่ประเภทเปิดปากคอกแล้ว ๆ ไม่ต้องไปค้นข้างใน เปิดปากคอกออกเลย เป็นธรรมะขั้นสูง พอเอื้อมพระหัตถ์ลงมาดึงพุบเลย ไม่ต้องได้เอื้อมโดดขึ้นเลย เป็นประเภทที่รวดเร็ว จากนั้นก็หนาแน่นขึ้นมา ๆ ช้าเข้าไปโดยลำดับ หนาแน่นขึ้นมาเป็นลำดับ

ประเภทของสัตว์มีหลายประเภท อย่างประเภทเรา ๆ ท่าน ๆ ยังดีนะยังเชื่อบาปเชื่อบุญ เชื่อศีลเชื่อธรรม ประเภทเนยยะพอแนะนำสั่งสอนฉุดลากไปได้ หลายครั้งหลายหนถูไถไปได้ พ้นไปได้ ดีกว่าประเภทที่ตายก่อนเกิด คือมันตายแล้วจากมรรคจากผลตั้งแต่วันเกิดมา ไม่มีอะไรเป็นที่หวังแล้ว มีแต่ลมหายใจเช่นมนุษย์ทั้งหลาย แต่ความรู้สึกที่จะยึดจะเกาะให้เป็นสิริมงคลแก่ตนได้แก่ธรรมทั้งหลายนั้น ไม่มี มีแต่จิตใจที่ใฝ่ต่ำ ๆ ไปเรื่อย ๆ ไหลลงเรื่อยๆ พวกนี้

การเทศนาว่าการของพระพุทธเจ้าก็เทศน์เป็นขั้นเป็นตอน ท่านเรียกว่าอนุปุพพิกถา เทศน์เรียงไปโดยลำดับก็มี เทศน์ธรรมะที่เด็ดขาดลากออกๆ เลยก็มี อย่างประเภทพวกเบญจวัคคีย์ทั้งห้า เป็นประเภทที่เด็ดขาด ออกเลย ๆ รองลงมานานเข้าก็เทศน์เรื่องทาน เรื่องศีล เรื่องสวรรค์ไปเรื่อย ๆ เทศน์เรื่องทาน ขั้นของทาน รักษาศีล การทำบุญให้ทาน พูดถึงเรื่องอานิสงส์ในสวรรค์ เป็นผลจากการทำบุญให้ทาน ไปเกิดแดนสวรรค์ ถึงพรหมโลก ไปได้ ทีนี้พอควรแก่กาลที่จะหลุดพ้นได้แล้ว อาทีนพ โทษแห่งความผูกพัน สถานที่เหล่านี้ถึงอายุจะยืนนานเป็นเวลาหลายหมื่นปีทิพย์ก็ตาม ก็ยังไม่พ้นแก่ความเปลี่ยนแปลง คือความเกิดตายอยู่นั้นแหละ จากนั้นก็เทศน์สูงกว่านั้น เนกขัมมะเทศน์สอนเพื่อสลัดปัดออกไปเลย เป็นขั้น ๆ ตั้งแต่ทาน ศีล สวรรค์ อาทีนพ โทษแห่งความผูกพัน คือกามกิเลสทั้งหลาย จากนั้นก็เนกขัมมะสลัดออกเลย ออกบวชสลัดกิเลสออกไปด้วยกัน ๆ ไปเรื่อย ๆ นั่นท่านเทศน์เป็นลำดับ

ถ้าผู้ที่ควรแก่การหลุดพ้นอย่างรวดเร็วนี้ดึงขึ้นตรงนั้นเลย ไม่ต้องกลับมาทางนี้ ศีลก็ไม่เทศน์ สมาธิก็ไม่เทศน์ อย่างเบญจวัคคีย์ทั้งห้า จิตใจที่เพ่งฌานอยู่นั้นเป็นเวลานาน จิตมีความสงบพอแล้ว ไม่จำเป็นจะมาเทศน์สอนสมาธิ เทศน์สอนปัญญาเลยทีเดียว ขึ้นเลย เทฺวเม ภิกฺขเว ขึ้นสัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปโป องค์ปัญญาล้วนๆ แก้ไขถอดถอนกิเลสออกเป็นลำดับลำดา จากนั้นก็หลุดพ้นไปได้เลย ต่างกันการเทศน์สอน แม้แต่เราอยู่ในวัดเราสอนพระยังไม่ได้เหมือนกัน ต้องสอนเหมือนเครื่องบินเหินฟ้า ผู้ที่เป็นพื้น ๆ ผู้ที่เริ่มฝึกหัดก็มี ผู้ธรรมะพอเป็นพื้น ๆ ภายในจิตใจ มีความสงบเย็นใจแล้วก็มี ผู้มีความแน่นหนามั่นคงทางด้านจิตใจ คือสมาธิเต็มภูมิแล้วก็มี ผู้กำลังก้าวออกทางด้านปัญญาก็มี

การเทศน์ต้องเป็นเครื่องบินเหินฟ้าขึ้นเรื่อย ๆ ๆ ตั้งแต่พื้น ๆ ให้ผู้ฟังพื้น ๆ ได้เข้าใจ แล้วก็สูงขึ้น ๆ ถึงขั้นปัญญา พอขั้นปัญญานี้ก็พุ่งเลย ท่านเรียกว่าธรรมะขั้นสูง พุ่งเพื่อความหลุดพ้น ไม่ได้เอาที่ไหน อย่างนี้แหละสักขีพยานมันก็มีอยู่ประจำใจของผู้ปฏิบัติธรรม รู้ธรรม เห็นธรรม ที่ควรจะนำมาแสดงให้พอเหมาะสมนั้น แสดงยังไงมันก็รู้เอง มีอยู่ในขั้นนี้ขั้นนั้น ๆ เหลื่อมล้ำต่ำสูงต่างกัน จะเทศน์พุ่งทีเดียวก็ไม่ได้ จะเทศน์เฉพาะในวงนี้ก็ไม่ได้ ผู้ที่สูงกว่านั้นก็รอ มันก็ต้องเทศน์ไปเรื่อยๆ เป็นอย่างนั้น จนกระทั่งหลุดพ้น

พอหลุดพ้นแล้ว การแนะนำสั่งสอนเพื่อละเพื่อถอนอะไรไม่มี หมด คือหมดโดยประการทั้งปวง พระพุทธเจ้าจึงไม่เคยสอนสาวกให้ละกิเลสอีกต่อไป ให้ละชั่วทำดีอีกไม่มี เพราะสมบูรณ์เต็มที่แล้ว แต่สำหรับคนที่มีกิเลสต้องสอนไปตามลำดับลำดา ไม่เช่นนั้นจะไม่ได้รับประโยชน์อะไร

อยู่คนเดียวสบายไม่ยุ่งกับอะไร เวลาเงียบๆ กลางคืนเดินจงกรม ดังท่านแสดงไว้ในธรรม พระพุทธเจ้าเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาเหมือนคนทั่วๆ ไป ท่านเดินเพื่อวิหารธรรมเป็นความอยู่สบายระหว่างขันธ์กับจิตที่ยังครองกันอยู่ ปฏิบัติต่อกันให้เหมาะสม ส่วนจะละกิเลสตัวใดของพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ไม่มี จึงเรียกว่ากิเลสสิ้นแล้ว ไม่มีตัวใดที่จะมาผลักมาดัน มายุแหย่ก่อกวนมากน้อยให้ได้เป็นความรำคาญในใจไม่มี เพราะฉะนั้น นับแต่ความรำคาญขึ้นไปจึงเป็นเรื่องของกิเลสทั้งหมดมันกวนใจ มีมากมีน้อยมันจะกวนจนได้นั้นแหละ มีละเอียดขนาดไหนมันก็เรียกว่ามีงาน ยังไม่เสร็จสิ้นงานแก้กิเลส ละเอียดขนาดไหนก็ยังต้องแก้ ก็ยังต้องมีงาน จนกระทั่งกิเลสมุดมอดหมดโดยประการทั้งปวงแล้ว เรียกว่าหมดงาน

ดังที่ท่านแสดงไว้ว่า วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ กตํ กรณียํ พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว กิจอื่นที่จะทำให้ยิ่งกว่านี้ไม่มี ยิ่งกว่านี้ก็คือ ยิ่งกว่าการแก้กิเลสไม่มี แก้กิเลสได้แก้เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่บัดนั้นมาท่านจึงไม่เคยได้ถอดถอนกิเลส แก้กิเลส หรือมีกิเลสเข้ามายุแหย่ก่อกวนให้ได้รับความรำคาญเพราะกิเลสกวนใจ นี้ท่านก็ไม่มี ไม่มีอะไรจะสงบเงียบยิ่งกว่าใจพระอรหันต์ เงียบเลย ไม่มีอะไรกวน ก็มีแต่ขันธ์ ขันธ์คือความคิดปรุงของเรา เหมือนความคิดปรุงของเราทั่ว ๆ ไป แต่ความคิดปรุงแห่งขันธ์ของพระอรหันต์นั้น ท่านไม่มีกิเลสเข้าแทรก มันเป็นขันธ์ล้วน ๆ คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ก็คิด แต่คิดเรื่องใดมันก็ดับพร้อมๆ เพราะไม่มีเงื่อนต่อ กิเลสไม่ผูกสายโยงไปให้ยาวเหยียดไม่มีสิ้นสุด กิเลสถ้าคิดแล้วต้องต่อเรื่องนั้นต่อเรื่องนี้ คิดไปไม่หยุดไม่ถอย กิเลสดึงสายให้เกี่ยวเนื่องกัน ให้โยงกันไป

แต่ความคิดของพระอรหันต์ไม่มี อยู่ธรรมดามันก็คิดยิบแย็บ ๆ ท่านก็รู้อยู่ ท่านถึงเรียกว่าขันธ์ล้วน ๆ คือขันธ์ไม่มีกิเลสเจือปน จึงเรียกว่าขันธ์ล้วน ๆ ถ้ายังมีกิเลสเจือปนไม่เรียกว่าขันธ์ล้วน ๆ ได้เลย ขันธ์ของโลกสงสารไม่ใช่ขันธ์ล้วน ๆ ขันธ์เป็นไปด้วยอำนาจของกิเลส แต่ขันธ์ของพระอรหันต์ที่ยังครองอยู่นั้นกิเลสสิ้นแล้วจึงเป็นขันธ์ล้วน ๆ เวลาคิดเวลาปรุงมันก็ปรุงของมัน แต่ไม่ได้มาก่อเหตุเรื่องราวให้เกิดแก่เจ้าของ เพราะมันดีดของมัน ถ้าจะเทียบแล้วมันก็เหมือนหางจิ้งเหลนขาดนั้นแหละ ไม่ผิดกันอะไรนะ จิ้งเหลนมันวิ่งไปแล้ว หางมันขาดด้วยการกระทบอะไร ๆ ให้หางมันขาด ตัวมันวิ่งเข้าป่าแล้ว แต่หางมันยังดิ้นดุกดิก ๆ นั่นละมันดิ้นอยู่นั้นไม่มีความหมายนะหางจิ้งเหลน มันขาดแล้ว ตัวของมันวิ่งเข้าป่า แต่หางของมันยังดิ้นดุกดิกๆ

เคยเห็นไม่ใช่เหรอหางจิ้งเหลนขาด นั่นล่ะขันธ์ของพระอรหันต์มันเพียงดิ้นดุกดิกเท่านั้น ส่วนจิตของท่านไม่มาเกี่ยวไม่มาติดมาพันนะ สัญญาจำอะไรก็จำไปธรรมดา สังขาร วิญญาณรับทราบก็เหมือนกัน วิญญาณทางตากระทบรูปก็รู้ว่ารูป มันก็ดับของมันไปพร้อม ตา หู เสียง ฟังแล้วดับไปพร้อมๆ เหมือนกับความคิดของเรา ปรุงขึ้นแล้วดับพร้อม ได้เห็นได้ยินอะไรก็ดับพร้อมๆ แบบเดียวกัน ท่านจึงเรียกว่าเป็นขันธ์ล้วน ๆ ไม่เหมือนขันธ์ปุถุชนเรา ขันธ์ปุถุชนมันคอยจะสืบจะต่อตลอดเวลา เพราะกิเลสอยู่ข้างในมันดันออกไปเพื่อความสืบต่อ ๆ ตลอด พออันนี้ขาดสะบั้นลงไปแล้วไม่มีอะไรหนุน มันก็สักแต่ว่า ก็อยู่ครองกันไป จนกระทั่งถึงอายุขัย มันก็ดิ้นของมันถึงนั่น พอหมดแล้วมันก็หมดสภาพไปเลย

จิตของท่านผู้บริสุทธิ์ปล่อยความรับผิดชอบ ดีดออกเป็นอนุปาทิเสสนิพพาน เป็นนิพพานล้วน ๆ ไม่มีสมมุติอะไรเข้าเจือปน เพราะสมมุติที่ท่านรับผิดชอบก็มีสมมุติในขันธ์เท่านั้นแหละ ขันธ์เป็นแดนสมมุติสุดท้าย พอหมดสภาพ ลมหายใจขาดลงไปแล้วก็หมดไปเลย ปล่อยเลย ทีนี้ท่านไปที่ไหนล่ะ ใครรู้ได้เมื่อไร ดังที่พระอนุรุทธะตามรอยพระพุทธเจ้าเวลาท่านเสด็จเข้าฌาน เพราะนี้เป็นองค์ศาสดา ท่านทรงแสดงลวดลายของศาสดาให้เต็มภูมิ รับสั่งกับบรรดาพระทั้งหลาย พูดเป็นภาษาของเราก็ว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เตือนเธอทั้งหลาย เรื่องสังขารธรรม คือความคิดปรุงของใจ อันนี้เกิดแล้วดับไป ๆ ท่านทั้งหลายจงพิจารณาให้รู้เท่าสิ่งเหล่านี้ด้วยความไม่ประมาทเถิด"

คือการสอนของพระพุทธเจ้าในเวลานั้นจะไม่สอนสังขารทั่ว ๆ ไป เช่น สังขารต้นไม้ ภูเขา อะไรนี้ มันเกิดขึ้นจากการปรุงการแต่งก็เรียกว่าสังขาร เช่นต้นไม้ เช่นบ้านเช่นเรือน เป็นสังขารอันหนึ่งๆ  เพราะความปรุงแต่งด้วยกัน แต่เวลาท่านเทศน์ในขณะที่ท่านจะปรินิพพานมีตั้งแต่พระล้วน ๆ ตั้งแต่พระอรหันต์ลงมา พระที่มีธรรมะภูมิสูง ๆ ๆ สุด คือเทศน์สอนสังขารอันนี้ ซึ่งเหมาะสมกับภูมิของธรรมที่จะปล่อยปั๊บแล้วหลุดพ้นไปเลย จึงสอนสังขารประเภทนี้ จากนั้นก็ทรงเข้าฌานไว้ลวดลายของศาสดา เข้าปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตฌาน นี่เรียกว่ารูปฌานสี่ จากนั้นก็เข้าอากาสานัญจายตนะ ที่เรียกว่าอรูปฌานสี่ จนกระทั่งถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ ดับสัญญาและเวทนา

คำว่าเวทนานี้ หมายถึง เวทนาในขันธ์ ไม่ได้หมายถึงเวทนาในจิต เวทนาในจิตของพระพุทธเจ้า ของพระอรหันต์ท่านไม่มี ตั้งแต่ขณะกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้ว เวทนา คือสุข ทุกข์ เฉย ๆ ในจิตของท่านหมดไปโดยสิ้นเชิง ที่ว่าดับสัญญาและเวทนา สัญญาคือความจำได้หมายรู้ดับ นี่ก็เป็นขันธ์ เวทนาก็เป็นขันธ์ ดับ มาระงับพระองค์อยู่ที่นั่น ไม่ทรงไหวไปที่ไหน บรรดาพระก็สงสัยนึกว่าพระองค์ปรินิพพานไปแล้ว ถามขึ้นมา " อ้าว นี่ไม่ใช่พระองค์ปรินิพพานแล้วเหรอ" พระอนุรุทธะท่านตามอยู่นี่ นี่เห็นไหมพระจิตที่บริสุทธิ์ ถ้ามีสิ่งพาดพิงเราก็พูดได้ คือพระจิตที่บริสุทธิ์เข้าปฐมฌาน ทุติยฌาน นี่ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน พระจิตที่บริสุทธิ์นี้ไปตามฌานนี้ จนกระทั่งถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ พระอนุรุทธะตามพระจิตที่บริสุทธิ์ไป ไปถึงนั้นพักสงบพระอาการ

