พระจิตตคุตต์
วันที่ 11 มิถุนายน 2545 เวลา 7:30 น. ความยาว 23.09 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)   วิดีโอแบบ(Win High Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๕

พระจิตตคุตต์

ก่อนจังหัน

         พระที่มาศึกษาใหม่ให้ดูให้ดีนะ ข้อวัตรปฏิบัติในวัดนี้พระท่านทำกันยังไง ๆ ให้ดูทุกคน ๆ ความพร้อมเพรียงสามัคคีเป็นธรรมโดยแท้ ความปลีก ๆ แวะ ๆ หลบหลีกปลีกตัวใช้ไม่ได้ นั่นกิเลสกัดตับพระ ใครฉลาดไปทางนั้นเรียกว่าฉลาดแบตับให้กิเลสกิน ทั้งหมดนี้เป็นงานเพื่อเรา ทำอะไรเพื่อเรา ๆ ไม่ได้เพื่อใคร ทำในวัดเพื่อเรา ทำอะไรเพื่อเรา ให้พากันศึกษาด้วยดี อย่ามาเร่อ ๆ ร่า ๆ มันขวางตามานานแล้ว ขอให้พินิจพิจารณาทุกคน มาศึกษาให้สมเหตุสมผลกับการมาศึกษานะ ตาดีหูดี ฟังให้ถึงใจ ฟังแล้วพิจารณา ดูแล้วพิจารณาเข้าไปหาใจ ๆ สติปัญญาอยู่ที่ใจ ความไม่เอาไหนก็อยู่ที่ใจ ให้พากันดูแล

เฉพาะข้อวัตรปฏิบัติ ทั้งในบริเวณศาลาหรือบริเวณนี้ให้ต่างคนต่างดู ที่ไหนว่างไม่มีใครทำให้รีบเข้าไปทำ ๆ ทุกคน ๆ นะ ถูกต้อง ต้องพินิจพิจารณานะ นักปฏิบัตินี้เป็นอันดับหนึ่งในวงพุทธศาสนา ปฏิบัติธรรมโดยแท้ ๆ เพื่ออรรถเพื่อธรรมโดยแท้ จะเป็นผู้หูดีตาดีไม่ขี้เกียจขี้คร้าน ไม่อืดอาดเนือยนาย นี่คือเรื่องของธรรม เป็นคติตัวอย่างแก่โลกได้สำหรับผู้ปฏิบัติอย่างนี้ ธรรมเป็นคติตัวอย่างแก่โลก ทั้งหลักธรรมชาติของธรรมเองและผู้นำไปปฏิบัติก็เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วย นอกจากเป็นประโยชน์แก่ตัวเองแล้ว พินิจพิจารณาให้ดี ทำอะไรอย่าพรวดพราด ๆ ไม่ใช่เรื่องของธรรม ทำด้วยการพินิจพิจารณาทุกอย่าง นั่นแหละเรียกว่าธรรม จะไปทำงานภายนอกภายใน จะเป็นธรรมล้วน ๆ ตามสัดส่วนของงานนั้น ๆ นั้นแล

สำหรับผมเองที่จะดูแลพระเณรทั่วถึงเหมือนแต่ก่อนจะไม่ทั่วนะเวลานี้ ให้ดูงานของผมเองก็แล้วกัน ยังมีข้างนอกวัดอีกด้วยนะ ข้างนอกวัดนั่นก็เลอะ ๆ เทอะ ๆ ซึ่งไม่ใช่เรื่องของวัดของพระเลย มันก็ได้อนุโลมทำไปตามอย่างนี้แหละ เดี๋ยวนี้อะไรจะหรู ๆ หรา ๆ ขึ้นเป็นวัตถุไปหมด วัตถุคือเรื่องของโลกของกิเลส นามธรรมเป็นเรื่องของพระ อะไรจะไม่ดีขนาดไหนขอให้ใจดีตลอดนะ สติปัญญารักษาใจให้ดี อยู่ที่ไหนดีหมด นี่เรียกว่าผ้าขี้ริ้วห่อทอง มีสติปัญญาอยู่ในนั้น ไอ้หรู ๆ หรา ๆ ข้างนอกมันเรื่องของกิเลสทั้งนั้น อย่าเอาเข้ามายุ่งในตัวของเราและในวัดในวาเรานะ เสียหมด

กิเลสมันออกหน้าทัพ ๆ ใครรู้ไหม ไปที่ไหน ๆ กิเลสออกหน้าทัพ ๆ ทั้งนั้น สร้างนั้นสร้างนี้ ทำนั้นทำนี้ มีแต่วัตถุเรื่องดิ้นรนเป็นบ้ากันทั่วโลกนั่นแหละ จิตมันดิ้นหาความช่วยเหลือจากเจ้าของอยู่จากทางสติปัญญา มันไม่ได้สนใจนะ หรูหราภายในใจนี่เลิศเลอนะ ภายนอกไม่ได้มีอะไรแหละ เต็มโลกอยู่นี้แหละ แต่โลกไม่ได้พ้นความเดือดร้อน มีความเดือดร้อนทั่วกันทั้ง ๆ ที่สิ่งเหล่านี้เต็มบ้านเต็มเมือง เพราะหัวใจแห้งผากจากธรรม ถ้าธรรมมีในใจจะหรูหราไม่หรูหราอะไรภายนอก มันไม่ได้สำคัญยิ่งกว่าใจ เลิศอยู่ในนั้นนะ

ให้พากันดูใจให้ดี ระมัดระวังใจเป็นสำคัญมากทีเดียว ผมรับหมู่เพื่อนไว้ผมรับในเรื่องทางด้านจิตใจมาก ๆ นะ ถ้าอะไรเลอะ ๆ เทอะ ๆ ข้างนอกมันขวางใจทันที นี่พูดจริง ๆ ไม่คุ้นกับโลก ไม่คุ้นเลย ปั๊บนี้รู้ทันที ๆ นอกจากจะพูดหรือไม่พูด ถ้าอะไรไม่เสียหายมากก็เฉย ๆ ไปเสีย ถ้าอะไรจะเสียหายก็บอกก็เตือน พากันจำเอา หูดีตาดีซิ เอาละให้พร

หลังจังหัน

เมื่อวานนี้ทองคำได้ ๒๑ บาท ๕๐ สตางค์ ดอลลาร์ ๑๔๑ ดอลล์ ทองคำเราจะขยับขึ้นเรื่อย ๆ นะจากนี้ต่อไปเรื่อย ๆ การเทศนาว่าการก็ดังที่หลวงตาเคยเรียนให้ทราบแล้วว่า การเทศน์นี้เราจะเทศน์เฉพาะงานที่จำเป็น ๆ เพราะมันเกี่ยวโยงกับทองคำ ๑๐ ตัน เวลานี้ทองคำเราได้แล้ว ๕ ตันกับ ๑๓๒ กิโลครึ่ง การเทศน์ถ้าหยุดไปเสียทั้ง ๆ ที่ทองคำซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายเราตั้งเอาไว้อย่างนั้นแล้วก็เข้ากันไม่ได้  จึงต้องเกี่ยวโยงกับการเทศน์ ไม่มากก็มี เป็นระยะห่าง ๆ ไปเกี่ยวโยงกับทองคำ ๑๐ ตัน สำคัญตรงนี้นะ ยังต้องมีเทศน์ไปอยู่อย่างนั้นเพราะเกี่ยวกับทองคำ พอทองคำได้ตามจุดมุ่งหมายเมื่อไรแล้วเหล่านี้ก็ค่อยเป็นไปเอง แล้วเราจะประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบทั่วหน้ากัน เช่นเดียวกับเราประกาศออกเป็นผู้นำเบื้องต้น

เราประกาศตัวออกเป็นผู้นำเบื้องต้นนั้นเราเป็นผู้ประกาศเอง เพราะฉะนั้นเมื่อเราประกาศแล้วก็เรียกว่าขึ้นเวที เอาจริงเอาจังทุกอย่าง ทีนี้เวลาถึงจุดมุ่งหมายที่เราต้องการกันทั่วหน้าสำหรับเมืองไทยเราแล้ว คือทองคำ ๑๐ ตันแล้ว อันนั้นมันจะค่อยลดของมัน สุดท้ายถ้าควรประกาศก็จะประกาศ แต่มันควรอยู่แล้วเวลานี้ มันยังไม่ควรก็แต่ทองคำยังไม่ได้ ๑๐ ตันเท่านั้น ถ้าหากว่าทองคำได้ ๑๐ ตันแล้วประกาศเมื่อไรก็ได้ ควรตลอดเวลา นี่รอทองคำ

คราวนี้รู้สึกว่าได้เร็วนะ ตั้งแต่มอบที่ สวนแสงธรรม วันที่ ๑๑ เมษา ผ่านมาแล้วนี้ เวลานี้ได้ ๗๓ กิโล ๒๗ บาท ๖๔ สตางค์ เมษา พฤษภา มิถุนา วันนี้วันที่ ๑๑ ใช่ไหม พอดี ๒ เดือนเต็ม ถ้านับเมื่อวานนี้ด้วย เอา ๒๐ เลยก็เป็น ๔๗ บาท ก็อย่างนั้นแหละขึ้นไปเรื่อย จะให้ขึ้นเรื่อย ๆ จะพยายามให้ถึงจุดมุ่งหมาย ๑๐ ตันแหละ เวลานี้ที่มันขาดอยู่ไม่ถึง ๕ ตัน ให้ต่างคนต่างพยายามขวนขวายกันไป เราแน่ใจว่าได้ เรื่องช้ากับเร็วก็อยู่ในระยะที่เราช่วยชาติของเรานี้แหละ อยู่ในระยะนี้ ต้องได้ จุดใหญ่ของเราคือทองคำ ดอลลาร์เคียงข้างกันไป

(หลวงตาเจ้าคะ บางคนบอกพอเห็นหลวงตาประกาศซื้อทองคำ เขารู้เลยว่าทองคำจะขึ้น เขาก็ซื้อตุนไว้เลย เขาก็ได้กำไรจากที่หลวงตาประกาศ )

ก็เราประกาศมาตั้งแต่วันออกช่วยชาตินู่น มันมานอนตายอยู่เหรอ ทำไมมันไม่ขึ้นแต่ก่อน

(พอหลวงตาว่าช่วงนี้จะเบิกเงินออกมาร้อยล้านไปซื้อทองคำ เขาบอกทองขึ้นแน่เลย)

โอ๊ย พวกบ้า เราก็เลยเป็นหูบ้า กลับไปนี้จะต้องไปล้างหูมันสกปรก

(เมื่อวานหนูไปงานศพเขาก็พูดกันว่า พอหลวงตาซื้อทองคำทีไรทองขึ้นทุกที จริง ๆ ค่ะ)

เราไม่ค่อยถือขลังอะไรนักเรื่องเหล่านี้ แต่เราไปขลังเอาเรื่องแมว นี่มันน่าขลังจริง ๆ นะแมว เราเอาข้ออ้อยดำมาจากโยมแม่ เขาเอาอ้อยดำมาผสมยาให้โยมแม่ ทีนี้ข้ออ้อยทิ้งอยู่นั้น เราก็ว่า เอ้า นี้มันจะเกิดอยู่นะไปปลูก ตามันดีอยู่ เราก็เลยถือมาปลูกไว้ข้าง ๆ กุฏิ แต่ก่อนต้นไม้ยังไม่ใหญ่ พอปลูกไว้แล้ว โอ๋ย มันขึ้นเขียวชอุ่ม เราก็พูดย่อ ๆ เอาเลย เห็นมันสดเขียวงดงามมาก อ้อยดำประมาณสักสองสามข้อเอามาปลูกไว้ มันขึ้นจริง ๆ โอ๊ย สูง เรานึกในใจ แถวนี้หนูไม่กินอ้อยเหมือนหนองผือ คือหนองผือมันอยู่ข้างกุฏิเราเหมือนกัน อ้อยสวย ๆ หนูมาถากมาถางมันเอาไปกินเรื่อย เราเลยระลึกถึงอ้อยที่หนองผือ เห็นอ้อยเราเขียวชอุ่ม อ้อยที่นี่หนูมันไม่กินเหมือนหนูหนองผือ เราว่างั้นนะ

พอกลางคืนนั้น โอ๊ย ปราบเรียบเลย ไม่มีอะไรเหลือจริง ๆ นะ ไม่มีต้นชี้ฟ้าเลย หมดจริง ๆ โถ มึงก็กินเหมือนกันหรือ มันยังไงกัน เราก็ดุพร้อมกับเรียกแมวด้วยนะเดี๋ยวนั้น เรียกโว้กว้าก ๆ แบบนิสัยนี่แหละ แมวไปไหนนี่ว่ะ หนูมาทำลายศาสนาทำลายโยมแม่เสียด้วย เราปลูกให้โยมแม่ มาถากมาถางหมด ไอ้ส่วนที่เราคิดถึงหนูเราไม่ว่าเก็บไว้เสียก่อน เหอ แมวไปไหนว่ะ เราร้องโก้กเก้กขึ้น ขู่มันเฉย ๆ เราไม่มีเจตนาอะไร นี่ที่ว่ามันขลังมันแปลกอยู่นะ พอเราร้องโก้กเก้กขึ้น ตอนปัดกวาดบ่าย ๔ โมง ไปเจอเอาที่หนูมาถากมาถางอ้อย หมดจริง ๆ นะไม่ใช่ธรรมดา เราก็โว้กเว้กขึ้นร้องหาแมว พอปัดกวาดเสร็จเรียบร้อยแล้ว หมู่เพื่อนกำลังขนน้ำขนท่าจากบ่อขึ้นใส่ตุ่มใส่ไห เราก็เดินมาพักศาลาหลังเล็ก ๆ แต่ก่อนศาลา สร้างวัดใหม่เล็ก ๆ เราขึ้นมานั่งศาลา

สักเดี๋ยว อ๋าว ๆ มาแล้วแมวน่ะ มาตรงนั้นเสียด้วย ฟังเสียง อ้าว มันเสียงแมวนะนี่ อ๋าว ๆ มาเลย ตรงมาที่หนูถาง มาดูแมวจริง ๆ เหรอ โอ๋ย โผล่มาจริง ๆ สีเหลืองใหญ่ยาว ไม่ใช่เล่น ตั้งแต่สร้างวัดมาก็ไม่เคยเห็นแมว วันนั้นทำไมมา ห่างกันไม่ถึงสองชั่วโมง หลังจากนั้นเราก็ออกมานี่นะ มันก็อ่าว ๆ ออกมา โผล่มานี่เลย โธ่ มึงมาหรือนี่ กูเรียกหามึงเฉย ๆ กูไม่ให้มึงมากัดหนูกูนะ หนูก็หนูวัดแมวก็แมววัด สูอย่าทำลายกันนะ เขาก็เดินฉากไปนู้น เอาดูซิน่ะ เขาก็เดินฉากไปนู้น ตั้งแต่วันนั้นวันเดียวไม่เห็นอีกเลยจนกระทั่งป่านนี้ แมวตัวนั้นไม่เห็นเลย เห็นเฉพาะเวลานั้นมันมา นี่จึงว่ามันเป็นยังไงรู้สึกจะขลังอยู่นะ พอเรียกโว้กว้ากขึ้น แมวไม่เคยเห็น มาแล้ว อ๋าว ๆ มาทางนู้นเลย

แล้วไอ้หนูตัวนี้มันก็แปลกอีก พอมันขึ้นเขียวขึ้นอีกแล้วก็ไปเห็น เอ๊ สงสัยหนูตัวนี้ แมวกัดมันตายตั้งแต่วันนั้นแล้วเหรอ ไม่เห็นมากัดอ้อย ว่าอีกนะ นึกในใจ ไปเห็นนี่ แมวกัดมันตายตั้งแต่วันนั้นแล้วเหรอ เราก็เรียกหามันเฉย ๆ ไม่ได้เรียกให้มันมากัดหนู มันกัดหนูเหรอไม่เห็นมันมาถางอ้อยนี้ พอคืนวันนั้นเสร็จอีก มันเป็นอย่างนั้นนะ คืนวันนั้นหมดเลยจริง ๆ ถางเรียบ โอ๋ มึงยังอยู่หรือ หยุด แต่นี้ต่อไปมึงอย่ามาทำนะ มันแปลกเหลือเกิน ทีนี้ครั้นเวลามันขึ้นเป็นลำขึ้นจริง ๆ แล้วมันกินได้แล้วนะที่นี่เป็นลำ มันก็ไม่มาแตะตั้งแต่นั้นมาแล้วจนกระทั่งมันขึ้นเป็นลำเลยเทียว เราก็คิดคะนองอีก อู๊ย นี่มันใหญ่แล้วหนูจะไม่มาเล่นงานอีกเหรอ เรานึกว่างั้น กลางคืนมันก็มาฟาดเอาลำนั้นอีก พูดวันไหนเป็นวันนั้น มันแปลกอยู่

พอจากนั้นก็บอกมัน ยืนบอกอยู่ที่คออ้อยนะ ทีนี้มึงอยากกินก็มากิน มึงอย่ามาถางหมดนะ มึงต้องการลำไหนให้มึงมากัดเอาลำนั้นแล้วดึงเข้าไปในป่า ไปกินในป่าทีละลำ ๆ มึงอย่ามาถางหมด เดี๋ยวมึงไม่ได้กินนะ แม่กูก็ไม่ได้กิน ให้มึงมาเอาทีละลำ มึงต้องการเอาไปกินในป่า กูไม่หวงแหละ เราว่าอย่างนั้น ตั้งแต่นั้นมา อู๊ย สอนได้จริง ๆ นะ เขามาเอาทีละลำเข้าไปกินในป่า กินอย่างงั้นตลอดอ้อยเรานั่นน่ะ มาลากทีละลำ มันแปลกอยู่ นี่ที่เรียกว่ามันขลังเรื่องแมว อย่างอื่นไม่ขลังเรานะ เรื่องแมวนี่ถนัดชัดเจนมากทีเดียว ระลึกปั๊บทีไรเอาทีนั้นในคืนวันนั้นเลย แปลกเหลือเกิน

มันก็แบบหลวงปู่ขาวท่านระลึกถึงช้างใหญ่ที่ถ้ำกลองเพล ช้างใหญ่ตัวนั้นมันมาบ่อย มันผ่านมาในวัดเราผ่านไปผ่านมาอยู่งั้น มันไม่ทำไมกับใครละ มันผ่านมา ตอนกลางคืนมันหากินมาตามกุฏิพระ มองเห็นตัวมันก็เฉย ๆ ทีนี้มันก็หายไป โห เป็นปี ๆ ท่านเลยระลึกถึงมัน แปลกนะ ท่านเล่าให้ฟังเอง กุฏิใหญ่ของท่านทุกวันนี้ที่ท่านเพ็งนอนอยู่แต่ก่อน พอท่านล่วงไปแล้วท่านเพ็งมาแทน พอดีท่านก็นอนอยู่ห้องนี้ ทีนี้อยู่ ๆ พอประมาณสักเที่ยงคืนหรือค่อนคืน มันเอางวงมันมาลูบคลำห้องที่ท่านอยู่ ท่านรู้สึกตัวขึ้นมา หือ “ขโมยมาเหรอ มาก็ไม่มีอะไรให้แหละ มีพรมผืนหนึ่งปูไว้ข้างล่าง ถ้าอยากได้ก็เอาเสียนะ” ท่านบอกช้าง นึกว่าขโมย หือ ขโมยมาหาขโมยของหรือ ไม่มีอะไร มีพรมผืนหนึ่งปูอยู่ข้างล่าง ถ้าอยากได้ก็เอาไปเสีย ท่านว่างั้น

พอตื่นเช้ามาไปดู มันเดินมานี่ ซุ้มประตูนี้มันไม่ทำลาย มันเดินลัดเลาะมา ออกไปก็ไปเหยียบกองดินทราย ออกจากทางนี้ มันตั้งหน้าไปเหยียบจริง ๆ ไปเหยียบรอย โถ เราวัดดูได้ศอกหลวงจริง ๆ ศอกหลวงเต็มเลย เราเอาไม้มาวัดดูจริง  ๆ ที่มันไปเหยียบไว้นั้น พอไปเยี่ยมท่าน ท่านเล่าให้ฟัง มาดู โอ๊ย จริง ๆ ท่านเรียกหามันในคืนนั้นมันก็มา ท่านก็เลยรำพึงต่อไปอีกว่า มึงยังมาหากูอีกนะ แต่นี้ไปมึงอย่ามานะอันตรายมันมาก ท่านบอกอย่างงั้นนะ พวกเปรตพวกผีเต็มบ้านเต็มเมือง อย่ามาอีกนะ ตั้งแต่นั้นมาไม่เห็นเลย จนกระทั่งท่านล่วงไป หายไปไหน ตายแล้วละท่า มันก็แปลก ท่านพูดถึงช้างมันก็มา

อย่างท่านหลวงปู่มั่นนี่ โอ๋ย เด่นมาก เรื่องอย่างนี้เด่นจริง ๆ พูดอะไรไม่ได้ เราจับทันทีเลยถ้าท่านพูดถึงเรื่องอะไร คอยดูนะบอกเลย เราเป็นนักดื้ออยู่แล้ว มันหากคิด เรื่องของท่านแย็บออกมาตรงไหนเราจะจับเอาไว้เลยพอท่านพูด นี่เวลานี้ท่านพูดเรื่องนี้คอยฟังนะ มากระซิบองค์ใดองค์หนึ่งที่ไว้ใจนั่นแหละ คอยดูนะ ไม่นานละเรื่องนี้จะโผล่ขึ้นมา เป็นจริง ๆ ทุกครั้งเลย ท่านพูดทีไรเป็นจริงทุกครั้ง ๆ หลวงปู่มั่น เรียกว่าทุกอย่างถ้าท่านพูดออกมานี้เด็ดขาดมาก ตรงเป๋ง ๆ เลย หลวงปู่มั่นเรายกนิ้วให้เลย เก่งมากทีเดียว เหมือนว่าเทวดาคอยฟังท่านอยู่ พอท่านคิดเรื่องอะไรหรือพูดเรื่องอะไรเหมือนว่าเทวดาคอยกระซิบ เรื่องหลวงปู่มั่นนี้เรียกว่าเด่นมากจริง ๆ ถ้าท่านพูดอะไรออกมาแล้วจับเอาไว้เลย คอยดู มาจริง ๆ เป็นจริง ๆ ถึงว่า เอ๊ เทวดาคงจะสิงสถิตอยู่คอยดูวาระจิตของท่านที่คิดเรื่องอะไรตลอดเวลามั้ง พอท่านแย็บอะไรออกมานี้ตรงเป๋ง ๆ เลยนะ นี่สำคัญมากนะ จิตใจของท่านที่บริสุทธิ์ มีฤทธิ์มีเดชอยู่ในนั้นแหละ

หลวงปู่มั่นนี่ชัดเจนมาก เราพูดเล่นเฉย ๆ นะ เราไม่ได้ขลังอะไรกับแมว ตั้งแต่ไอ้หยองมันยังเห่าเรา ถ้าขลังมันจะมาเห่าเราทำไม แต่ไอ้หยองมันยังเห่าเรา เราได้ตีไอ้หยอง ก็ต่างคนต่างไม่ขลังว่างั้นเถอะ เราก็พูดเล่นไปอย่างงั้น เรื่องพวกเทพมีอยู่อย่างนั้น ที่เทวดารักมากก็คือพระจิตตคุตต์ อันนี้เด่นมากทีเดียว เทวดารักไม่อยากให้ไปไหนเลย พวกรุกขเทวดารักษาท่านตลอดเวลา ใครมาเพ่นพ่านไม่ได้นะหากมีอันเป็นไป อยู่ในนั้นแหละ อยู่ในบริเวณนั้น จนใครก็กลัวกันทั้งนั้น มาทำอะไรไม่ได้หรือเพ่นพ่าน ๆ อะไร ผิด ๆ พลาด ๆ ไม่ได้นะ หากมีอันเป็นไปอันหนึ่งจนได้ พวกเทพเขาก็ไม่ทำแรงอะไรละ เขาทำเตือนเฉย ๆ หากคอยรู้อยู่

พระจิตตคุตต์นี้เป็นพระที่พวกเทพรักมากที่สุด ในประวัติมีองค์นี้ที่พวกเทพเจ้ารักมาก ไปไหนไม่อยากให้ท่านไป ท่านตกลงอยู่ในถ้ำนั้นตั้ง ๖๐ พรรษานะ ท่านไม่ไปไหนก็เพราะสงสารพวกเทพว่างั้นนะ แน่ะอย่างนั้นแหละ พวกเทพรุมล้อมตลอดเวลารักษาตลอดเลย แม้ที่สุดตั้งแต่พระราชามานิมนต์ให้ไปฉันในพระราชวังหรือให้ไปเยี่ยม ท่านก็ไม่ไป ๆ จนกระทั่งพระราชารับสั่งเลยเทียว ประกาศรับสั่งให้เอาผ้ามามัดนมแม่ลูกอ่อนไม่ให้กินนมลูก จนกระทั่งพระจุตตคุตต์ลงมาเมื่อไร จึงจะประกาศเปิดผ้าให้ลูกกินนมแม่ โอ๊ย.พอประกาศอย่างนั้น เพราะนิมนต์ยังไงท่านก็ไม่ไป ต้องหาอุบายซิพระราชา เลยต้องเอาผ้าไปพันนมแม่ละซิ ไม่ให้ลูกอ่อนกินนม แล้วก็ประกาศขึ้นมาเลย

คนก็ขึ้นไปหาท่านบอกว่าพระราชาประกาศอย่างนั้น โอ๊ย.ท่านโดดลงเลยนะ โอ๊ย.ไม่ได้ ๆ เด็กตายหมด ๆ ตายหมดแล้วเด็ก ท่านโดดลงมาเลย แน่ะ ท่านมาเฉพาะเวลาจำเป็น เวลามานี้เทวดาล้อมรออยู่นะ เป็นอย่างนั้น พระจิตตคุตต์ พวกเทพรักมากที่สุด เป็นคนละนิสัยวาสนา อันนี้ไม่ได้เหมือนกันหมด อย่างสมัยปัจจุบันนี้หลวงปู่มั่นกับหลวงปู่ฝั้น หลวงปู่มั่นเป็นที่หนึ่ง หลวงปู่ฝั้นเป็นที่สอง ต่อจากนั้นก็เป็นลำดับกันไป ที่เด่นมากที่สุดก็คือหลวงปู่มั่น นี่ละเด่นมาก กับพวกเทพนี้ไม่ว่าไปอยู่ที่ไหนพวกเทพรักท่านมาก เทพไม่ใช่เทพธรรมดา สวรรค์ชั้นพรหมก็ยังมา แต่ที่รักษาท่านธรรมดามีเป็นประจำท่านว่า จนท่านห้ามพระ

คือแต่ก่อนมันไม่มีส้วมซึมอย่างนี้ ส้วมขุดเป็นหลุมธรรมดา ทีนี้เวลาทำส้วมท่านห้ามพระไม่ให้ไปทำส้วมทางด้านนั้น ๆ นั่นท่านบอกแล้วนะ พวกเทพเขามาต่อว่า อย่างนั้นแล้ว ให้ทำทางด้านอื่น ทางนี้เป็นทางพวกเทพเขาเข้ามาหาเราท่านว่า เป็นทางโล่งแจ้งเขามาหาเรา ท่านว่าอย่างนั้น ทำเลทางนี้ไม่มีพระด้วย คือถ้ามีพระที่ไหนมากพวกเทพจะไม่ไป เขาเคารพพระ ทีนี้บางทีมาเห็นพระนอนหลับครอก ๆ อยู่ เขาก็ไปฟ้องท่าน ท่านก็มาดุพระ นั่นเห็นไหมล่ะ วางอะไรไม่เป็นระเบียบนี้เขามาฟ้องนะ ฟังซิ พวกเทพเขามาหาท่าน เขามาฟ้องเรื่องพระนอน พระทำไมเป็นกิริยามารยาทที่สวยงามสงบเสงี่ยมงามตา แต่ทำไมพระองค์นั้น ๆ นอนหลับครอก ๆ เหมือนคนตาย เป็นลักษณะทิ้งเนื้อทิ้งตัว อย่างนี้ไม่เหมาะไม่สวยงาม เขาไปฟ้องท่าน

ท่านก็เลยเตือนพระ เพราะแต่ก่อนไม่มีพระมาก อยู่กับท่านไม่กี่องค์ ถ้าวันไหนพวกเทพจะมาท่านจะมาเตือนพระ วันนี้พวกเทพจะมา เวลาเท่านั้น นั่นบอกแล้วนะ ใครจะนอนเสียก่อนหน้าก็นอนเสีย ไม่นอนก็ให้รักษาความสงบเรียบร้อย ประมาณผ่านไปนั้น พวกเทพกลับไปแล้วจะพักนอนค่อยนอนกัน ให้พากันระมัดระวัง เพราะศาสนาเป็นเจดีย์ของโลก เราก็เป็นเจดีย์ของโลกประเภทหนึ่ง เพราะฉะนั้นอย่าให้เขาเห็นอะไรที่ไม่เป็นมงคล เขามาเพื่อมงคล เราควรจะปฏิบัติให้เป็นมงคลแก่เขาอย่างไรก็ให้ปฏิบัติ การรักษากิริยามารยาทเป็นเรื่องพระเราอันดับหนึ่ง นั่นฟังซิน่ะ ให้เรียบร้อยทุกอย่าง ท่านเตือนนะ เวลาพวกเทพมาห้ามไม่ให้ไปทำส้วมทำถานทางนี้ด้วย แล้วส่วนมากพระจะไม่อยู่ทางด้านนี้

เขาเป็นอย่างนั้นมาดั้งเดิมพวกเทพ ที่ไหนมีพระชุมเขาจะไม่เข้า เขาจะมาทางพระห่าง ๆ แล้วมาด้วยความสงบงบเงียบทีเดียว มาฟังเทศน์ฟังธรรมจากท่าน แต่พวกเทพทั้งหลายเขาจะมีผู้เดียวเป็นหัวหน้าทำหน้าที่แทน คือพวกเทพนั้นมีข้อข้องใจสงสัยอะไรถามหัวหน้า แล้วหัวหน้าก็นำเรื่องนั้นเข้ามาถามท่าน ท่านก็ตอบแล้วพวกนี้ก็เข้าใจหมด นั่นละที่ว่าท่านแก้ปัญหาเทวดา ดังในครั้งพุทธกาล อตฺฒรตฺเต เทวปญฺหากํ คือตอนหกทุ่มล่วงไปแล้วนั้น แก้ปัญหาและเทศนาว่าการโปรดพวกทวยเทพ ท่านบอกไว้แล้วในพุทธกิจ ๕ ประการ ทีนี้เวลามีผู้ถามก็มาเฉพาะหัวหน้า หัวหน้าก็ถามมา ท่านตอบ ตอบไปคนนั้นเข้าใจหมด ๆ นี่หลวงปู่มั่นนะ เรียกว่าท่านชำนาญมากเรื่องเทพ ท่านพูดเรื่องเทพเหมือนเราพูดเรื่องผู้คนธรรมดา เพราะท่านเคยชินมาก ทุกอย่างเกี่ยวกับพวกเทพชั้นไหนท่านเข้าใจหมด

นี่ละที่ว่าเทวดาไม่มี พวกตาบอดมันกำลังจะทำลายศาสนาเวลานี้นะ ศาสดาองค์เอกสอนไว้ว่า สอนมนุษย์เทวดาทั้งหลายเหล่านี้สอนแบบเดียวกันหมด เหมือนกัน อยู่ในคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างเดียวกัน สอนทั้งมนุษย์ สอนทั้งทวยเทพคือเทวดาทั้งหลาย ตลอดเปรตผีอะไร ท่านสอนไว้หมด ในธรรมท่านมีอย่างนั้น แต่เรามาลบออกเสียว่าพวกเทวบุตรเทวดาไม่มี ก็มีตั้งแต่มนุษย์ขี้เหม็นเต็มบ้านเต็มเมืองเวลานี้ ไปไหนมันจะเหม็นคลุ้งไปหมดมนุษย์เรา หาความหอมหวนไม่ได้ มันเหม็นด้วยความชั่วช้าลามก เหม็นด้วยการหาบบาปหาบกรรมด้วยการทำความชั่วนั้นแหละ เวลานี้เป็นอย่างนั้น

เมืองไทยนี้เป็นเมืองพุทธ พี่น้องทั้งหลายควรสะดุดบ้าง พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาองค์เอก ฟังซิว่าศาสดาองค์เอก พวกเรานี้เกิดมาเต็มบ้านเต็มเมือง ใครเป็นศาสดาองค์เอกแทนพระพุทธเจ้ามีไหม แล้วทำไมถึงยกทัพไปจับพระพุทธเจ้ามาทุ่มลง ๆ ทั่วทั้งแดนโลกธาตุมีแต่พวกเปรตพวกผีจับพระพุทธเจ้าทุ่มลง ด้วยการลบล้างอรรถธรรมของพระพุทธเจ้ามีอย่างเหรอ มันเข้ากันได้เหรอกับเราเป็นชาวพุทธ ขอให้พากันเคารพนะ ทุกอย่างที่ศาสดาสอนมาแล้วแม่นยำหมดทุกอย่าง เช่นเดียวกับกิเลส กิเลสออกอุบายใดโกหกทั้งนั้น เพราะฉะนั้นกิเลสกับธรรมจึงเป็นข้าศึกกัน กิเลสเป็นฝ่ายหลอกลวงต้มตุ๋นล้วน ๆ ไม่มีความจริงกับกิเลส แต่ธรรมมีแต่ความจริงล้วน ๆ ความหลอกไม่มี เวลานี้เรากำลังถูกกองทัพกิเลสในหัวใจเรานั้นแหละ มันบีบบี้สีไฟเราให้ได้สร้างความทุกข์ร้อนขึ้นใส่ตัวแล้วยังไม่แล้ว ยังกระจายออกไปประกาศกันด้วยความเลวร้ายของตัวเอง แล้วลบล้างศาสนาของพระพุทธเจ้าตลอดมาอย่างนี้

ทีนี้พูดถึงเรื่องความทุกข์ร้อน ไม่มีใครทุกข์ร้อนยิ่งกว่ามนุษย์ที่ประกาศตนว่าเก่งกว่าศาสดานะ ศาสดาท่านไม่ได้ทุกข์ร้อน พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระสาวกทุก ๆ องค์ ตั้งแต่วันกิเลสขาดสะบั้นลงไปจากใจแล้วท่านไม่มีทุกข์ในหัวใจเลย มีก็มีตั้งแต่เจ็บท้องปวดหัว เจ็บไข้ได้ป่วยธรรมดา นี้เป็นเรื่องของธาตุขันธ์ซึ่งเป็นตัวสมมุติ โลกเขามียังไงท่านก็มีอย่างเดียวกัน แต่ไม่สามารถจะไปซึมซาบจิตใจของท่านให้กังวลวุ่นวายเป็นความทุกข์ได้เหมือนโลกทั่ว ๆ ไป ผิดกันตรงนี้นะ พระอรหันต์ไม่มีทุกข์ทางใจตั้งแต่กิเลสขาดสะบั้นลงไป เพราะกิเลสเป็นสาเหตุให้ทำกรรมทั้งนั้น เมื่อกิเลสซึ่งเป็นตัวเหตุทำกรรมพังลงไปแล้วทุกข์ก็ไม่มี

พระอรหันต์นับแต่พระพุทธเจ้าลงมาจึงไม่เคยมีทุกข์ ตั้งแต่วันตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมาเท่านั้น ทุกข์ดับพร้อมกันหมดกับกิเลสดับไป เรื่องธาตุเรื่องขันธ์ท่านเหมือนเรา อันนี้มีเหมือนกัน ต่างกันตั้งแต่ว่าทุกข์เหล่านี้ไม่ซึมซาบจิตใจให้ท่านเป็นทุกข์ทางใจได้ ไม่มี ทุกข์ทางใจท่านไม่มี มีแต่ทุกข์ทางร่างกาย เพราะนี้เป็นสมมุติ สมมุติกับสมมุติก็รับกันได้ เช่น เย็นร้อนอ่อนแข็ง อันนี้ก็เป็นสมมุติ เย็นร้อนอ่อนแข็งก็เป็นสมมุติก็รับกันได้ แดดร้อนก็ว่าร้อน หนาวก็ว่าหนาว แน่ะ เป็นธรรมดามันรับกันได้ ส่วนใจไม่มีสมมุติอันใดเข้าไปเจือปนเลย ท่านจึงไม่มีทุกข์ นี่ละคุณค่าหรือมหาคุณของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ที่มาสั่งสอนโลกด้วยความเมตตาท่านสอนอย่างนี้ ขนาดนั้นความเมตตา สัตว์โลกยังไม่ยอมรับยังจะพากันบืนลงนรก ที่พระพุทธเจ้าไปปิดเอาไว้ ปิดเอาไว้ไม่ให้ลงนรกด้วยการไม่ให้ทำบาปมันก็ฝืนทำบาป เปิดทางนรกอยู่จนได้ ตายแล้วก็ไปตกนรก พระพุทธเจ้าที่สอนนั้นไม่ตกนะ

พวกเรานี้แหละจะไปตกนรกไปสวรรค์ เพราะฉะนั้นจึงให้ดูตัวเราให้ดี เราอย่าอวดเก่งกว่าพระพุทธเจ้านะ พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์เลิศเลอทั้งนั้น เรานี้เลวด้วยกัน คลังกิเลสก็อยู่กับเรา ส้วมถานคือความโลภ ความโกรธ ความหลง อยู่กับเราทุกคน เราจะเอาอันนี้ไปอวดพระพุทธเจ้าได้ยังไง ศาสดาองค์เอกท่านไม่มีสิ่งเหล่านี้ สิ่งเหล่านี้เป็นมหาภัย ท่านปัดออกหมดจากพระทัยคือใจของท่าน ตลอดสาวกไม่มี พวกเรามันเต็ม ให้พากันระมัดระวังนะ วันนี้เทศน์เพียงเท่านี้ละ ไม่เทศน์มากนัก ว่าไม่มากก็มากอยู่นะ เอาละพอ

 

อ่านธรรมะหลวงตา วันต่อวัน ทางอินเตอร์เน็ต www.luangta.com

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก