เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖
ไม่มีใครเกินพุทธศาสนาเรื่องความเสมอภาค
สรุปทองคำเมื่อวันที่ ๒๐ ถึงวันที่ ๒๙ นี้ทองคำได้ ๑๑ กิโล ๒๕ บาท ๓๘ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๑๕,๑๙๒ ดอลล์ รวมทองคำที่มอบแล้วและยังไม่ได้มอบเป็นจำนวนน้ำหนัก ๖,๐๗๘ กิโล หรือ ๖ ตันกับ ๗๘ กิโล ดอลลาร์ที่มอบเข้าคลังหลวงแล้ว ๗ ล้าน ๒ แสนดอลล์ ได้ทีหลังจากมอบเวลานี้ ๑๖๗,๓๑๑ ดอลล์ รวมดอลลาร์ที่มอบแล้วและยังไม่ได้มอบ เป็นดอลลาร์ ๗,๓๖๗,๓๑๑ ดอลล์ เงินสดที่นำไปซื้อทองคำเข้าคลังหลวงทั้งหมด ๑,๑๑๒ ล้าน นอกนั้นกระจายทั่วประเทศไทยเงินสดนะ ออกไปหมดเลย
วันไปเทศน์ศาลากลางจังหวัดนครพนม กับไปเทศน์ในงานศพ โอ๋ย คนมากพอ ๆ กันเลย แน่นหมดเลย ที่ศาลากลางจังหวัดนครพนม เทศน์ตอนบ่าย ๒ โมง คนแน่นไปหมด พอเทศน์จบลงแล้วก็ว่าเบาไปหน่อยละวันนี้ นึกว่าตอนเย็นคนจะไม่มาก งานศพ พอไปที่ไหนได้แน่นวัดเลย วัดก็ไม่กว้างเท่าไร คนแน่นขนาดนั้นนะ ก็เทศน์อีก เกือบตาย เทศน์ไม่ถึงชั่วโมงขาดอยู่ ๑ นาที เทศน์ที่ศาลากลางชั่วโมง ๑๓ นาทีหรือไง นั่นเห็นไหมไม่เหนื่อยได้ยังไงฟังซิ พูดตลอดเลยไม่ได้หยุดได้ยั้ง หยุดแต่หายใจตลอด ๆ มานี้นึกว่าจะไม่มีผู้มีคนอะไรมากนัก ตอนกลางคืนงานศพ ได้เวลาแล้วค่อยไปทีเดียว ไปที่ไหนได้แน่นวัดเลย มีพระมากนะในงานศพ มาจากกรุงเทพก็เยอะ ส่วนมากมีแต่เจ้าฟ้าเจ้าคุณ เจ้าอาวาส ๆ แหละมา มาจากวงกรรมฐานเต็มหมดเลย เราก็ตั้งใจสงเคราะห์พระ
วันนั้นเทศน์ที่วัดศรีเทพ จึงเบนไปทางพระมากทีเดียว ประชาชนฟังทุกวี่ทุกวันเราอยากว่าอย่างนั้นนะ ส่วนพระนาน ๆ ทั้ง ๆ ที่ตั้งใจฟัง ตั้งใจปฏิบัติเช่นพระกรรมฐานนี้ไม่ค่อยได้ยินได้ฟังครูบาอาจารย์ ที่ไปเทศน์ทางด้านจิตตภาวนานักนะ นี่ละเราพอมองไปเห็น เริ่มเทศน์ก็หมุนไปทางนี้เลย เทศน์สอนประชาชนประมาณไม่เลย ๓๐% อย่างมาก ๗๐% หมุนทางพระทั้งนั้น ๆ ฟาดตั้งแต่ต้นเหินขึ้นฟ้าเลย วันนั้นนะ เอาให้ฟังชัด ๆ แบกกันมาทำไมแบกพระไตรปิฎกว่างั้นนะ เป็นแต่เพียงว่ามันไม่ละเอียดลออคือธาตุมันเตือนเรื่อย ๆ หดย่นเข้ามา ๆ แต่ไม่ให้ขาดวรรคขาดตอนขาดแนวทาง เป็นแต่เพียงไม่ละเอียด คือกิ่งก้านสาขาที่ละเอียดไปกว่านั้นมันไปไม่ถึงไปไม่ไหว เอาแต่ส่วนใหญ่ ๆ พุ่ง ๆ เลย เทศน์ภาคปฏิบัติล้วน ๆ ซัดแต่เรื่องภาวนาเลยแหละ เรื่อย ๆ เรียงลำดับลำดาขึ้นไป ให้พระทางภาคปฏิบัติที่อยู่ที่ต่าง ๆ มารวมนั้นด้วย ให้ทางปริยัติทางกรุงเทพฟังด้วย เพราะอย่างนี้จะไม่มีในกรุงเทพฯ เทศน์อย่างนี้ไม่มี
เราพูดจริง ๆ นี่ ก็เรามันผ่านกรุงเทพฯ มาเท่าไร ว่ามันตรงๆ อย่างนี้ วันนั้นจึงเปิดให้เข้าใจทางด้านปฏิบัติ ทางปริยัติก็แปลออกเป็นภาคปฏิบัติ ไม่เดินตามแนวปริยัติที่ยกบาลีขึ้นอย่างนั้นแปลว่าอย่างนี้ทางสายปริยัติ ปริยัติเราก็เรียนมาอย่างนั้น แต่เวลาแปลทางภาคปฏิบัติแถวเป็นอย่างนี้แทรกเข้าไปอย่างนี้ ๆ มันต่างกันนะ ทำไมจึงต่างกันนี่เอาให้มันชัด ๆ นี่นะ เราตายจะไม่มีใครพูดอย่างนี้นี่วะ เวลาเราเรียนเราจะเรียนไปตามแถวตามแนวของหนังสือที่มีแถวมีแนวไปยังไง เรื่องราวไปยังไงก็จะอ่านไปตามนั้น จำไปตามนั้น ๆ ละซิ มันก็ได้ไปตามนั้นพูดตรง ๆ อย่างนี้นะ ไม่แตกแขนงนะ
ถ้าภาคปฏิบัติไม่เป็นอย่างนั้น พอจับนี้ปุ๊บมันวิ่งใส่นู้นวิ่งใส่นี้เหมือนไฟได้เชื้อ เชื้อไฟมีอยู่ทั่วไปไฟมันจะลุกลามไปเลย ธรรมหรือใจนี้มันจะไปละนี่ ความจริงมีทั่วโลกดินแดนเข้าใจไหมล่ะ ความจริงทั้งหลายที่รู้ ๆ สิ่งเหล่านี้เองจะไปรู้อะไร ถ้าว่าไฟไหม้ก็ไหม้ไปตามนี้เอง นั่น พอจ่อเข้าไปปั๊บมันจะไปตามแถวตามแนวของเชื้อไฟ ๆ เรื่อย ๆ มันไม่ได้ไปตามแนวแถวของคัมภีร์ที่ท่านสอน เพราะคัมภีร์นี้ท่านสอนไว้เป็นกลาง ๆ ต่างหาก ส่วนใหญ่ท่านวางแนวไว้ ส่วนจะแตกแขนงนั้นเป็นอุบายวิธีการของผู้ปฏิบัติ จะปฏิบัติมาเพื่อได้รับผลสำหรับตัวเองตามนิสัยวาสนาของผู้จะรู้หนักเบามากน้อยเพียงไร จะไม่เหมือนกันนะอันนี้ก็ดี
นี้ละภาคปฏิบัติท่านทั้งหลายฟังเสียนะ นี่ก็เรียนมาแล้ว เพราะฉะนั้นจึงแปลให้ฟัง วันเทศน์วัดศรีเทพแปล ยกบาลีขึ้นก็แปล แต่เวลาแปลจริง ๆ ไม่ไปตามนั้น แป๊บไปตามนี้ ๆ นะ คือตามที่ไฟมันแฉลบออกไปตามเชื้อเข้าใจไหม มันไม่ได้ไปตามนั้นทีเดียวเลย ให้ได้ฟังทั่วถึงอย่างชัดเจนเลย นี่ละภาคปฏิบัติพระพุทธเจ้ารู้อย่างนี้ พระสาวกรู้อย่างนี้ทั้งนั้น ปริยัตินี้คือเราไปจดเอาจากท่านเอามาก็ได้เฉพาะ ๆ นี้ไปเท่านั้นเอง ส่วนปลีกย่อยที่บรรจุไว้ในพระทัยของพระพุทธเจ้าและในใจของพระสาวกจากความจริงที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัตินั้นไม่มี จะมีแต่ส่วนใหญ่ ๆ เป็นแนว ๆ ออกไป ผู้อ่านผู้เรียนก็จดจำไปตามไปนี้ ๆ แตกแขนงไปไหน มันรับไม่ได้เพราะคัมภีร์ท่านไม่บอกไว้นี่นะ มันก็ตามคัมภีร์ไป มันก็จำไปได้ตามคัมภีร์ ว่ายังไงก็ว่าอย่างนั้น ๆ เช่น อย่างว่านรกอย่างนี้นะ นรกท่านก็บอกไว้ส่วนใหญ่ ๆ โลกันตมหานรก เป็นอันดับหนึ่ง อันนี้ก็บอกว่าสำหรับบรรจุโทษที่หนักมากที่สุดท่านก็บอกไว้นี่นะ จากนั้นเป็นอันดับ ๆ ตามอำนาจแห่งกรรมหนักเบามากน้อยขึ้นไปเรื่อย ๆ ๒๕ หลุม หลอกใครที่ไหนพระพุทธเจ้าสอน ไฟลุกลามไปหมดเห็นหมดเข้าใจไหม จำให้ดีอย่างนี้นะ
นี่ละใส่ต้นใหญ่มันแล้วกิ่งมันแตกไปไหนตามไหม้มันหมด ทั้งใบทั้งดอกมันไหม้ไปหมดเลยเข้าใจไหม ตั้งแต่ท่อนใหญ่มันไหม้อย่างนี้แตกออกไปถึง ๒๕ หลุม จาก ๒๕ หลุม แต่ละหลุมยังแตกอีกนะในนั้น ท่านก็บอกไว้ ท่านยังแยกอยู่นะ ทีนี้ภาคปฏิบัติมันยิ่งกระจายยิ่งกว่านั้นอีกจะว่ายังไง พอเข้านี้ปั๊บไปโน้น ยกตัวอย่างพระพุทธเจ้านะ เราไม่ต้องพูดถึงเรื่องสาวกจะมีได้เป็นบางรายไม่มากนัก ไม่เหมือนองค์ศาสดาที่ว่าร้อยเปอร์เซ็นต์ ล้านเปอร์เซ็นต์เลย ลงในนรกหลุมที่โทษหนัก ๆ นี้ เอ้า ยกตัวอย่างเพียงว่าสัตว์นรกตัวเดียวที่เต็มอยู่ในนรกนั้น สัตว์นรกตัวนี้มันทำกรรมอะไรถึงได้มาตกนรก ย้อนปั๊บนี้รู้หมดกรรมของสัตว์ตัวนี้ที่ตกที่ทำกรรมอะไร ๆ ไว้มันไสเข้ามาหาจุดนี้ แยกไปคนไหนมีตั้งแต่อย่างนั้นนะไม่ได้เหมือนกัน คือที่เหมือนกันก็มี ที่แตกแยกกันมากที่สุด หลักใหญ่ที่เหมือนกันเช่นอย่างฆ่าบิดามารดา อย่างนี้เป็นต้น นี่อนันตริยกรรม เป็นกรรมที่หนักมากที่สุด ท่านจึงได้เตือนซ้ำเข้าอีกว่า ถ้ายังมีสติพอระลึกได้อยู่บ้างอย่าทำเป็นอันขาดฟังซิน่ะ
ฆ่าบิดาหนึ่ง
ฆ่ามารดาหนึ่ง
ฆ่าพระอรหันต์หนึ่ง
ทำลายพระพุทธเจ้าแม้ไม่ตายหนึ่ง
ยุยงให้สงฆ์ที่มีความพร้อมเพรียงสามัคคีกันด้วยหลักธรรมวินัย ให้แตกแยกจากกันหนึ่ง