แล้วพระอานนท์ถามขึ้นมาว่า "นี่ไม่ใช่พระองค์ปรินิพพานแล้วเหรอ" พระอนุรุทธะตอบทันทีเลย "ยัง เวลานี้กำลังประทับอยู่ในสัญญาเวทยิตนิโรธ" คือดับสัญญา เวทนา อาการเหล่านี้ไม่ไหวติง นิ่ง สงบ จากนั้นก็ถอยออกมา เวลาถอยออกมาก็บอกว่าถอยออกมา นี่ละพระจิตที่บริสุทธิ์ นั่นละสูญไปไหน ถ้าสูญแล้วอะไรเดินไปหรือก้าวไปตามปฐมฌาน ทุติยฌาน พระจิตที่บริสุทธิ์ก้าวและถอยลงมา นี่ละเวลามีสมมุติอยู่มีสิ่งพาดพิงก็พูดได้ว่าพระจิตที่บริสุทธิ์นี้เวลานี้กำลังก้าวเข้าถึงนั้น ๆ ๆ พอเวลาลงมาจนกระทั่งปฐมฌาน แล้วเป็นพระจิตที่บริสุทธิ์ธรรมดาก็รู้ พอก้าวขึ้นที่สองถึงขั้นจตุตถฌาน ขึ้นไป แล้วจตุตถฌาณนี่เป็นรูปฌาน ทีนี้อากาสานัญจายตนะนั้นเป็นอรูปฌานไม่ไป พอออกจากนี้แล้วออกช่องกลางเลย ปฐมฌานก็ผ่านมาแล้ว อรูปฌานคือพวกอากาสานัญจายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะก็ไม่เข้า ผ่านออกไป

ทีนี้พอผ่านออกไปตรงนี้แล้ว ไม่มีอะไรพาดพิง จะบอกว่าไปแล้วไปอยู่ที่นั่นที่นี่ไม่ได้นะ อยู่ที่นี่ก็ยังบอกว่าอยู่ที่ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน ตามพระจิตที่บริสุทธิ์นั้นไป ๆ ๆ ไปไหนรู้หมด พอออกจากนั้น ถอยมาก็รู้ เพราะนี้เป็นสมมุติ พาดพิงกันมาเรื่อย รู้กันมาเรื่อย พอออกจากนี้ปั๊บ ทีนี้ปรินิพพานแล้ว พูดได้เท่านั้น ทั้ง ๆ ที่พระอนุรุทธะไม่ได้สงสัยว่า พระจิตปรินิพพานแล้วไปอยู่ที่ไหนไม่สงสัยนะ คือไม่มีอะไรพาดพิงก็พูดไม่ได้ ก็มีเท่านั้นเอง จะว่าสูญ สูญได้ยังไง คิดดูออกจากนี้ไปแล้ว ทีนี้นิพพานแล้ว นี่เป็นลวดลายของศาสดา ที่จะทรงแสดงให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยในวาระสุดท้าย เพราะฌานเหล่านี้ไม่จำเป็นในพระอรหันต์ทุกองค์ ตามที่ท่านแสดงก็แสดงอย่างนั้น คือองค์ใดมีความจำเป็นอะไร เป็นความถนัดตามจริตนิสัยขององค์นั้นเข้าก็ได้ ไม่เข้าก็ได้ ตามความถนัดของตัวเอง ผู้ไม่สนิทในทางนั้นก็ไม่เข้า ผ่านนี้ไป นิพพานเลย ไม่ต้องไปเข้าฌานก็ได้ ผู้ที่มีท่านก็ถนัดของท่านที่จะเข้าของท่านเอง

ส่วนพระพุทธเจ้านั้นเป็นแบบฉบับของศาสดาแห่งโลกของเรา จึงต้องวางลวดลายไว้เต็มที่ ส่วนสาวกไม่ได้แสดงอย่างงั้น ใครจะเข้าฌานหรือไม่ฌาน ใครมีฌานจริตนิสัยทางนั้นก็จำเป็นสำหรับผู้นั้น ถ้าใครไม่มีอย่างนั้นก็ไม่จำเป็นสำหรับผู้นั้น เพราะนี้ไม่ใช่ความบริสุทธิ์ เป็นอาการใช้ในสมมุติเฉย ๆ สมมุติของจิต สำหรับความบริสุทธิ์นั้นเหมือนกัน เข้าฌานไม่เข้าฌานก็บริสุทธิ์เรียบร้อยแล้ว ไปได้ตามอัธยาศัยเลย นี่ละที่ว่าปรินิพพานแล้ว พระจิตที่บริสุทธิ์ไปที่ไหนตามรู้หมด ๆ เวลาอยู่ในแดนสมมุติที่พาดพิงถึงกันได้อยู่ก็พูดได้ พอออกจากแดนสมมุตินี้แล้วพูดไม่ได้เลย ได้แต่คำเดียวว่า ปรินิพพานแล้วเท่านั้น นอกจากนั้นพูดไม่ได้ ใครจะพูดว่าท่านไปสูญที่ไหน อันนั้นพระจิตที่บริสุทธิ์ เวลามีสมมุติอยู่ก็เข้าตามสมมุติ ผ่านเข้าผ่านออกดังที่เห็น พอออกจากสมมุตินี้แล้วพูดไม่ได้เลย นี่ละท่านว่าปรินิพพานแล้ว

เวลานี้เป็นที่แน่ใจในวงผู้ปฏิบัติเกี่ยวกับสมาธิ ปัญญา วิชชาวิมุตติหลุดพ้น แน่ใจอยู่เหมือนครั้งพุทธกาล แม้จะไม่มีมากก็แน่ใจว่ามี มีน้อย เอ้า ว่างั้นเลย มี ขอให้มีผู้ปฏิบัติ จำนวนมากน้อยเพียงไร มรรค ผล นั้นจะต้องได้ตักตวงขึ้นมา ๆ จากเหตุคือการบำเพ็ญจนได้ด้วยกัน อันนี้มันไม่มีใครสนใจปฏิบัติล่ะซิ ครั้นเรียนมาแล้วก็เอาความจดความจำนั้นมาเป็นมรรคเป็นผลเป็นนิพพานไปเสียหมด เป็นขั้นเป็นภูมิ ชั้นนั้นชั้นนี้ เอาเป็นตัวจริง เอาเป็นเนื้อเป็นหนังไปเสียเลย ได้สำนึกตัวบ้างไหมว่า นี้เพียงความจำ เรียนมานี้ความจำ จำชื่อต่างหาก ชื่อของบาป ชื่อของบุญ  ชื่อของกิเลสตัณหา ชื่อของอรรถของธรรม ชื่อของมรรคผลนิพพาน แต่ไม่ใช่กิเลสตัณหา ไม่ใช่บาปใช่บุญ ไม่ใช่มรรค ผล นิพพาน เป็นชื่อต่างหาก ทีนี้เวลาเราไปเรียนนี้แล้ว เราเลยถืออันนี้เป็นมรรคเป็นผลไปเลย จึงไม่เกิดผลอะไรขึ้นแก่ผู้ที่เรียนเฉย ๆ ไม่สนใจปฏิบัติ

ตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าที่ท่านแสดงไว้เต็มภูมิก็คือว่า ปริยัติได้แก่การศึกษาเล่าเรียน แล้วปฏิบัติ ศึกษาเล่าเรียนแล้วก็ให้ออกปฏิบัติตามที่ศึกษาเล่าเรียนมาแล้ว จำชื่อได้แล้ว ทีนี้ให้ตามเอาตัว พูดง่าย ๆ ภาคปฏิบัตินี้ตามเอาตัว ตามให้รู้ตัวของสิ่งนั้น ๆ เช่น บาป บุญ กิเลสตัณหาประเภทต่าง ๆ ได้ชื่อมันแล้ว เอาให้ตามตัว มันอยู่ที่ไหน ไล่เข้ามามันก็มาอยู่ที่จิต นี่ท่านว่าปฏิบัติ จากนั้นก็เป็นปฏิเวธ ความรู้แจ้งเป็นลำดับลำดา เช่นเดียวกับเขานำแปลนจากบ้าน นำแปลนจากห้องจากหับมากางออก ปลูกบ้านปลูกเรือนตามแถวแนวของแปลนที่กำหนดไว้ ว่าเราจะต้องการแปลนขนาดไหน บ้านหลังขนาดไหน ใหญ่โตกี่ห้องกี่หับ กว้างแคบเพียงไร เอาแปลนออกมากางแล้วสร้างตามแปลน ก็สำเร็จรูปขึ้นมาตามนั้น ๆ จนกระทั่งสำเร็จรูปโดยสมบูรณ์

ถ้าไม่เอามาสร้าง แปลนก็เป็นแปลนอยู่ในห้อง เต็มห้องก็ไม่สำเร็จ อันนี้ผู้ทำแปลนเขายังรู้สึกตัวว่า ทำแปลนนี้เพื่อจะปลูกบ้านสร้างเรือน ไม่ได้เหมือนพวกเราที่เรียนมา เรียนมานี้เพื่อจะปฏิบัติให้ได้มรรคได้ผล ซึ่งเป็นเหมือนกับปลูกบ้านปลูกเรือน มันไม่สนใจละซิ พอเรียนมาแล้วก็มายินดีอยู่ในความจำของตน เลยเหมาเอาว่าเป็นมรรคเป็นผล เป็นความเลิศเลอขึ้นมาจากนั้นเสียทั้งหมด เอาชื่อเอานามมาเป็นมรรคเป็นผล มันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เพราะฉะนั้นมันจึงไม่มีคำว่ามรรค ผล นิพพาน เพราะไม่มีภาคปฏิบัติ จะเอามรรคผลนิพพานมาจากไหน เพียงภาคการเรียนเฉย ๆ เด็กเรียนได้ ผู้ใหญ่เรียนได้ ผู้หญิงเรียนได้ ผู้ชายเรียนได้ เรียนชื่อของกิเลสบาปธรรมต่าง ๆ แต่ไม่สนใจละกิเลส บำเพ็ญความดี มันก็ไม่ได้ตัวของสิ่งเหล่านี้

เหมือนกับคนที่มีแปลนบ้านแล้วไม่เอามากางออกปลูกบ้านปลูกเรือน ก็ไม่สำเร็จเป็นตึกหลังนั้น ๆ ขึ้นมา มันเป็นอย่างงั้น เดี๋ยวนี้ศาสนาเรามีแต่แปลนนะ เต็มตู้เต็มหีบในคัมภีร์ใบลาน ไปซิไปวัดไหน คัมภีร์นี้เต็มอัดในตู้ ดูซิ แต่เจ้าของไม่เคยไปสนใจนำธรรมเหล่านี้มาปฏิบัติ แม้แต่เรียนคนขี้เกียจมันก็ไม่เรียน ผู้เรียนก็เรียนเอาชื่อเอานามเฉยๆ มันไม่เกิดประโยชน์อะไร มันขัดต่อพุทธพจน์ มันขัดต่อพระประสงค์ของพระพุทธเจ้าที่มีปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ธรรมมีสามอย่างนี้แล้วศาสนาสมบูรณ์แบบ ถ้ามีเรียนเฉย ๆ ไม่สมบูรณ์ ขาดบาทขาดตาเต็ง ให้มีปฏิบัติด้วย เพื่อผล คือปฏิเวธจะเกิดขึ้น ถ้ามีภาคปฏิบัติแล้วผลจะเกิดขึ้นตาม ๆ กัน เช่นเดียวกับครั้งพุทธกาล เกิดเรื่อย ๆ ผู้สำเร็จมรรค ผล นิพพาน ไม่สำเร็จยังไงก็ท่านเรียนแล้วท่านปฏิบัติ ผลก็ปรากฏขึ้นมาเรื่อย ๆ ละซิ

ทีนี้เราเรียนเฉย ๆ เลยมาเหมาเอาความจำเป็นมรรค ผล นิพพาน มันก็เป็นไม่ได้ มีแต่ความจำเต็มบ้านเต็มเมือง เรียนจำได้ สอบได้ชั้นนั้นชั้นนี้ สอบก็ไปให้คณะกรรมการตัดสินให้ สอบได้สอบตก ให้คนอื่นมาตัดสินให้ เจ้าของตัดสินตัวเองไม่ได้ เพราะไม่สนใจปฏิบัติ การสนใจปฏิบัติต้องตัดสินตัวเองจากภาคปฏิบัติของตัวเอง ไม่มีใครมาตัดสินให้ สนฺทิฏฺฐิโก เป็นผู้ตัดสินเอง คือผู้ปฏิบัตินั้นแลจะเป็นผู้รู้เองเห็นเอง จากธรรมที่ตนปฏิบัติได้มากน้อย นี้มันไม่มีทำยังไง แล้วหมดไปๆ ต่อไปศาสนานี้จะมีแต่กระดาษเศษ จะไม่มีคุณค่าอะไร ถ้าไม่มีภาคปฏิบัติ มีตั้งแต่ภาคปริยัติ คัมภีร์เต็มบ้านเต็มเมือง ศาสนาก็เป็นกระดาษเศษไปอย่างงั้น คนหมดคุณค่า ศาสนาก็ไม่มีราคา ประดับคนตาย ไม่เกิดประโยชน์อะไร นี่ซิมันน่าคิดอยู่มาก

ถ้าอยากได้เห็นผลของศาสนาที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้แล้ว จะมีผลด้วยกันทั้งฆราวาส และประชาชน ตลอดพระเณรทั่ว ๆ ไป ขอให้มีการปฏิบัติผลจะมี การปฏิบัติคือการรักษาตัว อะไรไม่ดียังไงอย่าทำ ทำแต่สิ่งที่ดีงาม ไม่ว่าทางความเคลื่อนไหวหน้าที่การงานก็ให้มีเหตุมีผล ทำลงไปอย่าทำสุ่มสี่สุ่มห้า การประพฤติตัวอะไรดีไม่ดีก็ให้มีเหตุมีผล กลั่นกรองความประพฤติของตัวเอง และการบำเพ็ญคุณงามความดีก็กลั่นกรอง สำหรับความดีจำเพาะตน เช่นการทำบุญให้ทาน การเจริญเมตตาภาวนา ให้มีการปฏิบัติอย่างนี้ ๆ ฆราวาสก็ได้ผล พระก็ได้ผลเหมือนกัน ไปเรื่อย ๆ อย่างนี้ สืบทอดไปตลอด ไม่ขาดวรรคขาดตอน

เดี๋ยวนี้มันไม่มี ดีไม่ดีพูดถึงเรื่องภาวนาหัวเราะกันเอิ้กอ้าก ๆ พวกตาบอด ใจบอด ถ้าเรื่องความเพลิดเพลินมันหลับตาอยู่ก็ตามมันชนดะไปเลย ให้พากันไปพิจารณานะ ศาสนานี่สอนเพื่อให้ปฏิบัติตาม เพื่อได้นำผลขึ้นมาจากการปฏิบัติของตัวเอง แล้วเรานั่นแหละจะเป็นผู้ครองสมบัติของเราเอง เพียงจำเฉย ๆ ไม่เกิดประโยชน์นะ ผู้ที่ได้ทรงมรรคทรงผลอยู่ก็คือผู้ปฏิบัติ เช่นอย่างที่เราเห็นอยู่นี้ พระอยู่ในป่าในเขาที่ท่านเงียบ ๆ ของท่าน มีแต่ท่านปฏิบัติอรรถธรรมล้วน ๆ ท่านอยู่ของท่าน ชำระจิตใจ เดินจงกรมบ้าง นั่งสมาธิภาวนาบ้าง มีสติสตังรักษาใจ ไม่ให้มันคิดฟุ้งซ่านรำคาญไปตามทางของกิเลส หรือให้กิเลสฉุดลากไปโดยถ่ายเดียว หักห้ามต้านทานกัน แล้วตีเข้าหาความพากเพียรให้จิตใจสงบจากภัยทั้งหลายที่กิเลสมาทำลาย ไม่ให้คิดไปทางกิเลส ถ้าคิดทางกิเลส กิเลสจะลากเข็นไปเลยละ ให้คิดทางด้านอรรถธรรม

ท่านจึงสอนให้มีภาวนาคำบริกรรม คำบริกรรมเป็นบทของธรรม นำคำบริกรรมนี้มากำกับใจแทนกิเลสที่มันคิดถึงเรื่องกิเลส เราคิดถึงเรื่องธรรม เช่น พุทโธ เป็นต้น แล้วใจของเราจะสงบเย็นไปเรื่อยๆ เย็นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งแสดงความแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นมา เพราะใจได้รับการบำรุงรักษา ต้องแสดงผลขึ้นมาให้เห็น มีแต่กิเลสเอาไปถลุงอย่างเดียว ก็คือฟืนไฟนั้นแหละที่เป็นผลของกิเลส ไม่มีอะไรดีเลยนะ พากันจำเอา

นี่ก็สอนมามากแล้วนะ สอนโลกคราวนี้รู้สึกว่ามากนะเรา ตั้ง ๕๐ กว่าปีสอนมา ถึงไม่ตั้งหน้าตั้งตาสอน พระเณรก็คืบคลานตามตลอดเวลา ไปไหนเราเหมือนผู้ต้องหานะ ปกตินิสัยเราไปแต่คนเดียว ๆ ไม่เอาใครไปยุ่งตลอดมา ยิ่งเวลาปฏิบัติกรรมฐานด้วยแล้ว ใครไปยุ่งด้วยไม่ได้เลย ไปแต่องค์เดียวตลอด ทีนี้เวลาครูบาอาจารย์ล่วงลับไปแล้ว คือหลวงปู่มั่นล่วงลับ รุมล่ะซิ ไปที่ไหนต้องหลบต้องซ่อน บางทีกลางคืนก็ขโมยหนี ไม่งั้นไม่ได้นะ มันรุมตามแล้วจะทำยังไง รุมตามก็ให้รุมเวลารุม เวลาเผลอหากจะมี เวลาไปอยู่ต่างองค์ต่างเงียบ ๆ

เราก็เดินฉากดูลาดเลาไป องค์นั้นเดินจงกรมอยู่บ้าง องค์นี้นั่งสมาธิภาวนาอยู่บ้าง ไม่มีใครสนใจกับเรา เราเตรียมของไว้เรียบร้อยแล้ว พอมาก็สะพายบาตรขึ้นบนบ่า เปิดเข้าในป่า บุกป่าไปเลย ตื่นขึ้นมาตอนเช้าโว้ก ว้าก ๆ มันทำอย่างงั้น ไม่ทำงั้นไม่ได้ บางทีก็ขโมยหนีกลางวันก็มี เวลาเงียบ ๆ ไปเดินฉากดู ถ้าไม่สนใจกับเรา ก็เรียกว่าขโมยตัวนี้ออกได้แล้ว มาก็สะพายบาตร เพราะเตรียมบาตรไว้แล้ว มันไม่มีอะไร มีแต่บาตร มุ้ง ผ้าสังฆาฏิใส่บาตรพร้อมไปเลย อย่างนั้นนะแต่ก่อน ต้องขโมยเรื่อยๆ พระเณรเป็นไฟไปแหละ ขโมยไปแล้วหนี ไปที่ไหนไปล่ะองค์เดียว

สำคัญที่บาตรนี้ซิ ไปที่ไหนมีแต่บาตรเปล่า ถ้าข้าวเต็มบาตรสบายไม่มีใครเห็น ข้าวเต็มบาตรต้องการเมื่อไรงัดออกมาฉันก็ได้ อันนี้มันบาตรเปล่า ตื่นเช้าก็ไปบิณฑบาตกับเขา แล้วประชาชนมีหูมีตา จมูกใครจะดียิ่งกว่าจมูกพระ จมูกหมาสู้ไม่ได้ พระนี้สืบได้หมดเลย หมานี้สูดนั้นสูดนี้ ดมนั้นดมนี้ไม่เห็นก็ต้องกลับมา พระนี้ไม่ถอยนะ สืบนั้นสืบนี้ตามจนได้ ทัน หลบแล้วหลบเล่าอยู่งั้นละเรา คือชอบอยู่สบายคนเดียว อยู่ที่ไหนคนเดียว เราคนเดียว ใจดวงเดียว ไม่มีอารมณ์อะไรมากวนใจ อยู่ที่ไหนบิณฑบาตมาฉันแล้วพอเท่านั้นแหละ เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาของบุคคลคนเดียว เรียกว่าพอทั้งหมด ไม่ว่าจะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน พอ สบายตลอด

ถ้ามีเพื่อนมีฝูงเข้ามาเกี่ยวข้องมันไม่สะดวก นั้นแหละที่หลบหนี เป็นอย่างนั้น ก็ได้สอนจนได้นั้นแหละ รุมจริง ๆ ตั้งแต่สมัยหลวงปู่มั่นยังมีชีวิตอยู่ สบาย เราไปองค์เดียว ไม่ได้คิดว่าใครจะสนใจกับเรา เราไม่สนใจกับใครนะ พระท่านก็อยู่ของท่าน เราก็ไปของเราสบาย ไม่คิดว่าท่านจะสังเกตสังกาดูเราหรือไม่ดู แต่เวลาหลวงปู่มั่นมรณภาพถึงรู้ได้ชัด โอ๋ย เกาะพรึบเลยนะ ท่านจับตาไว้ตั้งแต่เมื่อไร ว่างั้นเลยนะ เพราะฉะนั้นจึงลำบากจะไปไหนมาไหน ต่อจากนั้นมาก็เริ่มสั่งสอนเรื่อย แล้วก็มาโยมแม่บวช ภาระหนัก เพื่อนฝูง พระเณรเข้าติดละที่นี่ แต่ก่อนเข้าไม่ติด เพราะไม่มีโยมแม่ ไปที่ไหนปั๊บหายเงียบๆ  ไปเลย ตั้งแต่เอาโยมแม่บวชมาภาระหนักมาตั้งแต่วันนั้น จนกระทั่งบัดนี้ ๕๐ กว่าปีแล้ว นานหรือไม่นาน สอนทั้งนั้นนะ จึงหนักมาก พระท่านก็ตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ

เวลานั้นที่เขาร่ำลือมากที่สุดว่าอาจารย์มหาบัว คือแต่ก่อนยังไม่เป็นหลวงตา ยังหนุ่ม ๆ อยู่ เขาเรียกแต่อาจารย์มหาบัว ดุ ดังไปหมด ลั่นไปหมด อาจารย์มหาบัวดุ ปฏิบัติเอาจริงเอาจังทุกอย่าง เพราะฉะนั้นถึงร่ำลือ ตอนนั้นร่ำลือมากทีเดียว อาจารย์มหาบัวดุมากไม่มีใครเกิน บางคนก็ยังอุตริไปพูด โอ๋ย ดุยิ่งกว่าท่านอาจารย์มั่นเสียอีก เกิดมาแต่โคตรพ่อโคตรแม่มันไม่เคยเห็นท่านอาจารย์มั่น มันยังเอาท่านอาจารย์มั่นมาอวดอีก ดุยิ่งกว่าท่านอาจารย์มั่นเสียอีก โคตรพ่อโคตรแม่มึงเคยเห็นหรือท่านอาจารย์มั่น เราอยากถามว่าอย่างงั้น มันก็ยังเอามาอวด เราเก่งกว่าท่านอาจารย์มั่น เรื่องดุ ว่างั้น

แล้วก็เป็นจริงด้วยนะ เด็ดทุกอย่าง พระเณรก็ไม่รับมาก ๑๒-๑๓ องค์ ไม่ให้มากกว่านั้น แล้วเขยิบขึ้นไปแค่ ๑๘ องค์ เพราะตอนนั้นมีครูบาอาจารย์ทั้งหลายมาก พระเณรจะไปอาศัยองค์ใดก็ไปได้ เราจึงได้จำกัดจำนวนของพระไม่ให้มาก มันยุ่งเหยิงวุ่นวาย ๑๒-๑๓ องค์ อย่างมากก็ ๑๘ อยู่งั้นเป็นประจำไม่ให้เลย จนครูบาอาจารย์ทั้งหลายล่วงไป ๆ ทีนี้พระเณรไม่มีที่เกาะล่ะซิ เพ่นพ่าน ๆ เราสงสารเราจึงรับบ้างเพิ่มเข้าอีก โอ๊ย พรึบเลย ตั้งแต่บัดนั้นจนกระทั่งป่านนี้ มันเป็นวัดสำเพ็ง วัดป่าบ้านตาดน่ะ ดุแต่ก่อน ทุกวันนี้ไม่ทราบว่าดุอะไร ไม่ดุอะไร ก็มันเป็นทะเลสาบ เป็นมูตรเป็นคูถไปหมดในวัดป่าบ้านตาด มันดิบมันดีที่ตรงไหน มันเป็นทะเลสาบ เป็นส้วมเป็นถานไปหมด วัดป่าบ้านตาดทุกวันนี้

เราก็หมดหนทาง เพราะเราเป็นผู้พาปฏิบัติมาเอง มันค่อยเปลี่ยนมาๆ ด้วยเหตุบังคับในตัวของมันนั่นแหละ ทำให้หย่อนยานลง ๆ จนกระทั่งทุกวันนี้เลอะเทอะ เกินส้วมเกินถานแล้วแหละวัดป่าบ้านตาด แล้วเขายังยออีกว่าวัดป่าบ้านตาดนี้ดี ดีขี้หมาอะไรเราอยากว่าอย่างนั้น มันมีแต่ส้วมแต่ถานเต็มวัดเต็มวา เต็มพระเต็มเณร คำว่าดุหรือไม่ดุเลยไม่รู้เรื่องทุกวันนี้นะ คือมันเลอะไปหมดแล้ว ว่าดุหรือไม่ดุ ดุหาอะไร ก็มันเลอะไปหมดแล้ว เอาละพอ

 

ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาทุกวัน ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก