เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม
เมื่อวันที่ ๑๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๕ [ค่ำ]
แมลงวันป่า แมลงวันบ้าน
พุทธะแท้นี้เองครอบโลกธาตุ ไม่มีอะไรเกินธรรมที่ครอบโลกธาตุไปได้ โลกธาตุจะอยู่ในกรอบของธรรมที่เหนือนี้แล้วครอบหมดเลย ใหญ่ไหมธรรมพระพุทธเจ้า พอเจอขึ้นในจิตนี้มันรู้หมดเลย ไม่ต้องไปถามใคร แม้พระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้าก็สาธุว่างั้นเลย ถามท่านหาอะไร ตามีอยู่ ตาก็คือความรู้ มันก็มีอยู่เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า สอนไว้เพื่อให้รู้อย่างงี้ เมื่อเข้าถึงแล้วมันก็จ้าเลยทันที ไม่มีอะไรที่จะครอบโลกธาตุได้เหมือนธรรมธาตุ หรือเหมือนธรรม ธรรมพูดเป็นกลาง ๆ ธรรมธาตุมันก็แยกออกมาอีกนิดหนึ่ง ธรรมธาตุแท้ก็คือธรรม ครอบหมดเลย
ร่างกายมันเป็นสมมุติ มันก็ต้องเหมือนโลกทั่ว ๆ ไป มีเย็น ร้อน อ่อน แข็ง อยู่อย่างงั้น เจ็บนั้นปวดนี้ แต่ที่มันต่างกันก็คือว่ามันเป็นอยู่ในวงขันธ์ที่เป็นตัวสมมุติ มันไม่เข้าไปเป็นอยู่ในจิตที่เป็นจิตตวิมุตติแล้ว แม้แต่ครองขันธ์อยู่ก็ไม่มีทางที่จะเข้าถึง ต่างอันต่างเป็นส่วนสมมุติมันก็ดีดดิ้นอยู่ตามเรื่องของมัน ส่วนวิมุตติไม่มีอะไรดีดแล้วพอตลอดเลย พระที่ท่านบำเพ็ญอยู่ในป่าในเขาเพื่อมุ่งอรรถมุ่งธรรมจริง ๆ ท่านรื่นเริงอยู่ในจิตของท่านนะ สถานที่ต่าง ๆ นั้นเป็นที่สงบงบเงียบ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่การบำเพ็ญของท่าน เช่นไปอยู่ในป่าในเขา
ดังพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ทั้ง ๆ ที่เวลาท่านเป็นกษัตริย์ท่านไปอยู่หอปราสาท เวลาเป็นศาสดาแล้วสอนโลก เฉพาะพระสงฆ์สอนให้อยู่ตามรุกขมูลร่มไม้ ฟังซิ นี่ก็คือพระองค์ทรงบำเพ็ญอยู่ในป่าในเขามาแล้วจนได้ตรัสรู้ จึงนำอันนี้ออกนำที่บำเพ็ญได้รับความสะดวกสบาย จนกระทั่งถึงจุดหมายปลายทางแล้วมาสอนพระสงฆ์ว่า รุกฺขมูลเสนาสนํ คือบรรพชาอุปสมบทแล้ว ให้ท่านทั้งหลายเที่ยวอยู่ตามรุกขมูลร่มไม้ในป่าในเขา หรือตามถ้ำเงื้อมผาที่เป็นที่สะดวกสบายในการบำเพ็ญสมณธรรม เพราะสถานที่นี่ไม่มีใครปรารถนา ไม่มีใครเข้ามารบกวน
การบำเพ็ญก็สะดวกสบาย ตักตวงอรรถธรรมเข้าสู่ใจตลอดเวลา และจงพากันทำความอุตส่าห์บำเพ็ญอย่างนี้ไปตลอดชีวิตเถิด ไม่ใช่ธรรมดานะ อุตส่าห์บำเพ็ญอย่างนี้ไปตลอดชีวิตเถิด เพราะท่านเป็นวิหารธรรมความอยู่สะดวกสบายในป่าในเขานั้นด้วย เพราะฉะนั้นท่านจงอยู่ที่นั่นจนตลอดชีวิตเถิด บำเพ็ญก็บำเพ็ญตลอดชีวิต บำเพ็ญถึงวิมุตติหลุดพ้นแล้ว สถานที่เช่นนั้นก็เป็นที่เหมาะสมของท่านตลอดไป จนกระทั่งท่านนิพพาน จะเทียบแล้วก็เหมือนอย่างท่านแสดงไว้ในธรรมว่า ท่านเป็นประเภทแมลงวันป่า แมลงวันป่า แมลงวันบ้าน ท่านเขียนไว้ในชาดก
แมลงวันบ้านมันจะป้วนเปี้ยนอยู่ตามบ้านตามเรือน ตามที่สกปรกโสมม ที่สกปรกโสมมมีมากที่ไหนแมลงวันบ้านนี้มันจะชอบไต่ตอมจนเต็มไปหมด นี่แมลงวันบ้าน จะจับมันเข้าในป่ามันก็ไม่ยอมอยู่ มันต้องวิ่งมาหาถังขยะ ตามนิสัยของแมลงวันบ้าน ชาดกท่านแสดงไว้ ผิดกันกับแมลงวันป่า ท่านว่านะ มันมีสองประเภท แมลงวันป่าไล่เข้าบ้านมันไม่เข้า เข้าอยู่ในป่า แมลงวันบ้านไล่เข้าป่าไม่อยู่ต้องวิ่งเข้าบ้าน ทีนี้พระที่ประพฤติตัวจนกลายเป็นแมลงวันป่าแล้ว เช่นพระอริยบุคคล ตั้งแต่โสดาขึ้นไป นั่นละประเภทเป็นแมลงวันป่าแล้ว
ท่านไม่คุ้นกับบ้านกับเรือน กับผู้คน หญิง ชาย สถานที่หรูหราฟู่ฟ่าอะไรท่านไม่คุ้น เพราะเป็นสถานที่อยู่ของแมลงวันบ้าน เข้าใจไหม ท่านเป็นแมลงวันป่า ท่านชอบอยู่ในป่าในเขา ชั่วระยะกาลที่เขามานิมนต์ให้ไปสงเคราะห์โลก เช่นไปฉันในบ้านบ้าง ในงานอะไรบ้าง ท่านก็ไปชั่วระยะเพื่อสงเคราะห์เขาเป็นกาลเป็นเวลา พอเสร็จแล้วท่านบึ่งเลย แมลงวันป่าบึ่งเข้าป่าเข้าเขาไปเลย นั่นประเภทแมลงวันป่า ท่านอยู่ผาสุกสบายอย่างงั้นตลอดจนวันท่านนิพพาน สถานที่นั้นจึงไม่มีเบื่อสำหรับท่านประเภทแมลงวันป่า ท่านอยู่อย่างงั้นกันทั้งนั้น ท่านแสดงเป็นข้อเทียบเคียงเอาไว้ในชาดกมี อย่างนี้แหละเวลาเรียนไปมันไปสัมผัสก็นำออกมา ถ้าไม่ไปสัมผัสก็เหมือนไม่เรียนเหมือนไม่รู้ เวลาไปสัมผัสมันก็ออกมา
ท่านอยู่ในป่าในเขา นี่หมายถึงว่าท่านผู้ออกแนวรบแล้ว เข้าสู่สงครามต่อกรกับกิเลสแล้ว ท่านจึงชอบหาที่เหมาะสมกับการต่อสู้กิเลส ที่เช่นนั้นเหมาะสมมาก บำเพ็ญอยู่งั้นตลอด เวลานอนของท่าน ท่านจะไม่ถือเป็นประมาณในการนอน แต่ถือความเพียรเป็นประมาณ จนกระทั่งมันอ่อนเพียบแล้วก็รู้เองในขันธ์ เพื่อบรรเทาขันธ์ด้วยการหลับนอน ท่านก็ออกจากความเพียร เช่น นั่งสมาธิอยู่ท่านก็ออกจากสมาธิ เดินจงกรมอยู่ท่านก็ออกจากทางจงกรมไปพักผ่อนธาตุขันธ์ เพราะอันนี้เป็นเครื่องมือสำหรับก้าวเดินเพื่อมรรค ผล นิพพาน
พักผ่อนธาตุขันธ์ตามหลักธรรมท่านก็มีบังคับเอาไว้ จะว่าบังคับก็ไม่เชิง แต่สอนไว้กลาง ๆ อปัณณกปฏิปทา คือการปฏิบัติบำเพ็ญไม่ผิด ท่านแสดงสำหรับพระผู้ประกอบความพากเพียรให้เป็นความเหมาะสม ไม่ยิ่งนัก ไม่หย่อนนัก ก็คือว่าปัจฉิมยาม ตั้งแต่หนึ่งถึงสี่ทุ่ม จะเดินจงกรมก็ได้ นั่งสมาธิภาวนาก็ได้ ตอนนี้เป็นเวลาประกอบความเพียร ตั้งแต่หัวค่ำออกไป นี่หมายถึงกลางคืน จนกระทั่งสี่ทุ่มไปแล้ว เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจะพักก็พักได้ ในมัชฌิมยามตั้งแต่สี่ทุ่มล่วงไปแล้วจะพักก็พักได้
เวลาพักท่านก็บอกนอนตะแคงข้างขวา เอาขาซ้ายทับขาขวา โดยทำความกำหนดภายในใจด้วยสติ จนหลับกับภาวนา จนกระทั่งหลับ แล้วทำความเข้าใจเอาไว้ว่า พอรู้สึกตัวแล้วจะตื่น นี่ละฟังซิตำราท่านแสดงไว้ ไม่ใช่ตื่นแล้วจะพลิกทางนั้นพลิกทางนี้เหมือนหมู จะยอมลงเขียงไม่ลง หากพลิกอยู่บนเขียงนั่นแหละ คือหมอนคือเสื่อนั่นละ พลิกไปพลิกมา ท่านสอนให้ออกจากนี้ ให้ทำความเข้าใจเอาไว้กับตัวเอง พอรู้สึกตัวแล้วรีบตื่น พอสี่ทุ่มนอนแล้ว ตีสองตื่น จากนั้นก็ทำความเพียรตามเดิม จะเดินจงกรมก็ได้ นั่งสมาธิภาวนาแล้วแต่ความสะดวก ตีสามไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งสว่างเป็นวันใหม่
นี่เรียกว่า อปัณณกปฏิปทา คือการปฏิบัติพอดิบพอดี ไม่เคร่งไม่หย่อนยานเกินไป แต่ผู้ที่จะเร่งรัดกว่านั้นท่านก็ไม่ว่า อันนี้ท่านวางไว้เป็นสายกลาง ผู้ที่จะเร่งกว่านั้นก็ได้ ตามกาลเวลาที่ควรจะเร่ง เพราะการประกอบความเพียรนี้ไม่เสมอไปตลอดนะ เวลาที่ควรจะเร่งความพากเพียรนี้การหลับนอนมายุ่งไม่ได้ หมุนติ้วกับความเพียร มันจะหลับจะนอนเมื่อไรก็เอาค่อยว่ากัน นั่นอย่างนั้นก็มี ถ้าธรรมดาท่านปล่อยไว้อย่างนี้ตามเวลา นี่กลาง ๆ ถึงขั้นจะเร่งรัดกัน เรียกว่าโดนคลื่นเข้าไปแล้วเอาละ ไม่ควรนอนไม่นอน เป็นระยะ ๆ อย่างนี้เป็นกรณีพิเศษของแต่ละรายๆ ไป
กลางวันก็เช่นเดียวกัน เดินจงกรมบ้าง นั่งสมาธิบ้าง ถ้าเหน็ดเหนื่อยจะพักกลางวันก็ได้ ท่านก็บอกให้ปิดประตูเสีย ปิดประตูพักกลางวัน จากนั้นทำความเพียรอย่างนี้โดยสม่ำเสมอ ชำระจิตใจตลอดด้วยสติ ด้วยปัญญาตามกาลเวลา แต่สติเป็นพื้นฐาน สำหรับปัญญาจะใช้ตามกาลเวลาที่ควรใช้ปัญญา นี่เรียกว่าสม่ำเสมอ ผู้นี้แลผู้ที่จะกวาดกิเลสความสกปรกทั้งหลายออกจากใจไปได้โดยลำดับลำดา จิตที่เคยว้าวุ่นขุ่นมัวก็จะค่อยสงบและผ่องใสขึ้นมาเรื่อย ๆ พอจิตสงบผ่องใสขึ้นมา ความสุข ความสง่างามของใจก็จะขึ้นมาพร้อม ๆ กัน เรื่อย ๆ ไป
ต่อจากนั้นไปก็ละเอียดเข้า ๆ จนกระทั่งทะลุเลย ถึงมรรค ผล นิพพาน ท่านสอนพระอย่างนี้ นี่เอาตำรามาสอนเลยมาบอกเลย นี่ละงานของพระ ท่านทั้งหลายเคยฟังไหม งานของพระมีแต่การเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา อยู่ในป่าในเขา ไม่ได้สอนให้ยุ่งเหยิงวุ่นวาย สร้างนั้นสร้างนี้ ก่อความรำคาญ สร้างวัดที่ไหนกองทัพกิเลสเข้าไปตีตรงนั้นแหละ เป็นกองทัพอันใหญ่หลวง คือกองทัพของกิเลสเกี่ยวกับการก่อการสร้างยุ่งเหยิงวุ่นวาย กวนบ้านกวนเมืองเขา แต่ไม่สนใจดูใจตัวเอง ตัวมันดีดมันดิ้นไปก่อเรื่องราวต่าง ๆ เช่นกวนบ้านกวนเมืองเขาเป็นต้น นี่เป็นเรื่องกิเลสมันแทรกเข้าไป กิเลสแทรกธรรมแทรกอย่างนี้
ทีนี้ต่อไปกิเลสมันก็มีกำลังมาก ไปที่ไหนก็เป็นเรื่องของกิเลสไปหมด ไม่ว่าสร้างวัดสร้างวา สร้างอะไร กิเลสจะเข้าไปตีไปหมด แล้ววัดทั้งวัดกลายเป็นส้วมเป็นถานไปเลย ด้วยความสกปรกโสมมแห่งความประพฤติของพระ การขวนขวายของพระมีแต่เรื่องสกปรก ความสะอาดด้วยการชำระจิตใจนี้ไม่ค่อยมีและไม่มี มรรค ผล นิพพานก็จางไป ๆ ก็มีแต่กิเลสเข้าทำงานแทนที่ ๆ แล้วก็ไปสวยงามที่กุฏิ ที่พัก ที่อยู่ ที่อาศัย สง่างามทุกอย่าง ๆ มันสง่างามด้วยการตกแต่งของกิเลส หลอกหัวใจสัตว์โลกต่างหาก
หัวใจไม่ได้สง่างาม หัวใจดีดดิ้น ขึ้นไปอยู่บนหอปราสาท ใจที่มีกิเลสเหยียบอยู่นั้นมันก็ดิ้นของมัน ถ้าใจกิเลสเบาบางแล้วใจไม่มีกิเลส อยู่ไหนสบายหมดเลย ไม่มีความกังวลกับอะไร คือความพอของใจ อย่างงั้นแหละท่านผู้มีจิตใจที่พอทุกอย่างแล้ว ท่านจึงไม่ยุ่งกับอะไร ท่านอยู่กับความพอ พอถึงเวลามันควรจะปล่อยแล้วเหรอขันธ์นี่ ใช้มันมานานแล้ว อะไรก็เยียวยารักษามาพอแล้ว มันไม่ยอมฟังเสียงก็ปล่อย นั่นความสิ้นทุกข์เกี่ยวกับเรื่องธาตุขันธ์ที่เป็นกังวลหมดโดยสิ้นเชิง ขณะที่ลมหายใจดับลงเท่านั้น เรียกว่าสมมุติที่พระอรหันต์ท่านรับผิดชอบ ไม่ใช่ท่านติดนะ ท่านรับผิดชอบ เป็นภาระ ด้วยสัญชาติญาณดับลงไปในทันทีทันใด นั่นละคือ อนุปาทิเสสนิพพาน เป็นธรรมธาตุล้วน ๆ เลย ไม่มีสมมุติแม้เม็ดหินเม็ดทรายเข้าไปเจือปนตลอดไป
นี่ผลแห่งการปฏิบัติธรรม ท่านจึงได้มาเป็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเรา ท่านปฏิบัติตามร่องรอยของศาสดาที่แสดงไว้แล้วด้วยสวากขาตธรรม คือตรัสไว้ชอบ ดำเนินตามนั้นมันก็ถึงจุด ๆ โดยลำดับลำดา เมื่อศาสนาเจริญภายในใจแล้วไปที่ไหนก็สง่างาม คือความสง่างามมันอยู่ที่ใจ ใจเป็นความสง่างามแล้วไปไหนสง่างาม คนไม่เห็น เทวบุตรเทวดาเห็น แล้วเจ้าของก็สง่าอยู่ตลอดเวลา ไม่มีบกบาง ไม่มีเคลื่อนมีไหว คือไม่มีกฎอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เข้าไปสัมผัสสัมพันธ์ หรือเหยียบย่ำทำลายได้เลย นั่นละเป็นธรรมธาตุแท้อยู่ภายในหัวใจท่าน แม้จะครองขันธ์อยู่ ธรรมธาตุคือความบริสุทธิ์ของท่านก็อยู่ในนั้นแหละ นี่ละศาสนาของพระพุทธเจ้าเราสด ๆ ร้อน ๆ อยู่ตลอดมา
นี่ที่เราเป็นห่วงเป็นใยบรรดาพี่น้องทั้งหลาย ซึ่งต่างคนต่างไม่ค่อยสนใจทางด้านจิตใจ คือจิตตภาวนาบ้างเลย เพราะจุดนี้เป็นจุดสำคัญที่จะสร้างคนให้เด่นดวงขึ้นมา สร้างตัวให้ตื่นเต้น ให้รู้สึกตัวเองขึ้นเป็นลำดับลำดาจากจิตตภาวนา ความรู้ธรรมดานี้เป็นความรู้ที่ถูกกล่อมด้วยกิเลส จึงไม่มีความรู้ใดจะแปลกประหลาดอัศจรรย์ ใครรู้ก็รู้แบบเดียวกัน เรียนสำเร็จมาจากเมืองไหน บ้านใดก็ตาม มันก็คือวิชาของกิเลสประสิทธิ์ประสาทให้กัน อาจารย์ก็เป็นอาจารย์คลังกิเลส สอนออกมาก็ออกมาจากคลังกิเลส ได้ความรู้หลักนักปราชญ์ฉลาดแหลมคม เป็นดอกเตอร์ดอกแต้มันก็มีแต่ชื่อ ตั้งกันเฉย ๆ กิเลสมันเหยียบอยู่ในหัวใจ มันจะเอาความวิเศษวิโสมาจากไหน
นี่ละเรื่องความรู้มันต่างกันอย่างนี้ รู้ทั่ว ๆ ไปมันก็แบบเดียวกัน ครั้นรู้มาแล้วก็มาทะนงตนเองว่ารู้อย่างนั้นรู้อย่างนี้ มิหนำซ้ำ ยิ่งทำให้เพลินตัวไปอีก ลืมตัวไปอีก แล้วทำความชั่วจากการทะนงก็ได้ ไม่มีใครแตะต้อง ไม่มีใครคัดค้านต้านทาน เขาก็เกรง ทางนี้ก็สนุกทำความชั่วช้าลามก ทำลายบ้านเมือง คือส่วนรวมได้เป็นลำดับลำดา คือประเภทที่ลืมตัวจากการจดจำมาจากคลังของกิเลส คืออาจารย์คลังกิเลสนั่นแหละ ไม่มีอะไรดี ถ้าไม่มีธรรมเข้าไปแทรกในนั้นจะไม่มีคุณค่า ความรู้นี้จะเอียงไปทางเสียหายเรื่อย ๆ มันจะดึงลงไปทำด้วยความทะนงตัว ว่ามีความรู้หลักนักปราชญ์ฉลาดแหลมคม แล้วดึงไปทางความชั่วได้อย่างสบาย
ถ้ามีธรรมในใจแล้ว เรียนมาหนักเบามากน้อยเพียงไรจะรู้ตัวขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งมีความรู้มากเท่าไรยิ่งทำความร่มเย็นให้แก่ตัวเองมากขึ้น ๆ ความสำรวมระวังตัวเองก็หนักขึ้น ผู้เกี่ยวข้องกันก็ได้รับความร่มเย็นเป็นลำดับ นี่ละธรรมถ้าแทรกเข้าไป ธรรมเหนือกว่าทุกอย่าง แต่โลกไม่เหลียวแล เหยียบแหลกไป เอากิเลสขึ้นเหยียบธรรม เวลานี้มีแต่กิเลสเหยียบธรรมนะ ธรรมแทบจะไม่ปรากฏตัว มีแต่กิเลสเหยียบธรรมแหลกเหลวไปหมด พูดแล้วมันน่าสลดสังเวช แล้วใครก็ตำหนิใครไม่ลง เพราะความรู้ความเห็นมันเป็นแบบเดียวกัน จะเอาอะไรมาค้านกัน
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้รับคือความสุขความทุกข์มันก็แบบเดียวกัน ทั้งคนโง่ คนฉลาด คนมี คนจน เพราะกิเลสเป็นมหาอำนาจอยู่ในใจ จะได้คนมาเป็นความสุขความสบายเพราะอำนาจกิเลสครองใจไม่มี ก็มีอยู่อย่างเดียว อย่างเรา ๆ ท่าน ๆ ไม่เห็นผิดแปลกอะไร ถ้าไม่มีธรรมแทรก ถ้ามีธรรมแทรกมากน้อยนี้ไม่ต้องบอก เป็นอยู่ในใจตัวเอง อยู่ที่ไหนก็เย็น คิดไปทางคุณงามความดีเจ้าของไม่บกพร่อง ทำเต็มกำลังของตัวเอง การทำบุญให้ทานมากน้อยเจ้าของก็ทำ มันเป็นเครื่องอบอุ่นอยู่ภายในตัว ไม่มีใครบอกเจ้าของก็รู้ เป็นอย่างงั้นนะ เรื่อยไป ๆ
ยิ่งถึงกาลเวลาที่ชำระซักฟอกให้หนาแน่น ให้มากยิ่งกว่านั้นก็ยิ่งหนุนเข้าไปเรื่อย สว่างจ้า ๆ จิตนี้เป็นดวงสำคัญมากทีเดียว โลกมองไม่เห็นนะ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ว่าโลกกว้างขวาง มีเรื่องราวกว้างแคบขนาดไหน มันเป็นไปจากจิตนี้ทั้งนั้น จิตที่คลุกเคล้าด้วยกิเลส โลกจึงคลุกเคล้าด้วยทุกข์แก่สัตว์ทั้งหลายตลอดมา และเรื่องราวก็มาก สำหรับต้นไม้ ภูเขา ดิน ฟ้า อากาศ เขาไม่ได้ว่าเขาเป็นอะไรนะ มันจะมีหรือไม่มีเขาไม่สำคัญตน แต่ตัวจิตตัวคึกตัวคะนองไปหาเรื่องหาราว ยึดนั้นยึดนี้ เสกสรรปั้นยอ เหยียบย่ำนั้นเหยียบย่ำนี้ อันนั้นดี อันนี้ไม่ดี แล้วตัวเองก็เป็นตัวยุ่ง เขาไม่ได้ยุ่งนะ ถึงไปตำหนิเขาเขาก็ไม่ได้ยุ่ง ไปชมเขาเขาก็ไม่ได้ยุ่ง ตัวยุ่งคือตัวของเราเอง
ส่วนมากมันก็เอากองทุกข์มาหาเจ้าของ แบกความทุกข์ทั้งโลกมาอยู่ที่ใจดวงเดียว นี่เรื่องความทุกข์ ใจนี้อับเฉามากทีเดียว จึงไม่มีใครมองเห็นใจเจ้าของว่าเป็นยังไง ให้กิเลสเหยียบไปเรื่อย ๆ ทีนี้ผู้มีธรรมแทรกเข้าไป ๆ บำเพ็ญเข้าไปจิตใจสว่างออก ๆ เหยียบกิเลสให้พังไป ๆ เด่นขึ้นมา ๆ ทีนี้มองเห็นโลกเป็นยังไง อันนี้ก็เหมือนกันมารวมอยู่ที่ใจอีก เช่นเดียวกับกองทุกข์ที่กิเลสพาสร้างขึ้นมา มีมากน้อยเพียงไร มารวมอยู่ที่หัวใจเราดวงเดียว ไม่ได้อยู่ดินฟ้าอากาศนะความทุกข์ทั้งหลาย ทีนี้ความสุขก็เหมือนกัน เมื่อเราบำเพ็ญใจของเราให้ดี สิ่งทั้งหลายมันจะมารวมอยู่ที่หัวใจ เด่นอยู่ที่หัวใจ ใจจึงเป็นของสำคัญ ไม่ควรที่จะมองข้ามไปนะ
พอบำเพ็ญตามนี้แล้วจิตใจจะค่อยเด่นดวงขึ้นไป สุดท้ายก็จ้าเลย จ้าก็ครอบโลกธาตุ อะไรใหญ่กว่าใจวะ นี่ละใจที่ได้รับการอบรม เวลานี้เรียกร้องหาความช่วยเหลือจากเจ้าของอยู่ทั่ว ๆ ไป แต่เจ้าของเอาฟืนเอาไฟไปจี้ไปเผาตลอดเวลา โดยเข้าใจว่าตัวช่วยเหลือ ช่วยเหลือเอาไฟไปจี้เอาไฟไปเผา เพราะจิตเป็นความทุกข์ความลำบากมาก เมื่อไม่มีธรรมในใจ จิตใจแห้งผากจากธรรมแล้วมันจะมีแต่ฟืนแต่ไฟเผาอยู่ที่ใจ อยู่ที่ไหนหาความสบายไม่ได้ ถ้าคิดถึงปัจจุบันนี้เราเกิดมาจากอะไร มันก็มืดมิดปิดตา เกิดมาจากอะไร แล้วเวลานี้ปัจจุบันนี้ตายแล้วจะไปที่ไหนมันก็ไม่รู้ มันก็อยู่แบบงงงันอั้นตู้ หาบหามตั้งแต่ความทุกข์ความทรมาน
การแสดงออกมีแต่การทำความชั่วช้าลามกเต็มบ้านเต็มเมือง เต็มสัตว์ เต็มบุคคล ตายแล้วก็จมแบบเดียวกัน แล้วไม่มีใครตามที่คนนี้ตายแล้วไปที่ไหน ได้เหตุได้ผลอะไรมาชี้แจงบอกกัน ให้ได้รู้ว่าจะทำอย่างงั้น ตายแล้วจะไปอย่างงั้น ๆ เหมือนคนคนนั้น ใครไปแล้วก็จมเลย ๆ ครั้นโผล่ขึ้นมากิเลสมันก็ปิดทางเดินเสียอีก ตกนรกหมกไหม้ขึ้นมาก็เหมือนไม่ได้ตก กิเลสมันปิดไม่ให้จำได้ รู้ได้เลย และทำอีก ไปอีก นี่ท่านว่าวัฏวน วนไปวนมาด้วยความมืดบอดที่กิเลสปิดบังหัวใจเอาไว้ รู้ก็รู้อยู่ในกรอบกิเลสปิดบัง เหมือนตะเกียงแก้วครอบดำ ๆ มันสว่างใจ แต่แก้วครอบมันดำ มันก็พามืดไปหมด
ถึงเวลาเราขัดจิตใจของเราออก แก้วครอบของเราค่อยสว่าง ทีนี้มันออกจ้าเลย ตรงกันข้ามแล้วทีนี้ ไม่มีอะไรใหญ่เกินใจ มันครอบไปหมดเลย เพราะไม่มีอะไรปิดบังได้ กิเลสพังไปหมดแล้ว เหลือแต่ธรรมล้วน ๆ ใจล้วน ๆ ก็พุ่งเต็มเหนี่ยวเลย นั่นแหละเรียกว่าธรรมเลิศ พระพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้น พระสาวกเป็นอย่างนั้น เวลาท่านนิพพานธรรมชาตินี้แหละเป็นธรรมธาตุครอบโลกธาตุ ว่าธรรมมีอยู่ ๆ ท้องฟ้ามหาสมุทรยังไม่ได้กว้างยิ่งกว่าธรรม ธรรมกว้างไปกว่านั้น เราให้พากันพินิจพิจารณาทุกคนนะ หลวงตานี้ไม่นานนะ บอกตรง ๆ บอกพี่น้องทั้งหลาย แล้วการพูดอย่างนี้ท่านทั้งหลายจะไปหาที่ไหน ไม่ใช่โอ้อวด เอาความจริงมาพูด เป็นภาษาของธรรม ภาษาของพระ
เรารู้ยังไง เห็นยังไง แต่ก่อนเราไม่เคยพูดก็เราไม่รู้ เวลามันรู้มันเห็นยังไง มันก็ทนความเมตตาไม่ได้ มันก็ดึงออกมาเรื่อย ๆ ท่านทั้งหลายยังจะว่าโอ้อวดอยู่เหรอ คำว่าโอ้อวดนี้ละจะพาท่านทั้งหลายให้จมอีกนะ ดึงขึ้นมา ๆ ยังว่าโอ้อวด ก็เรียกว่าลากลงไป ที่จะลากท่านว่าท่านโอ้อวดลงไป ท่านไม่ลง ไอ้เราผู้ที่เก่งมันลง มันจะลงนะให้ระวังให้ดี ธรรมพระพุทธเจ้านี้หมดละ คือหมดเลยไม่มีที่สงสัยเลยนะ เต็มหัวใจของเราได้ปฏิบัติตามท่านเรื่อยมา ๆ ก็เอาแนวทางของท่าน คือธรรมวินัยเป็นแปลนก้าวเดินไป ก็เจอตามที่ท่านสอนไว้ด้วยความถูกต้องแล้ว แล้วเจอโดยลำดับลำดา เจอจนกระทั่งเจออย่างจัง ๆ หายสงสัย แม้พระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้าก็ไม่ทูลถาม ฟังซิน่ะ มันเจอยังไงถึงเป็นอย่างงั้น หรือเจอเทวทัตหรือแบบนั้น
ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต ธรรมอยู่ที่ไหนก็อยู่ที่ใจ ใจเป็นนักรู้ ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันแล้ว ทูลถามพระพุทธเจ้าหาอะไร เท่านั้นมันก็พอ พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกให้ทูลถามพระองค์ สนฺทิฏฺฐิโก ผู้ปฏิบัตินั้นแลจะรู้เองเห็นเอง ท่านก็บอกไว้แล้ว ถึงนั้นแล้วมันก็พอกันทุกคนแหละ ให้พากันอุตส่าห์พยายามนะ เรานี้อยู่ไป ๆ วันหนึ่งเท่านั้นแหละ เราพูดจริง ๆ เรื่องธาตุเรื่องขันธ์เราไม่ได้หวังอะไรกับมันแหละ อยู่ไป ๆ กินไป นอนไป ดูอาการของมัน มันเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าหนักเบามากน้อยเพียงไร ในวันหนึ่ง ๆ ดูมัน เพราะเรื่องของเราใจของเราจริง ๆ เราไม่มีอะไรจะดู พูดง่าย ๆ ว่างี้เลย
มันหมดสิ่งที่จะดูแลหรือซ่อมแซมอะไร มันพอแล้วโดยสมบูรณ์ ไม่มีที่ต้องติ จะเอาอะไรมาเพิ่มไม่มี ถ้าว่ามันมากเกินไปลดลงก็ไม่มี จึงว่าพอดี แต่เรื่องธาตุเรื่องขันธ์มันแสดงของมันอยู่ตามนิสัยของมันที่เป็นสมมุติ มันก็มีความเปลี่ยนแปลง ก็ดู อาศัยเขาชั่วกาลเวลา พอเขาหมดสภาพแล้วก็ปล่อยเท่านั้นเอง ไม่ทราบจะหวงไปหาอะไร ประสากระดูก มันก็รู้อยู่แล้ว ตั้งแต่ไม่ตายมันก็รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ทีนี้พอมันลงกันได้ก็คือว่า พอเป็นเครื่องมือใช้ในเวลามีชีวิตอยู่ ทำประโยชน์เท่านั้นเอง เมื่อมันหมดสภาพแล้วปล่อยเลย ก็จะหวงไปหาอะไร ใครก็หวงทั้งโลกมันได้อะไรไปล่ะ นี่จะไปหวงอะไร ไปแย่งตำแหน่งโลกที่หวง ๆ ได้ลงคอเลยเหรอ หวงหาอะไร มันก็เท่านั้นเอง ใจถ้าลงได้พอแล้วเหมือนกันหมด
นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าเลิศเลอสุดยอดแล้วนะ เราหาที่ต้องติไม่ได้ เต็มภูมิของเราที่ปฏิบัติมา ความรู้ความเห็นไม่ว่าภายในไม่ว่าภายนอก มันรู้อะไรขึ้นมานี้ พระพุทธเจ้าแสดงไว้แล้ว ค้านท่านได้ยังไง แล้วไปทะนงตัวอยู่ได้ยังไง สิ่งที่รู้ที่เห็นมีแต่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้วทั้งนั้น ไม่ได้นอกเหนือไปจากนั้นเลย พอจะยกตนว่าวิเศษกว่าพระพุทธเจ้า รู้ตรงไหนก็มีแต่พระพุทธเจ้าสอนไว้แล้ว นี่แหละพยานอันสำคัญที่เลิศเลอคือองค์ศาสดา มันรู้ตรงไหนนี้พระพุทธเจ้าก็พระพุทธเจ้ารู้แล้วตลอดเวลา เหนือกว่าตลอดเวลา เป็นอย่างงั้นนะ
โห เรื่องอรรถเรื่องธรรมเป็นของแปลกประหลาดอัศจรรย์มาก เพราะงั้นจึงให้พากันตะเกียกตะกาย ทุกข์ยากลำบากทนเถอะ คำว่าทนคือฝืนกิเลสนะ กิเลสจะไม่ยอมให้เราทำความดี การสร้างความดีนี้ขวางทันที คือกิเลสมาขวาง พอพูดอย่างนี้แล้ว เราก็เคยพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง มีโยมคนหนึ่งที่แกเป็นฆราวาส เอาแต่เรื่องของแกมาพูดก็พอ ไม่ต้องระบุชื่อสถานที่อะไรละเพราะแกพูดให้เราฟังอย่างชัดเจน แกเองก็รู้สึกว่าโกรธแค้นให้ตัวเองนะ เวลาแกภาวนาแล้ว จิตแกเป็นไปจริง ๆ รู้จริง ๆ จิตใครแกมองเห็นหมด เราพูดตรง ๆ เลยคราวนั้นอยู่นั้นด้วยกันสององค์ เอาให้มันจัง ๆ อย่างนี้ ความจริงของธรรมพูดความจริงไม่ได้มันมีเหรอ ความปลอมเขายังพูดได้เต็มบ้านเต็มเมือง ความจริงมีอยู่พูดไม่ได้มีเหรอ
เวลาแกออกปฏิบัติ จิตใจแกเป็นจริง ๆ ภาวนานี้สว่างไสว เวลาเราไปนี้แกจะปุ๊บมาเลย สั่งลูกเต้าทั้งหลาย สูอย่าไปเป็นห่วงกับกูนะ ถ้าท่านอาจารย์ไม่กลับเมื่อไรกูจะอยู่ที่นั่นตลอดไป ท่านกลับเมื่อไรกูถึงจะมา สูไม่ต้องเป็นห่วงกู เท่านั้นมาเลยมาบำเพ็ญภาวนา แกลงมาก เวลาแกภาวนาตอนนี้แกมาเห็นภูมิเดิมของแก ที่เป็นอันธพาล หรือเป็นมหาภัยแก่ตัวเอง แกยังไม่ได้สนใจกับอรรถธรรมอะไรเลยแต่ก่อน เขาเดินผ่านมานี้เขาก็ชวนไปธรรมดา เขาไม่ตั้งหน้ามาชวนและมาบังคับเราแหละ ชวนไปวัด เขาชวนไปวัด โอ๋ย โกรธแค้นให้เขาจริง ๆ ภายในใจ ก็มันอยากไปมันทำไมไม่ไป มาชวนกูทำไม ว่างี้นะ เคียดแค้น
ถ้าเป็นเรื่องอื่นตามฆ่าเลย แกว่างั้นนะ ความเคียดแค้น แต่นี่เขาชวนไปวัด ไปเคียดแค้นให้เขาอะไร มันเคียดแค้นให้เขาขนาดนั้นนะ ตอนที่มันเลว มาพิจารณาย้อนหลัง โอ้โห ขยะแขยง ทำไมจิตดวงเดียวนี้มันถึงได้เลวขนาดนั้น เพียงเขาชวนไปวัดก็เคียดแค้นให้เขา ผูกโกรธผูกแค้น ถ้าเป็นอย่างอื่นแล้วจะตามฆ่าเลย แกว่างั้นนะ อันนี้เขาชวนไปวัด แกก็ซ้ำอยู่นั่น มันอะไรมันถึงไปเคียดแค้นให้เขานักหนา นี่เวลาจิตแกเป็นแล้ว นี่ละจิตดวงนี้เวลามันเป็นอย่างงั้น มันก็เพลินเป็นไปตามของมัน เคียดแค้นให้เขามันก็พอใจเคียดแค้น แต่เวลานี้มันดูแล้วมันดูไม่ได้เลย แน่ะเห็นไหมล่ะ
แกภาวนาเป็น แกรู้จริง ๆ นะจิตใจใคร ไม่ใช่ธรรมดานะ ท่านสิงห์ทองนิสัยเป็นพระขี้ดื้อ รู้นั้นรู้นี้ จิตของอาตมา ว่างั้นนะ รู้ไหมเป็นยังไง จิตของท่านยังไม่พ้น แกตอบตรงๆ เลย แกก็นั่งอยู่ จิตของอาตมาเป็นยังไง จิตของท่านยังไม่พ้นแต่ผ่องใสมาก ไม่เหมือนจิตท่านอาจารย์ ชี้เข้ามานี่เลย เราไม่ได้ถามหากชี้เข้ามานี่เลย เมื่อเหตุการณ์มันมาเกี่ยวข้องก็ต้องพูดออก จิตท่านผ่องใสแต่ยังไม่พ้น ไม่เหมือนจิตท่านอาจารย์พ้นไปหมดแล้ว แกว่างั้น รู้ถึงขนาดจิตเรา แต่เราจะรู้จิตแกหรือไม่รู้มันเป็นเรื่องของเรา
นี่ละพูดถึงเรื่องการขัดเกลาเรื่องจิตใจ กิเลสมันอยู่ที่จิตหุ้มห่อจิตใจ ธรรมซักฟอกหลายครั้งหลายหน อีตาคนนี้แหละทีแรกโกรธแค้นให้เขาที่เขาชวนไปวัด กลับมาโกรธแค้นให้ตัวเองที่โกรธให้เขา ก็เขาชวนไปวัด แกว่างี้นะ เขาไม่ได้ชวนไปที่ไหน ถ้าเป็นอย่างอื่นตามฆ่าเลย ดูแกเราเชื่อนิสัยคน มองดูปั๊บรู้ทันที จริงจังมากทีเดียว เด็ดมาก ถ้าเป็นฝ่ายชั่วเป็นมหาโจร เป็นฝ่ายดีก็อย่างว่าคือจริงจังต่อความดีทั้งหลาย ลูกศิษย์เราอยู่ทางแถวนั้นมีหลายคนอยู่นะ ที่มารู้จิตของอาจารย์ มารู้จิตเราเอง ลูกศิษย์เรามาดูจิตพ่อมัน พ่อมันไม่ค่อยได้ตีหน้าผากมันสักที สนุกดูล่ะซิ ยอมรับเองนะ
นั่นเห็นไหมการภาวนา ผู้หญิงมีสอง ผู้ชายมีหนึ่งที่เด่นมาก เราแน่เหล่านี้พ้นทั้งนั้น ตอนนั้นดูเหมือนเป็นทางที่จะพ้นแล้ว กำลังก้าวเข้าสู่ธรรมช่องแคบ ๆ พุ่งๆ เลย นี่แหละการปฏิบัติธรรม จิตไม่มีเพศ ไม่มีหญิงมีชาย นิสัยวาสนา ไม่มีเพศ มีได้ด้วยกันทั้งหญิงทั้งชายใครบำเพ็ญ บาปบุญไม่มีเพศ ใครทำบาปเป็นบาป บุญเป็นบุญ ได้ด้วยกัน ให้ต่างคนต่างพยายามแก้ไขดัดแปลงทุกคน พอฝืนให้ฝืนนะ ปล่อยเลยตามเลยจมได้ กิเลสนี้กล่อม กล่อมละเอียดลออมากนะ อะไรๆ ต้องเชื่อไปหมดถ้าเป็นเรื่องของกิเลส มันแหลมคมมากนะ แหลมคมมากจริง ๆ ในขั้นที่มันแหลมคม
จนกว่าว่าธรรมะเหนือแล้วทีนี้แหลมไม่ได้ โผล่พับขาดสะบั้นเลย ไม่ทราบว่ามันแหลมหรือไม่แหลม พอโผล่มาธรรมต้องถือเป็นข้าศึกใหญ่หลวง มันจึงฟัดกันขาดสะบั้น ยังไม่ได้ว่าเป็นยังไงควรเชื่อหรือไม่ควรเชื่อ พอโผล่ปั๊บขาดสะบั้นเลย นั่นเวลาธรรมมีกำลัง นี้ละกิเลสกับธรรมมันอยู่ในใจดวงเดียวกัน อันใดเด่นอันนั้นก็เหนือ ถ้ากิเลสเด่นมันก็เหนือเราอยู่ตลอดเวลา เราจะไปทำอะไรก็ต้องได้ปรึกษาปรารภกับกิเลสเสียก่อน วันนี้จะเดินจงกรม เป็นยังไงน่ะ จะเหนื่อยหรือไม่เหนื่อยน่ะ ถ้ากิเลสอนุญาตให้ไปเดินสักห้านาที เข้าใจไหม ฟังแต่เสียงกิเลส จะนั่งภาวนาสักห้านาทีได้ไหม
ถ้ากิเลสกระตุก เอ้า ก็วันพรุ่งนี้จะออกเดินทาง โอ้ใช่แล้วล้มตูมเลย ไม่ทราบถูกหมอนหรือไม่ถูกก็ตาม มันเร็วขนาดนั้นนะ นี่ละเวลามันกล่อมมันกล่อมอย่างนี้ เวลากิเลสมันหนาแน่นในคนคนเดียวนี้มันกล่อม เวลาเราสู้ไม่ถอย ๆ ค่อยบางไป ๆ ความเพียร ทางความดีค่อยราบรื่น ทางนั้นก็ค่อยเบาไป ๆ จากนั้นอย่างที่ว่าโผล่มาไม่ได้ขาดสะบั้นเลย ไม่ทราบว่าได้กล่อมหรือยังไม่ได้กล่อม พอโผล่เท่านั้นขาดแล้ว ถ้าจะมากล่อมธรรม แสดงว่ายังไม่ได้กล่อม ขาดสะบั้น คอขาดแล้ว นั่นเวลามีกำลังธรรม เป็นอย่างงั้น วันนี้พูดเพียงเท่านี้
ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาทุกวัน ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th |