กรรม ๕ ประการนี้เรียกว่า อนันตริยะ อนันตริยะ แปลว่า ไม่มีระหว่างเลย ชั่วฟ้าแลบก็ไม่มี ที่ว่าความทุกข์จะเบาลงชั่วระยะฟ้าแลบไม่มี ผู้ตกนรกด้วยกรรมอันหนักหนาอย่างนี้ นี่ท่านบอกไว้ อนันตริยะ ไม่มีระหว่างไม่มีช่องว่าง ชั่วฟ้าแลบก็ไม่มี กรรมนี้หนักมากที่สุด นี่ส่วนใหญ่ คนหนึ่งอาจฆ่ามารดาก็ได้ คนหนึ่งอาจฆ่าบิดา คนหนึ่งอาจฆ่าพระอรหันต์ก็ได้ใน ๕ อย่างไม่เหมือนกัน บางคนอาจฆ่า ๒ ราย ๓ รายไปก็ได้ นี่เรียกว่ากรรมที่หนักมันแยกไปอย่างนั้น จากนี้เราก็แยกแยะไปว่าใครทำกรรมอะไร ๆ บ้างในแง่ต่าง ๆ นี้พระพุทธเจ้าส่องทะลุไปหมดเลย สัตว์ตัวมาตกนรกก็ไม่รู้นะ ว่าได้ทำกรรมอะไร ๆ ไว้บ้าง พระพุทธเจ้าผู้ไม่ตกนรกรู้เอง ทะลุรู้ไปหมด
นี่ละศาสดาของพวกเรา เวลาปฏิบัตินี่นะมันถึงชัดเจนเอามากนะ พอปฏิบัติเข้าไปนี้จึงบอกว่าเหมือนไฟได้เชื้อ พอเข้าถึงหลักเกณฑ์ ๆ จิตกับธรรมจะหมุนติ้วเข้าหากันเลย ไฟได้แก่ธรรม ได้แก่ใจ ใจกับธรรมเป็นอันเดียวกันพุ่ง ๆ ไปนี้ ทีนี้ความจริงมีอะไร ๆ นี้มันจะเข้าไปรู้ ๆ ไปหมด นั่นละเรียกว่าเหมือนกับว่าไฟไหม้ไปหมด ๆ เป็นอย่างนี้ นั่นละความจริงเป็นอย่างนี้นะ ส่วนความจำเราก็จำได้แต่ชื่อแต่นาม ตัวจริงมันไม่เห็น ท่านเห็นตัวจริงนั้นด้วย แตกแขนงออกไปเท่าไรเห็นหมด นี่เรียกว่าไฟได้เชื้อ การปฏิบัติผลรู้เห็นขึ้นจากภาคปฏิบัตินี้เหมือนไฟได้เชื้อลุกลามไปได้หมด ๆ เลย นี้เวลาท่านสอนโลกท่านจะอัดจะอั้นที่ไหน ท่านก็เห็นหมดแล้วนี่ ควรแก่ธรรมะข้อใดที่จะเป็นประโยชน์แก่สัตว์โลกมากน้อยเพียงไรบ้าง ท่านก็ดึงออกมา ๆ เพราะมันเกลื่อนอยู่ตั้งแต่ความรู้ความเห็นที่พระองค์ทรงทราบไปหมดแล้ว
นั่นละธรรมะพระพุทธเจ้าที่ว่า ๘๔,๐๐๐ ธรรมขันธ์นั้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ท่านเอามาเพียงพอประมาณ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นี้เพียงเล็กน้อย ที่บรรจุในพระทัยของพระพุทธเจ้า ไม่ทราบว่ากี่แสนพระธรรมขันธ์ นับไม่ได้นะ ท่านเอามาพอประมาณเท่านั้น ภาคปฏิบัติซิจับเข้าไป มันรู้กันไปอย่างนั้น รู้เต็มภูมิของตัวเองแล้วไม่สงสัย ๆ เสียด้วยนะ รู้ตรงไหนไม่สงสัยตรงนั้น แจ้งชัด ๆ ๆ
นี่ละพระพุทธเจ้า พระสงฆ์สาวกท่านปฏิบัติอย่างนี้ท่านรู้อย่างนี้ เวลาสอนโลกท่านจึงไม่มีคำว่าอัดว่าอั้น ตามแต่ผู้ที่มาปฏิบัติได้มากน้อยเพียงไร จะได้ไปตามกำลังความสามารถของตน ท่านไม่ได้สอนแบบโมฆะแบบลูบ ๆ คลำ ๆ นะ ท่านสอนด้วยความรู้จริงเห็นจริง จริง ๆ แต่ออกมาทางปริยัตินี้ก็ต้องถือเอาแบบฉบับเป็นที่ลูบที่คลำไป ลูบไปคลำไปตามแบบฉบับ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองไม่รู้นะ ท่านว่านรกท่านว่าเปรตอย่างนี้ เปรตชนิดนั้น ๆ ภาคปฏิบัติเห็นหมด ท่านเขียนออกมานี้ก็มีแต่ชื่อว่าเปรตชนิดนั้นเปรตชนิดนี้ มีแต่ชื่อเปรตตัวเปรตไม่เห็นเข้าใจไหม ปริยัติเห็นแต่ชื่อเปรตเห็นแต่ชื่อผี เห็นแต่ชื่อนรกอเวจี เห็นแต่ชื่อ สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน ไม่เห็นเปรตเห็นผี ไม่เห็นนรก สวรรค์ นิพพานเข้าใจไหม เรียนไปทางคัมภีร์เป็นอย่างนั้นไม่เห็น แต่ภาคปฏิบัตินี้จ้าไปเลย
นี่ละภาคปฏิบัติ ธรรมพระพุทธเจ้าประกาศลั่นโลกมานี้ สองพันห้าร้อยกว่าปีนี้คือตลาดแห่งมรรคผลนิพพานล้วน ๆ ตลาดแห่งสภาพความจริงทั้งหลาย พวกเปรต พวกผีพวกยักษ์พวกมาร พวกอะไรสัตว์ทุกประเภทเต็มอยู่ในท้องฟ้ามหาสมุทรที่ไหนมี สัตว์เหล่านี้ไม่ได้ขึ้นกับท้องฟ้ามหาสมุทรนะ ขึ้นอยู่กับกรรมของตน เหมือนอย่างจิตเรามองไปทะลุนี้ มันมีที่ไหนเป็นท้องฟ้าเป็นมหาสมุทร มันมีภูเขาที่ไหนกั้นจิตดวงนี้ มันพุ่งไปไหนมันเห็นหมด อันนี้ความรู้คือจิตอันนี้มันเป็นความรู้ที่ออกไปทางไหนมันก็เห็นหมดอย่างเดียวกัน มันจะว่ามองไปนี้ โอ๊ย ภูเขาลูกนี้กั้น อันนี้แม่น้ำมหาสมุทรกั้นมันมองไม่เห็น ไม่ได้เป็นอย่างนั้นนะจิต แล้วสัตว์ทั้งหลายตายอยู่ที่ไหนไม่ได้ว่าตายอยู่ในเขาลูกนี้ อยู่ในก้นเขาลูกนั้น ท่านไม่ได้คำนึงถึงเขา ตัวจริงอยู่ที่ไหนพุ่งเข้าไปหากันเลยเข้าใจไหมล่ะ มันมีอยู่ที่ไหนเห็น ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องภูเขาเลากอ ไม่เกี่ยวกับแม่น้ำมหาสมุทรกั้นกางไม่กั้นกาง เกี่ยวกับจิตความจริงมีที่ไหนนี้พุ่งถึงกัน ๆ ๆ ไปหมดเลยเข้าใจไหมล่ะ
นี่ละความจริงธรรมพระพุทธเจ้า ท่านสอนโลกเวลานี้ขอให้พากันตั้งอกตั้งใจนะ จะตายทิ้งเปล่า ๆ นะจะว่าไม่บอก หลวงตาตายไปแล้วไม่มีใครสอน นี้ไม่ใช่คุยนะ เรียนก็เรียนมาด้วยกันเห็นด้วยกัน เราก็เที่ยวทั่วประเทศไทยในวงพุทธศาสนาก็เหมือนกัน ก็ไม่เห็นมีใครพูด เห็นแต่พระพุทธเจ้าพูดพอเป็นแนวทางเท่านั้น เวลาปฏิบัติก็เป็นสักขีพยานกันไป ถ้าไม่ปฏิบัติสักขีพยานไม่มี สุดท้ายก็กลายเป็นนกขุนทอง แก้วเจ้าขา ๆ แล้วลึกเข้าไปกว่านั้นก็เป็นหนอนแทะกระดาษเท่านั้นเองจะเป็นอะไรไป แทะไปตามตัวหนังสือนั้นละ ความจริงไม่เห็น ๆ มีแต่ชื่อ ๆ แทะไปตามชื่อตามเสียงไปอย่างนั้น แต่ผู้ปฏิบัติไม่ได้แทะนะเอาความจริง นี่ชื่อว่าอย่างนี้ ตัวเป็นอย่างนี้ ชื่ออย่างนั้น นี่ตัวอย่างนี้ ได้มาทั้งตัวทั้งชื่อด้วยนะ ภาคปฏิบัติได้ตัว บางทีชื่อมีหรือไม่มีก็ไม่ทราบแต่ตัวกำเต็มมือแล้วเข้าใจไหม ความจริงชื่อไม่ทราบว่าชื่ออะไร แต่ตัวนี่กำเต็มมือมาแล้ว นั่นต่างกันอย่างนี้นะ
ศาสนาพระพุทธเจ้านี้เลิศเลอสุดยอดนะ ชี้นิ้วไว้เลยไม่มีศาสนาใดในสามแดนโลกธาตุนี้จะเป็นศาสนาที่สั่งสอนโลกเรียกว่าเป็นทางมรรคทางผล เป็นคู่โลกคู่สงสารเหมือนพุทธศาสนา คำว่าพุทธศาสนาทุก ๆ พระองค์ของพระพุทธเจ้ารู้อย่างเดียวกันหมด เป็นแบบฉบับอันเดียวกันเลย นี่ละมาสอนโลกเป็นลำดับลำดามานี้ ศาสนานี้เป็นศาสนาของผู้สิ้นกิเลสทุกพระองค์ พระพุทธเจ้าสิ้นกิเลสทั้งนั้นแล้วเป็น โลกวิทู รู้แจ้งโลก เหมือนกันหมดมาสอนโลกจะผิดไปที่ไหน แต่ศาสนาของคนมีกิเลสมืดเหมือนกันหมด เอ้า ว่าอย่างนี้นะ ก็กิเลสอยู่ภายในมันจะไม่มืดได้ยังไง สุดท้ายก็เอาคำว่าศาสนามาเป็นศาสตราวุธทำลายคนผู้นับถือศาสนาไปได้มากมาย เราอย่าว่าผู้นับถือศาสนาจะเป็นบุญเป็นคุณเป็นผลประโยชน์ เจ้าของที่เป็นผู้สอนศาสนานั้นไม่รู้จริงเห็นจริง เอาความชั่วหรือเอาฟืนเอาไฟมาเผาโลกก็ได้ โลกยอมรับก็เป็นไฟเผากันไปเลย เพราะมันลูบคลำไปไม่ได้เห็นเหมือนพระพุทธเจ้า มันต่างกันเข้าใจไหมล่ะ นี่ละพระพุทธเจ้าทุกพระองค์สว่างจ้าไปหมด อาโลโก อุทปาทิ สว่างโล่งตลอดรอบด้านเลย
อันนี้ศาสนาของผู้มีกิเลส มันมีกิเลสด้วยกัน สอนออกมามันก็ออกมาจากกิเลส ๆ ดีไม่ดีกิเลสมันบงการให้สอนโลกผิดพลาดไปก็ได้ เช่น อย่างตัวอย่างนี้นะ ฆ่าสัตว์เป็นบาป ถ้าฆ่าเพื่อรับประทานเพื่อกินไม่เป็นบาป ไปคว้าเอามา กูจะฆ่าพ่อมึงมาเป็นอาหารมึงจะให้กูไหม เข้าใจไหม ต้องเอาอย่างนั้นซิมันทันกัน มันไม่ยอมให้ใช่ไหม ก็เอาพ่อหรือเอาลูกมึงกำลังรัก ๆ กูจะลากมานี้กูจะฆ่าเอามาต้มยำกูกินนี้ กูไม่ได้ฆ่าทิ้งกูจะฆ่ากินมันจะยอมให้ไหม นี่ละเห็นไหมมือเขียนตีนลบ คำว่าสัตว์พระพุทธเจ้าห้ามตั้งแต่อยู่ในครรภ์ฟังซิน่ะ ให้ความเสมอภาคหมดในบรรดาสัตว์นี้จึงเรียกว่า ความเป็นธรรม ความไม่เป็นธรรมนี้ฆ่าเฉย ๆ เป็นบาป แต่ฆ่าเอามากินนี้เห็นแก่ตัว เห็นแก่พุงของตัวก็เป็นเรื่องของกิเลสร้อยเปอร์เซ็นต์นั่นเอง นี่ละมันแทรกอยู่อย่างนี้แหละ มันทำสัตว์โลกผู้ที่เชื่อและทำตามเป็นบาปเป็นกรรมได้โดยไม่สงสัย ส่วนพระพุทธเจ้าไม่มี อะไรก็ตามไม่มี แม้แต่อยู่ในครรภ์ห้ามไม่ให้แตะ นู่นน่ะฟังซิ ท่านสอนไว้อย่างละเอียดลออมาก พากันจำนะ
ศาสนาที่คงเส้นคงวาหนาแน่นที่สม่ำเสมอ ที่เป็นอรรถเป็นธรรม เสมอภาคไม่มีใครเกินพุทธศาสนาทุก ๆ พระองค์ของพระพุทธเจ้านะ แต่เรื่องศาสนาของผู้มีกิเลสก็ทุกรายเหมือนกันอีก ต้องมีแทรกด้วยยาพิษ ๆ เพราะเจ้าของศาสนามีกิเลส กิเลสคือตัวพิษอยู่ในใจ ระบายออกไปสอนลูกศิษย์ลูกหา บริษัทบริวารมันก็กระจายพิษออกไปด้วยละซิ มันจะเป็นคุณเป็นประโยชน์ยังไง พูดอย่างนี้เราไม่ได้ดูถูกเหยียดหยามศาสนาใดนะ เราเอาความจริงออกมาพูด ความจริงเป็นอย่างนั้น พากันจำเอานะ เอาละพอวันนี้
(เมตตาช่วยเหลือเรือนจำอำเภอสว่างแดนดิน จ.สกลนคร รถตัดหญ้า ๒ คัน เสารั้วกั้นพื้นที่เขตรอบเรือนจำจำนวน ๔๐๐ ต้น คอมพิวเตอร์ ๓ เครื่อง โรงงานฝึกวิชาชีพจักสานและช่างเชื่อมแดนชาย ๒ หลัง อาคารเอนกประสงค์เพื่อใช้ในการฝึกวิชาชีพ โรงเลี้ยงอาหาร โรงเรียน ห้องสมุด แดนหญิง ๑ หลัง ห้องสมุดโรงเรียนแดนชาย ๑ หลัง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๗๔๖,๗๙๙ บาท)
ชมการถ่ายทอดสด ธรรมะหลวงตาวันต่อวัน ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
|