เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖
ไม่ได้พบพระพุทธศาสนาก็เหมือนไม่เกิด
วันพรุ่งนี้เราก็ไปอุบลแล้วย้อนมาทางอำนาจเจริญ ย้อนมาทางภูจ้อก้อ มุกดาหาร เรื่อยถึงนครพนม วันสุดท้ายวันที่ ๒๘ ตอนค่ำเทศน์ วันที่ ๒๙ ฉันเสร็จแล้วออกเดินทาง ไปตั้งแต่วันที่ ๒๐ ถึงวันที่ ๒๙ จึงได้เดินทางกลับมา คราวนี้ก็นานเหมือนกัน นับเป็น ๑๐ วันพอดีเลย ไม่ใช่เล่นนะ ไปที่มันหนักก็คือเรื่องเทศนาว่าการ นี้หนักมาก เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า เทศน์จบลงแล้วอ่อนไปหมดแหละ เวลาเทศน์ก็ไม่เป็นไร เรื่อย ๆ พอหนักเข้า ๆ ธาตุขันธ์ก็เตือน ถ้าหนักกว่านั้นโรคหัวใจเตือน โรคหัวใจนี้มันไม่ได้หายขาดนะ มันสงบ สงบมานานแล้ว ส่วนมากที่จะไปกระตุกมันก็มักจะมีแต่การเทศน์ ที่ธรรมะดุเดือด มันกระเทือนแรง การเทศน์ธรรมะดุเดือดก็คือธรรมะขั้นสูง ๆ เรียกว่าดุเดือด ลมมันออกแรง มันสะท้อน ๆ สักเดี๋ยวก็ยิบแย็บขึ้น ถ้ายิบแย็บแล้วเหยียบเบรกทันทีนะไปรอไม่ได้ จากนั้นก็หยุด อันนี้ก็เงียบไป ถ้ามันยิบแย็บแล้วเรายังฝืน อู๋ย ไม่ได้นะ ฝืนพุ่งเลย ดีไม่ดีเจ้าของจะสลบ
ต้นเหตุที่เป็นโรคหัวใจนี้ เรายังไม่เคยเป็น นี่ก็ไปเป็นอยู่ที่วัดดอยธรรมเจดีย์ เหมือนกัน เทศน์งานศพท่านอาจารย์กงมา เราเป็นองค์เทศน์ อย่างนั้นนะ เทศน์ที่ไหนก็มีแต่เรา เทศน์วันนั้น โห พระเป็นพัน ๆ ภูเขาลูกนั้นแน่นหมดเลย คนก็มาก พระก็มาก เพราะท่านอาจารย์กงมาท่านก็เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นด้วย แล้วเป็นอาจารย์กรรมฐานองค์สำคัญองค์หนึ่งด้วย ท่านเสีย เวลาเทศน์ก็ดูเหมือนเดือนมีนานี้ จำได้ว่าเดือนมีนา เราเป็นองค์เทศน์เสียด้วย พระสงฆ์ทั้งหลายก็มุ่งต่อธรรมทางด้านธรรมปฏิบัติด้วย เราเทศน์ก็มุ่งอย่างเดียวกันด้วย เทศน์มันก็ขึ้น แล้วเร่งเรื่อย เร่ง เร่งเรื่อย โถ เวลามันเร่งเต็มที่จนจะสลบนะ นี่ละเป็นทีแรกเราไม่รู้ตัวเลย
นี่ละเรื่องของธรรมกับใจ แต่อาศัยสังขารร่างกายเป็นเครื่องมือ เวลามากระทบกระเทือนก็มากระทบกระเทือนเครื่องมือ คือสังขารร่างกาย เครื่องมือใช้ของธรรม เทศน์เร่ง ๆ หมุนติ้วเลย กึ๊กเดียวเลยนะ ไม่รู้ตัวเลยถ้าว่าไม่รู้ตัว คือมันไม่เตือนอะไร กึ๊กทันทีเลย อ้าว ทำไมเป็นอย่างนี้ มันแข็งไปหมดถ้าว่าแข็ง ถ้าว่าอ่อนก็อ่อนไปหมด เอ๊ ทำไมเราเป็นอย่างนี้ คือกำลังเร่ง ๆ หยุดกึ๊กเลย คนฟังเต็มภูเขาเงียบปึ๊บเลย เลยอยู่นั้นละที่นี่ กระดุกกระดิกไม่ได้เลย เอ๊ ทำไมเป็นอย่างนี้ แต่สำหรับจิตมันก็รู้ของมัน มันไม่เป็นอะไรนี่จิต มันเป็นแต่เรื่องธาตุเรื่องขันธ์ โอ นั่งอยู่นั่นนานนะ จากหยุดกึ๊กไปแล้วเป็นเวลานาน ถ้าเป็นแบบโลก ๆ ก็เรียกว่า สลบอยู่ในเวลานั้นแหละ แต่นี้มันไม่มี
ร่างกายหมดสภาพทุกอย่างมันรู้หมดเวลานั้น จิตมันรับทราบตลอด นานแล้วก็ค่อยคลี่คลายออกมา เท่านั้นเราก็นิ่งเงียบพิจารณาดูมันเรื่องอะไร ๆ พิจารณา จิตมันก็ทำงานของมัน ค่อยคลี่คลายออกมานี้ที่ไหนตัวสั่นหมดเลยนะ นั่งอยู่นั้นอีกนาน คนฟังเทศน์นี้เงียบหมดเลย ทุกข์ทั้งภูเขาแหละเพราะหยุดกึ๊กทีเดียวเลย นั่นละเป็นทีแรกนะ จากนั้นค่อยคลี่คลาย กระดุกกระดิกอะไรได้พอสมควรแล้ว พอจะลุกได้กะว่ามันค่อยสงบลง พอที่จะเคลื่อนไหวไปมาได้ เคลื่อนจากนั้นก็ออกจากนั้นไปเลย ถ้าผู้อยู่ไกลก็มองไม่เห็นว่าลงจากธรรมาสน์ไปเมื่อไร กึ๊กทีเดียวก็ไปเลยหายเงียบ นั่นละตั้งแต่บัดนั้นมา โรคหัวใจเราเกิดปี ๐๖ เผาศพท่านอาจารย์กงมา ปี ๐๖
ตั้งแต่นั้นมาหนักมากทีเดียวแหละ จึงได้หลบได้หลีกไปเที่ยวอยู่ที่นั่นที่นี่ รับแขกไม่ได้เลย ต้อนรับอะไรพูดอะไรไม่ได้เลย หยุด จนกระทั่งมาถึงป่านนี้มันก็เท่าไรแล้ว ตั้งแต่ปี ๐๖ มันก็ไม่ใช่ ๔๐ ปีแล้วเหรอ เวลานี้มันสงบเงียบนะ ถ้าเวลาเราเทศน์ธรรมะขั้นสูง ขั้นสูงกับขั้นดุเดือดมันไปด้วยกัน มันจะมีลักษณะเตือนขึ้นมา ก็แสดงว่ามันไม่หายขาด มันเพียงสงบของมันเฉย ๆ พอมันยิบแย็บ ๆ ขึ้นมามันก็รู้ แล้วอันนี้ก็เหยียบเบรกแล้วหยุดเลยเทศน์ จากนั้นมันก็หายไปเลย ถ้าเราฝืนขึ้นเลยนะ เร็วที่สุด นี่หมายถึงโรคหัวใจที่เราเป็นเองเรารู้
นี่มันก็เป็นวาสนาอันหนึ่งเหมือนกันนั้นละ กับตัวของเราและพี่น้องชาวไทยเรา เพราะตอนนั้นกำลังธาตุขันธ์ดีด้วยนะ ธรรมะก็ออกสะดวก ๆ เพราะฉะนั้นจึงว่ามันพุ่งเลยละซิ เทศน์สอนพระล้วน ๆ เสียด้วยวันนั้น ขึ้นตั้งแต่สมาธิผึงเลย พุ่ง ๆ นั่นแหละเป็นตั้งแต่บัดนั้น ที่ว่าเป็นวาสนาของเราคือ ตั้งแต่บัดนั้นเหมือนหนึ่งว่าหยุดกึ๊กเลยการเทศนาว่า การต้อนรับแขกอะไรไม่ทั้งนั้น ถึง ๔ ปีเต็มนี้รับแขกรับใครไม่ได้ทั้งนั้น ถึง ๒๕๑๒ พอกระดุกกระดิกได้บ้าง นี่ละระยะนั้นมันก็เป็นของมันอยู่เรื่อย หลบอยู่เรื่อย หลีกอยู่เรื่อย อยู่วัดไม่ได้คนมาหาตลอด ก็ไม่ทราบว่าจะพูดว่ายังไงห้ามว่ายังไง หนีเสียดีกว่า หลบหนีไปอย่างนั้นเรื่อยๆ หลบไปทางโน้นหลบไปทางนี้ไม่ให้ใครทราบ ไปรถคันเดียวเท่านั้นไปเงียบ ๆ โน่น ฟาดลงถึงเมืองชล ไปพักอยู่ที่สุดพัทยา อยู่ในสวนลึก ๆ นาน ไปทีไรอาทิตย์กว่า ถึง ๒๕๒๘-๒๕๒๙ ยังเอาอยู่นะ ไม่ใช่เล่นนะ
นี่ละถ้าหากว่าธาตุขันธ์เราดีมาตลอดนั้น การเทศนาว่าการมันจะไปยิ่งกว่านี้อีกนะ เราไม่ใช่คุยเวลาธาตุขันธ์มันดีมันพุ่ง ไม่ต้องได้ระมัดระวังอะไรเลย ธรรมก็ออกสะดวกสบาย ทีนี้เวลาธาตุขันธ์คือเครื่องมือมันทรุดเสียแล้ว ทีนี้มันก็อย่างว่าแหละ เทศน์ก็เป็นอย่างที่ว่า อย่างทุกวัน ๆ เทศน์อยู่นี้ โอ๊ย.มันเข้ากันไม่ได้นะกับแต่ก่อน ถ้าผู้ไม่เคยฟังก็อาจจะว่าเทศน์ดีแหละ ถ้าผู้เคยฟังแล้ว อย่างเรานี้เรารู้เราแล้ว ใครจะว่าอะไรมันก็รู้ เป็นคนละคน คนละโลกไปเลยเทศน์ ถ้าหากว่ามันต่อกันตั้งแต่โน้นมาจนกระทั่งบัดนี้แล้วการเทศนาว่าการนี้ ธรรมทุกแบบทุกฉบับออกเต็มเม็ดเต็มหน่วย การแสดงธรรมทุกด้านทุกทางจะออกเต็มเม็ดเต็มหน่วยตลอดมา แล้วธรรมะจะลึกซึ้งกว้างขวางมากยิ่งกว่านี้นะ แต่นี้มันก็เป็นอย่างนั้น นี่ละนิสัยวาสนาดวงชะตาของเราของชาติไทยเรามันไปเต็มเม็ดเต็มหน่วยไม่ได้ จนกระทั่งเฒ่าแก่ชราจะไปไม่ได้แล้วค่อยออก ออกทางโน้นออกทางนี้ ออกจนทั่วโลก ก็มีแต่สะเปะสะปะไปอย่างนั้นละ มันไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย
ธรรมนี่มันของเล่นเมื่อไร ตั้งแต่เราเกิดมาบวชในพุทธศาสนานี้ เรายกนิ้วให้เลย คือพ่อแม่ครูจารย์มั่น เราไม่ได้ประมาทครูบาอาจารย์องค์ใด แต่ว่าเรื่องยกนี้ยกอย่างนี้ตลอดเลยเทียว ไม่มีใครเทศน์เหมือนเลยแหละ เทศน์เรื่องจิตเรื่องธรรมล้วน ๆ มีแต่พระแหละ ประชาชนไม่มี นี่ละท่านเทศน์ออกเต็มเม็ดเต็มหน่วย มีแต่พระล้วน ๆ เต็มเลย เทศน์เหมือนไม่มีคนนะ เงียบสงัด ได้ยินแต่เสียงท่านแว้ว ๆ ๆ ธรรมะสูงเท่าไรยิ่งพุ่ง ๆ ๆ นั่นละเห็นไหม ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกัน ไม่มีอะไรขัดข้อง ในสามแดนโลกธาตุนี้ไม่มีอะไรผ่านได้เลย เรียกว่า ธรรมล้วน ๆ ถึงว่ามีอำนาจเหนือโลกทั้งสามอย่างนั้นเอง มีอยู่ที่ผู้ทรงธรรมประเภทนั้นออกแสดง ถ้าไม่มีอะไรรับอย่างนี้ธรรมก็เหมือนไม่มี
อย่างทุกวันนี้แหละ อย่างที่เขาดูถูกศาสนา เฉพาะอย่างยิ่งพุทธศาสนาของเราซึ่งเป็นศาสนาชั้นเอกอุ สุดยอดในโลกนี้ไม่ศาสนาใดเสมอเหมือน เราพูดได้อย่างเต็มหัวใจเราไม่มี ศาสนาเหล่านั้นมีแต่ศาสนาของผู้มีกิเลสเป็นเจ้าของศาสนา ไม่ใช่ผู้สิ้นกิเลสโดยสิ้นเชิง สว่างจ้าหมด สามแดนโลกธาตุขึ้นชื่อว่าสมมุติแล้วไม่มีอะไรมาผ่านเลย ว่าง โล่งสุดยอด นี่แหละคือธรรมแท้ กับใจที่บริสุทธิ์แท้เข้าเป็นอันเดียวกัน สุดท้าย พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ก็เป็นอันเดียวกัน เป็นท้องฟ้ามหาสมุทรไปเลย กว้างสุดสายตา นั่นละธรรมแท้เป็นอย่างนั้น สุดทุกอย่างไม่มีอะไรมาผ่านได้เลย คือธรรมแท้ ธรรมของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์เป็นอย่างเดียวกันหมด พอจับปั๊บเข้าตรงนี้มันจะกระเทือนถึงกันหมดเลย ไม่ต้องไปถามพระพุทธเจ้าทั้งหลายว่า ธรรมท่านเป็นยังไง
จึงเทียบได้กับน้ำมหาสมุทร พอมือจ่อลงปั๊บนี้มันเป็นมหาสมุทรอย่างเดียวกันแล้ว จะไปถามหามหาสมุทรตรงไหนมุมไหนอีกใช่ไหมล่ะ พอมือจ่อลงก็ถูกมหาสมุทรแล้วมันกระเทือนถึงกันหมดแหละ อันนี้พอจิตนี้ปึ๋งไปเท่ากับจ่อลงไปแล้ว ปึ๋งลงไปกระเทือน มหาวิมุตติมหานิพพาน ธรรมธาตุเป็นอันเดียวกันหมด จึงหายสงสัยที่จะไปถามพระพุทธเจ้าพระองค์ใดเป็นเช่นไร หมดปัญหาทันที เป็นอันเดียวกันหมด คำว่าเป็นอันเดียวกันแล้วจะไปแยกถามอะไรอีกละ จ้าลงไปแล้วไม่ถามใคร มันก็รู้เอง นั่นละที่ว่า มหาวิมุตติ มหานิพพาน หรือ ธรรมธาตุ ๓ ประเภทนี้ใช้เป็นไวพจน์แทนกันได้ จ้าลงไปนั้นถึงกันหมดเลย เหมือนกับแม่น้ำมหาสมุทร มือจ่อปั๊บนี้ถึงกันหมดเลย ตรงไหนที่ไม่ใช่มหาสมุทรไม่มี เป็นอันเดียวกันหมด นี่เหมือนกันเมื่อจิตจ้าเข้าไปแล้วก็เป็นอย่างนั้น
นี่ละพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เลิศเลอ มีผู้มาตรัสรู้ธรรมแล้วนั่นละ ได้รู้ธรรมเห็นธรรมนั้นออกมากระจายสอนโลก ถ้าไม่มีผู้ไปรับทราบ ไม่มีผู้เป็นเจ้าของหรือได้ค้นคว้ารื้อขึ้นมาเทศน์ มันก็เหมือนไม่มีธรรม แล้วกับคนหูหนวกตาบอดมันก็เข้ากันได้ ถ้ามีก็เป็นอย่างนั้น จึงได้พูดเสมอว่า เกิดมานี้กี่ภพกี่ชาติก็ตามเถอะ ถ้าไม่ได้พบพระพุทธศาสนาก็เหมือนไม่เกิด จะเกิดสูงต่ำขนาดไหนเหมือนไม่เกิดทั้งนั้น ไม่มีความหมาย หมดชีวิตลมหายใจไปเปล่า ๆ จะเป็นภพใดชาติใดก็หมดภพหมดชาติไปเปล่า ๆ ไม่มีเครื่องหมายที่เป็นสิริมงคลและมหามงคลติดใจบ้างเลย จากธรรมทั้งหลายในพุทธศาสนานั้น ๆ พุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์นั้น ๆ
แล้วที่นี่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมานี้มากเท่าไร ดูน้ำมหาสมุทรเราอยากพูดให้เต็มเหนี่ยวอย่างนี้นะ น้ำมหาสมุทรมากขนาดไหนกว้างแคบขนาดไหน พระพุทธเจ้าตรัสรู้มากี่องค์ ดูน้ำมหาสมุทรเท่านั้นพอ กว้างแคบ ลึก ตื้น หยาบละเอียดขนาดไหน ไม่มีใครสามารถจะนับอ่านได้เลยว่าพระพุทธเจ้า หรือเหมือนอย่างว่า ฝนนี้ตกลงมาจากท้องฟ้ากี่หยดกี่หยาด เข้ามารวมกันเป็นมหาสมุทรนี้แล้ว กี่หยดกี่หยาดเหมือนพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ที่เป็นฝนแต่ละเม็ด ๆ นั้นตรัสรู้ขึ้นมา จนมากลายเป็นน้ำมหาสมุทร ใหญ่โตไหม มากไหม
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมานี้ไม่ถามใครพูดตรง ๆ นะ ใครจะว่าบ้าเราก็บ้าอย่างถนัดชัดเจนของเรา อย่างอาจหาญชาญชัย ไม่เอาใครมาเป็นพยานอีกด้วยบ้าประเภทนี้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้มามากขนาดไหน เราเห็นเป็นเล็กน้อยเหรอ องค์นี้ตรัสรู้องค์นั้นตรัสรู้ ตรัสมานานสักเท่าไรฟังซิ เรานับได้ไหมเงื่อนต้นเงื่อนปลายของพระพุทธเจ้าตรัสรู้มาแต่พระองค์แรกมาถึงนี้เรานับได้เมื่อไรพิจารณาซิ เหมือนแม่น้ำมหาสมุทร ฝนตกมากี่หยดกี่หยาด ตั้งแต่ต้นจนกระทั่งบัดนี้มีกี่หยดกี่หยาด แล้วรวมมาเป็นมหาสมุทรนี้ บรรจุน้ำได้กี่หยดกี่หยาด ไม่มีใครนับได้
นี่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แต่ละพระองค์ ๆ ซึ่งเทียบกับฝนตกลงมาจากบนฟ้าทีละหยดละหยาด ตกไม่หยุดไม่ถอยน้ำมหาสมุทรเต็ม นี่ละเป็นแดนธรรมธาตุ เรียกว่า ธรรมธาตุ เรียกว่า มหาวิมุตติ มหานิพพานคืออันนี้เอง นับไม่ได้เลย แล้วยังจะตรัสรู้ไปอีกนะ ทีละพระองค์ ๆ อย่างนี้เรื่อย แล้วมากี่กัปกี่กัลป์นานเท่าไร จนกลายเป็นน้ำมหาสมุทร น้ำตกไม่หยุดไม่ถอยจนเป็นมหาสมุทรได้ พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ตรัสรู้ขึ้นมา จนกลายเป็นมหาวิมุตติ มหานิพพาน ใหญ่หรือไม่ใหญ่
นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าแท้เป็นอย่างนั้น พอรู้ขึ้นภายในใจเสียเท่านั้นไม่ได้ถามอะไรแล้ว พระพุทธเจ้ามีกี่พระองค์ไม่ถาม ดูมหาสมุทรพอ กว้างแคบขนาดไหน มหาสมุทรยังแคบนะ ยังมีขอบมีเขตมีฝั่งมีฝา ส่วนพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ยังกว้างกว่านั้นอีก พิจารณาซิ แล้วรวมทั้งสาวกทั้งหลายที่เป็นอันเดียวกัน พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ด้วย แต่นี้เราแยกพูดเฉพาะพระพุทธเจ้านะ ถ้ารวมพระสาวกแล้วเป็นเท่าไรอีก เพราะท่านเหล่านี้เป็นอันเดียวกันหมด ตั้งแต่สาวกองค์สุดท้ายถึงพระพุทธเจ้าพระองค์แรก เป็นอันเดียวกันหมด ไม่มีใครยิ่งหย่อนกว่าใคร ท่านจึงสอนไว้ว่า นตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย บรรดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายและสาวกทั้งหลาย จนกระทั่งถึงสาวกองค์สุดท้าย เมื่อตรัสรู้ธรรมถึงแดนบริสุทธิ์แล้ว เป็นอันเดียวกันหมด คือไม่มียิ่งหย่อนกว่ากัน เหมือนกันหมดเลย
นี่ละประเภทเข้ามหาวิมุตติมหานิพพาน หรือประเภทน้ำมหาสมุทร คืออันนี้เอง กว้างแคบขนาดไหนท่านทั้งหลายฟัง วันนี้หูบ้าหรือหูดีก็ให้ฟังเสียนะ ปากนี้ท่านทั้งหลายจะว่าปากบ้าก็ให้ว่า แต่เราพูดเวลานี้ปากธรรมสงสารโลกนะ เราพูดอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เราไม่ถามใครเลย มีองค์เดียวเท่านี้ก็ตาม สามแดนโลกธาตุให้เราไปถามคนนั้นคนนี้ เราไม่ถามให้เสียเวลา ไม่งั้นไม่เรียก สนฺทิฏฺฐิโก ของพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลาย สนฺทิฏฺฐิโก ประกาศป้างเท่านี้พอ เท่านั้นพอ คำว่า สนฺทิฏฺฐิโก แปลว่า รู้เองเห็นเอง ไม่ต้องไปถามใคร ไม่ต้องไปเอาใครมาเป็นสักขีพยาน เป็นธรรมชาติที่พอทุกอย่าง อยู่กับความรู้นั้นหมด ว่างั้นนะ ดังพระพุทธเจ้าท่านทรงเล็งญาณอย่างนี้ก็เหมือนกัน คือท่านเล็งญาณตลอด ต่อไปนี้จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์นั้นมาตรัสรู้ ๆ ห่างไกลกันขนาดไหน ห่างไกลไม่ไกลไม่สำคัญ สำคัญที่ความแน่ว่าระยะนั้นจะมาตรัสรู้แน่นอนไม่เป็นอื่น
ด้วยเหตุนี้เองผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิ เวลาพระพุทธเจ้าทรงทำนาย พระพุทธเจ้าพระองค์ใดก็ตามทำนายแบบเดียวกันหมด ไม่มีสอง หนึ่งเท่านั้น แน่นอนอย่างเดียว ถ้าลงพระพุทธเจ้าองค์นี้ท่านทำนายแล้วว่า ต่อไปนี้เท่านั้นกัปเท่านี้กัลป์ไม่ใช่เล่น ๆ นะ จะได้มาเป็นพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าอย่างนั้น สาวกนามว่าอย่างนั้น ๆ เช่น อย่างพระพุทธเจ้าของเรา พระสารีบุตร พระโมคคัลลาน์ เป็นสาวก นี่ท่านได้รับคำทำนายมาแล้ว นี่แหละพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ถ้าได้ลงทำนายรายใดแล้ว รายนั้นเป็นอื่นไปไม่ได้ ช้าหรือเร็วไม่สำคัญต้องถึงจุดนั้น เป็นนั้นอย่างเดียวเลย จึงเรียกว่า พระญาณหยั่งทราบ
เอกนามกึ หนึ่งไม่มีสอง คือพระญาณของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์หยั่งทราบแล้วแน่เลย ไม่มีอะไรมาแก้ให้ตกไปได้ เช่น อย่างองค์นี้จะได้ตรัสรู้แล้ว จะพลิกเปลี่ยนแปลงจากพุทธภูมิไปเป็นสาวกอย่างนี้ก็เป็นไม่ได้ เปลี่ยนไม่ได้แล้ว ถ้าลงได้รับคำทำนายว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าตรัสรู้ หรือเป็นสาวกอย่างนี้แล้วเปลี่ยนไม่ได้เลย ต้องเป็นโดยถ่ายเดียว ถ้ายังไม่ทำนายก็ยังเอนยังเอียงยังไม่แน่ อาจจะพลิกมาเป็นสาวกภูมิก็ได้จากพุทธภูมิ คือทีแรกตั้งหน้าเป็นพระพุทธเจ้า ครั้นต่อมาก็มาเป็นสาวกภูมิก็ได้ นี่หมายถึงยังไม่ได้รับทำนายจากพระพุทธเจ้า ถ้าลงทำนายแล้วแม่นยำเลยแก้ไขไม่ได้
พุทธศาสนาที่ประจำโลกประจำสงสารจึงมีศาสนาเดียว ไม่มีศาสนาใดเป็นคู่แข่งเลย มีอันเดียวเท่านั้น นี่ละเป็นศาสนาคู่โลกคู่สงสาร คู่บ้านคู่เมือง คู่สร้างบุญสร้างกรรมสร้างบารมีอยู่จุดนี้หมด คือเป็นที่แน่นอน ๆ มีผู้รับมีผู้บอกผู้กล่าว เช่น คนนี้ทำบาปวันนี้ตายนี้จะไปอย่างนั้น ๆ บอก ศาสนาอื่นใดเขาทำเขาก็ไม่รู้เรื่องว่าจะเป็นยังไงมายังไง ส่วนพุทธศาสนานี้ถ้าลงพระพุทธเจ้าได้ทรงทำนายแล้วก็เป๋ง ๆ แม้ที่สุดดูซิสัตว์นรก พวกเรารู้ที่ไหน สัตว์นรกที่มาตกนรกอยู่นี้ นรกแต่ละหลุม ๆ มีจำนวนมากเท่าไร สัตว์นรกแต่ละตัว ๆ แต่ละราย ๆ นี้ ตกนรกอันนี้เพราะทำกรรมอะไรทรงทราบหมด นั่น ทำกรรมอะไรมาจึงได้มาตกนรกประเภทนี้ ๆ ตกนรกอย่างนี้ทรงทราบมาตั้งแต่กรรมที่ทำนู้น มาตกนรกอย่างนี้ กรรมทำอันนั้นมาตกนรกอย่างนี้ ๆ แล้วพวกเราจะไปลบกรรมได้ยังไง พระพุทธเจ้ายังลบไม่ได้ฟังซิ
สัตว์ไปตกนรกถามถึงเรื่องกรรม กรรมของสัตว์นี้ก็มีมาตลอด มาถึงจุดนี้ ๆ นั่นเห็นไหมล่ะ ไม่ใช่ว่าอยู่ ๆ มาตกตูมเอาเลย ตกมาด้วยสายของกรรมส่งเข้ามา ๆ ทั้งนั้นเมื่อส่งเข้ามานรกหลุมใด สุขที่ไหน ทุกข์ที่ไหน ภพใด ชาติใดมันก็ต้องเป็นผู้เสวยอยู่ตามภพชาตินั้น ๆ เช่น ส่งมาเป็นมนุษย์นี้ เราเองไม่รู้ว่าเราเกิดมาจากอะไร เราถึงได้มาเป็นมนุษย์ นี่ให้พระพุทธเจ้าทายปุ๊บทันทีเลยไม่ต้องนานละ นี่แต่ก่อนเธอสร้างอันนั้น ๆ มาได้มาเกิดเป็นมนุษย์อย่างนี้คือ ความดีนั้นแหละ เรื่องความชั่วไม่มีหวัง ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็เกิดเป็นเศษมนุษย์ เศษส้วมเศษถานไปอีก ไม่ว่าจะเป็นส้วมเป็นถานยังเศษไปอีก นู่น เกิดเป็นอะไร ๆ มาตามสายทั้งนั้น เป็นมนุษย์เป็นสัตว์แต่ละประเภท มาตามสายของกรรมตัวเองที่สร้างมา ๆ สร้างดีสร้างชั่ว กรรมของตัวเองสร้างมา ไม่มีผู้อื่นใดมาสร้างให้ แล้วใครจะมาลบล้างได้
นี่ละเป็นอย่างนั้น ฟังซิสัตว์ตกนรกอยู่นั้น พระพุทธเจ้าทำนายซิ สัตว์ตัวนี้ตกนรกนี้เพราะทำกรรมอะไร ทำกรรมอันนั้น ๆ บอกตลอดถึงตัวเหตุเลย ทำมาจากโน้นมาถึงนี้ ทำจากโน้นมาถึงนี้ ๆ สัตว์นรกแต่ละราย ๆ จะบอกสายทางเข้ามาตลอด ๆ นะ ใครทำดีทำชั่วขนาดไหน บรรดาสัตว์ทั่วโลกจะมีมาตามสายทางทั้งนั้น ๆ สายทางบุญทางกรรม ทำชั่วก็มาตามสายทางชั่ว กรรมดีก็มาตามสายทางดี เหมือนนักโทษ นักโทษยังมีแน่นอนบ้างไม่แน่นอนบ้าง แต่พอเป็นหลักฐานได้ก็คือว่า ที่เป็นนักโทษนี่เพราะอะไร เพราะเขาไปฉกไปลักไปปล้น คนนี้ไปลักคนนี้ไปขโมย คนนี้ไปปล้น มันก็มีสายทางของมันเข้ามา บางคนบริสุทธิ์แต่สู้หลักฐานพยานเขาไม่ได้ เขาเอาหลักฐานพยานมาทับ ทั้ง ๆ ที่บริสุทธิ์เขาหาว่าไม่บริสุทธิ์ ติดคุกได้อยู่ แต่อันนี้ก็เป็นกรรมของผู้นี้อีก
เหตุแต่ก่อนที่มาเป็นคนบริสุทธิ์มาติดคุกนี้ คือแต่ก่อนไปแกล้งทำเขาอย่างนั้น ๆ ให้เขาเป็นอย่างนั้น ๆ แน่ะ มีอีกเข้าใจไหมล่ะ ไม่ใช่อยู่ ๆ มานะ ที่แกล้งทำเขาที่บริสุทธิ์ให้เป็นคนมีโทษมีกรรม แล้วกรรมนั้นตามมาจึงได้มาเป็นนักโทษทั้งที่ไม่ได้ขโมย แน่ะ มันมีสายกรรมมาอย่างนั้นตลอด สายกรรมจะไม่ปล่อยสำหรับผู้ทำเลย ใครทำสัตว์ทำ สัตว์ไม่รู้กรรมก็ตาม กรรมไม่เอียง กรรมทางดีทางชั่วเป็นกรรมมาตลอดในสายสัตว์สายบุคคล ตลอดไปเลย อย่าพากันประมาทนะ ไม่พ้นจากสายกรรมติดตัวไปเอง ไม่ว่าไปทางดีทางชั่ว มาเกิดเป็นมนุษย์ไปสวรรค์ชั้นพรหมเพราะกรรมอะไร ๆ นี้ กรรมของตัวเองนั้นแหละ ติดแนบไปเรื่อย ส่งไปด้วย ๆ จนกระทั่งถึงนิพพานเพราะอะไรอีก แน่ะ ก็คือว่าสร้างบารมีคือความด้ล้วน ๆ ถึงขั้นเต็มที่แล้วหลุดพ้น แน่ะ เป็นอย่างนั้นนะ พากันจำเอา
นี่มีตั้งแต่งู ๆ ปลา ๆ ว่าจะภาวนา โอ๊ย.ขี้เกียจ แน่ะ ไปให้ความขี้เกียจลบเอาเสีย มันก็ได้แต่หมอน ความขี้เกียจเข้าใจไหม มันจะได้สวรรค์นิพพานที่ไหน ถ้าเอาธรรมเข้าแทรก ก็นอนมาตั้งแต่วันเกิดจนหมอนแตกมากี่ลูกแล้วนี้ เพียงจะนั่งภาวนาไม่ได้เหรอ จับหมอนปาเข้าป่าแล้วนั่งภาวนาสบาย นี่วันหลังสบายเลยเข้าใจไหม หมอนจะไม่มายุ่ง มันกลัวจะตกเข้าป่าอีกเข้าใจไหม มาอีกฟาดเข้าป่าอีก นั่น ถ้าวันไหนคว้ามับเข้ามา โอ๊ย.หมอนประเทศไทยมานี้หมดเลย มากองอยู่ในคน ๆ เดียว มองไปตาฝ้า ๆ ฟาง ๆ อะไรนั่นนะ มันเหมือนภูเขาทั้งลูกไปดูซิ มันเหมือนภูเขา ที่ไหนได้กองหมอนเข้าใจไหม นั่น เป็นอย่างนั้นนะ พากันเข้าใจ
เรานี้ลงสุดยอดแล้ว นี้จวนจะตายจึงประกาศพี่น้องทั้งหลายทราบ เราไม่มีอะไรสะทกสะท้านในโลกทั้งสามนี้ ที่พระพุทธเจ้าสอนไว้หมอบราบ ๆ หมด เรียกว่า สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบทุกอย่าง ไม่มีอะไรผิดเพี้ยนแม้นิดหนึ่ง นี่ละที่ยอมรับ เวลามันเจอเข้าไปปั๊บนี้ ตรงไหนเป็นอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าสอนไว้แล้ว เป็นอยู่แล้ว อันนี้พระพุทธเจ้าก็สอนไว้แล้ว แล้วจะค้านไปไหนล่ะ แล้วอันนี้มันก็จริงอยู่ด้วย แล้วจริงที่ ๒ ก็คือพระพุทธเจ้าเป็นพยานไว้ก่อนแล้วด้วย นั่น มันแน่ขนาดนั้นนะ
อย่าพากันประมาทนะพี่น้องทั้งหลาย เวลานี้กิเลสมันกำลังหนากำลังแน่น กำลังลบบาป ลบกรรม ลบสวรรค์ นิพพาน นรก อเวจี บาปบุญอะไรไม่ให้เหลือ ให้เหลือแต่ความอยากความทะเยอทะยาน ความดีดความดิ้น อันเป็นเรื่องที่จะลากลงนรกทั้งนั้นให้พากันจำเอาตรงนี้ให้ดี อันนี้ดึงตลอดนะ อันนี้มันไม่บอกมันไม่มาลบ แต่ธรรมชาตินี้ไปลบความดีของตัวเองไม่ให้สร้าง สกัดลัดกั้นไว้ สุดท้ายก็จมด้วยกันนั่นแหละ เอาแค่นี้ละวันนี้ พอสมควรแล้ว ถ้าเทศน์ไปมากกว่านี้ วันหลังจะไม่มีอะไรมาเทศน์ให้ท่านทั้งหลายฟัง มันจะหมด เข้าใจไหม
หลวงตา เป็นยังไงพากันเบื่อไหม ฟังเทศน์หลวงตา ทุกวัน ๆ มากี่ปีมาแล้วนี่
โยม บูชาหลวงตา ดีใจที่เกิดมาไม่เสียชาติเกิด ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วมาพบหลวงตาด้วยเจ้าค่ะ
หลวงตา เออ เอาละ พบพระพุทธเจ้าเท่านั้นพอแล้ว หลวงตาไม่จำเป็น มันพบอยู่ทุกวัน จำเป็นอะไร
ทองคำเราก็จะเริ่มเรื่อย เหลือก็เพื่อข้างหน้า อะไรก็ตามเหลือเพื่อข้างหน้า เพราะฉะนั้นจึงเวลานี้เรายังไม่เหลือ เข้าใจไหม มีเท่าไรเราจะคว้าหมด เหลืออันนี้เพื่ออันนั้น ๆ อย่างนั้นแหละ พอพูดอย่างนี้เราก็ระลึกแม่เราพูด อย่างนี้ละ อะไรที่มันติดใจเรามันหากไม่ลืมนะ
แม่พูด นี่ละจิตใจที่เป็นกุศล ความฝักใฝ่ของแม่เราระลึกทีหลังได้ แต่ก่อนไม่ค่อยคิดแหละแต่จำได้ อาหารจัดไว้ให้ลูกให้เต้า อันนั้นกูแบ่งไว้สำหรับไปจังหันพรุ่งนี้สูอย่าไปยุ่งนะ เราไม่ลืมนะ อันนั้นคือว่าแบ่งแล้วเอาไปไว้สูง ๆ นะ อันนั้นชี้บอกว่า สู กูจะแบ่งไว้ไปจังหันวันพรุ่งนี้สูอย่าไปยุ่งนะ คือให้กินแต่พวกนี้ เราก็เลยไม่ลืม นั่นเห็นไหมล่ะ จิตใจแม่เป็นอย่างนั้น ทีนี้เราก็จำได้เฉย ๆ จำได้ว่าแม่ไม่ให้ยุ่งเท่านั้นละ แต่มันก็มาระลึกทีหลังย้อนไปอีก ถึงจิตใจของแม่ที่มีความฝักใฝ่ต่ออรรถต่อธรรมต่อบุญต่อกุศล กลัวลูกจะไปเอามา เลยขู่ไว้ สูอย่าไปยุ่งนะ กูจะเอาไว้ไปจังหันวันพรุ่งนี้ สูอย่ายุ่งว่านั้นนะ เราก็ไม่ลืม เอาละให้พร
ชมการถ่ายทอดสด ธรรมะหลวงตาวันต่อวัน ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
|