อิ่มด้วยธรรมแล้วเย็น
วันที่ 8 มิถุนายน 2545 เวลา 7:30 น. ความยาว 25.16 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)   วิดีโอแบบ(Win High Band)

ค้นหา :

อิ่มด้วยธรรมแล้วเย็น

ผู้กำกับ : เจ้าคณะอำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี พระครูจิตการโกวิท มีหนังสือมาทางวัดว่า มีพระไปตั้งวัดแถวปทุมธานีโดยอ้างว่า หลวงตาเป็นอุปัชฌาย์ ตามหนังสือที่แนบมา บวชที่วัดป่าบ้านตาด ปี ๒๕๑๕ เขามาสืบดู หลวงตาจะว่ายังไงบ้างครับผม

หลวงตา : จะว่ายังไง เขาปลอมเขาก็ปลอมของเขาแล้วจะให้ว่ายังไง เรื่องมันไม่เกี่ยวกันเลย เขาอยากทราบความแน่นอนจากเราว่าท่านเป็นอุปัชฌาย์จริงเหรอ เท่านั้นใช่ไหมล่ะ อันนี้ตอบไม่ตอบใครก็รู้แล้วเป็นอุปัชฌาย์อะไรหลวงตาบัว

ผู้กำกับ : ลายเซ็นพระธรรมวิสุทธิมงคล ลายเซ็นก็ปลอม

หลวงตา : โอ๊ เอาขนาดนี้เชียวนะ หยาบขึ้นทุกวัน เลวลงทุกวัน

ผู้กำกับ : ชื่อสมคิด

หลวงตา : ไม่เคยเห็นหน้ามันเลย จริง ๆ นะ เรามองดูหน้ามัน บวชตั้งแต่ปี ๒๕๑๕ เหรอ ชื่อนายสมคิด นามสกุล เตชวณิช บิดา นายย่งเลียด มารดา นางสวิด สัณฐาน สัดทัด สีเนื้อ ดำแดง ตำหนิ แผลเป็นนิ้วก้อยซ้าย เกิดวันพฤหัส ขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีมะโรง วันที่ ๑๖ เดือน ตุลาคม พ.ศ.๒๔๙๕ ตำบล โคกช้าง อำเภอผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา เวลานี้เขาจับตัวได้แล้วยัง

ผู้กำกับ : เขาไม่ได้จับ เขาต้องการสืบสาวราวเรื่องว่าจริงหรือไม่จริง ตามใบสุทธินี้นะครับ

หลวงตา : จะทำอะไรก็ทำตามหน้าที่ของเขาไปซิ หลักธรรมวินัยมีอยู่ ปลอมจับสึก หลักธรรมวินัย แต่ทางกฎหมายเขาจับสึกแล้วเขาจะทำอะไรเป็นเรื่องของเขาใช่ไหม สำหรับทางพระวินัยมีแต่ว่าจับสึกเท่านั้น ท่านไม่ไปเอาโทษเอากรรม แต่จับสึกออกทันทีเลย ทีนี้เรื่องกฎหมายบ้านเมืองมีอะไรสืบต่อกันไปเรื่อย ๆ นี่มาเมื่อไรจดหมายนี้

ผู้กำกับ : มาเมื่อเช้านี้ครับ พระครูจิตการโกวิท เจ้าคณะอำเภอเป็นผู้เขียนมาเองเลย เพราะว่าท่านดูแลภายในอำเภอของท่าน ท่านเห็นพิรุธท่านก็เลยสอบถามมาทางวัดป่าบ้านตาด

หลวงตา : ไว้ยังไงก็ไว้เถอะเพราะทราบแล้ว ก็ตอบไปเท่านั้น พระท่านตอบแทน ไม่ยาก ไม่ต้องถามให้ลำบากก็รู้แล้ว หลวงตาบัวเป็นอุปัชฌาย์แล้วนะเดี๋ยวนี้ นี่หลวงตาบัวเป็นอุปัชฌาย์แล้ว พอเริ่มเป็นปุ๊บก็ปลอมปุ๊บ ผู้บวชนี่ก็ปลอม หลวงตาบัวก็ปลอม มีแต่ปลอมเต็มวัด เอ๊ มันก็แปลกนะ อยากให้เขาเคารพนับถือ ครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่มีคนเคารพนับถือก็ไปแอบ เอ้อ สำคัญนะ

ผู้กำกับ : ท่านก็บรรยายในนี้ว่าท่านก็พอทราบอยู่แล้วว่า หลวงตาไม่เคยบวชพระให้แก่ผู้ใด แต่ที่ท่านมีจดหมายมาเพื่อยืนยันความจริง ท่านอยู่ไกล

หลวงตา : ทางโน้นก็ทราบอยู่แล้วว่าเราไม่เคยบวช ท่านอยู่ไกล พระตอบไปเองไม่ยากอะไร พระเราบวชมีมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล ไม่ใช่มีมาสมัยปัจจุบัน มีมาตั้งแต่ครั้งนู้นแล้วการบวช หลายยุคหลายสมัยด้วยนะ มีมาอย่างนี้ อันนี้สืบทอดมาจากนั่นแล้วก็ไม่ทราบจะว่าไง อย่างเงินปลอม ธนบัตรปลอมก็ปลอมมาเรื่อย อะไรมีจริงของปลอมต้องแทรกเข้าไป ๆ จริงกับปลอมเป็นของคู่กัน ธรรมกับกิเลส ธรรมเป็นของจริงกิเลสเป็นของปลอม คือปลอมมาตลอดกิเลส จะให้จริงไม่มี แต่ธรรมจริงตลอด จะให้ปลอมไม่มีเหมือนกัน ก็อย่างเดียวกัน ทั้งจริงทั้งปลอมมีมาดั้งเดิม

ตอบอะไรก็ตอบไปเถอะ ทราบกันแล้ว ก็เราไม่ได้เป็นอุปัชฌาย์ เท่านั้นก็ทราบแล้ว อันนี้ท่านไม่เคยมาตั้งให้เรานะอุปัชฌาย์ ทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อยทราบนิสัยแล้ว เลยไม่เคยมาตั้งอุปัชฌาย์เพราะทางนี้ขู่ฟ่อ ๆ อยู่แล้ว พระกรรมฐานเมื่อมีอุปัชฌาย์อยู่เป็นหลักเป็นเกณฑ์อยู่ในที่ทั่ว ๆ ไปแล้ว พระกรรมฐานเราที่ว่าเหมาะก็คือว่า ไม่ควรจะเป็นอุปัชฌาย์ คือสร้างความกังวลวุ่นวาย พระกรรมฐานเป็นอุปัชฌาย์ เป็นเจ้าคณะนั้นคณะนี้อย่างนี้ เป็นเรื่องขัดต่อการปฏิบัติธรรม ซึ่งมุ่งต่ออรรถต่อธรรมล้วน ๆ ไม่ยุ่งกับอะไร ๆ การบ้านเมืองการปกครอง มอบให้ทางฝ่ายปกครองไป เช่น เจ้าคณะนั้นเจ้าคณะนี้ นั่นเป็นหน้าที่โดยตรง สำหรับเราผู้ปฏิบัติธรรมมีแต่หน้าที่ปฏิบัติธรรม อย่างนั้นเหมาะ เพราะฉะนั้นการตั้งอุปัชฌาย์ นอกจากในที่คับขันจำเป็นจริง ๆ เป็นกรณีพิเศษก็ไม่ว่า

อย่างประชุมกันที่วัดสาลวัน สมเด็จพระสังฆราช(จวน) ที่วัดมกุฎ ท่านเสด็จมาที่วัดสาลวัน อาจจะมีพระหัวแหลมไปรบกวนท่านนั่นแหละ ท่านก็ไม่สั่งไม่เสียอะไร ท่านมีความเมตตา อุตส่าห์เสด็จมาที่วัดสาลวันเกี่ยวกับเรื่องกรรมฐาน อาจจะมีไอ้แหลมๆ คม ๆ เก่ง ๆ ขึ้นมาอยากจะปกครองตนเอง ว่างั้นนะ คือกรรมฐานอยากจะปกครองตนเอง แต่จะจับรายไหนมาเป็นตัวจริงเป็นสักขีพยานจริง ๆ ก็ไม่ได้ สำหรับเราเองนะ แต่เรื่องเข้าถึงสมเด็จพระสังฆราชท่านอาจจะเข้าถึง หรืออาจจะมีรายใดรายหนึ่งเข้าทูลท่าน ท่านจึงอุตส่าห์เสด็จมาวัดสาลวัน

ท่านก็พูดอย่างนุ่มนวลเกี่ยวกับเรื่องพระกรรมฐานอยากปกครองกันเอง ทางฝ่ายปกครองก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร ก็ว่าอย่างงั้นนะ พอเผดียง ๆ ขึ้นถึงเรื่อง ไหนว่าไงล่ะ ก็มาโดนเอาตัวนี้เสียด้วยนะ ว่าอะไรล่ะ ท่านกับเราก็คุ้นกันอยู่แล้ว ว่าไงล่ะอาจารย์มหาบัว ขึ้นนี้เลย โอ๊ย มีพ่อมีแม่เป็นฝ่ายปกครองอยู่แล้วเป็นวาสนาบารมีของกรรมฐาน เราขึ้นอย่างงี้นะ ลูกมีพ่อมีแม่เป็นลูกที่มีเกียรติ ดีกว่าลูกกำพร้า อันนี้ฝ่ายปกครองเป็นพ่อเป็นแม่อยู่แล้ว กรรมฐานยิ่งเป็นความสะดวกสบาย ไม่ต้องยุ่งเหยิงวุ่นวาย มีพ่อมีแม่เป็นผู้ปกครองด้วยความชอบธรรมตลอดมาอย่างนี้อยู่แล้ว การจะมาปกครองตนเองนี้ไม่แน่ใจว่าจะปลอดภัย แล้วยิ่งจะเหลวแหลกไปอย่างนี้ ทางเกล้ากระผมเห็นอย่างนั้น เออ เข้าท่าที ท่านว่านะ แล้วใครเห็นว่าไง ไม่มีใครค้านเลยคำพูดของเรานะ

เราบอกว่าการปกครองท่านปกครองโดยธรรมมาโดยลำดับลำดา ผิดถูกชั่วดีว่ากันไปตามทำนองคลองธรรมตลอดมาไม่เห็นขัดข้องอะไร กรรมฐานมาแหวกแนวอวดดียังไง ไปตั้งตัวเป็นใหญ่เป็นโตขึ้นมาปกครองตัวเอง ฟังไม่ได้นะเรา ก็เราไม่ได้ปฏิบัติเพื่ออย่างนั้น ปฏิบัติเพื่ออรรถเพื่อธรรม มีผู้ดูแลปกครองด้วยแล้วก็เหมือนลูกมีพ่อมีแม่ปกครองก็สงบร่มเย็นใช่ไหมล่ะ สะดวกทุกอย่าง มันก็เป็นแบบเดียวกันนั้น เราก็กราบทูลท่านอย่างงั้น ท่านก็ว่า เอ้อ เข้าท่าดี แล้วใครว่าไง คณะกรรมฐาน เพราะมีอาจารย์หลายองค์ ไม่มีองค์ไหนพูดเลย เงียบเลย แล้วการพูดที่อาจารย์มหาบัวพูดนี้เป็นธรรมแล้วเหรอ ถ้าเป็นธรรมก็ให้ยอมรับว่าเป็นธรรม เรื่องราวก็หมดไปเท่านั้น เรื่องราวก็ทราบมาอย่างนี้ ท่านพูดกลาง ๆ ท่านทราบมาอย่างนี้ ท่านไม่เอาหลักฐานพยานมายืนยัน ส่วนความจริงน่าจะมี จดหมายบ้างอะไรบ้าง แต่ท่านก็พูดกลาง ๆ ท่านก็เป็นธรรม เราฟังทุกกิทุกกีนี่วะ

ตกลงใครก็เลยเงียบไปหมด เห็นดีเห็นชอบไปตาม เราเป็นความสะดวกสบายแล้ว มีพ่อมีแม่เป็นผู้ปกครองอยู่ทุกแห่งทุกหน กรรมฐานไปที่ไหนไม่ได้รับความเดือดร้อนเพราะความไม่เป็นธรรมจากฝ่ายปกครอง ไม่เคยเห็นมีก็ว่างั้น ที่ว่าฝ่ายปกครองไม่เป็นธรรม การชำระคดีต่าง ๆ ที่ไหนมันก็มี พ่อแม่กับลูกทะเลาะกัน ใครผิดใครถูกไม้หวดเอาก็ยังมีใช่ไหมล่ะ อยู่ในบ้านก็ยังไม่ คณะสงฆ์ไม่ว่าฝ่ายปริยัติไม่ว่าฝ่ายปฏิบัติ มีได้ด้วยกัน ฝ่ายปริยัติมีเรื่องมีราวก็ชำระกันเองไปเลย ฝ่ายปฏิบัติมีเรื่องราวอะไร ถ้าไม่อาจจะชำระตัวเองได้ก็เข้าหาเจ้าคณะมาประชุมปรึกษา ก็มีเท่านั้น เรื่องราวก็ผ่านไปธรรมดา เป็นธรรมด้วยกันทั้งสองฝ่าย

เราก็ฟังเรื่อยมานี่นะ ถ้าหากฝ่ายปกครองไม่เป็นธรรม มันเป็นอีกอย่างหนึ่ง อันนี้ปกครองเป็นธรรมเหมือนพ่อแม่ปกครองอยู่แล้ว จะมีปัญหาแยกลูกแยกพ่อแยกแม่ไปที่ไหนอีกล่ะ ไปให้ใครมาปกครอง หรือจะเอานกกระสามาปกครองเหรอ เอาขอนซุงให้เพราะเป็นธรรมคือเสมอ ขอนซุงนอนอยู่เฉย ๆ อยากได้นายใหม่ ฟาดเอานกกระสามาแล้วก็เรียบวุธเห็นไหม นี่เราพูดถึงเกี่ยวกับเรื่องการปกครอง ก็เลยยุติลงในนั้นนะเลยนะ ไม่มีอะไรต่อไปอีก เงียบเลย ท่านรับสั่งถาม ถ้าท่านผู้ใดไม่เห็นด้วยที่อาจารย์มหาบัวพูดนี้ ให้พูดขึ้นมาได้ มีเหตุผลกลไกอะไร เอ้า พูดขึ้นมา เงียบหมดเลย ถ้าว่าเป็นธรรมก็ให้เงียบ ถ้าไม่เป็นธรรมก็ให้โหวตขึ้นมาซ้ำอีกนะ เงียบหมดเลย ก็เป็นอันว่าตกลงกันเรียบร้อยปกติตามเดิม ก็ตามเดิมแหละเพราะเรื่องมันดีอยู่ตามเดิมแล้ว เพราะกับสมเด็จนี้คุ้นกันมาก ท่านเมตตาเรามากอยู่นะ สมเด็จวัดมกุฎ เห็นเราจับมือปั๊บ หือ ไปไหนมา ท่านไม่ถือองค์ท่านนะสมเด็จพระสังฆราช เรารู้สึกท่านเมตตามาก

ฝ่ายปกครองก็ทำหน้าที่ดูแลไป เข้ามาเสนอเรื่องราวอะไร วินิจฉัยใคร่ครวญประชุมกันเรื่องราวอะไร ๆ มีเหตุมีผล ฝ่ายไหนหนักที่ควรจะยึดเป็นหลักเป็นเกณฑ์ได้ ฝ่ายนั้นก็ผ่านไป ยอมรับกันในชุมนุมของการประชุม ฝ่ายไหนไม่มีก็บอกเหตุบอกผลว่าไม่มี ทางนั้นยอมรับ ก็เลิกเท่านั้นเองไม่มีอะไร สำหรับกรรมฐานเรานี้มีฝ่ายปกครองอยู่อย่างนี้มันสะดวกแล้ว เพราะฉะนั้นการที่จะมาตั้งเราเป็นอุปัชฌาย์เป็นอะไรนี้ โหย ไม่ได้ว่างั้นเลย ท่านก็ไม่เคยมาตั้งเพราะเราขู่ฟ่อ ๆ อยู่แล้ว รู้นิสัยอยู่แล้ว เราว่าไม่เป็นอุปัชฌาย์นี้เราก็ไม่เคยพูด แต่บรรดาฝ่ายปกครองทั้งหลายก็รู้นิสัยอยู่แล้ว ท่านก็เลยไม่มาเกี่ยวข้อง อะไร ๆ ไม่มาเกี่ยวข้องทั้งนั้นนะ กับเราไม่เกี่ยว ท่านรู้นิสัยแล้ว ท่านก็ปฏิบัติตามนิสัยของเราของท่านเรื่อย ๆ ไปอย่างนั้นไม่เห็นมีอะไร

เราระลึกได้ที่ว่าให้กรรมฐานเป็นอุปัชฌาย์อาจารย์นี้ นอกจากที่มันมีแร้นแค้นกันดารมันจำเป็น เราก็ไม่ว่าตรงไปทีเดียวเลยนะ มีแยกแยะ ถ้ามีเช่นนั้นมันเป็นกรณีพิเศษจะตั้งให้ก็ดี แต่จะตั้งสาธารณะทั่วไปว่าตั้งแต่อายุพรรษา ๑๐ หลักธรรมวินัยปฏิบัติดีปฏิบัติชอบสมควรเป็นอุปัชฌายะได้แล้วตามหลักพระวินัย อย่างนี้แล้วตั้งดะไปหมด มันก็รบกวนความสงบของฝ่ายกรรมฐาน มันก็ไม่ดี ถ้าปล่อยไปอย่างนี้มันก็สงบเรียบร้อย เช่นอย่างวันนี้บวชก็ปั๊บไปวัดโพธิ เท่านั้นไม่เห็นยากอะไร ตกลงกันเรียบร้อยแล้วบวชที่ไหน ๆ ก็ได้ บวชวัดโพธิก็ได้ จะบวชวัดไหนก็ได้ ข้อตกลงสำคัญมาก เราก็เคยบวชอย่างนี้ เช่นอย่างเวลานี้ ท่านเจ้าคุณท่านเป็นรองสมเด็จแล้ว เราลืมชื่อ ท่านบอกแล้วแหละเราลืมแล้ว

อย่างนี้แหละมันไม่ได้เรื่อง เจ้าคุณบัวอ่านชื่อเจ้าของไม่ออก ไม่สนใจ ท่านแก่แล้ว เวลาเราจำเป็นที่จะเอาอุปัชฌาย์บวชพระของเรานี้ เราก็ไปติดต่อเจ้าคุณอีกองค์หนึ่ง บวชไปเลยก็ไม่ยาก แต่ก่อนก็บวชกับท่านเป็นลำดับลำดามา ทีนี้ท่านลำบากลำบนทุกอย่าง เคลื่อนไหวไปมาลำบากเลยไม่ไปกวนท่าน วานซืนนี้ก็มา มาเยี่ยมเฉย ๆ คุยกันนานอยู่นะ ท่านไปฝ่ายของท่าน เราก็จะค้านท่านได้ยังไง ฝ่ายของท่านท่านเป็นผู้ใหญ่ท่านก็พูดของท่านไป เราก็ฟังไป ฝ่ายของเราท่านไม่มาถามอะไรเราก็ไม่ตอบ ตกลงก็คุยกันธรรมดา จนค่ำท่านถึงกลับ ท่านมาเมื่อวาน เราคิดแล้วนี่จะมาขออะไรอีกนะ ก็ท่านมาหาเราเรื่อยเวลาท่านจำเป็น ท่านก็บอกว่าเดินจงกรมคิดรำพึงจนจะตาย เดินจงกรมอยู่เหรอ เราก็เลยจี้เข้าไปน่ะซี เดินจงกรมคิดรำพึงถึงเรื่องเงินทองข้าวของไม่พอ คิดเห็นแต่อาจารย์องค์เดียวเท่านี้ นี่แต่ก่อน

เพราะเราช่วยไม่ได้น้อยนะ หลาย ๆ ล้าน วัดโพธิ ช่วยทีไรก็ให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย อย่างคราวที่แล้วท่านมหาปานตายไปเสียมีเงินอยู่ เขาจะเอา ๔ ล้าน (ผู้กำกับ : เอา ๔ ล้าน มีอยู่ล้านห้าครับ ช่วยไปสองล้านห้า) เราก็ช่วยไปสองล้านห้าเต็มเลย อย่างนั้นแล้ว เวลาจำเป็นมา ให้ตูมเลย อย่างสร้างโรงร่ำโรงเรียนสองแห่งสามแห่ง เราตบท้ายทั้งนั้นแหละ มาขอทีไรเราก็เฉย เราไม่ตอบ เฉย คอยฟังเหตุฟังผล หลายครั้งหลายหนก็ออด ๆ แอด ๆ ทางนู้นทางนี้ โอ๊ย อาจารย์มหาบัวคงไม่เมตตาแล้วคราวนี้ พูดทีไรเฉย ๆ ท่านไปขอวัดนั้นวัดนี้ วัดกรรมฐาน ไปหาท่านสิงห์ทองท่านก็เคยไป ท่านสิงห์ทองมาเล่าให้ฟัง ไปหาอาจารย์มหาบัวแล้วท่านเฉยเลย ท่านคงไม่เมตตาแล้วคราวนี้ ไปออดท่านสิงห์ทอง

ครั้นเวลาตบท้ายก็เราให้หมดทุกอย่าง อย่างโรงเรียนปริยัติธรรมก็เหมือนกัน ให้หมดเลย ขาดอะไร ๆ กระเบื้องมุงทั้งหมดให้หมด ช่วยมาเรื่อย ๆ หลายแห่งนะ กุฏิธรรมเจติยานุสรณ์ก็ช่วย เป็นที่ระลึกของเจ้าคุณอุปัชฌาย์เรา ช่วยไม่หยุดไม่ถอย เฉพาะอย่างยิ่งที่หนักมากก็คือ เมรุ เมรุนี้เป็นคำพูดของเจ้าคุณอุปัชฌาย์ท่านพูดไว้ ตกลงเราก็ไว้เทิดทูนตลอดเวลา ท่านมรณภาพแล้วเราก็รื้อฟื้นคำพูดของท่านขึ้นมาที่ว่า อยากจะสร้างเมรุเผาศพท่านเป็นองค์แรก ท่านว่างั้นนะ ต่อไปได้จะเป็นประโยชน์แก่ประชาชนทั่ว ๆ ไป ท่านพูดเป็นธรรมกว้างขวางมากน่าฟัง เราจับไว้เลย

เวลาท่านล่วงไปแล้วเลยติดต่อเข้ามาหาเรา เราก็รับให้เลย นี่แหละที่ขวนขวายมากที่สุด เมรุนั้น โห ไม่ใช่น้อย ๆ นะเรา เราอยากว่าอย่างน้อย ๗๐% ที่เราช่วย ช่วยเต็มเม็ดเต็มหน่วยเลย วัดโพธิจึงเรียกว่าช่วยมาก บรรดาวัดใหญ่ ๆ วัดโพธิ(โพธิสมภรณ์) ที่เราช่วยมากที่สุด เพราะมีความจำเป็น ท่านวิ่งมาก็จะทำยังไงต้องช่วยกัน ไม่ช่วยกันก็ไม่ได้ ท่านมีหวังท่านจึงมาจะให้เสียหวังยังไง เมื่อมีอยู่พอจะสงเคราะห์กันได้ก็ช่วยกันไป อย่างงั้นแหละ

พวกข้างในก็ให้พากันตั้งหน้าตั้งตาภาวนานะ อย่ามาอยู่เฉย ๆ เล่น ๆ อยู่เฉย ๆ ดีไม่ดีทะเลาะเบาะแว้งกัน อย่าให้มีในวัดนี้นะ พระในวัดนี้ไม่มี อยู่เหมือนอวัยวะเดียวกัน เราปกครองมานมนานไม่มีอะไร การปกครองเหมือนพ่อแม่กับลูก เราปกครองพระเณรเราเป็นอย่างนี้ตลอดมา นี่ละหลักธรรมหลักวินัยตบเข้าไปหากันจนเป็นอวัยวะเดียวกัน ภาคไหน วัดป่าบ้านตาดมีทุกภาคตลอดมาพระเณรที่มาอยู่นี่ ทั่วประเทศไทยอยู่ในนี้ทั้งนั้น ทุกภาค ปกครองแบบเดียวกันหมด ถามแต่อุปัชฌาย์เป็นสำคัญ หลักพระวินัยมีอย่างงั้น บวชมาจากวัดไหน ใครเป็นอุปัชฌาย์ มาจากวัดนั้นวัดนี้ ผู้นั้นเป็นอุปัชฌาย์ พอทราบแล้วว่าอุปัชฌาย์ แน่ใจแล้ว

ถ้าควรรับได้ไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็รับกันเลย นอกจากมันล้นไปเสียตลอดเวลารับไม่ได้ ไม่ว่าบวชมาจากอุปัชฌาย์ใด แน่นอนแม่นยำขนาดไหนก็รับกันไม่ได้ หลักใหญ่ท่านรับจากหลักเกณฑ์คืออุปัชฌาย์ แล้วก็เอาใบสุทธิมาดูอีกทีหนึ่ง ไม่ใช่มาปลอม บอกบวชที่นั่นที่นี่ อย่างมาหลอกว่าหลวงตาบัวเป็นอุปัชฌาย์ ใบสุทธิไปไหนไม่รู้ เซ็นก็เซ็นปลอมมาอย่างนี้ นี่ละรับรับอย่างนี้ ไม่ค่อยถามละมาจากจังหวัดไหน ๆ พอถามอุปัชฌาย์แล้วดูใบสุทธิมันก็รู้เอง สถานที่อยู่ของอุปัชฌาย์เท่านั้น ควรรับก็รับกันเลย แล้วอยู่กันเป็นผาสุกอย่างนี้เรื่อยมา ให้ถือหลักธรรมหลักวินัยเป็นหัวใจเป็นชีวิตของพระทุกองค์ อย่าถือสิ่งอื่นใด อย่าถือคนนั้นคนนี้ ตำบลหมู่บ้านอำเภอจังหวัดภาคนั้นภาคนี้เข้ามากีดขวางกัน เรียกว่าเมืองไทยแล้วเท่านั้นพอ อยู่ด้วยกันเป็นผาสุกเสมอกันหมดแล้ว

ข้อยืนยันก็มีอุปัชฌาย์ มายืนยันแน่แล้ว ควรรับกันได้ก็รับ แล้วอยู่กันเป็นเหมือนอวัยวะเดียวกัน ของตกมาในวัดนี้เราจะไม่มีอะไรเลย เรียกว่าเราเป็นพ่อเป็นแม่ ลูกจะเอาไปกินยังไงใช้อะไรแล้วแต่ ใช้ให้ถูกต้องตามธรรมหลักวินัยของพระของเณรที่นำสิ่งของไปใช้ไปสอยไปอะไรก็แล้วแต่ อย่าให้ผิดธรรมผิดวินัย ไปฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมเหลือเฟือ ผิดหลักธรรมหลักวินัย ไม่ถูก ต่างคนต่างปฏิบัติตามนั้น ใครขัดข้องอะไรก็เอาไปเลย เขาถวายมาแล้วมากน้อยเราลุกขึ้นไปเลย จะเป็นหน้าที่ของพระเณรดูแลรักษา ใครบกพร่องอะไรก็บอกกัน แล้วแยกให้ ๆ ไปหมดเลย สำหรับเราเองเราไม่ยุ่งไม่เกี่ยว มอบให้พระผู้ปฏิบัติหน้าที่ทำหน้าที่กันเอง เป็นอย่างงั้นตลอดมา

ตลอดการขบการฉันเหมือนกัน ทุกวันนี้เรายังไม่ได้ไปดูบาตรนะ เพราะเห็นว่าอาหารมันเหลือเฟือ ล้นหลามทุกอย่าง อาหารเหลือเฟือเราถึงไม่เคยไปดูบาตร แต่ก่อน โอ๋ เข้มงวดกวดขัน เราจะเป็นผู้ดูแลหมด...บาตร ใส่บาตรจะมาใส่ตั้งแต่หัวหน้าไปถึงสุดท้ายไม่ได้ ต้องใส่ประสานกัน แต่ก่อนเป็นอย่างงั้น อาหารพอดิบพอดี การแจกอาหารให้สม่ำเสมอ เณรก็มีปากมีท้อง พระก็มีปากมีท้อง ผู้ใหญ่ผู้น้อยมีปากมีท้อง อันนี้เสมอกันหมด เพราะฉะนั้นการแจกจึงให้เสมอกันหมด ใครจะมาแจกแต่เราที่เป็นหัวหน้าไม่ได้นะ เราไม่เหมือนใคร ดีไม่ดีดุเอาเลย ต้องให้ดูสม่ำเสมอทั่วถึงกัน นี้คือความเป็นธรรม เอาตรงนั้นนะ ใครจะหาว่าเราเป็นผู้ใหญ่อำนาจมากอำนาจน้อย อำนาจนั้นใช้ในที่อื่นต่างหาก ไม่ได้ใช้มาเกี่ยวกับเรื่องการอยู่การกินอย่างนี้นะ

การอยู่การกินเป็นความเสมอภาคโดยอรรถโดยธรรม ปากน้อยก็ปากคน ปากใหญ่ก็ปากคน ต้องให้สม่ำเสมอ ความเสมอนี้เป็นธรรม เอาตรงนี้ เพราะฉะนั้น เวลาแจกอาหารเราจึงคอยตรวจตราอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ก่อนนู่นนะ แจกอาหารต้องประสานกัน ประสานกันแล้วยังดูอีกว่า บาตรไหนที่บกพร่องกว่าเพื่อน เวลาแจกให้สังเกตไปพร้อม ถ้าบาตรไหนมีบกพร่องเพิ่มเข้าไปอีก ไม่ใช่สักแต่ว่าแจกๆ ให้เสมอ นี่เราปฏิบัติอย่างนี้ตลอดมากับพระกับเณร ได้อะไรนี้เป็นอวัยวะเดียวกัน เหมือนพ่อแม่กับลูกในครัวเรือนนั้นแหละ ปฏิบัติอย่างนั้นเรื่อยมา เราไม่มีอะไร ของตกมาใครจำเป็นอะไรเอาไปเลย ๆ ๆ ไม่ต้องมาขอ เราบอกแล้วว่าอย่ามาขอเรา เรื่องราวมอบให้หมู่เพื่อนหมดแล้ว ดูแลกันเอง เราบอก ใครบกพร่องที่ตรงไหนให้ดูแลกัน แจกแบ่งให้ทั่วถึงให้สม่ำเสมอ ถูกต้องตามหลักธรรมวินัยแล้วไม่มีปัญหาอะไร นี่ปฏิบัติกันมาอย่างนี้

การแนะนำสั่งสอนก็แบบเดียวกัน ผิด-ถูก ชั่ว-ดี ว่าไปตามเหตุตามผล ของความผิด-ถูก-ชั่ว-ดีของพระเณรที่มา ควรหนักก็หนัก ควรดุ ๆ ดีไม่ดีควรขับไล่ ๆ นี่เคยขับไล่แล้ว ตามหลักธรรมวินัยใครมาค้านไม่ได้ ขับออกก็ตามหลักธรรมหลักวินัย ไม่ใช่ขับออกด้วยทิฐิมานะ ความโมโหโทโส อวดก้ามอย่างนั้นเราไม่มี อวดอำนาจเราไม่มี อำนาจก็ต้องเอาธรรมวินัยเป็นอำนาจ อำนาจของเราก็อยู่ในธรรมวินัย ไม่ให้นอกเหนือจากนั้นไป นี่เราปฏิบัติอย่างนั้น พระเณรที่อยู่นี้ก็ผาสุกเย็นใจด้วยกัน เพราะฉะนั้น พระเณรที่มาอยู่ที่นี่ มาแล้วจึงไม่อยากหนี ได้ขับไปนะได้ไล่ไป คือมาแล้วอยู่ตลอดไม่ยอมหนีคนอื่นเข้าไม่ได้ละซิ เราก็ต้องผ่อนผันสั้นยาวถ่ายเทกันไป องค์นี้มาอยู่นานแล้วสมควรที่จะแยกย้ายไปบำเพ็ญโดยลำพังเจ้าของ เพื่อแยกทางให้ผู้อื่นเข้ามาได้อาศัยการศึกษาอบรมจากครูบาอาจารย์ แน่ะเราก็บอก แล้วก็ชี้แนะให้ไป แล้วผู้นี้ก็เข้ามา ๆ ให้สม่ำเสมอกันอย่างนั้น นี่เราปฏิบัติมาอย่างนี้

ส่วนมากใครมาอยู่ที่นี่พระเณรไม่ค่อยจะอยากหนีนะ ไม่ปรากฏว่าอยากหนี มีแต่อยู่แล้วอยากอยู่เรื่อยไป เป็นอย่างนั้นนะ จึงมักได้บอกได้กล่าวหรือขับไล่กันไป ขับไล่ไปแบบธรรมแบบวินัย ไป ๆ อยู่ที่นั่นที่นี่ไป อันนี้มากแล้วให้หมู่เพื่อนได้เข้ามาศึกษาอบรมบ้าง เราศึกษาอบรมพอสมควรแล้วก็ให้ไปหาที่บำเพ็ญสมณธรรมด้วยความสะดวก อย่างนี้มีอยู่เสมอ เพราะพระเณรไม่ค่อยออก เข้าแล้วไม่ค่อยออก เต็มอยู่นี้พระเณร เรื่องดุเรื่องด่าใครก็ทราบทั่วประเทศไทยเราว่า หลวงตาบัวนี้ดุ ดุ เราก็ไม่ได้วัดรอยนะ มันก็ไม่พ้นที่จะเดินตามรอยพ่อแม่ครูจารย์มั่น ท่านดุเราก็ได้ยินแล้ว ก็ดังที่เล่าให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ใครจะดุจะเด็ดยิ่งกว่าหลวงปู่มั่น เราก็บอกว่านี้ละอาจารย์ของเรา ไปก็โดนผางเลย โอ๋ย.นี่แหละเอาอีกนะ นี่ละอาจารย์ของเราคือถูกต้องเหลือเกิน ท่านพูดทำไมถูกต้องเอาหนักหนา หาที่ค้านไม่ได้ ลง หมอบ นี่ละอาจารย์ของเรา ๆ เรื่อย จนกระทั่งท่านมรณภาพจากไป ถ้าท่านยังอยู่เดี๋ยวนี้เราไม่หนีไปไหนนะ เราจะอยู่นั้น

อันนี้มันก็มาลักษณะคล้ายคลึงกันกับพระ-เณรที่มาอยู่ที่นี่ เรื่องดุน่ะดุ แต่ดุที่ไหน ๆ มันผิดที่ควรดุ ถ้าไม่ผิดไม่ดุ คนอื่นไม่ผิดไม่ว่า แน่ะมันก็มีเหตุมีผล นี่แหละเรื่องราวมัน คือเราเอาหลักธรรมหลักวินัยเป็นเกณฑ์ เราไม่ได้เอาอำนาจของเราไปกดขี่บังคับหมู่เพื่อนนะ อย่างนั้นเราไม่นำมาใช้ ใครจะมาใช้กับเราก็ไม่ได้ เรียกว่าไม่เห็นด้วยไม่ลงด้วย ดีไม่ดีโต้กันไปไรไม่มีเหตุมีผล ต้องมีเหตุมีผล ยอมรับกันด้วยเหตุด้วยผล พอพูดอย่างนี้แล้วก็ยก ไอ้ทิดหรวดมันเป็นเณรอยู่นี้ด้วย เราก็ยังไม่ลืม ที่มันไม่ลืมมันเป็นเองนะ เราก็อยู่กระต๊อบนะ แต่ก่อนไม่ได้มีกุฏิหลังใหญ่ กระต๊อบหลังเล็ก ๆ กระต๊อบสูงแค่นี้ แอ้มจากมุงหญ้าเท่านั้นละ

อยู่ที่นั่น เราก็ดูนาฬิกามันดูผิดไป เพราะแต่ก่อนการทำข้อวัตรปฏิบัตินี้ พระ-เณรกับเรานี้เสมอกันเลย ดีไม่ดีความรวดเร็วเราเร็วกว่าเสียด้วยซ้ำ รวดเร็วกว่า เราเคยปฏิบัติเคยอยู่กับครูบาอาจารย์มา เรียกว่าคล่องตัวตลอดเวลา ทีนี้เวลามาอยู่ในเวลาเช่นนั้นเราก็ยังหนุ่มน้อยอยู่นี่ ปัดกวาดอะไร ๆ เสมอพระเณรหมด นี้อยู่ ๆ ก็ดูนาฬิกา ตามธรรมดาอากาศก็ได้ทราบทั่ววัดแล้วว่า บ่าย ๔ โมงในช่วงนั้นนะ บ่าย ๔ โมงปัดกวาด พอได้เวลาแล้วต่างองค์ต่างลงของใครของเรา ไม่มีระฆังตี ทีนี้วันนั้นเราก็ไปมองดูนาฬิกา ไปเห็นเข็มนาที ฟาดเข้า ๒๐ นาที ก็คือบ่าย ๔ โมง โอ๊ย ตาย นี่มันได้เวลาแล้วนี่ ลืมดูเข็มสั้นมัน ปุ๊บปั๊บจับได้ไม้กวาดก็กวาดบริเวณของตัวเองเสร็จแล้ว กวาดออกมาข้างนอก ต้นไม้ที่หน้าศาลากวาดออกมาช่องนั้น ออกมาเห็นเณรจรวดมันรักษาศาลานี่

แต่ก่อนแขกไม่ค่อยมีนะ สะดวกสบายพระเณร มาเห็นเห็นเณรด้อม ๆ เข้าไปทางนั้นกำลังปัดกวาดออกมา เราก็ดุใหญ่เลย เหอ เณร เป็นยังไงพระวัดนี้ตายกันหมดแล้วเหรอ ขึ้นเลยนะ แล้วใครจะกุสลาใคร มันก็ตายด้วยกันหมดแล้ว ทำไมเวล่ำเวลามีอยู่ปัดกวาดวันนี้ทำไมเป็นอย่างนี้ ดุใหญ่นะ ใส่เปรี้ยง ๆ เลย เคลื่อนเวลาเวล่ำเวลา ซึ่งประกาศกันมานานแล้ว ทำไมวันนี้จึงมาเหลวไหลเอาขนาดนี้ ความหมายว่างั้น ทีนี้เณรมันคงจะรำคาญ เหอ ทำไมจึงไม่มาปัดกวาดกัน พระตายหมดวัดแล้วเหรอ ใครจะไปกุสลาใคร เราว่าอย่างนั้น เณรเลยตอบขึ้นมาว่า มันพึ่งได้ บ่าย ๓ โมง ๒๐ นาที ว่าอย่างนั้นนะ

หือ ว่าอีกน่ะ มันพึ่งได้บ่าย ๓ โมง ๒๐ นาที เหอ อย่างนั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นเณรให้รีบเลิกนะ หยุด ๆ เณรหยุด มันจะมาเป็นบ้าด้วยกันทั้งวัด เราจะไปแก้บ้าของเรา ก็เดินปึ๋งกลับเลย แล้วบอกให้พระมานี่เดี๋ยวจะเป็นบ้ากันทั้งวัดเพราะเราคนเดียว เณรคงจะขบขัน กำลังเอาเปรี้ยง ๆ อยู่นะ เป็นไฟไปเลย พอว่าพึ่งได้ ๓ โมง ๒๐ นาที เท่านั้นก็เหอ ๆ ขึ้นเลย พอเณรย้ำเข้าอีก โอ๋.ถ้างั้นให้เลิก ๆ กันเดี๋ยวนี้หยุด ๆ เดี๋ยวจะเป็นบ้ากันทั้งวัด เราจะไปแก้บ้าเรา เราก็ปึ๊งกลับเลย นี่เราก็ไม่ลืม เณรคงจะเล่าให้พระฟังนะ เรื่องเราเป็นบ้า ต้องยอมรับใช่ไหมล่ะ ที่เราเข้าใจว่าเป็นความจริงเราก็ซัดเต็มเหนี่ยวเรานี่ พระเณรผิด เมื่อเราผิดแล้วก็บอกว่าพระเณรถูกทั้งหมดเราเป็นบ้าคนเดียวเราจะไปแก้บ้าเรา เราก็กลับปุ๊บเลย ก็อย่างนั้น นั่นละการปกครองกันเข้าใจไหมล่ะ ต้องปฏิบัติกันอย่างนั้น

นี่อยู่ด้วยกัน มีหัวใจด้วยกันทุกคน ๆ เฉลี่ยหัวใจใส่กัน เอาแต่ใจตัวไม่ได้นะ ไปที่ไหนคนไหนที่เอาแต่ใจตัวไม่มีเพื่อนมีฝูง ใครไม่อยากคบค้าสมาคม เพราะเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้เขา เพราะความเห็นแก่ตัว ต้องเห็นแก่หลักแก่เกณฑ์แก่เพื่อนแก่ฝูง หัวใจมีทุกคน เฉลี่ยให้ทั่วถึงกัน พูดควรเก็บความรู้สึกไว้ก็เก็บไว้เสีย อย่าด่วนตอบโต้ออกมา ให้พินิจพิจารณาเสียก่อนทุกสิ่งทุกอย่าง อยู่ด้วยกันได้ มีมากมีน้อยมีหัวใจด้วยกัน แม้แต่เด็กเขาก็มีหัวใจ ผู้ใหญ่ดุเขาไม่ถูกเหตุถูกผล เขาก็เคียดแค้นเหมือนกัน เราไม่ควรจะไปใช้ทุกแบบต่อคนมีหัวใจหลายหัวใจด้วยกัน ต้องพินิจพิจารณา ทำอะไรไม่ถูกให้ยอมรับกันนะ อย่าดื้อรั้นอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้นะ ต้องให้ปฏิบัติตามหลักธรรมหลักวินัย อยู่กันเป็นกลุ่ม อย่างพระเณรปฏิบัติอยู่นี้ก็เหมือนกัน ถือหลักธรรมหลักวินัยเป็นเกณฑ์ แล้วก็ถือเราเข้าอีกซึ่งเป็นหัวหน้า คอยดูแลนำหลักธรรมวินัยมาสั่งสอนหมู่เพื่อน เราก็ปฏิบัติตามนั้นมาอย่างนั้น

อยู่ข้างในก็เหมือนกัน เรื่องอาหารการกินของเรา ขอให้พี่น้องทั้งหลายที่มาอาศัยอยู่ที่นี่ ให้อดให้ออมเอา บางทีก็มีมากบางทีก็มีน้อยเป็นธรรมดา เรามาปฏิบัติธรรมซึ่งไม่ก่อความกังวลกับสิ่งใด นอกจากจะประกอบความพากเพียรด้วยความเป็นธรรมอย่างเดียว โดยความมีสติสตังระมัดระวังตัวตลอดเวลา นี้เป็นความชอบธรรมมาก ให้เอาธรรมข้อนี้มาปฏิบัติ การอยู่การกินมีมากมีน้อย แล้วแต่มันเกิดมันมีมายังไง พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้แล้วอย่างเป็นหลักเป็นเกณฑ์ ผู้ปฏิบัติธรรมวินัยท่านสอนไม่ให้กังวลกับการอยู่การกินการใช้การสอยทุกสิ่งทุกอย่าง นอกจากความเพียร สติ ปัญญา ศรัทธาความเพียรต้องหมุนกันไปตลอดเวลา ความเคลื่อนไหวอิริยาบถต่าง ๆ อย่าได้เผลอสติสตัง ให้ใช้ความระมัดระวัง นี่ท่านสอนอย่างนี้นะ

เรื่องอาหารการอยู่การกินท่านปัดออกหมด นี่ละหลักธรรมหลักวินัยแท้ท่านทั้งหลายฟังเอานะ อยู่ยังไงได้ กินยังไงได้ นอนยังไงได้ ขอแต่ให้ได้ปฏิบัติธรรมด้วยความสะดวกใจเท่านั้น เป็นที่เหมาะสมกับธรรมแล้ว ให้ปฏิบัติอย่างนี้ เรามาอยู่นี้มีมาก ข้างในก็มากต่อมาก ดีไม่ดีมากกว่าพระในวัด ให้พากันพินิจพิจารณาอดออมซึ่งกันและกัน มีมากมีน้อยให้เฉลี่ยเผื่อแผ่ให้ทั่วถึงกัน อย่าเห็นแก่ปากเราท้องเราอย่างเดียว คนนั้นเข้ากับใครไม่ได้ เขาเรียกคนโลภมาก คนเห็นแก่ตัว เห็นแก่อยู่แก่กิน เข้ากับใครไม่ได้นะ คนที่ไม่เห็นแก่ปากแก่ท้องเห็นแก่อรรถแก่ธรรม มีเท่าไรมาเฉลี่ยเผื่อแผ่ให้ถึงกันหมด นั้นละคือคนชุ่มเย็น อิ่มก็อิ่มด้วยธรรมไม่ได้อิ่มด้วยพุง อิ่มด้วยพุงนี้มันทะเลาะคนอื่น เจ้าของก็เดือดร้อน ถ้าอิ่มด้วยธรรมแล้วเจ้าของก็เย็น ถึงท้องจะบกพร่องบ้าง แต่ใจของเรามีธรรมในใจ เฉลี่ยเผื่อแผ่ให้ถึงกันหมดนี้คือท้องที่มีธรรม อยู่ผาสุกเย็นใจด้วยกัน พากันจำอันนี้เอาไว้ทุกคนนะ

เรื่องหลวงตาที่เป็นหัวหน้าอยู่นี้ก็เฉลี่ยเผื่อแผ่ให้ทั่วถึง แต่บางอย่างมันอาจสุดวิสัยก็ได้ เพราะเราไม่ได้ดูทุกแง่ทุกมุม ดูแต่จุดศูนย์กลางคอยแนะคอยบอกเท่านั้น ถ้ามีโอกาสก็ด้อม ๆ ไปดูบ้าง จึงกรุณาเห็นใจด้วยก็แล้วกัน เรื่องความเมตตานี้ ท่านทั้งหลายมาอยู่กับหลวงตา หลวงตาไม่เคยปราศจากเมตตานะ จะดุด่าว่ากล่าวขนาดไหนความเมตตานี้จะติดแนบ ๆ ตลอดเวลา อันนี้เป็นพื้นเพของจิตใจดวงนี้พูดตรง ๆ เลย จะแยกแยะบกพร่องไปไหนไม่ได้เลย เป็นหลักธรรมชาติของจิตดวงนี้กับธรรมคือความเมตตา เป็นพื้นฐานตลอดเลย ส่วนการดูแลให้ทั่วถึงตามเจตนาของเราที่มีต่อเพื่อนฝูงที่มาอาศัยอยู่นี้ อาจไม่ทั่วถึงก็ได้ ก็ขอความกรุณาให้พิจารณาอันนี้ไว้ใส่ใจของเราทุกคน ๆ ต่างคนต่างเฉลี่ยเผื่อแผ่ ใครมีอะไรก็ตาม ไม่ได้มีว่าคนสูงคนต่ำคนอะไรนะ

เราเป็นลูกชาวพุทธด้วยกัน หวังอรรถหวังธรรมเป็นที่คุ้มครองจิตใจเรา ผู้ใหญ่ผู้น้อยให้มีธรรมปกครองจิตใจแล้ว ผู้ใหญ่ก็เป็นสุขผู้น้อยก็เย็นใจสบายใจ อยู่ด้วยกันเป็นผาสุก แม้จะอดบ้างอิ่มบ้างหัวใจก็เต็มตื้นด้วยอรรถด้วยธรรม ด้วยความเฉลี่ยเผื่อแผ่ เสมอหน้ากัน นี้คือความสุขอยู่ตรงนี้นะ ไม่ได้อยู่กับที่ว่าเรากินอิ่มท้อง เขาอดเขาหิวจะตายก็ช่างหัวใคร อันนั้นใช้ไม่ได้ อย่านำมาใช้ในวงของธรรม วงของธรรมไม่เป็นอย่างนั้น วงของธรรมต้องสม่ำเสมอ อดอยากอะไรก็ให้เป็นไปด้วยกัน นี่เป็นวงของธรรม เป็นอวัยวะเดียวกัน เป็นลูกพ่อแม่เดียวกัน คือศาสดาองค์เอกเป็นพ่อของพวกเรา ไม่มีใครว่าอยู่ในชาติชั้นวรรณะเหล่านั้นสูงนั้นต่ำเอามาอวดก้ามกัน นั้นมาทำลายกันนะ

กรรมแท้เป็นของทุกคน หลักใหญ่อยู่ตรงนี้ ใครจะเป็นชั้นไหน ๆ ก็เกิดมาด้วยอำนาจแห่งกรรม ให้ยินดีในกรรมของตัวเอง มีดีมีชั่วขนาดไหนให้ยินดีในกรรมของตัวเองเป็นพื้นฐานก่อนอื่น แล้วส่วนอื่นนอกจากนั้นเราค่อยพิจารณากัน ส่วนตัวเองให้รีบตำหนิตัวเองไว้ตลอด เมื่อตำหนิตัวเองไว้แล้วมันจะไม่ระบาดสาดกระจายเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ผู้อื่น แล้วต่างคนต่างอยู่เย็นใจ ๆ ให้พากันตั้งหน้าตั้งตาภาวนา จิตใจเป็นของที่เดือดร้อนมากนะ เพราะกิเลสคือความเดือดร้อนมันอยู่ในใจดวงเดียว ดังที่เราเคยพูดให้ฟัง เมื่อวานหรือวันวานนี้ก็พูดถึงเรื่องกิเลสมันขู่ขึ้นมา นี่ละกิเลสอยู่ในใจ ใจดวงนี้ละนะ นี่ท่านอดอาหารเพื่อจะฆ่ากิเลสให้ตาย แต่เวลานี้กิเลสยังไม่ตายท่านกำลังจะตายรู้ไหม

นี่กิเลสขึ้นในหัวใจ มันอยู่ด้วยกันกับธรรม มันโผล่ขึ้นมาขู่ธรรม ซึ่งเรากำลังปฏิบัติธรรมอยู่ด้วยการอดอาหาร ทางนั้นขึ้นปั๊บเรียกว่ากิเลสเกิด ทางนี้ธรรมก็เกิดรับกัน ก็การอยู่การกินนี้กินมาตั้งแต่วันเกิดก็ไม่เห็นวิเศษวิโสอะไร อดเพียงเท่านี้เพื่ออรรถเพื่อธรรมมันจะตายเหรอ เอ้า.ตายก็ตาย นั่นเห็นไหมล่ะ เราอดเพื่ออรรถเพื่อธรรมมันจะตายเหรอ เอ้า.ตายก็ตาย พุ่งเลยไม่ได้ฟังเสียงกิเลส กิเลสก็หมอบราบ เราก็อดของเราไปเรื่อย ๆ นี่ละกิเลสกับธรรมอยู่ในหัวใจดวงเดียวกัน ให้ท่านทั้งหลายทราบ ความโลภ ความโกรธ ความหลงนี้คือกิเลส อยู่ในธรรม ความแก้ความโลภ ความโกรธ ความหลง นี้คือธรรม แก้กันไปๆ ความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงคือธรรมอยู่ในหัวใจ เมื่อชำระความโลภโกรธหลงซึ่งเป็นตัวกิเลสออกแล้ว กิเลสก็หมดพิษหมดภัย มีแต่ความอยู่เย็นเป็นสุข

ดังพระอรหันต์ท่านไม่มีสิ่งเหล่านี้กวนใจ ตั้งแต่วันท่านตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมาเท่านั้น ตรัสรู้ก็คือสังหารสิ่งเป็นภัยเหล่านี้ให้ขาดสะบั้นลงไปจากใจ มีแต่ใจที่บริสุทธิ์ล้วน ๆ แล้วไม่มีภัยมีเวร อยู่ไหนอยู่ได้ตายได้เป็นได้ทั้งนั้น ท่านไม่มีแง่หนักแง่เบาต่อสิ่งใด คือท่านพอทุกอย่าง ปล่อยหมดทุกอย่าง นี้เรียกว่าหายกังวล อนาลโย ไม่มีความอาลัยเสียดายกับสิ่งใด พออยู่ในหัวใจทุกอย่างด้วยธรรมเต็มหัวใจ จากการปฏิบัติของเราด้วยความเอาจริงเอาจัง ให้ตั้งหน้าตั้งตาไปปฏิบัตินะ เวลานี้ชาวไทยเรารู้สึกห่างเหินจากอรรถจากธรรมมากทีเดียวจนน่าวิตก เราที่วิตกกับโลกห่วงใยโลกนี่ โลกกลับมาเห็นว่าเป็นพิษเป็นภัยเข้าอีกละนะ เป็นอย่างนั้นละกิเลสต่อสู้ธรรม หาว่าเราเป็นบ้าคนเดียวไปแล้ว ไอ้พวกนั้นเป็นบ้ากันทั้งโลก เราห่วงใยคนเป็นบ้า อยากให้เป็นคนดิบคนดีด้วยการปฏิบัติอรรถธรรมบ้างนี้มันไม่ยอมปฏิบัตินะ จะหาแต่ของเป็นฟืนเป็นไฟมาเผาไหม้กันตลอดเวลา

นี่เวลานี้กำลังเรื่องราวเกิดรอบบ้านรอบเมืองเราก็เห็นอยู่เหรอ นี่ก็เห็นอยู่นี่ นี่ละเรื่องกิเลสมันหาก่อเรื่องก่อราวยุแหย่ก่อกวน ทำความฉิบหายไปได้ทุกแง่ทุกมุมที่มันพอทำได้ตรงไหนมันทำกิเลส เพราะฉะนั้นเราเป็นผู้มีธรรมต้องระมัดระวังสำรวมตนให้ดี อย่าลืมเนื้อลืมตัวอย่างง่ายดาย จะเสียท่าให้กิเลสนะ ให้มีธรรมเป็นเครื่องกำกับรักษา การกินอยู่ปูวายการประพฤติเนื้อประพฤติตัวขอให้มีขอบเขตมีเหตุมีผล หลักเกณฑ์ปฏิบัติตัวเอง แล้วจะค่อยมีฝั่งมีฝาไป เราเป็นผู้ใหญ่ได้รับอรรถรับธรรมเข้าสู่ใจปฏิบัติตัวตามระบอบของธรรม แล้วเราก็จะเป็นผู้มีธรรมสงบร่มเย็น ลูกเต้าหลานเหลนเกิดขึ้นมาก็จะได้ยึดพ่อแม่ที่เป็นแบบฉบับที่ดีนี้แล้วไปปฏิบัติตัวเอง จะมีความร่มเย็นเป็นสุข ได้มรดกอันมีค่ามากจากพ่อจากแม่ไว้ปฏิบัติตัวเอง ก็ประดับชาติบ้านเมืองของเราให้สงบร่มเย็นต่อไป ให้พากันจำเอานะ

วันนี้เทศน์ถึงเรื่องภาวนา ให้อุตส่าห์ภาวนานะ การภาวนาการบึกการบึน ทุกข์ขนาดไหนในการภาวนาเพื่อต่อสู้กับกิเลส ทุกข์อันนี้ทุกข์เพื่อความสุขนะ ไอ้ทุกข์บืนไปตามกิเลสนี้ทุกข์เพื่อมหันตทุกข์ อย่านำมาใช้นะ ทุกข์ด้วยการต่อสู้กิเลส เอ้า ทุกข์ไปเถอะว่างั้นเลย ถึงขนาดมันจะสลบไสล เอ้า สลบ มันจะตายก็ตาย นักรบเขาสู้กันเขาเอาตายเข้าว่า นักมวยต่อยกันก็เหมือนกัน ฟาดกันเต็มเหนี่ยว อันนี้ก็เหมือนกันกิเลสกับเรา เราคือธรรมฟัดกันไปเลย ให้ได้หลักได้เกณฑ์ นี่มาใกล้เมื่อไรขอบเขตเมืองไทยเราเข้ามาที่นี่มีน้อยเมื่อไร จังหวัดไหนต่อจังหวัดไหนเราเห็นใจนะ ที่อุตส่าห์พยายามมาจากฟากฟ้าแดนดิน อุตส่าห์พยายามมาหาครูบาอาจารย์

เราที่จะแนะนำสั่งสอนให้เป็นเนื้อเป็นหนังจริงๆ ตามที่เจตนาของท่านทั้งหลายที่มามันก็เป็นไปไม่ได้เพราะงานเราก็มาก แบ่งทางโน้นแบ่งทางนี้ พอมีโอกาสบ้างก็สอน เช่นอย่างวันนี้สอนท่านทั้งหลายให้ปฏิบัติตัว อย่าให้เสียท่าเสียทีที่มาจากที่ต่าง ๆ มาบำเพ็ญธรรม มาถึงวัดแล้วอย่าไปห่วงบ้านห่วงเรือนจนเกินไป ทำลายธรรมคือจิตตภาวนาให้เสียไปไม่ดี เวลาเรามาปฏิบัติธรรมปัดออก สิ่งเหล่านั้น ก็เราเกิดมาอยู่กับสิ่งเหล่านี้มาจนจำเจแล้ว มาปฏิบัติธรรมเท่านี้ทำไมจึงคิดถึงเขา เขามีอำนาจวาสนาเหนือพระพุทธเจ้า เหนือธรรมไปที่ตรงไหน เอาธรรมเข้ามาวัดปั๊บเท่านั้นมันก็หงายกลับคืนไป เราก็ภาวนาได้สะดวกสบาย การอยู่อยู่ที่ไหนก็อยู่ไปเถอะ ขอให้รักษาใจให้ดี ใจเป็นของสำคัญมาก อยู่ไหนอยู่ ขอให้รักษาใจเข้มงวดกวดขันด้วยสติสตังด้วยภาวนา อย่าส่งจิตให้วุ่นวายส่ายแส่ไปที่ต่าง ๆ ซึ่งเคยเป็นมามากต่อมาก แล้วเอาไฟมาเผาเราจนพรรณนาไม่จบแล้ว ให้เอาธรรมเข้าสกัดลัดกั้น พอมีขอบเขตบ้าง เราจะอยู่ผาสุกเย็นใจ ให้ภาวนา

จิตนี้พอเวลาฝึกได้เป็นลำดับลำดาจะเห็นผล นี่ละธรรมขึ้น จากใจดวงเดียวกันนี้ เปิดโอกาสให้ธรรมปราบกิเลสไป ความขี้เกียจขี้คร้านท้อแท้อ่อนแอเป็นเรื่องของกิเลส เอ้า ปราบไปด้วยความขยันหมั่นเพียร ด้วยความอุตส่าห์พยายาม และความเฉลียวฉลาด ด้วยสติปัญญาของเราให้ติดแนบอยู่กับใจเสมอ คนนั้นจะเป็นคนไม่ไร้ค่า ถ้าปราศจากสติปัญญาความระมัดระวังแล้วไร้ค่า เดินจงกรมอยู่ก็ไม่เป็นหน้าเป็นหลัง นั่งภาวนาก็เถ่อไม่เป็นหน้าเป็นหลัง ถ้ามีสติแล้วอยู่อิริยาบถไหนดีทั้งนั้น จำให้ดีนะ เอาละพอ วันนี้ตั้งใจเทศน์ให้ฟัง

โยม : ขอถวายทองคำ หนึ่งบาท

หลวงตา : เราจะเพิ่มทองคำขึ้นให้ถึงจุดที่ต้องการ ดังได้ประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบแล้ว ทีนี้ขึ้นเวทีแล้วนะ สิบตันขึ้นแล้วเวลานี้ ยังไงต้องฟัดกันเลย ให้ถอยไม่ถอย

อ่านธรรมะหลวงตา วันต่อวัน ทางอินเตอร์เน็ต www.luangta.com


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก