อวิชฺชาปจฺจยาในหลักธรรมชาติของการปฏิบัติ
วันที่ 31 มีนาคม 2546 เวลา 8:35 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖

อวิชฺชาปจฺจยาในหลักธรรมชาติของการปฏิบัติ

 

         สรุปทองคำและดอลลาร์วันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๔๖ เมื่อวานนี้ ทองคำได้ ๓๐ บาท ๑๙ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๖๓,๐๙๐ ดอลล์ นับว่าได้มากเป็นประวัติการณ์ เราตระเวนหาดอลลาร์มาได้ ๕ ปีแล้วยังไม่เจอ พึ่งมาเจอกันเมื่อวานนี้ จริง ๆ นะ ได้มาทุกวัน ๆ แต่มันไม่ได้อย่างนี้ ทองคำที่มอบเข้าคลังหลวงแล้ว ๕,๕๕๙ กิโลครึ่ง ส่วนดอลลาร์มอบแล้ว ๗,๒๐๐,๐๐๐ ดอลล์ ทองคำที่ได้หลังจากมอบเข้าคลังหลวงแล้วเวลานี้ได้ ๕๑๘ กิโล ๖๓ บาท ๒๓ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๒๓๐,๔๐๑ ดอลล์ ยังขาดดอลลาร์อยู่อีก ๖๙,๕๙๙ ดอลล์จะครบจำนวน ๓ แสนดอลล์ซึ่งจะมอบพร้อมกันกับทองคำวันที่ ๑๒ เมษา ข้างหน้านี้ รวมทองคำที่ได้แล้วทั้งหมด ทั้งที่มอบแล้วและยังไม่ได้มอบ เป็นจำนวนทองคำ ๖,๐๗๘ กิโล ดอลลาร์ที่ได้แล้วทั้งหมด ทั้งที่มอบแล้วและยังไม่ได้มอบเป็นจำนวน ๗,๔๓๐,๔๐๑ ดอลล์

เงินสดที่นำไปซื้อทองคำเข้าคลังหลวงแล้วจำนวน ๑,๑๑๒ ล้านบาท ทองคำเราที่จะมอบข้างหน้าในวันที่ ๑๒ เมษา พร้อมกับดอลลาร์ ทองคำจะมอบ ๕๐๐ กิโลเป็นอย่างน้อย ขาดไม่ได้ แล้วดอลลาร์ ๓ แสนดอลล์ในวันเดียวกันนั้น เราจะมอบทองคำ ๕๐๐ กิโล แล้วดอลลาร์ ๓ แสนดอลล์ นี่ขาดไปไม่ได้ ถ้าเพิ่ม เพิ่มได้ จะเพิ่มจาก ๕๐๐ มาเป็น ๕ พันเราก็รับ แต่ขาด ๕๐๐ กิโลนิดหนึ่งไม่ได้ แล้วดอลลาร์ก็เหมือนกันให้ได้ ๓ แสน ถ้ามีผู้จะเอามาเพิ่ม ๓ ล้านเราก็พอใจรับ ให้ทราบนะ จะขาดนั้นขาดไม่ได้ แต่เพิ่ม เพิ่มเท่าไรเพิ่มได้

กรุณาพี่น้องทั้งหลายทราบนะหลวงตาที่ช่วยพี่น้องทั้งหลายนี้ ช่วยด้วยความบริสุทธิ์ใจจริง ๆ เราชี้นิ้วได้เลยว่า ตามธรรมดาผู้รับเงินส่วนรวมมานี้อย่างไร เราอยากพูดว่าร้อยทั้งร้อยต้องมีรั่วไหลแตกซึม แต่สำหรับหลวงตานี้ไม่มีเลยแม้บาทเดียวไม่มี นี่ละมีความสุจริตต่อพี่น้องทั้งหลายขนาดไหน เพราะอำนาจความเมตตานี้ครอบเอาไว้นะ ความเมตตานี่สำคัญ นี่ได้ช่วยพี่น้องมาเวลานี้ได้ ๕ ปีแล้ว ตะเกียกตะกายช่วยทองคำ ดอลลาร์ เงินสด เพื่อจะหนุนเข้าชาติไทยของเรา ลมหายใจพี่น้องชาวไทยของเรา มาอยู่จุดศูนย์กลางคือจุดรวม ได้แก่ทองคำเป็นลมหายใจ อยู่ตรงนั้นนะ ทองคำเป็นเครื่องประกันคนทั้งชาติ การซื้อการขายการอะไรก็ตาม ทองคำต้องเป็นเครื่องประกันอยู่อย่างนั้น เราจึงต้องพยายามหามา เมื่อหาทองคำได้มากเข้า ๆ ก็เท่ากับว่าหายใจเต็มปอด ๆ ถ้าทองคำขาดเท่านั้นอะไรไม่มีความหมายนะ

การติดหนี้ติดสินกันมากน้อยนี้เราต้องมีทองคำเป็นเครื่องยันตลอด เช่นอย่างเมืองนอกเมืองไหน หลวงตาเคยถามแล้ว ก่อนหน้าที่จะมารบกวนพี่น้องทั้งหลายด้วยทองคำนี้ คือเราได้ไปดูทองคำในคลังหลวงแล้ว ถามทางหัวหน้าคลังหลวงว่าทองคำเรานี้ได้ฝากไว้ที่ไหน ๆ บ้าง เขาก็บอกฝากประเทศนั้นเท่านั้น ๆ อยู่ในเมืองไทยเรามีเท่านี้ คำว่าไปฝากไว้ที่นั่นที่นี่ก็คือเพื่อประกันชาติไทยของเรา เพราะมีการติดต่อซื้อขายกันอยู่ตลอดเวลาระหว่างประเทศ เราจึงต้องมีทองคำเป็นเครื่องยันไว้ ถ้าหากว่าเราติดหนี้ติดสินเขาอย่างนี้ ทองคำก็เป็นเครื่องประกัน จึงว่าเป็นลมหายใจนะ ออกทางเมืองนอกเมืองนา ลมหายใจของเราออกไปก็มีทองคำติดตามไปประกัน อยู่ในเมืองไทยเราก็มีทองคำเป็นเครื่องประกัน อย่างน้อยก็ดอลลาร์ เงินสด เป็นเครื่องหนุนกันอยู่ตลอดเวลา

นี่ที่หลวงตาได้อุตส่าห์พยายามช่วยพี่น้องทั้งหลายนี้ ช่วยด้วยความบริสุทธิ์ใจจริง ๆ นำธรรมพระพุทธเจ้ามาช่วย ไม่ได้นำเรื่องเปรตเรื่องผีเรื่องยักษ์เรื่องมารที่จะกัดบ้านกินเมืองมาใช้นะ นำแต่สิ่งที่เป็นบุญเป็นคุณเป็นมหาคุณแก่ชาติบ้านเมืองของเรานำมาใช้ นี่ก็ได้ประกาศออกแล้วเวลานี้ว่า ทองคำเราในการช่วยชาติคราวนี้นั้น อย่างไรขอให้ได้ทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตันในการช่วยชาติคราวนี้ โดยหลวงตาเป็นผู้นำ แล้วดอลลาร์ขอให้ได้ ๑๐ ล้าน พอได้ทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตันและดอลลาร์ได้ ๑๐ ล้านแล้ว หลวงตาจะหยุดทันทีเลย จะไม่มีเครื่องสืบต่อรบกวนพี่น้องทั้งหลายดังที่เคยเป็นมานี่นะ นี่ไปที่ไหนไปหารบกวนละซิ คนที่เขามองธรรมดา ๆ หรือมองยกโทษ เขาก็ต้องบอกว่า หลวงตาไปไหนกวนบ้านกวนเมือง เขาต้องว่านะ ถ้ามองโดยอรรถโดยธรรมโดยเหตุโดยผลแล้ว กวนมาเท่าไรก็กวนมาใส่ท้องเรานั้นแหละ ใส่ท้องเราคนไทยทุกคน ๆ

ถ้าได้ทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตันและดอลลาร์ได้ ๑๐ ล้านแล้ว หลวงตาจะไม่รบกวน หยุดกึ๊กเลย พูดต้องมีสัตย์มีศีลมีธรรม มีคำสัตย์คำจริง พอได้ทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตันและดอลลาร์ ๑๐ ล้านแล้ว เราหยุดทันที ไม่ไปหารบกวนพี่น้องทั้งหลายอีก แต่ท่านผู้ใดที่มีแก่ใจหรือมีทรัพย์สมบัติที่จะมาบริจาคเพิ่มเติมเข้าไปอีกจากทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตันและดอลลาร์ ๑๐ ล้านแล้ว เราก็ยินดีรับตลอดไม่ปฏิเสธ แต่การที่จะให้เรารบกวนอย่างที่ปฏิบัติอยู่เวลานี้ เพื่อทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตัน เราไม่รบกวน กรุณาพี่น้องทั้งหลายทราบทั่วหน้ากันนะ

ชีวิตของหลวงตานี้ก็ไม่เคยที่จะมาคิดช่วยบ้านช่วยเมือง มันก็ได้คิดอย่างนี้แหละจะว่าไง มันเกี่ยวโยงถึงกันหมด ความรับผิดชอบเหมือนกัน คำว่าคนไทยทั่วประเทศเป็นคนไทย แม้แต่หมาก็เป็นหมาไทย หมูเป็นหมูไทย ไก่เป็นไก่ไทย เด็กเป็นเด็กไทย บ้านก็เป็นบ้านไทย เสื้อผ้าเป็นเสื้อผ้าไทย อะไรขาดตกบกพร่องถูกเขามาดูถูกเหยียดหยาม หรือเขาเอาไฟเข้ามาจี้เสื้อผ้าไทยเข้าไปเป็นยังไง คนไทยที่นุ่งซิ่นนุ่งผ้านี้จะร้องแจ้ก ๆ ใช่ไหมล่ะ นี่ถ้าบกบางก็บกบางคนไทยทั้งประเทศ ถ้าเป็นความเสียหายก็เป็นความเสียหายอย่างที่ว่านี้ เราจึงต้องรักจึงต้องสงวนอุตส่าห์พยายามช่วยกันเต็มบ้านเต็มเมืองเวลานี้ ไปที่ไหนไม่อะไรนะ มีแต่เพื่อชาติบ้านเมือง ขอให้ได้ทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตันคราวนี้ จะพอเหมาะพอดีกับการช่วยชาติของเรา

ซึ่งเมืองนอกเมืองนาที่ไหนเขารู้กันทั่วโลกว่าเมืองไทยกำลังช่วยชาติตัวเอง เมื่อได้มาสิ่งที่ช่วยชาติคืออะไร ก็ขอให้มีคุณค่าสมดุลกัน อย่างน้อยขอให้ได้ทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตัน แล้วดอลลาร์ ๑๐ ล้านเราพอใจ นี่ละที่ได้ช่วยพี่น้องทั้งหลาย แต่ก่อนเราไม่เคยได้เกี่ยวข้องนะ บวชมาก็ทำหน้าที่ของพระไป กับประชาชนญาติโยมเราก็รู้ เรื่องราวของเขาก็เป็นเรื่องราวของเขา แต่เวลามันเกี่ยวโยงกันนี้ ศาสนากับประชาชนมันแยกกันไม่ออกละซิ พระกับประชาชน พระก็เป็นลูกประชาชนว่าไง ประชาชนเดือดร้อนพระซึ่งเป็นลูกของประชาชนจะไม่เดือดร้อนยังไง นี่หลวงตาก็เป็นลูกของประชาชน ประชาชนเดือดร้อนทั้งประเทศจะล่มจะจม เราจะช่วยได้ด้วยวิธีการใดที่จะช่วยได้ ในฐานะที่เราเป็นลูกของประชาชน เราจึงได้ช่วย อุตส่าห์ช่วย ดังพี่น้องทั้งหลายเห็นมาแล้วนี่แหละ กรุณาทราบทั่วกันนะ

ขอโอกาสเรียนถามค่ะ พ่อแม่ครูจารย์เทศน์เมื่อตอนเย็นว่า ในคืนตรัสรู้นะเจ้าค่ะ ที่พระพุทธเจ้าผ่าน ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ จุตูปาตญาณแล้วก็พิจารณาหาต้นตอของสาเหตุผู้ที่ไปเกิด ที่อาจารย์มั่นเรียกว่ารวมทวนกระแสนะเจ้าค่ะ ก็คือปฏิจจสมุปบาท ใช่ไหมคะว่าสาเหตุมาจากไหน ทวนไปจนถึงอวิชชา พอท่านดับอวิชชานั้นได้แล้วก็คือดับหมด ไม่ได้เป็นขั้น ๆ เหมือนตอนไล่ขึ้นไป อย่างที่พ่อแม่ครูอาจารย์เล่าให้ฟังเมื่อวันก่อน พอดับอวิชชาแล้วก็ดับไปหมด แต่ว่าเวลาทวนกระแสขึ้นไป ถามหาสาเหตุขึ้นไปทีละอัน ทีนี้อยากกราบเรียนถามว่า พระอรหันต์ท่านก็พิจารณาอย่างนี้เหมือนกันไหมเจ้าคะ

ดูบันไดนั่น คือบันไดนี้ใคร ๆ จะขึ้นไปบนพื้นศาลาต้องขึ้นบันไดนี้ เป็นแต่ว่าจะขึ้นช้าหรือขึ้นเร็ว ถ้าผู้ใหญ่ขึ้นธรรมดา ถ้าเด็กขึ้นมันจะเร็ว มันวิ่ง พอถึงพื้นแล้วขั้นไหน ๆ ก็หมด ขั้นนั้นขั้นนี้เพื่อพื้นที่เป็นจุดต้องการ ขึ้นขั้นใด ๆ ก็เพื่อไปจุดสุดท้ายคือบนบ้าน บันไดขั้นนั้นขั้นนี้เข้าไปก็อย่างนั้นแล้ว ความรวดเร็วกับความช้านี้ต่างกันนะ ผู้ที่ไปช้าคือไปละเอียดถี่ถ้วนมองนั้นมองนี้เรื่อย ๆ อย่างเด็กขึ้นปุ๊บเดียวไปเลย แล้วไปถามเด็ก บันไดมีกี่ขั้น เด็กอ้าปาก แต่เขาขึ้นเร็วผู้ใหญ่สู้ไม่ได้ แต่นี้เราไม่ได้หมายถึงว่าพระอรหันต์จะเร็วและเป็นเหมือนเด็กนะ ไม่ได้เร็ว ท่านย้อนพิจารณาหมดเหมือนกัน ความรวดเร็วต่างกันอย่างนี้ แต่การพิจารณาย้อนหลังท่านพิจารณาหมด มันต่างกัน

เช่นอย่างปุพเพนิวาส เป็นความจริงล้วน ๆ ทางของศาสดาต้องละเอียดลออ พระองค์เวลาจะปรินิพพานนี้รับสั่งอะไรหมดทุกสิ่งทุกอย่าง อามนฺตยามิ โว ภิกฺขเว ปฏิเวทยามิ โว ภิกฺขเว ขยวยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ ท่านทั้งหลายจงอย่าประมาท พิจารณาสังขาร สังขารเกิดแล้วดับ พูดง่าย ๆ ในระยะนั้นจะมีแต่พระสงฆ์ เรื่องประชาชนจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะฉะนั้นธรรมะในสังขารประเภทนี้ ไม่ใช่สังขารทั่ว ๆ ไป แต่ตีความหมายได้หมดใช่ไหม สำหรับในขณะนั้นจะสอนเฉพาะสังขารตัวสมุทัย สังขารนี้มันเกิดแล้วดับ ๆ ไม่ออกไปไหน เกิดแล้วดับอยู่นี้ ให้พิจารณาสังขารนี้ พิจารณาความเกิดความดับของสังขารด้วยความไม่ประมาท เมื่อไม่ประมาท พิจารณาสังขารหลายครั้งหลายหนก็โดนอวิชชาปึ๋งเข้า เข้าใจไหมล่ะ

นี่เป็นพระโอวาทสุดท้ายเสียด้วย สอนส่วนมากจะมีแต่พระสงฆ์ผู้ทรงมรรคทรงผล คือก้าวเดินด้วยความเต็มเหนี่ยว เต็มใจเต็มเหนี่ยวทุกอย่าง เพราะฉะนั้นจึงแสดงสังขารนี้ ขยวยธมฺมา สงฺขารา ความเสื่อมความเจริญหรือความเกิดความดับของสังขาร พิจารณาให้ดีด้วยความไม่ประมาท คำว่าไม่ประมาทคือมีสติดูตลอด ปัญญาพิจารณา จากนั้นก็เข้าสู่ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน เรื่อยเลย นี่ละพระองค์จะทำให้สมพระเกียรติของพระพุทธเจ้าคือศาสดาทั้งองค์ในวาระสุดท้าย บรรดาพระสาวกทั้งหลายจะเข้านั้นไม่เข้านั้น ในวิสุทธิมรรคก็บอกไว้ชัดเจน จะจำเป็นเฉพาะผู้ที่ชำนิชำนาญเท่านั้น ผู้ไม่ชำนิชำนาญทางนั้นก็ไม่จำเป็น เพราะอันนี้เป็นกิริยาต่างหาก สำหรับความบริสุทธิ์เหมือนกันหมดแล้ว อันนี้ท่านวางลวดลายของศาสดาต่างหากที่ว่าเข้า ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน อากาสานัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ แล้วเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ

นี่พระอนุรุทธะตามเสด็จในฌานของพระองค์ ตั้งแต่ก้าวเข้าสู่ปฐมฌาน ท่านเก็บกิริยาลวดลายของศาสดาให้สัตว์โลกได้ดูในวาระสุดท้าย นี่ละเต็มภูมิของศาสดา เข้าอย่างนี้ ๆ จนถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ พอไปถึงนั้นสงบ พระอาการทุกอย่างเงียบหมดเลยเหมือนว่าพระองค์นิพพานแล้ว พระอานนท์จึงถามขึ้นว่า อ้าว นี่ไม่ใช่พระองค์ปรินิพพานแล้วเหรอ พระอนุรุทธะตามอยู่นี้ นั่งดูอยู่ตลอด ยัง นั่นเห็นไหมล่ะ เวลานี้ท่านกำลังเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ นี่คือความชำนาญเหมือนกันเข้าใจไหม ดูกันได้ตลอดไปเลย สัญญาเวทยิตนิโรธดับสัญญาและเวทนา สัญญาจะหมายนั้นหมายนี้ไม่มี

เวทนา คำว่าเวทนาในพระอาการนะไม่ได้หมายถึงเวทนาในจิต พระอาการความสุขความทุกข์ ความสุขความทุกข์ที่ละเอียดสุดยอดระงับหมดเวลานั้นนะ สัญญาความจำได้หมายรู้ในสิ่งต่าง ๆ ก็ระงับเข้ามาหมด สัญญาเวทยิตนิโรธดับหมดทั้งสัญญา ทั้งเวทนาส่วนร่างกาย เวลานั้นเหลือแต่ธรรมชาติที่รู้แต่ยังครองขันธ์อยู่ ระงับหมดเวลานั้น ทีนี้พอจากนั้นเคลื่อนถอยลงมาอีก นี่ก็บอกว่าเวลานี้ท่านถอยลงมาแล้ว แน่ะ พระอนุรุทธะตามดูอยู่ตลอด ท่านไม่ต้องไปนั่งสมาธิ จ้องอยู่เหมือนเรานะ ท่านเล็งดูอยู่ภายในของท่าน ท่านชำนาญพอแล้ว ทางนั้นเข้าทางไหน ทางนี้ท่านดูตลอด ๆ เวลาเคลื่อนออกมาท่านก็บอกว่าเคลื่อนออกแล้ว ลงจนกระทั่งถึง ปฐมฌาน หยุดเป็นพระจิตที่บริสุทธิ์ธรรมดาแล้ว ทีนี้ออกจากนี้ก้าวขึ้นอีก

เห็นไหมล่ะ ท่านวางลวดลายของศาสดาขึ้น ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน นี้เป็นรูปฌาน เกี่ยวกับทางรูป ทีนี้อากาสานัญจายตนะ นั้นเป็นพวกนามธรรม วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เรื่อยไปนั้นเป็นนามธรรม ท่านไม่ไปทั้งสอง พอผ่านจาก จตุตถฌาน นี้ไปแล้วอยู่ในท่ามกลาง จะเข้า อากาสานัญจายตนะ ก็ไม่ไปทางนี้ก็ไม่ไป นิพพานตรงนั้นเลยเข้าใจไหม นี้ละที่นี่เรียกว่า ดับสมมุติทั้งมวลในขันธ์ของท่าน เรียกว่าดับเป็นวาระสุดท้ายในขณะที่อยู่ระหว่างกลางของจตุตถฌานซึ่งเป็นพวกรูปฌาน พวกรูปและอากาสานัญจายตนะ ซึ่งเป็นนามธรรม ออกตรงกลางนี้ นิพพานแล้ว

ทีนี้ออกไปแล้วนี้สิ่งเหล่านี้จะไม่มีเหลือนะ เรียกว่าขันธ์ทั้ง ๕ ดับในขณะนั้นหมดคือปล่อยหมดเลย แต่ก่อนเป็นสัญชาตญาณความรับผิดชอบธรรมดา ๆ แม้ไม่ยึดก็เป็นความรับผิดชอบระหว่างขันธ์กับจิตของพระอรหันต์ เช่น อย่างเดินไปลื่นอย่างนี้นะ พระอรหันต์กับปุถุชนจะเหมือนกันเลย การลื่นหรือไปเหยียบอะไรสงสัย เช่น อย่างจะเหยียบงูอย่างนี้โดดผึงเลย เข้าใจว่างูนี้โดดเองนะเป็นเอง โดดเอง แย็บเท่านั้นเข้าใจว่าเป็นงู สัญญาเข้าใจไหม ความจำว่าเป็นงู โดดแพล็บหรือลื่นอย่างนี้ก็ช่วยตัวเองจนเต็มเหนี่ยว ไม่พอล้มพระอรหันต์ไม่ยอมล้ม เหมือนคนเราถ้าควรล้มแล้วมันล้มได้ด้วยกันทั้งนั้นแหละ ยิ่งเด็กกับคนแก่ยิ่งล้มเร็ว นี่คือช่วยตัวเองด้วยสัญชาตญาณ

แต่ทีนี้แปลกต่างกันอยู่ในจิตนั้นก็คือว่า แย็บเท่านั้นนะท่านไม่กระเทือนหวั่นไหวภายในจิตใจตัวร้อนวูบหรือร่างกายจิตใจร้อนวูบไปเลยอย่างคนเราธรรมดา ถ้าตกใจเป็นอย่างนั้น แต่สำหรับพระอรหันต์เพียงแย็บรู้เท่านั้น ๆ ช่วยตัวเอง ถ้าไม่ควรล้มท่านไม่ยอมล้ม นี่เหมือนกัน กับการยิ้ม ๆ หรือการหัวเราะ น้ำตาร่วงนี้คนเราเรียกว่าร้องไห้ ท่านว่าเป็นขันธ์กระเพื่อมเท่านั้นละนะ ขันธ์กระเพื่อมเพราะอันนี้เวลานี้เรายังใช้ขันธ์ ขันธ์ต้องเป็นกิริยาของขันธ์ตามเดิม จะเป็นอรหันต์ไม่ได้ขันธ์เข้าใจไหม จะว่าพระอรหันต์หัวเราะไม่เป็น ร้องไห้ไม่เป็น มันพวกบ้าว่างั้นเลย เราพูดตรง ๆ อย่างนี้นะ ก็เหล่านี้เป็นสมมุติทั้งหมด เป็นแต่เพียงว่าความบริสุทธิ์อาศัยสมมุติอยู่ สมมุติจะแสดงอะไรก็เป็นเรื่องของสมมุติ ธรรมชาตินั้นจะทำอะไรให้เป็นอื่นใดไม่ได้ทั้งนั้น เป็นอฐานะ ให้พากันเข้าใจ

จิตของพระอรหันต์ที่ต่างจากเราก็คือว่า ท่านไม่ตกใจ เช่น ลื่นจะล้มก็ไม่ตกใจ ตื่นเช่นเหยียบลงไปจะเหยียบงูอย่างนี้  โดดผึงนี้ตกทางโน้น  จะให้ตื่นตกใจวูบวีบเหมือนเราไม่มี แย็บบอกเท่านั้น สังขารอันหนึ่งบอก สัญญาบอกปั๊บเท่านั้น นี่ละสัญญา นี่กิริยาเรียกว่าสมมุติบอก ท่านก็เคลื่อนโดด นี่เหมือนกัน หัวเราะร้องไห้ แต่ท่านพูดในศัพท์ของพระอรหันต์ว่าท่านปลงธรรมสังเวช ว่าอย่างนั้น เพราะจิตของท่านท่านไม่มีอะไร ถึงน้ำตาจะร่วงอะไรก็ตามจิตอันนั้นไม่มี แต่กิริยาของขันธ์มันแสดง เรียกว่ากิริยาของขันธ์แสดง ท่านบอกเท่านั้นแหละ พากันเข้าใจ นี่เป็นอย่างนี้

พอท่านพิจารณา ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ท่านพิจารณาละเอียดไปหมด ยกภพท่านเป็นที่หนึ่ง เคยเกิดเคยตายมากี่ภพกี่ชาติ ตกนรกหมกไหม้ ขึ้นสวรรค์ชั้นพรหมที่ไหนนี้ไปซอกแทรกซิกแซ็กได้เหมือนกันกับสัตว์โลกทั่ว ๆ ไป เวลาท่านยังมีกิเลสอยู่ ซึ่งกำลังบำเพ็ญบารมีอยู่ แล้วก่อนที่บำเพ็ญบารมีอีกท่านก็เหมือนกับเรา ตกนรกหมกไหม้ไปที่ไหนไปได้ทุกแห่งทุกหนไม่ผิดกันเลยกับโลกทั่ว ๆ ไป แต่ท่านมีที่ยุติตอนที่ท่านพ้นน่ะซิ พวกเราไม่มียุติยังจะตะเกียกตะกายไปอีกนะ ไม่ทราบกี่กัปกี่กัลป์เกิดตาย ๆ อยู่อย่างนี้เรื่อยไปเพราะอวิชชาตัวเดียว ตัวนี้ละพาให้เกิดไม่หยุดไม่ถอยเลย

พอพิจารณาถึงภพชาติที่เคยเกิดเคยตายมากี่กัปกี่กัลป์เหล่านี้ ถ้าจะนับก็นับไม่ถ้วน พวกเรานับไม่ถ้วน แต่ท่านไม่ต้องพูด ไม่อย่างนั้นไม่เรียก ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ จะรู้ทันที ๆ ไปพร้อมกันหมด นั่น นานขนาดไหนพระองค์เป็นมาอย่างนี้ แล้วพิจารณาดูสัตวโลกเป็นยังไง พอมัชฌิมยาม บรรลุธรรมขั้นจุตูปาตญาณ พอบรรลุแล้วดูเล็งญาณดูจิตของสัตวโลกมันเคยเกิดตายเหมือนเรานี้ไหมเป็นอย่างนี้ไหม มองทางไหนยั้วเยี้ยหมดเลย เหมือนกันไม่ผิด โอ้โห มันเป็นอย่างนี้ เราเพียงคนเดียวนี้มันก็ขนาดนี้แล้ว ทีนี้สัตว์โลกแต่ละราย ๆ เป็นยังไงอีก

พิจารณาไปพอครั้งสองนี้เรียบร้อยแล้ว ทีนี้เอาทั้งสองนี้มาประมวลทั้งเขาทั้งเราที่เกิดตายๆ อยู่ไม่หยุดไม่ถอย แบกหามกองทุกข์ทนแสนสาหัสมาตลอดเวลา ถึงขนาดนี้นานขนาดไหน แล้วมันเป็นมาเพราะอะไร นี่ละที่นี่นะ อะไรพาให้เป็นเหตุเกิดตาย ๆ ทั้งเขาทั้งเรา มีอะไรเป็นต้นเหตุ ก็พิจารณา นี่เรียกว่า ปัจจยาการ หรือ ปฏิจจสมุปบาท พิจารณาปัจจยาการเข้าถึง อวิชฺชาปจฺจยา อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อ๋อ อวิชชานี้เป็นเครื่องมือให้เกิดสังขารฟังซิน่ะ เอ้า คราวนี้จะพูดถึงเรื่อง อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ให้ฟังนะ ตามหลักธรรมชาติเลย ธรรมที่ท่านพูดไว้ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา  สงฺขารปจฺจยา  วิญฺญาณํ วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปํ ฯแล้วก็เรื่อยต่อยืดกันไป เหมือนกับว่าอันนี้หนึ่ง อันนั้นสอง อันนี้สามไป เสียเวลาไปกี่นาทีกว่าจะบรรยายนี้จบนะ

นี่ท่านอ่านตามแถวที่มันเกี่ยวโยงกัน คืออวิชชาเป็นปัจจัยหนุน แล้วให้สังขารเกิดวิญญาณเกิดอันนั้นเกิด ๆ หนุนกันไปเรื่อย ๆ นี่เรียกว่าท่านต่อลำดับอันดับของอันนี้มันสืบเนื่องกันไปอย่างนี้ แล้วเหมือนว่ายืดยาวเหลือประมาณนะ ถ้าเราอ่านตามตำรับตารานี้จะยืดยาวมากทีเดียว ทีนี้ทางภาคปฏิบัติไม่เป็นอย่างนั้นนะ พอพิจารณาอย่างนี้ไปเข้าถึงอวิชชานี้นะ อวิชชาทำให้เกิดสังขารพอว่าทำให้เกิดสังขาร ทำให้รู้ไปหมดทั้งวิญญาณ นามรูป เกิดพร้อมกันเป็นเครื่องหนุนกันอย่างเดียวกันนี้หมด ไม่ได้ต้องไปลำดับเข้าใจไหม มีแต่อวิชชาหนุนทั้งหมด อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา คือ อวิชชานี้หนุนสังขาร อวิชฺชาปจฺจยา วิญญาณํ อวิชฺชาปจฺจยา นามรูปํ เข้าใจไหมที่นี่ ไม่ได้ไปเรียงนี้นะ อันนี้ทั้งนั้นเกิดอันนี้หนุนทั้งนั้น ทั้งสังขาร ทั้งวิญญาณ ทั้งนามรูป อายนตะ อวิชชาอันเดียวนี้แลหนุนทั้งนั้นเข้าใจไหมล่ะ นี่รวมลงมาแล้วพร้อมกันหมดเลยนี่ภาคปฏิบัตินะ

ทีนี้พอพิจารณา พอรู้อวิชชา อวิชชาขาดสะบั้นลงไปแล้ว อวิชฺชายเตฺวว อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธ ทีนี้พออวิชชาดับ สังขาร วิญญาณ นาม รูป อายตนะ ตลอดถึงเหล่านั้นดับพร้อมกันหมดเข้าใจไหม ไม่ต้องไปเรียงลำดับ ท่านสรุปลงไปเลยทีเดียวว่า เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส สมุทโย โหติ พวก อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา นี้เป็นพวกสมุทัย คือเป็นกิริยาของสมุทัยหนุนทั้งนั้น ให้เกิดเอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส สมุทโย โหติ นั่น เป็นสมุทัยทั้งนั้น ทีนี้พอ อวิชฺชายเตฺวว อเสสวิราคนิโรธา พออวิชชาดับเท่านั้นสังขาร วิญญาณ นาม รูป อาตยนะ  อะไรๆ  แล้วก็  เอวเมตสฺส   เกวลสฺส  ทุกฺขกฺขนฺธสฺส นิโรโธ โหติ เข้าใจไหม อันนี้เป็นฝ่ายนิโรธทั้งหมด ดับหมดพร้อมกันเลย

เวลาพิจารณาอย่างนี้มันไม่ได้วิ่งไปลำดับลำดานะ ภาคปฏิบัติอย่างนี้ละมันต่างกัน ทีนี้พวกอ่านมันก็เป็นหนอนแทะกระดาษไปละซิเข้าใจไหม ภาคปฏิบัติท่านไม่แทะ ท่านจับอันนี้กระตุกทีเดียวขาดสะบั้นไปหมดเลย พร้อมกันหมดเลย รากแก้วถอนพราด กิ่ง ก้าน สาขาดอกใบนี้พร้อมกันหมดเข้าใจไหม เวลามันงอกมันเงยมันเจริญรุ่งเรืองก็คือรากแก้วของมันหล่อเลี้ยงอาหารอยู่ พอถอนรากแก้วพรวดมันดับไปพร้อมกันหมด ใครจะไปเรียงลำดับว่า กิ่งนี้ดับแล้ว กิ่งนั้นดับ ก้านนี้ดับ กิ่งนั้นดับดอกดับใครจะไปพรรณนา ก็มันดับหมดทั้งต้นนั้นแล้วเข้าใจไหม เพราะรากแก้วมันหมดเข้าใจไหม

นี่ละ อวิชฺชาปจฺจยา ในหลักธรรมชาติของการปฏิบัติเป็นอย่างนี้ จึงขึ้นว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อวิชฺชาปจฺจยา วิญฺญาณํ อวิชฺชาปจฺจยา นามรูปํ เข้าใจไหมมันเป็นอย่างนั้นไปด้วยกันหมด คือ เพราะอวิชชาอย่างเดียว ทำให้เกิดวิญญาณ นามรูป อายตนะ เพราะอวิชชาอย่างเดียว ทีนี้พออวิชชาดับ อันนั้น ๆ ดับพร้อมกันหมดในขณะเดียวกัน นี่เป็นอย่างนั้นในภาคปฏิบัติไม่ไปหาพรรณนานะ

พอมาถึงนี้ท่านก็พิจารณาปัจจยาการ ทั้งสองอย่างนี้มันออกจากอวิชชา พอท่านพิจารณาอวิชชาแล้วดับไม่มีอะไรเหลือเลย นั่นละที่ปัจฉิมยามก็บรรลุอาสวักขยญาณ คือสิ้นกิเลสโดยประการทั้งปวง สิ้นอาสวะกิเลส หมดในปัจฉิมยามที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ท่านตรัสรู้ในจุดนี้ พิจารณาประมวลเรื่องสมุทัยของท่านและของสัตว์ทั้งหลาย แล้วอะไรเป็นต้นเหตุ ค้นเข้าไปหาต้นเหตุ ได้ต้นเหตุแล้วลากขึ้นมาขาดสะบั้นไปหมด บรรลุธรรม จากนั้นแล้วความเกิดก็ไม่มี เพราะอวิชชาดับแล้วจะเอาอะไรมาพาให้เกิด ไม่มี นั่น ท่านรู้ท่านสอนสอนอย่างนั้น สอนมีหลักมีเกณฑ์พระพุทธเจ้าสอน ใครเป็นพระพุทธเจ้า พระอรหันต์เป็นพยานพระพุทธเจ้าได้ทุกองค์เลยเทียว นั่น จะไม่มีองค์ใดค้านพระพุทธเจ้าได้เลยฟังซิ

นี่ละความรู้อย่างเดียวกันนี้ ธรรมสอนโลกสอนอย่างตายตัวไม่มีผิดมีเพี้ยนไปไหนเลย คือศาสดาองค์เอกของแต่ละองค์ สอนโลกจะไม่ผิดพลาดไปไหนเลย ทีนี้บรรดาสาวกพระอรหันต์จะเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าจะเป็นกี่พระองค์แบบเดียวกันหมด เป็นพยานอันเดียวกันได้เลยไม่มีใครจะค้านพระพุทธเจ้าแม้แต่พระองค์เดียว ไม่มี นี่ละศาสนาที่ว่าศาสนาเอก พุทธศาสนาของเรา เอกขนาดนี้ไม่มีใครค้าน บรรดาสาวกยอมพรึบพร้อมกันหมดเลย อันเดียวพอ ๆ เท่านั้นละ พากันจำเอานะ

เมื่อวานนี้ก็พูดถึงเรื่องศาสนาจริง ศาสนาปลอมใช่ไหมละ ศาสนาจริงคือศาสดาองค์เอกของเราเป็นเจ้าของศาสนา ศาสนาปลอมคือคลังกิเลสเป็นเจ้าของศาสนาปลอม ดีไม่ดีหลอกลวงสัตว์โลกให้ทำชั่วช้าลามกด้วยศาสนา ศาสนาเลยกลายเป็นเครื่องมือให้คนทำชั่วได้เยอะ เพราะเหตุไรเพราะผู้เป็นเจ้าของศาสนาก็เป็นคนมีกิเลส ง่วมง่ามต่วมเตี้ยมผิดพลาดแบบเดียวกัน แล้วจะสอนคนให้ถูกต้องได้ยังไง สอนไม่ถูกว่าอย่างนั้นเลย ยันกันเลย ถ้าองค์ศาสดาแล้วผางเดียวตูมเลย มันรู้อยู่ภายในหัวใจนี้

นี่ละศาสนาท่านสอนอย่างนี้นะ เราจึงพูดได้ไม่มีสะทกสะท้านเลยเราพูดได้จริง ๆ เพราะพิจารณา อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา นี้ใครมาพูดอย่างนี้มีไหม เราพูดได้เพราะมันออกจากหัวใจนี้วิ่งถึงกันหมดนี้จะว่ายังไง มันก็พูดได้ละซิ อย่างนี้แหละไม่สะทกสะท้านพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วก็ตามหรือจะยังทรงพระชนม์อยู่ มาอยู่นี้ไม่ทูลถาม นั่นฟังซิของจริงอันเดียวกันถามกันหาอะไร เข้าใจหรือเปล่าล่ะ นี่ละความจริงพระพุทธเจ้าลงได้จริงในหัวใจองค์ใดที่ศึกษาจากพระพุทธเจ้าแล้วเป็นแบบเดียวกันหมดเลย ไม่มีใครค้านกันได้แหละ ยอมรับกันทันทีเลย อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารา ไปหาเกี่ยวกิ่งนั้นกิ่งนี้มันตายอยู่นั้นนะ

โยม ถ้าหนูยังไม่ตายก่อนอยากจะขอตามดูจิตพ่อแม่ครูอาจารย์ตอนนิพพานเจ้าค่ะ

หลวงตา เอ้า ตามเดี๋ยวนี้ก็ได้ เอ้า ตามเลย ๆ นี่เราจะไปกุฏิหรือจะไปไหน เอ้า ตามดูซินะ มันเก่งนักลูกศิษย์เรานี่ ให้ตามเดี๋ยวนี้เลย เอ้า เอาเลยจะไปรอตายไม่ตายนะ เอ้า เอาเดี๋ยวนี้เลย มันเป็นยังไงนักลูกศิษย์ของเรามันเก่งแต่ที่ไม่เก่ง ถ้าสอนให้เก่งมันไม่เป็นท่านี่ โมโห เราถึงได้รีบพูดละซิ เพราะการพูดอย่างนี้นะ ไอ้โลกสกปรกนั้นน่ะพวกส้วมพวกถานมันคอยแต่จะคัดค้านต้านทาน กีดขวางไม่ให้ก้าวเดิน ธรรมที่เลิศเลอไม่ยอมให้ก้าวเดิน กิเลสตัวส้วมตัวถานมันจะปิดจะกั้น พูดตรงไหนมันจะต้านทานโจมตีทุกแบบทุกฉบับ นี้คือกองมูตรกองคูถเข้าใจไหม ธรรมท่านจะไม่สนใจกับสิ่งเหล่านี้เพราะนี้คือมูตรคูถ เหนือไปหมดแล้ว พุ่งเลยเข้าใจไหม ท่านจึงไม่สนใจ

ดังที่เรากล่าวนี้ตัวเท่าหนูนี้ก็ตาม เราพูดจริง ๆ เราไม่มีอะไรสะทกสะท้านสามแดนโลกธาตุนี้ กราบพระพุทธเจ้าอยู่ในหัวอกนี้ตลอดเวลา ฉันใดฉันนั้นไปเลยทีเดียว เป็นอย่างนั้นนะ แล้วการพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังนี้ พวกส้วมพวกถานมันก็ต้องหาว่าโอ้ว่าอวด หาก็ช่างหัวมันซิก็มันเคยทำมานานแล้วนี่นะ เรื่องกิเลสกับธรรมต้องเป็นข้าศึกกันตลอดมาตั้งกัปตั้งกัลป์ก็เป็นมาอย่างนี้แล้วเราจะถือเป็นอื่นได้ยังไง ก็เขาเคยเป็นข้าศึกกันแล้ว เรื่องธรรมต้องเป็นธรรมไปเข้าใจไหม เรื่องกิเลสมันก็เป็นกิเลสของมัน ผลของมันก็เป็นกิเลสวันยังค่ำ เรื่องของธรรมเป็นธรรมไป ผลของธรรมก็เกิดในผู้ปฏิบัติดีเพื่อความเป็นธรรมวันยังค่ำเช่นเดียวกันเข้าใจเหรอ ไม่ได้ก้าวก่ายกันนี่ เรื่องของส้วมก็ให้มันส้วมซิ เรื่องของถาน ๆ เรื่องของธรรมเป็นธรรมไปซิ เข้าใจไหมล่ะ

เราจึงไม่เคยสะทกสะท้าน ใครจะว่าอะไรก็ตามเราไม่เคยสนใจนะ ยิ่งกว่าความจริงที่จะนำออกสอนโลกให้เป็นประโยชน์มากน้อย แก่ผู้มีความสามารถแค่ไหนเท่านั้นเอง ส่วนที่จะพูด เอ๊ เราได้พูดหนักไป ๆ ไม่มี ถ้าเป็นอย่างนั้นเราพูดไม่ได้ ติดเขาติดเราพูดไม่ได้นะ ติดเขาก็เกรงใจเขา ติดเราเกรงใจเขาเกรงใจเรา สุดท้ายก็พูดไม่ออก มีแต่กิเลสมาเย็บปาก เกรงใจกัน เข้าใจไหม เข็มของกิเลสว่าเกรงใจกัน เข็มของธรรมตีปากกิเลสปากแตกเข้าใจไหม นี่จึงเรียกว่า เข็มของธรรมฟาดลงไปละซิ พระพุทธเจ้าตรัสรู้เพียงองค์เดียวไปหาใครมาเป็นพยาน ใครมาโจมตี ก็กิเลสมันก็โจมตีมาตลอดวันยังค่ำเหมือนกัน พระพุทธเจ้าทุกองค์ต้องถูกกิเลสคัดค้านต้านทานมาเหมือนกันหมด แต่ธรรมก็เป็นธรรมศาสดาเป็นศาสดาสอนโลกเป็นประโยชน์ กิเลสสอนโลกไม่ได้เป็นประโยชน์อะไร มีแต่การต้านทานกันมา หลอกโลกให้จมไปกับมันเท่านั้นเองเข้าใจเหรอ แล้วจะไปสนใจอะไร

นี่ที่เราพูด ยิ่งจวนตายเท่าไรยิ่งเร่งธรรมะลงอยากให้รู้ให้เห็น เปิดออกอันนี้นะเห็นไหมตาบอดหรือ อยากว่าอย่างนั้นนะ เข้าใจไหมพูด นี่ละคึกคักขึงขังตึงตังนี่นะ แต่กิเลสตัวไหนที่จะพาให้มาขึงขังตึงตังมันไม่มี มันมีแต่พลังของธรรม พุ่ง ๆ เลย มันต่างกันอย่างนี้นะ คึกคักขึงขังตึงตัง คิดดูซินี่ไปบุ้งคล้า เขามานั่งปั๊บ เอะอะมา ขอรถสักคัน เดี๋ยวตีปากเอานะ นั่นเห็นไหมล่ะ เอาแล้วนะนั่น ตีปาก เรามานี้เรากำลังจะมาปิดปากพวกนี้ เดี๋ยวมันจะมาขอนั้นขอนี้ เราจะมาปิดปาก จะเอาเข็มเย็บปากมันเย็บไม่ทัน มันออกก่อนแล้ว เราว่าอย่างนั้นนะ นี่ดุเขา เป็นยังงั้นละกิริยาน่ากลัว แต่จิตมันเมตตาจะตาย มันไม่ได้เข้ากัน

พอมาแล้วก็ นี่เห็นไหมล่ะสั่งกลับคืนไป ที่ขอรถก็ให้ละ เมื่อวานเขาก็เอาไปแล้วเห็นไหมล่ะ ที่จะตีปากเขาแล้วเอาให้เขาไปแล้ว ก็อย่างนั้นละมันเข้ากันไม่ได้นะ กิริยามันเป็นอย่างหนึ่ง กิริยาโลกเป็นยังไง มีขบมีขัน มันก็ออกตามเรื่องของโลกเข้าใจไหม นี่เรียกว่าธรรม ธรรมกับโลกมันไปได้ทุกแง่ ถ้าธรรมจริง ๆ แล้วเป็นอย่างนั้น จะตีปากเขาแล้วยังสั่งให้เขามาเอารถไปแล้ว ตีอย่างนี้ใครก็อยากให้ตีละซิใช่ไหม เขาจะยกมาหมดทั้งโรงพยาบาลทั่วประเทศ มาให้เราตีปากเขา เขาจะได้รถเร็วขึ้นเข้าใจไหม แน่ะ มันก็อย่างนั้นแหละ ปากกับจิตมันไม่ได้เหมือนกันนา

นี้เราจวนตัวเท่าไรเรายิ่งเร่งธรรมะออก ให้ได้เป็นคติเครื่องเตือนใจพี่น้องทั้งหลาย อย่าให้กิเลสมาเหยียบเอาเสียแหลก ๆ ๆ ทั้ง ๆ ที่มีธรรมมีครูมีอาจารย์สอนอยู่ ไม่เป็นน้ำยาอะไรเลย แต่กิเลสเป็นน้ำยาปั๊บเดียวได้เลย นี่ซีมันทุเรศนะ เอาละทีนี้ให้พร

 

ชมการถ่ายทอดสด ธรรมะหลวงตาวันต่อวัน  ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก