เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๖
(ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จ)
นิพพานไม่ใช่ผู้รู้
วันที่ ๑ เมื่อวานนี้ทองคำได้ ๑ กิโล ๑๔ บาท ๘๖ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๑๓๙ ดอลล์ ทองคำที่ได้หลังจากการมอบเข้าคลังหลวงแล้วเมื่อวันที่ ๑๐ ธันวา ๒๕๔๕ ได้ ๕๒๐ กิโล กับ ๑๓ บาท ๓๑ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๒๓๐,๕๖๐ ดอลล์ ยังขาดดอลลาร์อยู่อีก ๗๙,๔๔๐ ดอลล์ จะครบจำนวน ๓ แสนดอลล์ ทองคำที่ได้แล้วทั้งหมดที่มอบแล้วและยังไม่ได้มอบเป็นจำนวน ๖,๐๗๙ กิโลครึ่ง รวมดอลลาร์ที่ได้แล้วทั้งหมด ที่มอบแล้วและยังไม่ได้มอบเป็นจำนวน๗,๔๓๐,๕๖๐ ดอลล์
เงินสดที่นำไปซื้อทองคำเข้าคลังหลวงนั้นจำนวน ๑,๑๑๒ ล้านบาท กรุณาทราบตามนี้ เงินสดที่ซื้อทองคำเข้าคลังหลวงนับว่าน้อยมากทีเดียว ทั้งนี้เพราะกระจายออกไปทั่วประเทศไทยเรา เงินสดออกเป็นสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ สงเคราะห์สงหาคนทุกข์คนจน จนกระทั่งคนเจ็บไข้ได้ป่วยเข้าสู่โรงพยาบาล มาขอความช่วยเหลือจากทางวัดได้ให้ตลอด เหล่านี้จำนวนมาก คนทุกข์คนจนเป็นอีกประเภทหนึ่ง มีเหตุผลที่จะต้องช่วยเหลือก็ช่วยเหลือกันไป จากนั้นก็สถานสงเคราะห์ โรงร่ำโรงเรียน โรงเรียนมากหลายสิบหลัง โรงพยาบาลด้วยแล้วร่วมร้อยหลังแล้วมัง ตึกร่วมร้อยหลังแล้วมัง แล้วที่ราชการต่าง ๆ ทั่ว ๆ ไป เมื่อวานนี้ทางเรือนจำอำเภอสว่างฯ นี้ก็มาขอ ตกลงเราก็ให้แล้ว มาทุกทิศทุกทางที่จะให้เราช่วยเหลือ
ทางลาดยาวเวลานี้ก็ขึ้นแล้ว ตึกสองหลัง หลังละ ๓ ชั้น กะไว้พอประมาณว่าหลังละ ๑๕ ล้าน กำลังขึ้นเวลานี้ นี่ก็เรือนจำ หลายแห่ง หนองบัวลำภู อุดรฯ ลาดยาว แล้วอำเภอสว่างแดนดิน นี่ .๔ แห่งแล้วพวกเรือนจำ นี่ละที่เงินสดเงินไทยเรานี้ไม่ได้ซื้อทองคำเข้าคลังหลวงเพราะเป็นความจำเป็น คลังหลวงคือต้นลำอันใหญ่โต กิ่งก้านก็คือคนทั้งประเทศ กิ่งก้านสาขาดอกใบกระจายไปทั่วประเทศ ที่จะต้องได้รับการหล่อเลี้ยงจากลำต้นนี้ออกไป กิ่งก้านต่าง ๆ เพราะฉะนั้นเงินสดเราจึงไม่ได้เข้าคลังหลวงเท่าที่ควรจะเข้าได้ ทั้ง ๆ ที่เงินสดนี้ได้มากนะ เป็นพันๆ ล้าน เพราะได้มาตลอด ๆ เฉพาะที่ช่วยชาติคราวนี้เรียกว่าได้มากจริง ๆ ส่วนที่เด่นชัดก็คือช่วยชาติ
สำหรับปัจจัยของหลวงตาตั้งแต่มาสร้างวัดมีจำนวนมากน้อยเพียงไร ประชาชนทั้งหลายทั้งใกล้ทั้งไกลจากที่ต่าง ๆ มาถวายเรา จำนวนเท่าไรก็ทุ่มลงเพื่อชาติบ้านเมืองเรา เพื่อโลกทั้งนั้น ๆ ตลอดมานะ เงินนี้เราไม่เคยเก็บตั้งแต่สร้างวัดมาตลอด มีแต่สงเคราะห์สงหาโลกเรื่อยมาและจะเรื่อยไปอีก จนกระทั่งเราตายเมื่อไรนั้นแหละถึงจะหยุดการสงเคราะห์ด้วยวัตถุ
ให้คิดถึงส่วนรวมเป็นสำคัญนะ อย่าคิดเห็นแต่ส่วนตัว คนคิดเห็นแต่ส่วนตัวเรียกว่าเป็นคนคับแคบ ไปที่ไหนมักตีบตัน เพื่อนฝูงไม่ค่อยมีเพราะความคับแคบ ไปก็เพียงหลวมตัวไป ทั้งยากทั้งลำบากไป ความเห็นแก่ส่วนรวมหมายถึงจิตใจกว้างขวาง มองรอบด้าน เช่นในครอบครัวของเรามีกี่คน คนในครอบครัว นี่เห็นไหมพ่อแม่มองลูกเต้าหลานเหลนของตนมองรอบเลยนะทุกคน มองรอบในครอบครัว ลูกเต้าหลานเหลนกี่คน หมูหมาเป็ดไก่ เลี้ยงดูอย่างทั่วถึง เป็นระยะ ๆ ออกจากนั้นก็เรียกว่าส่วนรวม มองถึงส่วนรวม มองถึงส่วนใหญ่ให้รอบ เป็นระยะ ๆ ล้วนแล้วแต่เป็นความกว้างขวางออกไป ๆ ให้พากันพิจารณา ตั้งใจปฏิบัติ จิตใจของบุคคลที่กว้างขวางผิดกันนะ กับจิตใจของคนที่คับแคบตีบตัน คนที่มีจิตใจคับแคบตระหนี่ถี่เหนียวนั้น รู้สึกไม่ค่อยมีรัศมีแพรวพราวนะ ผู้ที่มีจิตใจอันกว้างขวางฉายออกมานี้กว้างขวางแพรวพราวไป ด้วยอำนาจแห่งน้ำใจที่มีเมตตากว้างขวาง
จวนจะถึงจุดแล้วนะ เอาให้ดี บรรดาลูกศิษย์ลูกหาก็พร้อมใจกันว่าจะให้เสร็จในปี ๔๖ นี้ สำหรับหลวงตาแล้วพร้อมเสมอที่จะให้เสร็จ เพราะอยากให้เสร็จอยู่แล้วเนื่องจากธาตุขันธ์ทุกอย่างมันอ่อนลง ๆ แล้วจิตใจก็ต้องอาศัยธาตุขันธ์เป็นกำลัง อย่างไปคราวที่แล้วนี้ ออกตั้งแต่วันที่ ๒๐ จนกระทั่งถึงวันที่ ๒๙ กลับมา แหม รู้สึกว่าอ่อนเพลียเอามากทีเดียว จนถึงได้ออกเป็นคำพูดออกมาเลยว่า จะให้เราไปแบบนี้อีกเป็นไปไม่ได้แล้ว ออกแล้วนะ ถ้าออกแล้วมันจะเป็นไปตามนั้น เรียกว่าจะไม่ซ้ำอีกแบบนี้น่ะว่างั้น คือไปคราวนี้รู้สึกว่าอ่อนมาก การเทศนาว่าการ พักที่นู่นพักที่นี่ซอกแซกซิกแซ็ก เหมือนฟุตบอลกลิ้งไปกลิ้งมา กลิ้งไปที่ไหนเรื่องใหญ่ก็คือเรื่องเทศน์ เทศน์แต่ละกัณฑ์ ๆ เป็นชั่วโมงขึ้นไป ๆ หายใจด้วยคำพูดคำจา มันเหนื่อยมากยิ่งกว่าเราหายใจธรรมดา
หายใจธรรมดาไม่มีคำพูดออกมานี้ไม่ค่อยเหน็ดเหนื่อย แต่หายใจด้วยคำพูดคำจาเทศนาว่าการนี้เหนื่อย เทศน์จบลงแล้วอ่อนไปเลย เวลาเทศน์ก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง เหมือนนักมวยเขาต่อยกันไม่รู้เจ็บปวดแสบร้อนเหน็ดเหนื่อยที่ไหน พอให้น้ำเท่านั้นและลงจากเวทีจะสลบไสลไปทั้งฝ่ายแพ้ฝ่ายชนะ อันนี้จิตใจเราที่ทำงานเพื่อโลกโดยอาศัยสังขารร่างกายนี้ไปทำก็แบบเดียวกัน เทศนาว่าการตอนเทศน์ไปก็ปัจจุบัน ทีนี้เวลาเทศน์หนักเข้า ๆ มันก็เตือน เตือนอยู่บนเวทีด้วยนะ นักมวยต่อยกันนี่ธรรมดาเขา ตอนต่อยกันเขาไม่รู้จักเจ็บปวดแสบร้อน แต่เราเวลาเทศน์นานเข้า ๆ มันเตือน ค่อยเตือน พอเตือนก็เริ่มเหยียบเบรก ๆ เดี๋ยวหยุด
เราเทศน์สอนพี่น้องทั้งหลายเราเทศน์ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ด้วยความเมตตาทุกสัดทุกส่วน บรรดาที่ช่วยโลกนี้มีแต่เป็นความบริสุทธิ์ล้วน ๆ ครอบด้วยความเมตตา เราจึงไม่มีอะไรสำหรับเราเองเราบอกตรง ๆ อย่างนี้เรื่อยมา คราวนี้เป็นคราวที่เรียกว่าสุดขีดแล้ว ชีวิตของเราก็สุดขีด อัตภาพร่างกาย ภพชาติก็สุดขีดนี้แล้ว จ้าอยู่ในหัวใจถามใคร พระพุทธเจ้าท่านถามใคร ธรรมอันเดียวกัน ความรู้ที่รับธรรม ธรรมกับความรู้กับใจนี้ก็เป็นอันเดียวกัน พระพุทธเจ้าฉันใด สาวกฉันนั้น แล้วสงสัยกันอะไร ตรงเป๋ง ๆ เลย อย่างที่ท่านแสดงมานอก ๆ ตั้งแต่วันเดือนสามเพ็ญถึงวันเดือนหกเพ็ญ ระยะนี้ทรงปลงพระชนมายุ เรียกว่าปลงสังขาร จากนี้ไปนู้นอีก ๓ เดือนเราจะนิพพาน จะตาย
พอถึงวันนั้นก็เสด็จเลย เห็นไหมล่ะ นั่นละตรงแน่วเลย ตามพระญาณที่หยั่งทราบรอบในพระองค์ทั้งหมด มาก็บอกว่าจะมาตายที่นี่ เห็นไหมล่ะ มีสะทกสะท้านที่ไหน พูดเรื่องอะไรนี้พระญาณจะรอบไปหมดทันที ๆ นี่พุทธวิสัยเป็นอย่างนั้น อย่างที่ว่าน้ำขุ่นเป็นตมเป็นโคลน ที่ให้พระอานนท์ตักมาเสวย น้ำขุ่นเป็นตมเป็นโคลนไปหมด ใช่แล้ว ยอมรับทันที แต่ก่อนเราเป็นนายโคต่าง เคยนำโคต่างค้าขาย โคตั้งสี่ร้อยห้าร้อย ลงหนองใหญ่ ๆ นี้ขุ่นเป็นตมเป็นโคลน พวกโคเองก็กินน้ำขุ่นกันไปหมด กรรมอันนั้นแหละมาตามเรา เอา ไปอีก ไปคราวนี้น้ำใสแจ๋ว พอพูดว่าน้ำขุ่นเท่านั้นทรงย้อนทันที พระองค์ทรงทราบปั๊บทันที นี่ละศาสดาของโลกสงสารเรา ให้พากันพิจารณา
พูดถึงเรื่องอะไรนี้ เพราะมันมีสายทางมา ทุกคนมาจากไหน สายทางมีด้วยกันมาทุกคนมาที่นี่ สายทางแห่งความเกิดตายเกี่ยวกับเรื่องการทำกรรมหนักเบามากน้อย มันก็เป็นสายยาวเหยียดมา พบปั๊บนี่มันก็วิ่งตามสายทาง แล้วมันตายสูญไปไหนพิจารณาซิ สายทางที่ก้าวเข้ามามีอยู่เห็นอยู่ สูญไปไหน เช่นเราผ่านเข้ามาบ้านตาดเข้ามานี้ ก็เป็นสายทางเข้ามานี้มันสูญไปไหน เรามาอยู่ที่นี่มาจากสายทางนี้ ก็มาถึงตัวจริง แล้วมันสูญไปไหน ตัวจริงอยู่ในศาลานั่งเต็มอยู่นี้มันสูญเหรอ พิจารณาซิ นั่นก็มาตามสายทางมาอยู่ที่นี่
นี่มาจากภพนั้นภพนี้ซึ่งเป็นสายทางแห่งภพชาติก็เป็นเช่นเดียวกัน มาแล้วก็อยู่ พอพูดถึงนี่ปั๊บ ย้อนปั๊บ ๆ คนนี้มาจากไหน มาจากอุดร ขอนแก่นอะไรก็บอกได้ทันทีเลย นี่ละเรียกว่าพระญาณหยั่งทราบของพระองค์ ถึงเวลาแล้วก็เสด็จไปเลย มีพราหมณ์แก่เข้ามาทูลถามปัญหาก็ว่า อย่าถามเรามาก เวลาเรามีน้อย เห็นไหมพระญาณหยั่งทราบตามนั้นเลยไม่เคลื่อนคลาด รีบตอบปัญหาแล้วให้พระอานนท์บวชให้พราหมณ์แก่คนนั้น ทีแรกเข้ามาพระอานนท์ห้ามไม่ให้เข้ามา เพราะพระองค์ทรงเพียบหนักแล้ว ไม่ให้เข้าไปรบกวน ทรงรับสั่งให้เข้ามาทันทีเลย
เข้ามาก็ เอ้า เรามานี้ก็เพื่อพราหมณ์คนหนึ่ง นั่นเห็นไหมล่ะ ปั๊บแล้ว มาด้วยเหตุด้วยผลทุกอย่างที่จะมาปรินิพพานที่นี่ เพราะอะไรบ้าง เมืองกุสินาราเป็นเมืองเล็กเมืองน้อย ข้าศึกสงครามจะไม่เกิด สมกับศาสดาองค์เอกสอนโลกเพื่อความสงบร่มเย็น เวลาไปตายที่ไหนก็จะไปก่อฟืนก่อไฟเผาโลกให้พินาศ มันเข้ากับศาสดาไม่ได้ พระองค์ทรงทราบไว้หมดแล้ว นี่ละพระญาณที่หยั่งทราบรอบไป ส่วนพระทัยที่บริสุทธิ์นั้นผางขึ้นตั้งแต่วันตรัสรู้ทีแรก วันเดือนหกเพ็ญ ตั้งแต่วันนั้นแล้วบริสุทธิ์สุดส่วนเลยตลอดไป ตลอดไปคือเที่ยงนั่นเอง
อย่างที่ท่านหล้าเขียนไว้นั้น เราไปภูจ้อก้อเราไปอ่าน นั่นเห็นไหมไม่ได้ค้านกันนะ เราจำไม่ได้แต่ลงปั๊บทันทีเลย เห็นไหมล่ะค้านกันได้ที่ไหน นิพพานไม่ใช่ผู้รู้ แล้วอะไรพูดต่อไปนั้น คือธรรมชาติที่ว่านิพพานคือผู้รู้นี้ มันอยู่ในวงขันธ์นี้เท่านั้น ที่รู้เด่น ๆ ชัด ๆ อยู่ในวงขันธ์นะ ที่สุดจุดหมายปลายทางที่ใครจะคาดไม่ได้ แต่ตัวเองรู้หากพูดไม่ได้เลย อันนั้นละที่ท่านพูด นิพพานไม่ใช่ผู้รู้คืออันนั้นเอง ท่านพูดปั๊บเข้ากันทันทีเลย นั่นเห็นไหมล่ะ เราพูดจริง ๆ เราหาที่ค้านท่านไม่ได้ท่านหล้าพูด เอ้อ อย่างนี้ซี เข้าปึ๋งเลยทันที คำนี้เราก็ไม่เคยพูด รู้ก็รู้อยู่ธรรมดาไม่เคยพูด พอไปเห็นท่านหล้าที่เขียนไว้ นิพพานไม่ใช่ผู้รู้ นั่น ผู้รู้จริง ๆ มันเต็มอยู่นี้ที่โลกเห็นกันอยู่รู้กันอยู่เต็มตัว ๆ นี้ บริสุทธิ์แล้วก็ว่าผู้รู้นี้จะเป็นนิพพาน ไม่ใช่
อันนั้นคืออะไร อันนั้นเหลือที่จะประมาณ คือมันเลยสมมุติที่จะพูดแล้ว เหลือที่จะประมาณ ท่านเขียนไว้ข้างหน้านั้นว่าเหลือที่จะประมาณ รับทันทีเลย คือมันเหลือที่จะมาพูดมาอะไรถูกได้แล้ว มันเลยไปหมดพูดไม่ได้แล้ว อย่างพระอนุรุทธะว่า พอท่านก้าวออกจากจตุตถฌานที่สี่จะเข้าถึงเรื่องนามธรรม คืออากาสานัญจายตะ ก็ไม่ไป รูปธรรมก็คือฌาน ๔ นี้ ผ่านมาแล้วไปตรงกลางเลย นิพพานที่ตรงกลางเลย ทีนี้ปรินิพพานแล้ว พระอนุรุทธะไม่ได้พูดต่อไปเลยว่า นิพพานแล้วท่านไปอยู่ที่ไหน นั่นละ จุดนั้นละอันนั้นเองละ ที่ว่าเหลือประมาณที่จะพูดได้แล้ว แล้วสูญที่ไหน
เราฟังซิ พระพุทธเจ้าที่ทรงบริสุทธิ์เต็มที่แล้วเวลาเข้าฌาน เข้าปฐมฌาน ทุติยฌาน อะไรเป็นผู้ไปเข้า ธรรมชาตินั้นละเข้าปฐมฌาน ทุติยฌาน จนกระทั่งถึง สัญญาเวทยิตนิโรธ เข้าไปโดยลำดับคือผู้บริสุทธิ์นี้เองเข้า ผู้เห็นเห็นอยู่นั้นรู้อยู่นั้น สูญไปไหนผู้บริสุทธิ์ ถ้าสูญไปแล้วไม่มีแล้ว ใครไปเข้าปฐมฌาน ทุติยฌาน จนกระทั่งถึง สัญญาเวทยิตนิโรธ แล้วย้อนหน้าย้อนหลังลงมาคืออะไร นั่นละคือธรรมชาติที่บริสุทธิ์ เวลามีสมมุติอยู่พระอนุรุทธะก็พูดได้ เวลานี้ท่านเข้าฌานนั้น ๆ คือมีที่พาดพิงอยู่ ถึงฌานไหนก็บอกฌานนั้น ๆ
พูดได้ตอนนี้ พระจิตที่บริสุทธิ์นั้นแหละ ก้าวเข้าสู่ฌานนั้นฌานนี้ไปเรื่อย ๆ ย้อนหน้าย้อนหลังก็คืออาศัยความบริสุทธิ์ ฌานนั้นฌานนี้เป็นสมมุติทั้งหมดนะ ทีนี้พอก้าวออกจากนี้ รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ แล้วออกผางนี้ ทีนี้ปรินิพพานแล้วหมดแล้วนะนั่น ไม่มีอะไรที่พาดพิง พูดไม่ได้แล้ว พูดได้เพียง เอ้อ ทีนี้ปรินิพพานแล้ว ไปอยู่ไหนพูดไม่ได้เลย
นี่ละฟังซิ เราดูตรงที่ว่าที่เสด็จเข้าฌานนั้นฌานนี้ เสด็จย้อนหน้าย้อนหลัง นี่ละเวลามีสมมุติอยู่ นำออกมาพูดได้ ธรรมชาติที่บริสุทธิ์นั้นพูดไม่ได้ แต่นั้นละที่ว่าเข้าฌานนั้นฌานนี้ พอออกจากนี้ไปแล้ว เออ ทีนี้ปรินิพพานแล้วหมด ไม่มีที่จะพูด ทีนี้ปุถุชนมันชนเข้าไปอีกนะ ไม่มีที่จะพูดมันก็บอกว่าสูญไปเลย อะไรหมดความหมายไปเลย คือเลยพวกหูหนวกตาบอดไปหมดแล้ว ให้มันงมเงากันอยู่นี้ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ทั้งหลายท่านไม่งม ให้พวกนี้มันงมกันอยู่ งมเงากัน
นี่ละละเอียดขนาดไหนธรรมชาตินั้น ดังที่ท่านหล้าท่านว่า นิพพานไม่ใช่ผู้รู้ ธรรมชาติอันนั้นรู้ มันเหนือทุกสิ่งทุกอย่างจนหาจุดหมายไม่ได้เลย จึงยอมรับกันทั้งต้นทั้งปลาย เออ อย่างนั้นซิมันถึงใจ นี่ละที่ว่าความรู้ทั้งหมดนี้มาอยู่ในขันธ์ อยู่ในนี้ รู้อะไร ๆ อยู่ในขันธ์ อันนี้เวลานั้นจะดับหมดนะ ในส่วนสมมุติทั้งหมดนี้จะดับไปหมด เรียกว่าสมมุติจะดับตอนสุดท้ายของพระอรหันต์ก็คือขันธ์ดับ ลมหายใจดับแล้ว ขันธ์ดับพรึบ สมมุติดับหมดในเวลานั้นเลย นั้นละที่ว่าหาประมาณไม่ได้คืออันนั้นเอง ว่านิพพานไม่ใช่ผู้รู้คือไม่ใช่ขันธ์ที่รู้กันอยู่ทุกผู้ทุกคน ทั้งพระอรหันต์ทั้งปุถุชนรู้กันอยู่ในรอบนี้ ใช้ขันธ์ใช้สมมุติทั้งนั้นแหละ สมมุติในขันธ์ ในวงขันธ์ไม่มีอะไรกำเริบเสิบสาน หากเป็นหากมีของมันอยู่ในนั้น
มันก็เหมือนหางจิ้งเหลนขาดนี่แหละ มันดิ้นของมันดุกดิก ๆ ของมันไปตามประสาของมัน นี่ความคิดความปรุง สัญญา อารมณ์จำได้หมายรู้ มันก็เหมือนหางจิ้งเหลนขาดดุกดิก ๆ อยู่ในวงขันธ์ไม่นอกเหนือจากนี้ไป เพียงเท่านั้น อะไรแสดงขึ้นมาก็เพียงเท่านี้ แล้วเกิดกับดับ ๆ มันไปพร้อมกัน ๆ อยู่ในขันธ์นี้ นี่เรียกว่าสมมุติในขันธ์ของท่าน สมมุติวาระสุดท้าย สมมุตินี้ดับแล้วก็หมดเลยไม่มีอะไรแหละ อันที่ว่าเลยความคาดความหมายเสียทั้งหมด นั่น อันนั้นออกแล้ว
ในขันธ์นี้มีเท่าไรมันก็เป็นสมมุติทั้งหมด รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เหล่านี้ ความรู้ที่ครอบอยู่ในประสาทส่วนต่าง ๆ ให้รู้นั้นรู้นี้ก็ออกมาจากธรรมชาติอันใหญ่ที่บริสุทธิ์ แต่ไม่ใช่อันนั้น แน่ะ เป็นอย่างนั้นนะ รอบกันอยู่นี้ พอดับนี้แล้วก็หมดไม่มีอะไรเหลือเลย พากันจำ ตั้งหน้าไปภาวนา ถ้าลงรู้ถึงอันนั้นแล้วไม่ถามกันเลยแหละ มีกี่ร้อยกี่หมื่นกี่แสนกี่ล้านองค์ก็ไม่ถามกัน เป็นธรรมชาติแบบเดียวกันหมด นี่ละที่เลิศสุดยอดคือจิตดวงนี้แหละ ดวงไม่เคยตาย เลวสุดขีดก็คือจิตดวงนี้เอง เวลาถึงขั้นมันเลวก็เลว เช่น ตกนรกหมกไหม้ นรกอเวจีนี้เลว ๆ สุดขีด แต่ไม่ยอมฉิบหายก็คือจิตดวงนี้เอง ไม่มีคำว่าฉิบหาย ฟื้นตัวขึ้นมาจากบาปจากกรรมที่สิ้นบาปสิ้นกรรมลงไปแล้ว เป็นความดี ความดีสืบต่อจนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้นก็อันนี้เอง อันที่ว่ามหันตทุกข์ แล้วบรมสุขก็อันนี้เอง
นี่ก็มาแยกพูดเฉย ๆ นะ ที่ว่าบรมสุข นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง แย็บออกมาเพื่อให้โลกได้พอมีกรุยหมายป้ายทางไว้เท่านั้น ธรรมชาตินั้นจริง ๆ แล้วไม่ได้เลย ไม่ได้เท่านั้นละ นี่ละที่พระพุทธเจ้าทรงท้อพระทัย คือธรรมชาตินั้นกับโลกที่หยาบที่สุดกับธรรมชาตินี้จนถึงคาดไม่ได้แล้วมันเข้ากันไม่ได้ จะทำยังไง ทรงท้อพระทัยไม่อยากสั่งสอนสัตว์โลกต่อไป
ถึงมาพิจารณาคุ้ยเขี่ยขุดค้นดู มันจะเลวทั้งหมดนั้นเหรอ ในโลกอันนี้หรือในภูเขาลูกนี้มันจะเลวไปเสียทั้งหมด ไม่มีอะไรมีราค่ำราคาติดอยู่บ้างเหรอในโลกอันนี้หรือในภูเขาลูกนี้ จึงพิจารณาคุ้ยเขี่ยขุดค้นลงไป ถึงได้ปรากฏแร่ธาตุประเภทต่าง ๆ ที่มีคุณค่าหนักเบาต่างกัน มากน้อยต่างกันก็เห็นในนั้น อ๋อ นั่นถึงได้ยอมรับว่ามี ไม่ใช่จะเป็นมูตรเป็นคูถเสียอย่างเดียว ที่แทรกอยู่ในมูตรในคูถในส้วมในถานยังมี นั่นละพยายามคุ้ยเขี่ยคือสอนสัตว์โลกก็ ในแร่ธาตุเหล่านี้แหละ ถ้ามันกองเป็นมูตรเป็นคูถไปเสียโดยถ่ายเดียวแล้ว พระองค์จะไม่สอนโลกเลย สอนไปหาอะไรสอนมูตรสอนคูถมีอย่างเหรอ ที่สอนคืออันไม่ใช่มูตรยังมีอยู่ เป็นแร่ธาตุที่ทรงคุณค่าไว้ต่าง ๆ กันอยู่ในนั้นยังมี จึงต้องทรงสั่งสอนสัตว์โลกต่อไป
โลกนี้มันหนา แล้วยิ่งนับวันจะหนาขึ้นนะ อย่าเข้าใจว่าจะบางลง ธรรมะพระพุทธเจ้าจะค่อยถูกเหยียบย่ำทำลายลงไปเรื่อย ด้วยความรู้ความเห็นของกิเลสที่มีอยู่ภายในใจของสัตว์ ต่างคนต่างเห่อต่างเหิม ต่างคนต่างดีดต่างดิ้น ด้วยอำนาจของกิเลสฉุดไปลากไป ไม่เห็นตัวของมันแหละ เห็นแต่พลังของมันหนุนให้อยาก ๆ อยากรู้อยากเห็น อยากเป็นอย่างนั้นอยากเป็นอย่างนี้ ความอยากนี้แหละหนุนให้ดิ้นกันอยู่อย่างนี้ ผลที่ได้มานั้นก็คือความทุกข์ ก็พัวพันกันไปนั้นแหละ ไม่ได้ไปไหน
นี่ละโลกเป็นอย่างนี้ ไม่มีอะไรแปลกต่างจากนี้ไป โลกที่เราอยู่นี้ยังดี นี้เป็นโลกมนุษย์ ยังมีบาปมีบุญแทรกอยู่ในโลกที่หนาแน่นด้วยกิเลสอยู่บ้างนะ ถ้าไม่มีธรรมแทรกอยู่ด้วยแล้ว เขาเรียกว่า โลกันตโลก โลกที่มันมืดมันบอดที่สุดก็คือโลกมนุษย์เราที่ไม่มีธรรมเลย ถูกกิเลสเหยียบย่ำทำลายเป็นเจ้าอำนาจ แผ่พังพานไปหมดทั่วโลกดินแดน ใครมีความรู้อะไรขึ้นมาก็อวดตนอวดตัว ว่าดิบว่าดีว่าเด่น ความรู้เหล่านี้เป็นความรู้ของกิเลส จะทำโลกให้ฉิบหายได้ด้วยกันทั้งนั้น ความรู้ของธรรมรู้มากเท่าไรยิ่งอ่อนยิ่งนิ่มไม่มีอะไรนิ่มยิ่งกว่าธรรมนะ ธรรมมีในใจมากน้อยนี้นิ่ม ยิ่งใจบริสุทธิ์ทั้งดวงไม่มีอะไรนิ่มเกินเลย นั่นละต่างกันอย่างนั้น เป็นเรื่องของธรรม จะมีการเบียดเบียนกันมีการทำลายกันเพราะความรู้ของธรรม ความเป็นธรรมไม่มี จะมีมากน้อยในเรื่องการกระทบกระเทือนมีจากกิเลสทั้งนั้น จะเอาไฟเผากันทั่วโลกนี้ก็คือกิเลสตัวทะนงใหญ่ อำนาจบาตรหลวงใหญ่โตว่าตัวนี้ใหญ่ที่สุดๆ ไม่ได้คิดถึงว่าใหญ่ที่สุดกับเล็กที่สุดมันก็คือความตายทับหัวมันอยู่ด้วยกันนั้นแหละ
มันไม่ได้คิดนะ มันจะใหญ่ขนาดไหน มันไม่ได้อยู่ค้ำฟ้ามันจะตายด้วยกัน ในเวลานั้นมันกำลังทะนงอยู่ในภายในจิตใจ ว่าตัวรู้ตัวฉลาดตัวสามารถไม่มีใครเสมอเหมือนได้แล้วก็เหยียบย่ำทำลายกันไป เหยียบไปเหยียบมาทั้งเขาทั้งเรามันก็แหลกไปด้วยกัน นี่ละความรู้ของกิเลสไม่มีจะทำให้ใครมีความเจริญรุ่งเรืองผาสุกได้นะ ถ้าไม่มีธรรมเข้าแทรก ๆ แล้วต้องเสียไปโดยลำดับลำดา จึงต้องมีธรรมแทรกเสมอ เรื่องของโลกของกิเลสล้วน ๆ แล้วมีแต่ลืมตัวไปเรื่อย ๆ แหละ ลืมตัวที่สุดคือกิเลส ชอบยกชอบยอที่สุดไม่มีอะไรเกินกิเลส มันเป็นอยู่ในหัวใจของสัตว์ ใครไม่ได้ตั้งเป็น มันหากเป็นมันหากหนุนของมันเองอยู่ในนั้นแหละ
พออันนี้สลายลงไปหรือว่าดับลงไปโดยสิ้นเชิงแล้ว ไม่มีอะไรที่จะมายกมายอปอปั้นมากดมาถ่วงอย่างนี้ไม่มี พอดีด้วยความสุดยอดแล้ว ความพอดีของธรรมสุดยอดแล้วคือผู้สิ้นทุกข์ ธรรมธาตุนั้นคือความพอดีสุดยอดแห่งธรรมที่ผู้ได้บรรลุเรียบร้อยแล้ว ดังพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ พ้นภัยแล้วโดยสิ้นเชิงตลอดไปเลย เราจะอุตส่าห์พยายามบำเพ็ญคุณงามความดีของเรา ทุกข์เพียงเท่านี้ทำไมเราจะบำเพ็ญไม่ได้ เพื่อความดีอันนั้นของเรา ผลนั้นแหละจะลากเข็นเราไปให้ถึงความที่ว่าสุดยอดตลอดไปเลย พ้นจากทุกข์โดยประการทั้งปวง ตลอดไปเลย
นี่เกิดจากความพยายามของเรา ต้องอุตส่าห์พยายาม เราจะปล่อยให้กิเลสตัณหาพาทำงานนี้มีแต่จมตลอดนะ ให้ฟื้นด้วยกิเลสพาทำงานไม่มี จมตลอด ๆ จมมากจมน้อยตามแต่ที่จะหลงตามมัน ถ้าเราฟื้นตัวของเราต่อสู้กับมัน แก้ไขดัดแปลงตนไปเรื่อย ๆ ทางธรรมะนี้ก็จะมีกำลังหนักขึ้นมากขึ้น ๆ ต่อไปทางด้านธรรมะก็แสดงฤทธาศักดานุภาพออกเหนือกิเลสโดยลำดับลำดา ดังที่เคยพูดในปัจจุบันของนักภาวนา เห็นประจักษ์ทั้งเรื่องธรรมทั้งเรื่องกิเลส เห็นไปพร้อม ๆ กัน ดังที่เคยพูดเสมอว่า กิเลสที่มันฝังอยู่ในหัวใจสัตว์นั้น มันทำงานเพื่อวัฏจักรวัฏวนของสัตว์เป็นอัตโนมัติ ไม่มีใครบอกใครบังคับบัญชา มันก็หมุนตัวของมันไปเองเพื่อเป็นกิเลส แล้วก็เพื่อความทุกข์ของสัตว์ไปในตัว นี่มันทำงานของมันเป็นอัตโนมัติในทุกหัวใจสัตว์
ไม่มีใครอยู่เฉย ๆ โดยกิเลสไม่ได้ทำงานเป็นอัตโนมัติในหัวใจของแต่ละดวง ๆ บรรดาสัตว์โลกด้วยกัน อันนี้เราจะเข้าใจว่ามันมีแต่กิเลสหรือทำงานโดยอัตโนมัติ เมื่อไม่มีธรรมมันก็มีแต่กิเลสนั่นแหละ พูดอย่างนี้ได้นะ ทีนี้ธรรมก็มีอยู่ในใจดวงเดียวกันแหละ แต่ธรรมกระดุกกระดิกไม่ได้เพราะตอนนั้นกิเลสมีอำนาจมาก ก็มีแต่กิเลสแสดงฤทธิ์แสดงเดชตลอดเวลา ทีนี้เราก็เป็นเจ้าของของใจดวงเดียวกันนี้ ทำไมเราจะไม่รับผิดชอบใจเรา ก็ฮึดสู้กันบ้างละซิ นั่น เมื่อสู้กันไปสู้กันมากับความขี้เกียจขี้คร้าน ความท้อแท้อ่อนแอ ความไม่เอาไหนเป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้น ฟัดอันนี้เข้าไปได้วันละเล็กละน้อย ต่อไปหนาแน่นขึ้น ๆ สุดท้ายก็ก้าวเข้าสู่เครื่องเทียบเคียงกันวัดตวงกันได้
คือธรรม เมื่อเวลาธรรมราบรื่นแล้วคนหนึ่ง ๆ เอาอย่างหยาบ วันหนึ่งเมื่อสมบัติมีอยู่แล้วไม่ได้ให้ทานอยู่ไม่ได้ นั่นเห็นไหมล่ะ เริ่มแล้วนะนั่น มันไม่สบายใจ พระธรรมท่านเตือนตลอดอยู่ในหัวใจ วันนี้ไม่ได้ทำบุญให้ทานหรือไม่ได้ภาวนาเลยอยู่เฉย ๆ อย่างสัตว์นี้อยู่ไม่ได้นะ นี่แหละธรรมเริ่มเตือนแล้วนะ อยู่ไม่ได้ต้องมีธรรมแฝงอยู่ตลอด เกาะอยู่ตลอดไม่มากก็น้อยให้ได้เกาะอยู่เรื่อย ๆ นี่ละเริ่มแล้วนะ นั่น ครั้นต่อไป ๆ จิตใจกับธรรมแน่นหนามั่นคงขึ้น เรื่องของกิเลสที่เคยสร้างอุปสรรคให้เราค่อยจางไป ๆ ทางนี้หนาแน่นขึ้น ๆ ย่น ๆ เข้ามาเลย สุดท้ายเรื่องธรรมในใจก็เริ่มเป็นอัตโนมัติขึ้นมา ชำระกิเลสซึ่งเป็นเครื่องกีดขวางตลอดนั้นลงไปโดยลำดับลำดา ธรรมะมีกำลังมากขึ้นกลายเป็นธรรมะอัตโนมัติ เอ้า เข้าไปสู่การชำระจิตใจที่จะเอาใจนี้ให้หลุดพ้นประจักษ์ ขึ้นฟาดถึงภาวนา เข้าถึงขั้น ภาวนามยปัญญา นี้ไม่มีรอที่นี่นะ
นี่ละธรรมจะเริ่มทำงานโดยอัตโนมัติของตัวเอง แก้กิเลสเป็นอัตโนมัติโดยไม่ต้องบังคับบัญชาเลย ธรรมจะทำงานแก้กิเลสเอง นี่เรียกว่า ภาวนามยปัญญา เป็นการดำเนินเพื่อฆ่ากิเลส ชำระกิเลสไปโดยลำดับ ไม่ว่ายืน ว่าเดิน ว่านั่ง ว่านอน เว้นแต่หลับเท่านั้น พอตื่นนอนขึ้นมานี้งานเพื่อแก้กิเลสโดยอัตโนมัตินี้จะก้าวไปพร้อม ๆ กันเลยจนกระทั่งหลับ นี่ละที่นี่อันนี้แน่แล้วเรื่องความพ้นทุกข์ไม่ต้องบอก จับสายทางได้แล้วทีนี้ก็หมุนไปเรื่อย ๆ คำว่าอัตโนมัตินี้ความคล่องแคล่วว่องไวยังเปลี่ยนตัวไปเรื่อย ๆ นะ ละเอียดเข้าไปเรื่อยจนก้าวเข้าสู่ มหาสติมหาปัญญา มหาสติปัญญา นี้เรียกว่าซึมซาบไปเลยเทียว ความรวดความเร็วก็ไม่มีอะไรสู้แหละ คล่องแคล่วว่องไว
นี่ละถึงขั้นธรรมที่ทำงานแก้กิเลสเป็นอัตโนมัติ แก้วัฏวน หักวัฏวนลงจะไม่ให้มันหมุนพาเกิดแก่เจ็บตายต่อไปอีก ธรรมประเภทนี้หนาขึ้น ๆ หักลง ๆ ภายในใจกิเลสตัวใดโผล่ออกมาไม่ได้เลย เอากันอยู่ภายในใจ เพราะใจเป็นตัวท่องเที่ยวเป็นนักท่องเที่ยว ทีนี้หนาเข้า ๆ ก็มีแต่ธรรมเต็มตัว ๆ เรื่องความเพียรไม่ต้องพูด ได้รั้งเอาไว้ ๆ มันเร่งเกินไป นี่ท่านถึงได้สอนให้เร่งภาวนา ถ้าเมื่อมันเร่งจนเกินไปเจ้าของเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าด้วยการพินิจพิจารณา เพราะการพิจารณาก็เป็นงานประจำใจ งานปัญญานั้นแหละพินิจพิจารณา ก็เรียกว่าทำงาน เมื่อทำหนักไปๆ มันจะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า เอ้า ถอยเข้ามาพักสมาธิเสียก่อน เข้ามาสมาธิคือเข้าสู่ความสงบ
เราเคยทำสมาธิได้ความสงบยังไงให้ทำความสงบอย่างนั้น ในเวลานั้นไม่ยุ่งถึงเรื่องปัญญา สติปัญญาที่จะแก้กิเลสอันนั้นไม่มี มีแต่สติที่ประจำกับสมาธิอยู่ด้วยกัน ให้จิตสงบเย็น นั่นละตอนพักงาน การพักงานนี้แก้กิเลสก็ไม่แก้ อะไรก็ไม่แก้ กิเลสจะเกิดก็ไม่เกิด พักสบายเป็นกำลัง พอพักจิตที่เป็นสมาธิได้กำลัง ถอยออกไปที่นี่ นี่เรียกว่าเราพักผ่อนนอนหลับ พักผ่อนรับประทานอาหารเรียบร้อยในส่วนร่างกาย ออกจากนี้มีกำลังแล้วที่นี่ กำลังอันนี้แหละที่จะพาไปฟาดฟันกับกิเลสต่อไป เวลาก้าวเดินทางด้านปัญญาไม่ต้องห่วงสมาธิ หมุนทางพินิจพิจารณา เรื่องเหล่านี้อันนี้มันเกิดขึ้นมาจากไหน มันเกิดขึ้นจากจิต กิเลสเวลารวมตัวแล้วจะเห็นชัดเจนว่าเกิดขึ้นจากใจเท่านั้นไม่เกิดที่อื่น ธรรมก็เกิดขึ้นจากใจไม่เกิดขึ้นที่อื่น ท้องฟ้ามหาสมุทรกว้างแคบขนาดไหนไม่มีความหมายทั้งนั้น
มันมีความหมายอยู่กับจิตซึ่งเป็นตัวนักรู้นี้ รู้หมด อะไรจะมารู้ สุข ทุกข์จะมารวมที่ใจดวงนั้นแหละ รวมเข้า ๆ นี่ละเรียกว่าละเอียดเข้าไป ๆ ทางแคบเข้าไปแล้วหดย่นเข้ามา ทางที่จะหลุดพ้นหดย่นเข้ามา ๆ นิพพานประหนึ่งว่าอยู่ชั่วเอื้อม ๆ นี่ละท่านว่าผู้มีความเพียรกล้า ได้รั้งเอาไว้นะ ที่จะให้เป็นเพียรพยายามไม่มี นี่ละถึงขึ้นธรรมแก้กิเลสโดยอัตโนมัติมันมีเหมือนกันแต่เราไม่รู้ แม้แต่กิเลสสร้างตัวเองเป็นอัตโนมัติในหัวใจของสัตว์ก็ไม่รู้นะ สัตว์โลกไม่รู้นะ ต้องผ่านอันนี้เข้าไปเสียก่อน เมื่อผ่านทางด้านจิตตภาวนาถึงรู้ได้ชัด อ๋อ แต่ก่อนกิเลสมันเป็นอัตโนมัติมันสร้างผลประโยชน์ของมันบนหัวใจสัตว์ สร้างความทุกข์ความลำบากในหัวใจสัตว์มานมนานเป็นอัตโนมัติของมัน ไม่มีใครบอกมันก็เป็นของมันเอง นี่มันก็รู้อย่างนี้ พอธรรมอันนี้ก้าวขึ้นแล้ว ธรรมอัตโนมัติสติปัญญาอัตโนมัติ ความเพียรเป็นอัตโนมัติ ทั้งหมดเป็นอัตโนมัติแก้กิเลสไปโดยลำดับลำดา มันก็ทราบเรื่องของกิเลสละซิที่นี่
เมื่อมันก้าวเข้าถึงขั้นที่ว่า ชำระกิเลสโดยอัตโนมัติแล้วไม่มีวันมีคืน มีแต่เวลาหลับนอน หลับนอนก็ต้องได้รั้งเอาไว้ไม่งั้นมันจะไม่ยอมนอนมันเพลิน เพลินในการที่จะให้หลุดพ้น เพราะทุกข์นี้แสนสาหัสมันเห็นประจักษ์หมดแล้วในหัวใจของตัวเองนั้นแหละ แต่ก่อนมันไม่รู้มันคลุกเคล้าไปทั้งแกลบทั้งรำทั้งก้าง ทั้งกระดูก เคี้ยวกันไปกลืนกันไป ติดคอกันไปคาคอกันไปเป็นอย่างนั้นนะ แต่เวลามันรู้แล้วอะไรมันคัดออก ๆ เอาแต่เนื้อล้วน ๆ นั่น จากนั้นแล้วก็เข้าถึงจุดละนะ ไม่พ้นไปได้ละยังไงต้องเอาให้ได้ทีเดียว ไม่พ้นมือไปได้ที่จะหลุดพ้น เมื่อถึงขั้นแล้ว
นี่ละธรรมมีอำนาจเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่มีอำนาจแต่กิเลสอย่างเดียวบนหัวใจสัตว์ ธรรมก็มีอำนาจบนหัวใจสัตว์ บนหัวกิเลสด้วย ฆ่ากิเลสจนขาดสะบั้นลงไปแล้วดีดผางขึ้นมาเท่านั้น ถามหาอะไรทีนี่ นั่น นิพพานอยู่ที่ไหนถามหาอะไร ใครเป็นคนทุกข์เดี๋ยวนี้ นิพพานไม่ได้เป็นทุกข์เป็นสุขอะไร ตัวที่รู้นี้มันเป็นอะไรนี้ มันหมดเหตุหมดปัจจัยแล้วมันก็รู้เอง นิพพานอยู่ที่ไหนไม่ต้องถาม นั่น ตัวทุกข์อยู่ที่ไหน เมื่อเวลาแก้กันไปแล้วมันก็จะเจอกันทั้งสุขทั้งทุกข์ ทุกอย่างอยู่ในหัวใจนั้นหมดมันก็รู้กันตรงนั้นเอง ให้พากันตั้งอกตั้งใจนะ
วันนี้ ทูลกระหม่อมฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ ท่านได้อุตส่าห์เสด็จมาเยี่ยมโปรดเมตตาพวกเราเสมอๆ พวกเราก็ให้ได้ภาวนาตามเสด็จท่าน ท่านเสด็จมานี้ก็เพื่อภาวนา มากราบครูบาอาจารย์ ตั้งแต่มาพระจิตนั้นเป็นกุศลตลอดมา วันนี้จะไปกราบไปเยี่ยมครูบาอาจารย์ท่านพ่อบัว ท่านมาท่านเป็นกุศลตลอดมา แต่ท่านพ่อบัวเวลาลูกจะมาเยี่ยม หลับครอก ๆ อยู่ก็ไม่รู้นะอันนี้เราก็ไม่รับรอง ตรงนี้นะ เอาตรงที่ท่านมาก็แล้วกัน ไอ้เราไม่ได้เรื่อง เรื่องของเราไม่ได้เรื่อง เอาเรื่องของท่านเป็นเรื่องของพวกเรานี้อีก ให้เป็นคติบำเพ็ญกุศลตามเสด็จท่าน ท่านเอาจริงเอาจังมากนะ ทรงภาวนาไม่ได้หยุดได้ถอย เราอย่าไปกีดขวางท่านนะ ไปต่อสู้เป็นข้าศึกต่อท่าน ท่านมาวัด วัดนี้ไม่ใช่เป็นวัดก่อข้าศึก ท่านมาท่านเร่งทางด้านจิตใจ จิตตภาวนาทางบุญทางกุศล เราเร่งทางความขี้เกียจขี้คร้าน ท้อแท้อ่อนแอสู้กับท่านใช้ไม่ได้นะ เข้าใจเหรอ อย่าทำนะอย่างนี้นะ พากันจำเอา
วันนี้ท่านเสด็จมา ไม่มีอะไรแหละท่านเสด็จมาเยี่ยมพวกเรา มากราบครูบาอาจารย์ เห็นพระเจ้าพระสงฆ์ก็เป็นสิริมงคลแก่หูแก่ตาแก่จิตใจ เป็นมงคลอยู่ที่นี่ ถ้าไปเจอไปเห็นสิ่งที่ไม่ดีเข้ามา ก็เป็นฟืนเป็นไฟมาเผาไหม้หัวใจเรานั้นแหละ จึงว่า สมณานญฺจ ทสฺสนํ การเห็นสมณะเป็นมงคลอันสูงสุด เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ สมณะคืออะไรท่านแยกไว้เป็นประเภท สมณะ คือผู้สงบกาย วาจา ใจ จากบาป รวมแปล แต่สมณะนั้นมีหลายประเภท
สมณะที่ ๑ คือ พระโสดา
สมณะที่ ๒ คือ พระสกิทาคา
สมณะที่ ๓ คือ พระอนาคา
สมณะที่ ๔ คือ พระอรหันต์
ได้เห็นสมณะเหล่านี้เป็นมงคลอันสูงสุด ๆ จิตใจก็ยิ้มแย้มแจ่มใส ตาเห็นเป็นเครื่องมือของใจ ยิ้มแย้มเข้าไปสู่ใจ หูได้ยินยิ้มแย้มเข้าไปสู่ใจ ทุกสิ่งทุกอย่างสัมผัสสัมพันธ์เข้าไปสู่ใจ ใจเป็นผู้ยิ้มแย้มแจ่มใสในสิ่งที่เป็นมงคลทั้งหลายซึ่งมีอยู่รอบตัว และใจได้ไปสัมผัสกับสิ่งเหล่านั้นจากทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ผลประโยชน์เข้ามาสู่จิตใจเป็นมงคลมหามงคลแก่เรา พากันจำเอานะ วันนี้ก็พูดเพียงเท่านี้แหละ ทูลกระหม่อมท่านก็จะเสด็จกลับวันนี้ จากนี้แล้วท่านก็จะไปเมืองนอก ไปเมืองนอกก็เพื่อชาติไทยของเรานั้นแหละ ท่านจะไปเพื่อใครถ้าไม่เพื่อพี่น้องชาวไทยทั้งประเทศ ได้อะไรมาก็มาแจกมาจ่ายทั่วประเทศไทย วันนี้ท่านมานับว่าเป็นมงคลแก่พวกเราทั้งหลายด้วย ต่อไปนี้ก็จะให้ศีลให้พร
ชมการถ่ายทอดสด ธรรมะหลวงตาวันต่อวัน ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th |