เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๖
จวนตัวเท่าไรยิ่งเร่งธรรมะออก
เอ้านี่ทองคำ ๑ กิโลกับ ๒๐ บาท เป็นของเล่นเมื่อไร โถ เราดิ้นมาจนจะตายแล้ว เราจึงบอกว่าพอได้ ๑๐ ตันนี้หงายเลย ยังบอกแล้ว ใจนี้มันพุ่ง ๆ เพื่อช่วยชาติบ้านเมืองมันอ่อนเมื่อไร พูดจริง ๆ อะไรจะมาอะไรกับเราไม่เคยสนใจเลย เหยียบหัวมันไปเลย นี่ก็เพื่อชาติบ้านเมือง ศาสนากับชาติอยู่ด้วยกัน เราอุ้มทั้งสองเลย เราทำ-ทำเล่นเมื่อไร ถ้าลงได้เอาแล้วเป็นไม่ถอย จิตหลวงตาไม่ได้เหมือนใครง่าย ๆ นะ เราพูดจริง ๆ ตามความสัตย์ความจริงของเรา มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ถ้าลงได้ลงตรงไหนแล้วผึงเลย ขาดสะบั้นเลย ทีนี้มาย้อนเข้าเรื่องความเพียรของเรามันก็แบบเดียวกัน คือเอาแบบนิสัยอันนี้แหละมาใช้ คือเป็นก็เป็น ตายก็ตาย ผึงเลย ทีนี้เวลามาช่วยพี่น้องทั้งหลายก็ลงถึงร้องโก้กภายในใจ เป็นในใจสะเทือนปึ๋งขึ้นมา ร้องโก้กออกมาเลย เอาจะช่วย ขึ้นทันทีเลย นั่นเห็นไหม นี่เรียกว่าขึ้นเวทีแล้ว ยังไงก็ต้องซัดเลย
เห็นไหมล่ะถอยอะไรเมื่อไรเมื่อออกแล้ว ไม่มีคำว่าถอยถ้าลงได้เอาแล้ว ถ้าลงได้ถอยแล้วล้มตูมเลย ไม่เอา ที่จะไปหารบกวนอย่างที่เคยเป็นมานี้ไม่เอาแหละ ส่วนบรรดาพี่น้องศรัทธาทั้งหลายที่จะบริจาคตามอัธยาศัยของตนนั้นเราไม่ว่าแหละ ได้มาเท่าไรเรายินดี ยิ่งเป็นความส่งเสริมชาติไทยของเราให้หนาแน่นมั่นคงยิ่งขึ้น ๆ เราพอใจ แต่ว่าการรบกวนด้วยการประกาศให้ทราบทั่วถึงกันทั้งประเทศนี้นั้น เรียกว่าล้มตูมเลยแหละ จุดไหนต้องจุดนั้น นี่ก็บอกว่า ๑๐ ตัน และดอลลาร์ขอให้ได้ ๑๐ ล้าน นี่พอในหัวใจเราแล้วเต็มปึ๋งเลย เอาละพอ แล้วล้มตูมเลย
สรุปทองคำวันที่ ๓๑ ทองคำได้บาทเดียวเมื่อวานนี้ ดอลลาร์ได้ ๒๐ ดอลล์ ทองคำที่มอบเข้าคลังหลวงแล้วเวลานี้ ๕,๕๕๙ กิโลครึ่ง ดอลลาร์ที่มอบเข้าคลังหลวงแล้ว ๗ ล้าน ๒ แสนดอลล์ ทองคำที่ได้หลังจากการมอบเข้าคลังหลวงแล้ว ได้เพิ่มเข้ามาอีก ๕๑๘ กิโล ๖๔ บาท ๒๓ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๒๓๐,๔๒๑ ดอลล์ ยังขาดดอลลาร์อยู่อีก ๖๙,๕๗๙ ดอลล์จะครบจำนวน ๓ แสน กรุณาทราบตามนี้ รวมทองคำที่ได้แล้วทั้งหมด ที่มอบแล้วและยังไม่ได้มอบ ได้ทองคำ ๖,๐๗๘ กิโล หรือ ๖ ตันกับ ๗๘ กิโล รวมดอลลาร์ที่ได้แล้วทั้งหมด ที่มอบแล้วและยังไม่ได้มอบได้ ๗,๔๓๐,๔๒๑ ดอลล์
เงินสดที่นำไปซื้อทองคำเข้าคลังหลวงเป็นจำนวน ๑,๑๑๒ ล้าน เงินสดเราเป็นพัน ๆ หมื่น ๆ ล้านออกทั่วประเทศ แต่เวลาได้เข้าคลังหลวงเข้าได้เพียง ๑,๑๑๒ ล้านเท่านั้น ก็เพราะว่าขออยู่ทุกแห่งทุกหน คิดดูตั้งแต่ไปเทศน์นี้ก็ขอตามสายทางเรื่อยมา เราก็เก็บมาเรื่อย บัญชีขอนั้นขอนี้ ขอรถขอราขออะไรมาเรายังไม่ได้ตอบ มีแต่เก็บมา ๆ แล้วเมื่อวานนี้หรือวันไหนก็มาอีก ก็อย่างนั้นแหละที่มันเข้าไม่ได้ก็เพราะเหตุนี้เอง ทางไหนก็มีแต่ความจำเป็น ๆ ทั่วหน้ากัน ทางโน้นก็ขอ ทางนี้ก็ขอ มันเลยเข้าไม่ได้
เรื่องบุญนี้ไม่มีคำว่าเฟ้อ ทำไมจึงไม่มีคำว่าเฟ้อ พอบุญเต็มที่แล้วถึงนิพพานปึ๋งพอดีอย่างเลิศเลอ นั่นเห็นไหม ไม่มีคำว่าเฟ้อ เรื่องบุญเรื่องกุศลขอให้พี่น้องทั้งหลายตั้งอกตั้งใจนะ นี่หลวงตาพูดตรง ๆ หลวงตาจวนจะตายเท่าไรยิ่งเร่งธรรมะออกนะ มุ่งต่อพี่น้องทั้งหลาย ศาสนาพุทธเรานี้ประกาศป้างเลยสามแดนโลกธาตุ แน่ล้านเปอร์เซ็นต์ไปเลยเทียว พุทธศาสนานี้เป็นศาสนาคู่โลกคู่สงสารมาตลอด แล้วจะเป็นสายต่อไปอย่างนี้ กับกิเลสนี้มันก็เป็นสายต่อกันไปคอยทำลายธรรม ทั้งสองอย่างนี้อยู่หัวใจของสัตว์ คือ กิเลสก็เกิดที่หัวใจของสัตว์ แล้วแสดงฤทธิ์ของมันไปตามเรื่องของกิเลส เป็นแต่เพียงฝ่ายลบ ๆ คือลบธรรมะ ธรรมะบวกเข้าเรื่อย ๆ เพื่อความสุข ความเจริญ กิเลสจะมาลบเรื่อย ๆ เป็นคู่กันมาอย่างนี้แหละ นี่เป็นของตายตัว ศาสนาตายตัว คือธรรมเป็นเครื่องลบล้าง
กิเลสที่มีอยู่ทั่วโลกดินแดนนี้มันก็ปลอมตายตัวของมันเลย ไม่มีอื่นกิเลส ปลอมทั้งนั้นว่างั้นเลย เม็ดทรายหนึ่งที่จะจริงกับกิเลสไม่มี มีแต่ปลอมทั้งนั้น ธรรมนี้ที่จะปลอมเม็ดทรายหนึ่งไม่มี จริงทั้งนั้น ๆ ทั้งสองนี้ฟัดกันมาตลอด กิเลสเกิดขึ้นจากใจของเรา ธรรมก็เกิดขึ้นจากใจของเรา เรามีความฉลาดแล้วเราก็เอาธรรมมาฟัดกิเลสตีกันไปเรื่อย ถ้าเราไม่ฉลาดก็ให้กิเลสลากไป ๆ ธรรมก็จมไปเลย เราก็จมไปด้วยกับธรรมจม ถ้าธรรมฟื้นฟูเราก็ฟื้นฟู กิเลสก็จมไปด้วยกันจากหัวใจของเรา
คำว่ากิเลสและธรรม ท่านทั้งหลายที่จะให้เห็นประจักษ์แล้วอย่าไปดูที่อื่น ให้ดูใจของเรา ทั้งกิเลสทั้งธรรมจะรวมตัวอยู่ที่นี่แห่งเดียว เหล่านั้นไม่เป็นภาชนะสำหรับรับบาปและบุญนะ เหล่านี้ทั้งหมดทั่วแดนโลกธาตุไม่มี มีใจดวงเดียวเป็นผู้รับ กิเลสก็เกิดที่นี่สั่งสมความชั่วเข้ามาที่นี่ เผาที่นี่ ธรรมก็เกิดที่นี่สั่งสมความดีเข้ามาที่นี่ เพิ่มพูนที่นี่เรื่อย ๆ ไป จนกระทั่งถึงที่สุดแล้วเรียกว่าไม่เฟ้อ นิพพานคือเมืองพอ พออย่างเลิศเลอ อะไรก็ตามคำว่าพอชนะหมดเลย ไม่ว่าดีว่าชั่วว่ามากว่าน้อยพอแล้วเท่านั้นพอ นั่นละคำว่าพอ ตัดขาดสะบั้นไปหมดเลย บุญกุศลเข้าถึงจุดที่พอแล้วพอ อย่างพระพุทธเจ้าพระอรหันต์พอ นั่น ท่านไม่มีอะไรเฟ้อเลยในสามแดนโลกธาตุ จึงเรียกว่าเลิศเลอ
นี่เราจวนจะตายเท่าไรก็ยิ่งเร่งธรรมออก ให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบทั่วถึงกัน เราไม่ใช่จะโอ้อวดยกตนข่มท่านผู้ใดนะ คือเป็นที่ถนัดใจของเรา เราพูดออกมาด้วยความถนัดใจและความเมตตาของเราที่มีแก่บรรดาพี่น้องชาวพุทธทั้งหลาย จวนตัวเท่าไรยิ่งเร่งธรรมะออก ๆ ๆ ถ้าเราตายไปแล้วจะมีผู้ใดมาพูดอย่างเราหรือไม่มี เราทราบไม่ได้ แต่เรื่องของเราเราทราบได้ว่าเรายังมีชีวิตอยู่ เราพูดได้เข้าใจไหมล่ะ คนอื่นจะมีจำนวนมากน้อยเท่าไรเราพูดไม่ได้ เราบอกไม่ได้
เวลานี้เรายังไม่ตายเราจึงเร่งพูด ตามสิ่งที่รู้ที่เห็นที่เป็นอยู่ของเราออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน ส่วนผู้อื่นผู้ใดเราไม่ได้ประมาทดูถูกเหยียดหยามใคร แต่เราไม่รู้ท่านเหล่านั้นเป็นยังไงใช่ไหม เพราะอย่างนั้นเราถึงไม่นำมาพูด เวลาเราตายนี้จะมีใครพูดไม่พูดก็ไม่ทราบ สำหรับเรายังมีชีวิตอยู่เราทราบของเรา เราพูดได้เข้าใจไหม นี่เราพูดอย่างนี้พูดกับพี่น้องทั้งหลายพูดด้วยความเต็มหัวใจจริง ๆ เราไม่มีอะไรบกพร่องในหัวใจ พูดได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ตามทางของศาสดาที่สอนมาเรียบร้อยแล้วไม่มีผิดเพี้ยนเลย ผลที่ปรากฏมาก็มาเต็มอยู่ในหัวใจของเราจากสายทางที่สอนมา ๆ เราพยายามขวนขวายตามสายทาง เอ้า บืนไป ๆ สุดท้ายถึงจุด นั่น ถึงจุดก็เป็นอันเดียวกันเลย
ใครถึงจุดแล้วแซงพระพุทธเจ้าไปก็ไม่มี จะต่ำกว่าพระพุทธเจ้าก็ไม่มี มีแต่ว่า นตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย ใครที่ได้ถึงขั้นบริสุทธิ์เต็มเหนี่ยวแล้วเพราะการสร้างความดีของตน เสมอกันหมดนับแต่พระพุทธเจ้า และพระสาวกองค์สุดท้ายลงมา ไม่มีใครยิ่งหย่อนกว่ากัน แน่ะ พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงแสดงไว้ว่า คนนั้นจะแซงคนนี้จะแซงไม่มี เสมอกันหมด นี่ละธรรมเป็นอย่างนั้น
เวลามันถึงใจแล้วไม่ได้ถามใครนะ สามแดนโลกธาตุไม่สนใจที่จะถามใคร ไม่มีอะไรแน่ยิ่งกว่าประจักษ์อยู่ในนี้ แน่ประจักษ์อยู่ในนี้พอ ๆ ทุกอย่าง ดังที่เคยพูดว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้เพียงพระองค์เดียว พระองค์ไปถามใคร ประกาศธรรมสอนโลกผางเลยทันที นับแต่ เทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหมลงมาไม่มีสะทกสะท้าน จ้าหมดแล้ว นั่นละเป็นอย่างนั้นนะธรรม ขอให้พากันตั้งอกตั้งใจ เวลาเรายังมีชีวิตอยู่เราก็พูดเต็มที่เต็มฐาน ใครที่มาติฉินนินทา ดุด่าว่ากล่าว เราก็ประกาศแล้วว่านี่คือ ถังขยะเราไม่สนใจ เหยียบหัวมันไปเลยยังบอกแล้ว
ธรรมท่านยังมาขยะต่อถังขยะอยู่แล้วไม่ใช่ธรรม เคารพนับถือไม่ได้ไม่เป็นที่ตายใจ ธรรมต้องเป็นธรรมวันยังค่ำ จะเป็นอะไรก็ตามเหยียบไปเลยเทียว ธรรมไม่มีอะไรเหนือกว่า ท่านจึงเรียกว่า โลกุตรธรรม ธรรมเหนือโลก เหนือโลกสมมุตินี้เอง สมมุติก็มีอะไรก็สามโลกธาตุเป็นสมมุติทั้งมวล ธรรมเหนือหมดแล้วนั่น ท่านจะสะทกสะท้านกับอะไร จะว่าอะไรก็ตาม พระพุทธเจ้าเองท่านก็มี ถ้าจะพูดถึงเรื่องว่ามี พระพุทธเจ้าทุกพระองค์มีทั้งนั้น เรื่องคำติฉินนินทา ดุด่าและโจมตีต่าง ๆ มีตลอด พระองค์จึงรวมยอดมาเลยว่า นินฺทา จ ปสํสา จ ลาภา จ อลาภา จ สุขญฺจ ทุกฺขญฺจ เอส ธมฺโม สนนฺตโน ฟังซิ การได้มาและการเสียไป นินทาและสรรเสริญ ความสุขและความทุกข์ เหล่านี้เป็นธรรมมีมาดั้งเดิมฟังซิน่ะ เอส ธมฺโม สนนฺตโน ธรรมเหล่านี้เป็นของเก่าแก่เคยมีมาดั้งเดิม อย่าไปตื่นเต้น นั่น บอกพระอานนท์ตื่นเต้นหาอะไร
นั่น องค์ศาสดาแท้ก็ยังถูกเขาโจมตีจนกระทั่งพระอานนท์จะอยู่ไม่ได้ พระอานนท์เป็นคนมีกิเลส พระพุทธเจ้าสิ้นกิเลสแล้วก็เหยียบหัวพวกนั้นไปอยู่อย่างนั้นนะ พระอานนท์ยังไม่สิ้นกิเลส ทั้งเหยียบหัวเขา ทั้งเขาเหยียบหัวพระอานนท์เข้าใจไหม พระอานนท์ก็ทุกข์ก็เดือดร้อน พระองค์ไม่มีใครเหยียบว่าไปธรรมดา เขาไปจ้างคนด่าพระพุทธเจ้า เขาไม่พออกพอใจเขาเคียดเขาแค้นพระพุทธเจ้า ฝ่ายมาร ว่าไอ้อูฐ ไอ้ลา ไอ้หัวโล้น ไอ้กะลามะพร้าว เอากะลามะพร้าวไปเที่ยวหาขอกินอะไร ๆ ว่าทุกอย่าง ให้พระพุทธเจ้าทรงเสียอกเสียใจเสียพระทัย จ้างคนมาด้วยนะมาว่า ยืนเป็นแถวเลย ว่าพระพุทธเจ้า พระองค์ก็เฉยไม่เคยสนใจ นั่นฟังซิ
หลวงตาบัวนี้ใครมายืนเป็นแถวจ้างว่าก็ไม่เห็นมี จะเป็นบ้าอะไรนักหนาเข้าใจไหม เขาไม่ได้จ้างกันมายืนเป็นแถวว่าให้เรา แต่พระพุทธเจ้าเขายืนเป็นแถวว่าพระองค์ พระองค์ยังไม่เห็นมีอะไร ก็มีแต่พระอานนท์ขอทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดเมืองอื่น ๆ เมืองนี้ทนไม่ไหวแล้ว ทนไม่ไหวเพราะอะไร ถูกเขาดุ เขาด่าเขาว่าทุกสิ่งทุกอย่างว่างั้น แล้วไปเมืองโน้นจะทำยังไงล่ะ ฟังซิน่ะ เป็นคติดีไหม จะไปเมืองไหน ไปเมืองโน้น เมืองโน้นเขาก็มีปากนี่จะว่ายังไง เผื่อเขามาว่าอย่างนี้เราจะไปเมืองไหน ก็ไปเมืองโน้น เมืองโน้นเขาก็มีปาก นั่นเห็นไหมล่ะ เมืองไหน ๆ เขาก็มีอย่างเดียวกันแล้วไปเมืองไหนมันก็เหมือนกัน แน่ะฟังซิท่านพูด ความนินทา ความสรรเสริญ โลกธรรมนี้เป็นของเก่ามันมีมาดั้งเดิม ไปที่ไหนมันก็มีอยู่อย่างนั้น แล้วจะหลบมันไปที่ไหน อานนท์ นี่เป็นของเก่าของแก่มีมาดั้งเดิมอย่าไปตื่นเต้น เข้าใจไหม
นี่พระองค์ท่านยังสอนพระอานนท์ว่าอย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่เขาจ้างวานกัน โถ ยืนเป็นแถวด่า หลวงตาบัวก็ไม่เห็นมาจ้างมาวานมาดุมาด่ามาว่า ลูกศิษย์ลูกหาเราจะไปเคียดอะไร ตั้งแต่หลวงตาบัวไม่เห็นเคียด ครั้นเวลาเขาว่ามามาก ๆ เท่าไรก็วากเสียทีหนึ่งพวกเปรต ทีเดียวพอ ว่าเราก็เฉยไม่มีอะไรกับใคร เป็นอย่างนั้นแหละไปสนใจอะไร คือจะว่ายังไงมันก็ไม่มีความหมาย เพราะสมมุติกับวิมุตติมันต่างกันขนาดไหน จะว่าอะไรให้อันนั้นเอามาขยี้ขยำก็เท่านั้น ไม่มีทาง นั่น เรื่องธรรมกับเรื่องความสกปรกสมมุติมันต่างกันอย่างนั้น
นี่เราก็พยายามสอนพี่น้องทั้งหลาย มียังไงถอดออกมา ๆ ตามแต่ผู้ที่จะมาเกี่ยวข้องหนักเบามากน้อย ควรจะได้แค่ไหนก็ออกแค่นั้น ๆ ถ้าออกมาเต็มที่ก็ออกเต็มที่ ไม่ต้องพูดว่ามาจากไหนธรรม เข้าใจเหรอ เราพูดได้อย่างจัง ๆ อย่างนี้เราไม่สงสัย ก็มันเป็นอยู่ในหัวใจนี่ ถ้าไม่มีอะไรก็เหมือนไม่มีอะไร ถ้ามันไม่เป็นประโยชน์อะไร เขาจะมาถามมาว่าอะไร ก็จะพูดอะไร มันไม่เป็นประโยชน์สำหรับผู้มาถาม ทางนี้มีก็ไม่ออก ดึงก็ไม่ออก แน่ะ ถ้าควรจะออกหนักเบามากน้อยจะออกเอง ควรจะเอาเต็มที่ทุ่มเต็มที่พุ่งเลยทีเดียว นั่น เป็นขั้นเป็นตอนเข้าใจเหรอ
ธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นของเลิศเลอสุดยอดแล้วนะ เกิดมาในชาตินี้อย่าให้พลาดเป็นอันขาดนะ พลาดพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ยืนยันรับรองสัตว์โลกให้พ้นจากทุกข์ ได้จากพระโอวาทของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ไม่สงสัยเลย ขอให้ดำเนินเถอะ นี่ละศาสนาเอกคืออันนี้ ดังที่ว่าศาสนาอื่นใดเราก็พูดแล้วเมื่อวานใช่ไหมล่ะ เราพูดตามความจริงไม่ไปดูถูกเหยียดหยามศาสนาใดนี่ เราพูดตามหลักความจริง คือศาสนานอกนั้นเป็นศาสนาของคนมีกิเลส แน่ะ พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์เป็นศาสนาของผู้สิ้นกิเลส เป็นผู้บริสุทธิ์ทรง โลกวิทู รู้แจ้งโลกไว้ตลอดทั่วถึง อาโลโก อุทปาทิ สว่างจ้าอยู่ตลอดเวลา นี่คือศาสดาทุก ๆ พระองค์เป็นอย่างนี้ด้วยกัน คือผู้สิ้นกิเลสเป็นอย่างนั้น ไม่มีอะไรที่มาเป็นมลทิน ปิดบังลี้ลับให้หลง ๆ งม ๆ งาย ๆ อย่างนี้ไม่มี พระพุทธเจ้าไม่มีคำว่าหลงงมงาย
ทีนี้คนที่เป็นเจ้าของศาสนาเป็นผู้มีกิเลส เป็นผู้มีกิเลสก็ต้องมีพิษมีภัยอยู่ในจิตใจของผู้เป็นเจ้าของศาสนา ทีนี้เวลาสอนคนนี้ต้องสอนผิด ๆ ถูก ๆ เป็นธรรมดาเหมือนเรา ๆ ท่าน ๆ แล้วดีไม่ดีก็สอนเข้าไปทางกิเลสให้เขาได้สร้างบาปสร้างกรรม เพราะเจ้าของศาสนาเป็นผู้สอนเขาให้ล่มจมก็ได้เข้าใจไหมล่ะ ส่วนพระพุทธเจ้านี้ไม่มี บอกไม่มีเลย สอนสัตว์ตัวใดรายใดก็ตามที่พระพุทธเจ้าองค์นี้สอน สัตว์ตัวนั้นได้ไปตกนรกแม้รายเดียวเรายังไม่เคยเห็นในตำรับตำราก็มี ในใจของเรามันก็เป็นอย่างนั้นด้วย ถึงจะแผดเสียงเป็นฟ้าดินถล่มก็ตาม จิตใจมันไม่ได้เป็น อย่างหนึ่งก็เป็นพลังของธรรมที่พุ่งออกมาเสีย ไอ้เรื่องของกิเลสที่จะแทรกออกมาจากความดุเดือดอย่างนี้มันก็ไม่มี ถ้ายังมีอยู่จะเรียกว่ากิเลสสิ้นไปได้ยังไงเข้าใจไหม ถ้าสิ้นแล้วจึงว่าไม่มี ค้นเท่าไรก็ไม่มีจึงเรียกว่าสิ้นซิ พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่านเป็นอย่างนั้น จะทำยังไงก็ไม่มีเรื่องกิเลสเพราะมันสิ้นแล้ว นั่นละพากันจำเอานะ
เมื่อวานนี้ก็พูดถึง อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อันนี้ก็ไม่มีใครพูดอย่างเราเห็นไหมล่ะ ก็มีแต่ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปํ นามรูปปจฺจยา สฬายตนํ เรื่อยไปจนกระทั่งถึง สมุทโย โหติ นี้เป็นสายของสมุทัยหนุนกันไปอย่างนี้ จากนั้นมาก็ อวิชฺชายเตฺวว อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธ แล้วก็ เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส นิโรโธ โหติ นี้เป็นสายมรรคคือเป็น นิโรธ สายของมรรคดับทุกข์ แน่ะ ท่านก็ว่า นี่เป็นลวดลายของศาสดาก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอ พูดให้ละเอียดลออทุกสิ่งทุกอย่างสมแนวของศาสดา
ทีนี้เราเป็นลูกศิษย์ตถาคตอะไรที่เหมาะสมกับจริตนิสัย วาสนาของเรามากน้อย เราก็เอาตามนั้น ๆ พระองค์วางเป็นแนว เราก็หยิบเอาตามที่ถนัด ๆ ออกมาผางเลย อิ่มท้องเหมือนกันเข้าใจไหม เหมือนกับว่านี่ครกนี่สาก นั้นหม้อ นั้นเตาไฟ นั้นฟืน นั้นไฟแช็ก ไล่ไปจนกระทั่งถึงนั้นนา นั้นข้าว เขาปลูกข้าว กว่าจะได้มาถึงท้องตายทิ้งเปล่า ๆ นี้ใส่ปึ๋งเดียวได้เลยเข้าใจ นั่น ก็อย่างพระพุทธเจ้า อวิชชาเหล่านี้นะ จับรากแก้วอันเดียวไปพร้อมกันหมดเลย ทีนี้เมื่อพรรณนาก็ว่าแต่ต้นแต่ลำ เปลือกมัน กิ่ง ก้าน สาขา ดอก ใบ อะไร ๆ ก็พรรณนาไป ตายด้วยกันหมด มันตายพร้อมกันแล้วเข้าใจไหมละ ท่านพรรณนาบอกอันนี้ ๆ มันก็ตายด้วยกันนั่นแหละ นั่น ความจริงมันตายพร้อมกันแล้ว เวลามันเกิดมันก็หนุนกันไปพร้อมกันเหมือนกันนี่เข้าใจเหรอ เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านั้นละ ให้พร โอ้วันนี้ดีมาก หมอวิยะดากับหมอวิฑูรย์กับคุณแม่ ได้ทองคำมาถวายหลวงตา กำลังหิวโหยทองคำมาก วันนี้ได้สมทีเดียว กินสมอยาก ปากสมเคียด เข้าใจไหม เอ้าทีนี้ให้พร
ชมการถ่ายทอดสด ธรรมะหลวงตาวันต่อวัน ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th |