เทศน์ในงานพิธีบรรจุอัฐิธาตุหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล
ณ วัดดอนธาตุ อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี
เมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๔๖ (๙.๓๐ น.)
ตายแล้วใครจะมาช่วยได้
วันนี้เป็นวันมหามงคลแก่พี่น้องเราชาวพุทธเราทั้งหลาย ซึ่งมาสู่สถานที่นี่เป็นจำนวนมาก วันนี้เป็นวันบรรจุพระอัฐิธาตุของหลวงปู่เสาร์ของเรา ซึ่งเป็นพระในขั้น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ที่โลกกราบไหว้มานมนาน วันนี้จึงขอเชิญชวนพี่น้องทั้งหลายได้กราบไหว้บูชา เทิดทูนคุณธรรมอันล้ำเลิศของหลวงปู่เสาร์ของเรา อย่างถึงใจด้วยกันทุกคน ๆ ในขณะก่อนเทศน์นี้ก็ได้ขึ้นไปกราบบูชาพระธาตุ คือพระอัฐิธาตุของท่าน ที่กลายเป็นพระธาตุล้วน ๆ แล้วอย่างถึงใจ แล้วกลับลงมาประกาศธรรมอันเลิศเลอขององค์ท่านที่ได้ปฏิบัติมาให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบทั่วถึงกัน
พระพุทธศาสนาแห่งพระพุทธเจ้าของเรา เมื่อมีผู้ปฏิบัติตามท่านอยู่ ดังในหลักธรรมท่านแสดงไว้ว่า พระธรรมและพระวินัยนั้นแล จะเป็นศาสดาของท่านทั้งหลายแทนเราตถาคต เมื่อเราตายไปแล้ว นี่แสดงให้เห็นชัดเจนว่า พระพุทธเจ้าไม่ล้มหายตายจากพวกเราทั้งหลายไปแบบที่ว่าโลกทั้งหลายตายไป ด้วยร่างหมดสภาพแห่งความทรงอยู่ แต่สำหรับพระพุทธเจ้า พระสงฆ์สาวกท่านนั้น พระสรีระก็ล่วงลับดับสลายไปเช่นเดียวกับโลกทั่ว ๆ ไป แต่หลักธรรมอันยิ่งใหญ่ที่โลกได้กราบไหว้บูชา เป็นขวัญตาขวัญใจตลอดมานั้น คือ พระวิสุทธิจิต วิสุทธิธรรม ได้แก่พระจิตที่บริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งหลาย นี้เป็นธรรมอันเลิศเลอ ดังพระพุทธเจ้าท่านทรงแยกออกมาแสดงแก่ภิกษุบริษัทว่า พระธรรมและพระวินัยนั้นแล จะเป็นศาสดาของท่านทั้งหลาย เมื่อเราตายไปแล้ว
คำว่า ตาย นี้ หมายถึงพระสรีระ คือเรือนร่างของพระพุทธเจ้า ซึ่งจำต้องมีความแปรปรวนพลัดพรากจากกันเป็นธรรมดา จึงเรียกว่า ล้มหายตายจาก แต่ส่วน ธรรมธาตุ ที่ออกจากจิตของท่าน เป็นจิตที่บริสุทธิ์ กลายเป็นธรรมธาตุเรียบร้อยแล้วนั้น ไม่มีคำว่าล้มหายตายจาก เป็นธรรมธาตุคงเส้นคงวาหนาแน่น หรือท่านเรียกรวม ๆ ว่า นิพพานธาตุ คือความเที่ยงตรงแห่งธรรมอันเลิศเลอที่โลกได้กราบไหว้บูชา วันนี้เราทั้งหลายก็ได้เห็นประจักษ์ เป็นจำนวนมากที่ได้เข้ากราบไหว้บูชาพระอัฐิธาตุของท่าน ที่ได้กลายเป็นพระธาตุล้วน ๆ แล้วน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก หลวงตาก็ได้ขึ้นไปกราบไหว้บูชา ชมพระบารมีของท่านที่แสดงผลอันเลิศเลอให้แก่โลกได้เห็นทั่วหน้ากัน แล้วเพิ่งกลับมาด้วยความซาบซึ้งในพระธาตุของท่าน
นี่แสดงให้เห็นว่า พระพุทธศาสนานั้นเป็นศาสนธรรม เป็นธรรมที่คงเส้นคงวาหนาแน่นด้วยมรรคด้วยผล หรือว่าศาสนธรรมของพระพุทธเจ้านั้น คือตลาดแห่งมรรคผลนิพพาน ผู้ใดมีความสนใจใคร่ปฏิบัติต่อศีลต่อธรรม จิตใจ กาย วาจาของคนนั้น ย่อมเป็นศีลเป็นธรรมตลอดไป จนกระทั่งได้บำเพ็ญตนด้วยศีลด้วยธรรมจนเต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้ว ก็สามารถที่จะบรรลุธรรมถึงแดนแห่งความพ้นทุกข์ เรียกว่าถึงนิพพานได้เช่นเดียวกันหมด โดยไม่ยกขึ้นเป็นเอกเทศแต่อย่างใดว่าเป็นชาติชั้นวรรณะใด ๆ เพราะใจไม่มีเพศ ไม่มีชาติมีชั้นวรรณะ ใจเป็นธรรมล้วน ๆ เมื่อได้อบรมถึงขั้นธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันแล้ว จะเป็นธรรมธาตุอย่างเดียวกันหมดทั้งผู้หญิงทั้งผู้ชายด้วยกัน จึงไม่มีแบ่งสันปันส่วนแต่อย่างใด
พระพุทธศาสนาของเรา ประกาศท้าทายไว้ด้วยหลักความจริง ดังที่เราทั้งหลายได้ปฏิบัติตลอดมา ผู้ปฏิบัติตามหลักความจริงที่ท่านสอนไว้โดยถูกต้องแล้ว ก็สำเร็จเป็นมรรคเป็นผลขึ้นมา ดังที่หลวงปู่เสาร์ของพวกเราทั้งหลายที่ได้กราบไหว้บูชาเป็นขวัญตาขวัญใจตลอดมานั้นแล อัฐิของท่านได้กลายเป็นพระธาตุล้วนๆ น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ที่ได้กราบไหว้บูชาเพิ่งเสร็จลงมาเมื่อสักครู่นี้ นี่ละผลอันประจักษ์ในทางธาตุขันธ์ซึ่งเป็นส่วนหยาบ ได้แก่ส่วนร่างกายของพระอรหันต์ท่าน
พระอรหันต์ท่านจิตเป็น วิสุทธิจิต วิสุทธิธรรม เป็นนิพพานทั้งเป็น นี่ธาตุขันธ์ของท่านที่เป็นเรือนร่าง เป็นที่อยู่ของจิตที่บริสุทธิ์ในเวลาท่านยังครองขันธ์อยู่นั้น ธาตุขันธ์อันนี้ได้แปรสภาพ หรือถูกกลั่นกรองจากใจของท่านที่บริสุทธิ์ มาเป็นธาตุขันธ์ส่วนละเอียด ผิดกับธาตุขันธ์ส่วนบุคคลทั่ว ๆ ไป กลายเป็นธาตุขันธ์ที่บริสุทธิ์ล้วน ๆ คือแปรสภาพเป็นพระธาตุล้วน ๆ ขึ้นมา ดังที่เราทั้งหลายได้เห็นนี้แล
บรรดาสกลกายของสัตว์โลกทั่ว ๆ ไป ใครตายไปแล้ว ก็เป็นดินเป็นธาตุเป็นขันธ์เป็นไปธรรมดา แต่ไม่ได้กลายเป็นของแปลกประหลาดอัศจรรย์เหมือนอย่างพระสรีระของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ท่าน ซึ่งเวลาธาตุขันธ์แปรสภาพลงไปแล้ว ยังกลายเป็นพระธาตุที่อัศจรรย์ขึ้นมา อันเป็นการตีตราแห่งความเป็นพระอรหันต์สุดยอด ให้พวกเราทั้งหลายได้เห็นจากสกลกาย คือพระธาตุของท่าน ได้แปรขึ้นมาให้เห็นประจักษ์อยู่เวลานี้ นี้แลเป็นเครื่องยืนยันว่า ท่านเป็นพระอรหันต์ล้วน ๆ แล้ว ในสายตาของคนที่ยอมรับในส่วนร่างกาย ที่กลายเป็นพระธาตุขึ้นมา
บรรดาพระธาตุจากร่างกายที่แปรขึ้นมานั้น ต้องเป็นพระอรหันต์เท่านั้น ไม่มีผู้อื่นผู้ใดจะสามารถแปรร่างกายของตนที่ตายไปแล้ว ให้เป็นพระธาตุขึ้นมาได้ เช่นพระธาตุของพระอรหันต์ ดังที่เห็นชัด ๆ อยู่เวลานี้ คือพระธาตุของหลวงปู่เสาร์ของเรา นี่เป็นเครื่องประกาศมาจากใจบริสุทธิ์ ปรากฏขึ้นเป็นอัฐิท่านกลายเป็นพระธาตุล้วน ๆ แล้วเวลานี้ นี่เรียกว่า สักขีพยานส่วนหยาบในส่วนร่างกายที่กลายเป็นพระธาตุ แปลกจากปุถุชนทั้งหลายดังที่เห็นอยู่นี้แล
จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายมีความปลื้มปีติต่ออรรถต่อธรรม ต่อคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ที่ทรงสั่งสอนโลกด้วยความเมตตาสุดส่วน แล้วนำไปประพฤติปฏิบัติ ไหว้พระสวดมนต์ ระลึกถึงคุณงามความดี ทาน ศีล ภาวนา ของตน และระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ อยู่เป็นประจำในจิตใจของเรา แม้จะมีการงานใด ๆ ที่ต้องวิ่งเต้นขวนขวายจัดทำกัน แต่งานของจิตที่ระลึกเพื่ออรรถเพื่อธรรม เพื่อบุญเพื่อกุศล เพื่อเป็นมหามงคลแก่ตนนี้ ก็ไม่มีอะไรมากีดขวางได้ ระลึกได้ทั้งวันทั้งคืน ยืน เดิน นั่ง นอน เว้นแต่หลับเท่านั้น สุดวิสัย นอกจากนั้น เราระลึกถึงบุญถึงคุณ ถึงประโยชน์มากน้อยได้ด้วยกัน เช่นเดียวกับกิเลสมันถืออำนาจ เอาความคิดความปรุงของเรานี้ ไประลึกถึงบาป ถึงโทษถึงกรรม ระลึกถึงความเพลิดความเพลิน ความรื่นเริงบันเทิง เพื่อสั่งสมผลประโยชน์ให้แก่มันแล้วเพื่อขนทุกข์เข้าสู่หัวใจสัตว์โลก มันก็ทำได้ทุกเวลาในหัวใจดวงเดียวกันนี้
ทีนี้เมื่อเราก็เป็นเจ้าของของหัวใจอยู่แล้ว จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายแบ่งสันปันส่วนอยู่ตลอดไป เช่นเดียวกับกิเลสมันแบ่งไปกินของมันอยู่ตลอดเวลา คือให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยข้อคิดเห็นของเรา ซึ่งกิเลสเคยเอาไปทำประโยชน์ของมันจากความคิดเห็นของเรานี้ แล้วน้อมความคิดเห็นของเรานี้เข้าสู่อรรถสู่ธรรม สู่คุณงามความดีทั้งหลายในเวลาเดียวกันนั้นแล เราจะไม่เสียการเสียงาน เสียเวล่ำเวลาไปเปล่า ๆ จิตดวงนี้คิดปรุงได้ทั้งดีทั้งชั่ว เราขอให้มีความคิดทางดี แทรกเข้าในความคิดความปรุงของเราให้ได้ เช่นเดียวกับกิเลส มันแย่งบัญชีเอาความคิดของเรา ไปคิดไปปรุงในทางไม่ดี แล้วนำฟืนนำไฟคือความทุกข์ทั้งหลายมาเผาตัวของเราอย่างนั้น เราก็ให้แบ่งแยกจากมัน มาแบ่งคิดในทางที่ถูกที่ดี จะเป็นคุณเป็นผลเป็นประโยชน์ เป็นบุญเป็นกุศล มหากุศล จนหลุดพ้นจากทุกข์ จากความคิดของเรานี้ได้เช่นเดียวกันกับกิเลสนำไปใช้เป็นผลประโยชน์ของมันนั้นแล แต่เป็นความทุกข์แก่เรา จึงขอให้แยกอยู่เสมอ อย่าเพลิดอย่าเพลินจนเกินเนื้อเกินตัว
เราเป็นชาวพุทธ จุดที่หมายแห่งชีวิตของเรานั้น ได้แก่ความตาย เวลานี้เรารู้ด้วยกันถ้วนหน้าว่า เรายังมีชีวิตอยู่ และขณะนี้ก็กำลังฟังเทศนาว่าการ ฟังอรรถฟังธรรม นำมหามงคล คือธรรมอันเลิศเลอเข้าสู่ดวงใจของเราอยู่ในขณะนี้ เวลานี้เรายังไม่ตาย ขอให้พากันขวนขวายพากันฟังอรรถฟังธรรม ปฏิบัติตนเพื่อความเป็นคนดี นี่แลเป็นการหล่อหลอมจิตใจและภพชาติของเรา ให้เลื่อนชั้นขึ้นไปโดยลำดับลำดาจนกระทั่งถึงมรรคผลนิพพานได้ ไม่พ้นจากการดัดแปลงแก้ไขตัวเอง หลังจากได้ยินได้ฟังเสียงธรรมท่านมาเรียบร้อยแล้ว มาแก้ไขดัดแปลงตัวเองให้เป็นสิริมงคลขึ้นไปเป็นลำดับในขณะที่มีชีวิตอยู่นี้
เวลาตายไปแล้ว คนชั่วก็ตาย คนดีก็ตาย แต่คนชั่วมีแต่ความชั่วทับถมจิตใจให้จมดิ่งลงในทางต่ำ เช่น นรกอเวจี เป็นสำคัญ นี่คือตัวเป็นผู้ขวนขวายด้วยความชอบ ด้วยความดื้อด้านหาญทำ ด้วยความคึกความคะนอง ไม่ฟังเสียงอรรถเสียงธรรม ไม่ฟังเสียงครูเสียงอาจารย์ ฟังแต่เสียงกิเลสมันกระซิบกระซาบ มันฉุดมันลาก ให้คิดท่านั้น ให้แสวงท่านี้ ในบรรดาความชั่วทั้งหลาย ขนเข้ามาสู่ใจตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมาขวนขวายหาแต่ความชั่ว ด้วยความคิดปรุงแต่งหรือการกระทำต่าง ๆ ซึ่งเป็นความเสียหายใส่ตน แล้วขนเข้ามาทุกวี่ทุกวัน วันนี้ขนตั้งแต่เช้ายันค่ำ ถึงเวลานอน ได้ความชั่วมากน้อยเพียงไร
ถ้าเราพยายามหาการหางานทั้งวัน วันนี้ก็น่าจะพออยู่พอกิน พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เลี้ยงครอบครัวของเราได้พอประมาณ แต่นี้เราขวนขวายหาแต่ความชั่ว คิดออกมาก็เป็นความชั่วช้าลามก เพื่อเบียดเบียนทำลาย เพื่อฉกเพื่อลัก เพื่อปล้นเพื่อสะดม เพื่อความรื่นเริงบันเทิง ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมด้วยราคะตัณหา กินไม่พอ อิ่มไม่พอ ไม่มีคำว่าอิ่มเพราะราคะตัณหา ตั้งแต่ตื่นนอนขวนขวายหามาจนกระทั่งค่ำ ค่ำแล้วยังไม่ยอมนอน ยังวิ่งเต้นไปหาลำไพ่อีกตามสถานที่ต่าง ๆ ผู้ชายก็วิ่งเต้นขวนขวายไปหาที่ตนเข้าใจว่าเป็นสมบัติอันพึงใจ ครั้นแล้วมันเป็นฟืนเป็นไฟอย่างถึงใจจะเผาตัวเอง กลางคืนไม่หลับไม่นอนวิ่งแส่หาที่นั่นที่นี่ เพราะราคะตัณหากินไม่อิ่ม อิ่มไม่พอ ผู้ชายก็เสาะแสวงหาผู้หญิง ผู้หญิงก็เสาะแสวงหาผู้ชาย สัตว์ตัวผู้ตัวเมียเสาะแสวงหากัน อันนั้นเราไม่นับเข้ามาในข่ายแห่งมนุษย์ของเรา เพราะเขาไม่รู้จักดีจักชั่ว ไม่รู้จักบาปจักบุญ
แต่มนุษย์นี้รู้ ๆ อยู่ เวลาหลับนอนควรจะได้หลับนอน ยังไม่ยอมหลับนอน ให้กิเลสลากเข็นไปสู่ที่ต่าง ๆ ตามซอกตามซอย ตามที่จะทำความล่มจมให้แก่ตนได้อย่างถึงใจ ๆ บางคืนไม่ได้นอนก็มี ผู้หญิงตัวแสบก็มี ผู้ชายตัวเก่งก็มี เก่งแต่เอาไฟเผาตัวเองและเผาครอบครัวเหย้าเรือน ตลอดถึงเผาส่วนรวม ให้ถือเป็นคติอันเลวร้ายอย่างเดียวกันมาเผาบ้านเผาเมือง สุดท้ายก็เผาทั้งชาติเผาทั้งศาสนา เรื่องศีลธรรมไม่มีติดตัวเลย ถูกกิเลสเหล่านี้นำไปเผาหมด อย่างนี้เราก็เคยคิดเคยปรุง ผู้ที่คิดมาเสียจนจำเจ มีความชำนิชำนาญ คล่องแคล่วในการคิดชั่วทำชั่ว ขวนขวายหาแต่ความชั่ว ตั้งแต่ตื่นนอนถึงเวลาหลับแล้วไม่ยอมหลับ ยังวิ่งเต้นขวนขวายตลอดกลางคืนอีกด้วย แล้วนับไปเพียงวันนี้กับคืนนี้ จะได้ความชั่วมากน้อยเพียงไรมาบรรจุหัวใจของเราดวงเดียวนั้น มันสามารถจะรับความชั่วช้าลามกที่เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้หัวใจเราได้มากเพียงไร ควรจะคำนึงคนเรา
วันนี้ตื่นขึ้นมาก็ทราบแล้วว่าไม่ตาย แล้วก็วิ่งเต้นขวนขวายหาความชั่วเผาตัวเข้าไปอีก วันพรุ่งนี้ก็หาอย่างเต็มยัน วันนี้หาแต่เช้ายันค่ำ บางรายกลางคืนไม่นอนก็มี เอ้า พูดถึงส่วนรวมทั่ว ๆ ไปว่า หาแต่บัดนี้ถึงค่ำจนกระทั่งนอน ตื่นนอนแล้วหาใหม่ หาแต่ความชั่วช้าลามก วันนี้ก็หา เดือนนี้ก็หา เดือนหน้าก็หา ปีนี้ก็หา ปีหน้าก็หา หาตั้งแต่เช้ายันค่ำ ๆ คนหนึ่งอายุประมาณเท่าไร มีกี่ปี ? มีตั้งแต่ปีขวนขวายหาฟืนหาไฟ มาเผาไหม้ตนเองตลอดเวลา
สมมุติว่า อายุเราถึง ๖๐ - ๗๐ ปี ปีหนึ่งมีกี่วัน ท่านบอกว่ามี ๓๖๕ วัน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นวันเป็นคืนที่เราขวนขวายหาฟืนหาไฟมาเผาตนเองตลอดไป เมื่อถึงกาลเวลา เอาเฉพาะที่ว่าชีวิตของเราถึง ๖๐ ปี ความชั่วที่เราขนมาตั้งแต่ปีแรก วันแรก จนกระทั่งอายุ ๖๐ ปียุติในการกระทำความชั่วด้วย กาย วาจา ของเรา แล้วเราจะได้ความทุกข์มากน้อยเพียงไร ดังที่ท่านแสดงไว้ในธรรมอย่างโจ่งแจ้งและเป็น สวากขาตธรรม ที่ตรัสไว้ชอบแล้วว่า พระพุทธเจ้าแสดงธรรมประเภทใดไม่มีคำผิดเพี้ยนไปได้ แม้เล็กน้อย
ทีนี้เอามาประกอบกันกับการทำชั่วของเรา และชีวิตของสัตว์นรกนั้น มียืนนานขนาดไหน เราทำความชั่วเพียง ๖๐ ปี ปีหนึ่งมี ๓๖๕ วัน บวกกันถึง ๖๐ ปี ความชั่วนี้จะได้มากน้อยเพียงไร เมื่อไปบวก ลบ คูณ หารกันแล้วกับนรกหลุมหนึ่งที่เราไปตกแต่ละภพละชาตินั้น กี่ปีกี่เดือนของปีทิพย์ แล้วท่านบอกว่า ตกนรกนั่นตั้งหลายกัปหลายกัลป์ นี่ขยายผลออกไปจากการขวนขวายแห่งการทำชั่วของพวกเราเพียงแค่ ๖๐ ปีนั้น จะตกนรกอยู่กี่ปีทิพย์ กี่วันทิพย์ กี่เดือนทิพย์ แล้วจะตกอยู่กี่กัปกี่กัลป์เมื่อยังขวนขวายหาแต่ความชั่วอย่างเดียวไม่หยุดหย่อนแล้ว ความทุกข์นี้ตั้งกัปตั้งกัลป์ก็จะไม่มีปัญหาอะไรเลย เข้ากันได้กับเราหาทั้งวัน
หาความทุกข์ทั้งวัน หาความทุกข์ด้วยความทำชั่วช้าลามกต่าง ๆ ตั้ง ๕๐ ปี ๖๐ ปี ๗๐ , ๘๐ ปี จนกระทั่งถึงวันตาย ความทุกข์จึงได้เพียงพอกับคนชั่วที่ดื้อด้านหาญทำทุกอย่างไม่ฟังเสียงอรรถเสียงธรรม ตกนรกหมกไหม้ไปตั้งเจ็ดหมื่นปีทิพย์ แปดหมื่นปีทิพย์ จนกระทั่งถึงตั้งกัปตั้งกัลป์ในนรกแต่ละหลุม ๆ ของสัตว์โลกแต่ละราย ๆ ที่ขวนขวายหากรรมทำกรรมใส่ตนไม่หยุดหย่อน ไม่มีวันหยุดยั้ง ผลจึงได้เป็นที่เพียงพอกับความจริง แต่ไม่พอใจสำหรับผู้ไปตกนรก นี่เราได้มากน้อยเพียงไร
ทีนี้กลับย้อนเข้ามา..การสร้างคุณงามความดี เบื้องต้นก็ล้มลุกคลุกคลาน เขาชวนไปวัดไปวา ก็อยากจะเอาค้อนเอาไม้ไล่ปาเขา โกรธแค้นให้เขา ไม่พอใจ อยากไปตกเบ็ดตกปลา หาทอดแหอยู่ตามท้องไร่ท้องนา ตามคลองต่าง ๆ แล้วเข้าโรงสุรายาเมา มีหญิงมีชายชุมนุมที่ไหน วิ่งเข้าไปหาที่นั่น ๆ ทีนี้เรากลับมาทางความดี สิ่งเหล่านั้นตัด ดังที่กล่าวมาเหล่านี้ตัดออกหมด เราล้มลุกคลุกคลาน ที่ว่านี้ล้มลุกคลุกคลานไปตามกระแสของกิเลส แล้วก็หักจิตหักใจ บังคับใจมาสู่ความดีงามทั้งหลาย
ดังที่ว่าสักครู่นี้ ไปหาเที่ยวตกเบ็ดตกปลานั้น หมายถึงเบื้องต้นที่เรายังไม่เข้าใจในศีลในธรรม ใครชวนไปวัดไปวาอยากเอาไม้ปาเขา อยากวิ่งลงแต่น้ำแต่ท่าหาปลา แล้วเข้าโรงสุรายาเมา เข้าโรงฝิ่นโรงกัญชา ยาเสพย์ติด เกลื่อนกล่นอยู่ในเมืองไทยของเรา เมื่อเรารู้ตัวอยู่อย่างนั้น แล้วโทษก็เห็นอยู่ประจักษ์ในเมืองไทยของเรา จะต้องล่มจมด้วยยาเสพย์ติดที่คนทั้งประเทศเห็นคุณค่า ซึ่งเป็นยาพิษมหาภัยที่จะสังหารคนทั้งชาติโดยถ่ายเดียว ไม่เห็นคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์แล้วจมกันทั้งประเทศ ทีนี้เราแก้ไขดัดแปลงสิ่งชั่วช้าลามกนี้กลับเข้ามาสู่ความเป็นคนดี ระลึกศีลระลึกทาน
วันหนึ่งระลึกไม่ได้มากก็ขอให้ระลึกพุทโธได้ เอาวันละ ๕ ครั้งยังดีนะ เราเริ่มแรกเรียน เรียนอรรถเรียนธรรมปฏิบัติบำรุงศีลธรรมเข้าสู่ใจของเรา วันนี้ไม่ได้มาก เอา..ระลึกพุทโธสัก ๕ หน ธัมโม หรือสังโฆ สัก ๕ หน ระลึกถึงความตายที่ครอบหัวเราอยู่เวลานี้ มีลมหายใจเท่านั้นเป็นเครื่องต้านทานปิดประตูกันเอาไว้ไม่ให้ความตายเข้ามาเหยียบย่ำทำลายเอา ให้แหลกเหลวในขณะนั้นจนได้ คือลมหายใจเป็นผู้ปิดประตูกั้น หรือเป็นกำแพงกั้นเอาไว้ ที่เราไม่ตายอยู่ทุกวันนี้ เพราะลมหายใจของเราเป็นกำแพงกั้นความตายอยู่ จึงยังไม่ตาย
เมื่อเรายังไม่ตาย ความดีงามต้องการด้วยกันทุกคนทั้งหญิงทั้งชาย ไม่เลือกชาติชั้นวรรณะ และธรรมะของพระพุทธเจ้าก็เป็นธรรมะอันเลิศเลอ เข้าได้กับสัตว์กับบุคคลทั่ว ๆ ไปหมด เราน้อมนึกระลึกถึงอรรถถึงธรรมมาปฏิบัติต่อตัวของเราเพื่อความเป็นคนดี ตั้งแต่ยังเป็นเด็กก็ฝึกหัดแบบเด็กไป เป็นผู้ใหญ่ฝึกหัดความดีงามแทรกตนไปกับหน้าที่การงานต่าง ๆ เป็นประจำไปทุกวัน ๆ
เดี๋ยวนี้อายุกี่ปี สั่งสมความดีงาม มารยาทอันสดสวยงดงาม เป็นที่สงบงามตาแก่ตนเองและสังคมทั่ว ๆ ไป ผสมกันไปสม่ำเสมอ เราก็ค่อยเป็นคนดี เขาก็เป็นคนดีเพราะต่างคนต่างอบรม สังคมก็เป็นสังคมดี เพราะต่างคนต่างอบรมด้วยกันแล้ว วันหนึ่ง ๆ เราก็สั่งสมความดีแทรกกันไป ความชั่วห้ามไม่ได้ก็ให้มันลากไปสักครู่หนึ่ง พอระลึกตัวได้ ก็ลากคอมันกลับมาเผาศพกิเลส ตัวทำความชั่วช้าลามกด้วยฟืนด้วยไฟคือความดีงามทั้งหลายให้มันแหลกเหลวไปทุกวัน ๆ
ความดีเราสั่งสมไว้ ตั้งแต่เช้ามายันค่ำ วันนี้เราก็ทำความดีแทรกไปได้ วันพรุ่งนี้ก็ทำแทรกไปได้ ปีนี้ก็ทำ ปีหน้าก็ทำ จนกระทั่งอายุของเราถึง ๕๐-๖๐ ปีความดีของเราที่ทำผสมผเสกันไปกับความชั่วได้มากเพียงไร ไม่มีแต่ความชั่วเอาไปกินอย่างเดียว ความดียังแบ่งสันปันส่วนไว้เป็นเครื่องประกันตัวของเรา ให้มีการผ่อนหนักผ่อนเบาลงไป ทุกข์จะไม่ถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ ความดีของเรามีอยู่เป็นเครื่องประกัน เราต้องได้ ๕๐% มาไว้เป็นเครื่องประกันตัวของเรา
แล้วยิ่งผู้หนักแน่นในทางศีลธรรมมากขึ้น ๆ วันหนึ่ง ๆ คิดทางดีได้มากกว่าทางชั่ว ทำทางดีได้มากกว่าทำทางชั่ว วันนั้นได้กำไรมากขึ้นเพิ่มขึ้น จนกระทั่งอายุ ๖๐ ปี ยิ่งได้ผลประโยชน์มากมายขนาดไหน ไปสวรรค์..ท่านก็เทียบไว้อีกแล้ว เพราะเราสร้างความดีตั้งแต่วันเรารู้จักเดียงสาภาวะมา จนกระทั่งถึงวันเราตาย กี่ปี ? ๕๐ ปีก็มี บางราย ๖๐ ปี ๗๐ ปีก็มี ล้วนแล้วแต่สร้างคุณงามความดีผสมผเส และมีความดีมากกว่าความชั่วตลอดไป พอถึงกาลอันเป็นเวลาที่กำแพงขาดสะบั้นลงไป คือลมหายใจสุดสิ้น เรียกว่า คนตายแล้ว เรามีความดีขนาดไหน สร้างมาตั้ง ๕๐-๖๐ ปี ๗๐ ปี นี้แหละ ความดีอันนี้เองที่จะเป็นเครื่องต้านทาน ผ่อนหนักผ่อนเบาในความทุกข์ทั้งหลาย ให้เราได้รับความสุขพอฟัดพอเหวี่ยงกันไป
ถ้าผู้มีความดีมาก มีแต่ความดีหนุนไปโดยลำดับ ความชั่วช้าลามกมีน้อยมาก ๆ ยิ่งผู้ที่สั่งสมตัวเองด้วยความเข้มงวดกวดขัน ดังพระของเราที่บวชมาในพุทธศาสนา สละกิเลสตัณหาที่คลุกเคล้ากันกับโลกตลอดมานั้น ออกโดยลำดับลำดา จนกระทั่งเป็นศีลเป็นธรรม เป็นธรรมทั้งแท่งภายในจิตใจตนเองแล้วหลุดพ้นจากทุกข์ได้โดยสิ้นเชิง บรรดาประชาชนก็สร้างคุณงามความดีไปโดยลำดับเคียงข้างกันไป ก็ได้ความดิบความดีไปโดยลำดับ
ทีนี้ สวรรค์ชั้นหนึ่ง ถึงสองชั้น สามชั้น สวรรค์ชั้นหนึ่ง มีอายุน้อย เช่นอย่างเมืองมนุษย์เรา ๑๐๐ วัน จึงจะเป็นวันหนึ่งในแดนสวรรค์ชั้นต่ำ ๆ แล้วอีกตั้งหลาย ๆ ร้อยวัน จึงจะเป็นวันหนึ่งในสวรรค์ชั้นสูงขึ้นไป ๆ มีตั้งหมื่น ๆ วัน จึงจะเป็นวันหนึ่ง ๆ ในสวรรค์ชั้นสูงขึ้นไป นี่ละอำนาจแห่งความดีของเรา ที่ทำชั่วระยะอายุเพียง ๕๐๖๐ ปี เวลาเราไปเสวยความสุขนั้น ขยายความสุขออกไปเป็นปีทิพย์ มากมูนขนาดไหน ยิ่งในพรหมโลกด้วยแล้ว ตั้งเจ็ดแปดหมื่นปีทิพย์เข้าไปอีก สูงขนาดไหน ยืดยาวขนาดไหน เพราะการทำของเรา ทำดีมาตั้งแต่วันรู้จักเดียงสาภาวะจนกระทั่งวันตาย ความดีย่อมได้เพิ่มพูนมากมูนขึ้นไปเป็นลำดับ เช่นเดียวกับคนทำแต่ความชั่วช้าลามก ความชั่วช้าลามกก็เพิ่มพูน ทวีผลขึ้นเป็นลำดับ จนขนาดตกนรกหลายกัปหลายกัลป์กว่าจะได้พ้นขึ้นมา
ทีนี้ผู้ทำความดีมากเข้าๆ ขึ้นสวรรค์ตั้งกี่ปีทิพย์ก็ไม่ลงมา ๆ แล้วก้าวขึ้นสู่พรหมโลกแปดหมื่นปี เก้าหมื่นปี แสนปีทิพย์ แล้วลงมาสร้างบารมีอีก ดีด ทีหลังนี้เรียกว่า ดีดสุดยอด ก้าวเข้าสู่นิพพาน เที่ยงเลย มีแต่ขึ้นแล้วไม่ต้องลง ขึ้นถึงขั้นหลุดพ้นจากทุกข์โดยประการทั้งปวง ได้แก่ความเป็นพระอรหันต์ล้วน ๆ แล้วไม่ต้องลงมาเกิด แก่ เจ็บ ตาย ต่อไปอีกแล้ว นี่ที่เราบำเพ็ญความดีงามมาในชีวิตของเราก็ไม่ได้กว้างขวางมากมายอะไรนัก แต่สร้างความดีไม่หยุดไม่ถอย สามารถนำเราให้ถึงขั้นขึ้นแล้วไม่ลง คือขึ้นสู่พระนิพพาน แล้วไม่ต้องลงมา เกิด-ตาย อีกต่อไป
ให้ท่านทั้งหลายนำไปคำนวณ พินิจพิจารณา บวก ลบ คูณ หาร ความทุกข์มีได้ด้วยกัน คือคนเสาะแสวงหาความชั่ว มันก็มีทุกข์ ทนต่อความทุกข์เหมือนกัน ไม่ได้หลับไม่ได้นอน เพราะคอยฉกคอยลัก คอยฉวยโอกาสได้ทั้งวันทั้งคืน แล้วก็เป็นทุกข์ทั้งวันทั้งคืน เขาก็พอใจในการสร้างความชั่วของเขา เขาก็ได้รับความทุกข์เต็มเหนี่ยวเหมือนกัน
ทีนี้เราสร้างคุณงามความดีก็มีอุปสรรค คือกิเลสนั้นแหละ เข้ามากีดมาขวางไม่อยากให้ทำ หาว่าไม่มีเวล่ำเวลา หาว่าเป็นคนทุกข์คนจน หาว่าไม่มีโอกาส หาว่าไม่สมบูรณ์พูนผลด้วยสมบัติเงินทอง ผลสุดท้ายก็มาถึงความขี้เกียจขี้คร้าน ความท้อแท้อ่อนแอ ล้วนแล้วแต่เป็นอุปสรรคกั้นกางทางที่จะสร้างความดีของเราเสียหมด ทีนี้เมื่อเราปัดมันออก ๆ เราก็ต้องเป็นทุกข์ ทุกข์อันนี้ทุกข์เพื่อความสุข เพื่อบรมสุข ทุกข์เพื่อทำความชั่ว ทุกข์เพื่อมหันตทุกข์ ต่างกัน เราให้เอาทุกข์ทางนี้ ทุกข์ทางขวนขวายทางความดีทั้งหลาย เอ้า..ทุกข์ก็ทุกข์ ทุกข์อันนี้เพื่อบรมสุข เราวิ่งเต้นขวนขวายเราก็ได้ตามกำลังแห่งความสามารถของเราที่ทำลงไปทั้งดีทั้งชั่ว เพราะฉะนั้นจึงขอให้พากันบวก ลบ คูณ หาร ไว้ให้ดีเสียบรรดาพี่น้องทั้งหลาย
อย่าให้มีแต่ว่าศาสนา ๆ อยู่เต็มบ้านเต็มเมือง คัมภีร์ใบลานมีทั้งวัด มีทั้งหมู่บ้าน พระพุทธรูปในบ้านก็มี ในวัดก็มี แต่แล้วมันไม่ค่อยกราบพระพุทธรูป ไม่ค่อยระลึกถึงพระพุทธรูป ไม่ค่อยระลึกถึงพระธรรม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ มีกี่คัมภีร์ อยู่ในวัดในวาก็ดี อยู่ในบ้านในเรือนก็ดี มันระลึกถึงแต่ ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหาเป็นประจำวัน มันขวนขวายเอาแต่นี้มาเผาตัวเอง นี่ละศาสนาก็ไม่มีความหมายอะไร คัมภีร์ท่านไม่เป็นบาป ท่านไม่เป็นบุญ ท่านไม่ไปสวรรค์ ท่านไม่ตกนรก ท่านไม่ไปนิพพาน แต่คนผู้ที่เรียนคัมภีร์ได้นั้น ไม่ปฏิบัติตาม ทำแต่ความชั่ว ผู้นี้ตกนรกได้ ผู้ทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า พวกนี้ไปสวรรค์ได้ พ้นทุกข์ได้ ถึงนิพพานได้ด้วยการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้น พวกเราทั้งหลายที่เป็นชาวพุทธ ทั้งชาววัด ชาวบ้าน ขอให้รู้เนื้อรู้ตัวว่า ศาสดานี้ไม่ใช่เป็นศาสดาที่มาหลอกลวงโลก เป็นศาสดาตุ๊กตา แต่เป็นศาสดาองค์เอก ขนสัตว์โลกให้พ้นจากทุกข์มาอย่างมากมายก่ายกองแล้ว เราจะเป็นสัตว์โลกประเภทไหน ให้นำมาพิสูจน์ตัดสินตัวเอง ถามปัญหาตัวเอง
ถ้าเราจะเป็นคนประเภทนรกแตก ก็อย่าทำบุญให้ทาน อย่ายินดีในคุณงามความดี ให้เป็นบ้าไปกับกิเลสทั้งวันทั้งคืน ยืน เดิน นั่ง นอน ตายแล้ว จะขึ้นมาอีกหรือไม่ขึ้นมาอีกจากนรก เขาจะตัดสินเอง กรรมของเราเต็มตัวแล้ว จมอยู่นั้นเมื่อไรก็ได้ ไม่มีปัญหาอะไรมาขัดข้อง แต่พวกเราอยากไปกันไหม ? ถ้าไม่อยากไปก็ค่อยฝืนตัวตั้งแต่บัดนี้ที่ยังเป็นกาลเป็นเวลาที่เหมาะสมอยู่ ตายไปแล้ว ใครจะไปใหญ่กว่าบาปกว่าบุญไม่ได้นะ
กรรมเป็นของสำคัญมาก คำว่ากรรมก็ได้แก่การกระทำ ผลของกรรมได้แก่ดีชั่วที่ตนทำลงไปแล้ว จะติดแนบกับตัวกับใจของเราเองทั้งดีและชั่วนั้นแล จึงให้เลือกเฟ้นเสียตั้งแต่บัดนี้ ตายแล้วจะสายเกินไป จะไม่มีคุณค่าอะไร เรื่องนิมนต์พระมา กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา ว่าไปตามประเพณีเท่านั้นแหละ จะหาความสัตย์ความจริงจริงๆ เพื่อเกิดผลเกิดประโยชน์ดังที่เราทั้งหลายทำมาเร่ ๆ ร่อน ๆ เลื่อน ๆ ลอย ๆ นี้ จะไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย ทำให้เกิดประโยชน์เสีย
กุสลา ธมฺมา แปลว่าอะไร ? ธรรม คือ ธรรมชาติที่ยังคนให้ฉลาด ธรรมที่ฉลาดแก้ไขดัดแปลงตนเองออกจากความชั่วช้าลามกเข้าสู่ความดีงามทั้งหลายนี่เรียกว่า กุสลา ธมฺมา
อกุสลา ธมฺมา คือ ธรรมชาติที่หลอกลวงคน,สัตว์โลกให้ล่มจม ไม่รู้บุญรู้บาป มีแต่อยากทำบาปทำกรรมโดยถ่ายเดียว นี้ อกุสลา ธมฺมา
เราทำตั้งแต่เวลายังมีชีวิตอยู่นี้ ถ้าเราทำบาปมาก ตายแล้วนิมนต์พระมาหมดประเทศไทย มากองกัน กุสลา ธมฺมา ก็ตาม ไม่มีความหมายอะไรนะ มีแต่ลมปากเท่านั้นเอง ความหมายมาอยู่กับคนที่ทำลงไปแล้ว ว่าทำดีหรือชั่วมากน้อยเพียงไร ถ้าเราทำชั่ว จมลงได้เลย นิมนต์พระมาทั่วประเทศไทยก็ไม่มีความหมาย ถ้าเราทำดี จะไม่นิมนต์พระมาก็ไม่มีความหมายอีกเช่นเดียวกัน เพราะเหตุไร ? พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่านตายใครไปกุสลา ธมฺมาท่านที่ไหน ไม่มีในคัมภีร์ใบลาน ท่านตายได้อย่างง่ายดาย ไม่มีใครตายได้ง่าย ตายสะดวกสบายยิ่งกว่าผู้สิ้นกิเลส คือ เป็นพระอรหันต์แล้ว นับแต่พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ลงมา เป็นผู้ที่อยู่ง่าย กินง่าย นอนง่าย ไปง่าย ตายง่าย ไม่ต้องยุ่งเหยิงวุ่นวายเหมือนกับพวกรวงรังคลังกิเลสอย่างพวกเรานี้ เวลาเป็นอยู่ไม่สนใจขวนขวายหาคุณงามความดี เวลาตายแล้ว ทั้งคนตายก็ตายไปแล้ว คนผู้ไม่ตายก็วิ่งว่อน ให้เขามาช่วยท่านั้น ท่านี้ ใครจะมาช่วยได้ ? เวลามีชีวิตอยู่ไม่ช่วยตัวเอง ตายแล้วใครไปช่วยได้ มันจะยากอะไรคนเรา เพราะฉะนั้นจึงให้ทำเสียตั้งแต่บัดนี้ซึ่งเป็นกาลอันควร
วันนี้ เราทั้งหลายก็ได้เข้ามากราบไหว้บูชา บรรจุพระอัฐิธาตุของหลวงปู่เสาร์ ซึ่งเป็นสาวกอันเลิศเลอในสมัยปัจจุบัน อันนี้สมใจของพวกเราแล้ว แล้วกลับไปบ้านไปเรือนแล้วก็ขอให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ และองค์สรณะปัจจุบันคือหลวงปู่เสาร์นี้ไว้ภายในจิตใจ สิริมงคลจะเกิดมีแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลายโดยทั่วหน้ากันนะ
วันนี้เป็นวันมงคลอย่างยิ่ง เราได้ยินแต่ชื่อแต่นาม หลวงตาบัวเองไม่เคยเห็นหลวงปู่เสาร์เลย เกิดมาได้ยินแต่วันท่านมรณภาพ นั้นเราก็บวชเป็นพระ อายุพรรษาก็เพียง ๘ พรรษา ท่านมรณภาพ เผาศพท่านก็ไม่ได้ไป พ่อแม่ครูอาจารย์ให้เฝ้าวัด ท่านเป็นผู้ไปเผาศพหลวงปู่เสาร์เรา เราอยู่นั้นเสีย จนกระทั่งบัดนี้ก็ไม่เคย ก็ท่านได้ล่วงลับไปแล้ว
วันนี้ได้มากราบไหว้ท่านอย่างถึงใจ ทั้งรูปที่ถ่าย รูปปั้น ตลอดถึงพระธาตุของท่าน ได้กราบท่านอย่างถึงใจในวันนี้ แล้วเป็นสิริมงคลแก่ตัวเราเอง เรามานี้มาด้วยความพออกพอใจ แล้วปัจจัยไทยทานที่พี่น้องทั้งหลายจะบริจาคในวันนี้ ได้ปรึกษากันแล้ว ตั้งแต่สมภารเจ้าวัดมา คือจะให้ปฏิบัติอย่างไร เรามานี้เรามาพร้อมที่จะสนับสนุนวัดนี้ มีองค์ท่านหลวงปู่เสาร์เป็นประธาน ซึ่งเป็นเครื่องดึงดูดจิตใจของโลกและดึงดูดจิตใจของเราอย่างเต็มหัวใจ ได้ปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรดี
เราพร้อมแล้วที่จะถวายปัจจัยทุกอย่างที่ทางวัดนี้ต้องการ
เรามานี้ เราไม่ได้ประสงค์อะไร เราประสงค์ที่จะบูชาคุณท่านโดยถ่ายเดียวเท่านั้น การช่วยชาติบ้านเมืองเราก็ช่วยมาเป็นเวลา ๕ ปีกว่านี้แล้ว วันนี้ตั้งหน้าตั้งตาจะมาเทิดทูนบูชาคุณของท่าน ส่วนปัจจัยนั้น อาจจะเกิด อาจจะมีขึ้นมา เช่น ทองคำหนึ่ง ดอลลาร์หนึ่ง อันนี้เป็นสมบัติที่เราเคยเอาเข้าสู่คลังหลวงตลอดในการช่วยชาติของเรา ทั้งสองอันนี้คือทองคำ ดอลลาร์ นี้ถ้าบรรดาศรัทธาทั้งหลาย มีสมภารวัดเป็นต้น พอใจที่จะนำปัจจัยและทองคำนี้เข้าไว้เป็นสิริมงคลแก่วัดนี้ เราก็พร้อมแล้ว เพราะเรามาด้วยความพร้อมแล้ว แล้วปัจจัยอย่างอื่นเราก็พร้อมแล้วว่าเราจะถวายหมด เราไม่ได้มุ่งอะไร มุ่งแต่ความกราบไหว้บูชาด้วยหัวใจของเราเท่านั้น
ทางสมภารวัดท่านก็ให้ความเห็นว่า สำหรับทองคำ และดอลลาร์นั้นเป็นสมบัติพื้นเพของเราที่จะนำเข้าสู่คลังหลวงเพื่ออุ้มชูชาติไทยของเราต่อไป จึงอยากจะเอาเข้าสู่คลังหลวงตามเดิม ส่วนปัจจัยนั้น ค่อยเข้าสู่มูลนิธิหรือในวัดนี้ เราก็พอใจด้วยทั้งสองอย่าง ทางสมภารวัดท่านพูดอย่างนั้น ขอให้พี่น้องทั้งหลายทราบทั่วหน้ากันนะ คือ ทองคำ และ ดอลลาร์ นั้น ท่านว่า ให้นำไปสู่คลังหลวงเสียที่ได้จากการบริจาคในวันนี้ ส่วนเงินบาทนั้น ค่อยนำเข้าสู่จุดรวมเพื่อบูชาคุณของหลวงปู่เสาร์ เราก็พอใจแล้วทั้งสามประการ ทองคำ ดอลลาร์ จะเอาไว้ที่นี่ เราก็พอใจแล้ว ส่วนเงินสดได้ตั้งไว้เรียบร้อยแล้วตั้งแต่เดิม นี่ท่านก็แยกให้เราเรียบร้อยโดยที่เราไม่ต้องจัดแจงแบ่งปันอะไร เป็นน้ำใจของสมภารวัดที่บ่งบอกความประสงค์ของตน ขอให้พี่น้องทั้งหลายกรุณาทราบตามนี้
คือทองคำ ถ้ามีผู้บริจาคอยู่ในสถานที่นี่ และดอลลาร์ก็เช่นเดียวกัน จะได้นำทองคำและดอลลาร์นี้ เข้าสู่คลังหลวงตามเดิมที่เราได้ช่วยชาติตลอดมา ส่วนเงินบาทหรือเงินสดทั้งหมดนั้น เราขอน้อมถวายเข้าสู่องค์เจดีย์ของท่าน ตามที่ได้ตกลงใจเรียบร้อยแล้ว ค่อยก้าวเดินตามมา กรุณาพี่น้องทั้งหลายทราบตามนี้ วันนี้การแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควรแก่กาลเวลาและธาตุและขันธ์ ต่อไปนี้ก็จะได้ดำเนินงานนี้ต่อไป ขอความสวัสดี จงมีแก่บรรดาพี่น้องลูกหลานทั้งหลายที่มาบำเพ็ญมหากุศลครั้งนี้ จงได้มหากุศลบรรจุดวงใจกลับบ้านของตนด้วยความชุ่มเย็น ๆ โดยทั่วกันเทอญ
|