เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๖
พุทธศาสนาเป็นเอกเพราะจิตตภาวนา
เมื่อวานนี้ทองคำได้ ๒ กิโล ๕๔ บาท ๒๑ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๗๑๐ ดอลล์ ทองคำที่ได้เพิ่มหลังจากเรามอบแล้ว ๑๓๒ กิโล ๒๓ บาท ๑๑ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๑๒๖,๐๖๓ ดอลล์ รวมทองคำที่ได้แล้วทั้งหมด ๕,๖๙๑ กิโลครึ่ง ดอลลาร์ที่ได้แล้วทั้งหมดเป็น ๗,๓๒๖,๐๖๓ ดอลล์ งานบุญประทายข้าวเปลือก ข้าวเปลือกได้ ๘,๕๗๐ กระสอบ ปีซืนนั้นได้ ๖ พันกว่ากระสอบ แล้วปีกลายนั้นได้ ๖ พันกว่าเหมือนกัน ปีนี้ได้ ๘ พันกว่า นับว่าได้มากกว่าทุกปี
เมื่อวานซืนนี้ก็ไปพรเจริญ ได้ให้รถพยาบาลคันหนึ่ง อุลตราซาวด์เครื่องหนึ่ง เหล่านี้มีแต่ราคาแพง ๆ นะ เขาพูดมาเราฟังด้วยเหตุด้วยผลทุกอย่าง สมควรจะสงเคราะห์แล้วเราให้เลย เขามีรถอยู่คันเดียวใช้ลำบากมาก เราก็เลยให้ กับอุลตราซาวด์ ให้ทั้งสอง มันก็ล้านกว่าแล้ว อย่างนี้แล้วมันแยกไปโน้นแยกไปนี้อยู่เรื่อยเข้าไม่ได้
เรื่องของเราที่เทศน์แต่ก่อนก็เทศน์ทั่วประเทศไทย เวลานี้ออกถึงเมืองนอก ด้วยมีเครื่องมือที่สะดวกทันการ ก็เลยกระจายออกไปกว้างขวางก็พอดีกับความนึกคิดของเราที่ฝังมานานแล้วนะ แต่ยังไม่ค่อยออกเท่าไรนัก เพิ่งเริ่ม ๆ ออกตอนนี้แหละ ตอนได้ออกช่วยชาติบ้านเมือง เกี่ยวกับเรื่องการเทศนาว่าการในธรรมะประเภทต่าง ๆ แล้วมันจะเข้าถึงจุดที่ว่าภาวนา อันนี้เราสอนไปบ้างเล็กน้อยไม่ได้มากนัก ทั้ง ๆ ที่คำว่าภาวนาในพุทธศาสนานี้เป็นธรรมที่เป็นแก่นเป็นหลักของธรรมแท้ ๆ หลักของพุทธศาสนาโดยแท้คือจิตตภาวนา
หลักใหญ่ของศาสดาที่จะอุบัติขึ้นมาก็ออกมาจากจิตตภาวนา อย่างที่เราเห็นแล้วทรงเจริญอานาปานสติ นั่นละต้น รากเหง้าของพระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ขึ้นมา จากจิตตภาวนา ที่พระองค์ทรงบำเพ็ญมาก่อนใครทั้งนั้น หลังจากนั้นมาแล้วก็สั่งสอนสัตว์โลก ยกปฐมสาวกขึ้น เช่น เบญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ท่านสอนเรื่องภาวนาเรื่อยมา บรรดาพระสงฆ์สาวกและสัตว์โลกทั่ว ๆ ไปที่ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน จนถึงขั้นสูงสุดนี้ออกจากจิตตภาวนา จิตตภาวนามีพื้นฐานแห่งความดีทั้งหลายหนุน ๆ อันนี้เรียกว่า เป็นเหมือนเข็มเทียว คุณงามความดีทั้งหลายเหมือนด้ายเย็บ ด้ายเย็บเรานี้ละ เข็มเดิน เย็บตามเข็ม
นี่ละเรื่องพุทธศาสนาของเรานี้คือจิตตภาวนาเป็นหลักสำคัญมาก เราก็ไม่ค่อยได้สอนใครนัก เพราะเห็นว่าเรื่องจิตตภาวนานี้แม้ตั้งแต่พระเองยังขี้เกียจ ลองไปถามดูซิ ดูพระ มีพระวัดไหนบ้างที่เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เรียกว่ามันติดทั้งนั้นนะ จะมีแต่ปฏิเสธกันละ ไม่ได้ภาวนาไม่ได้เดินจงกรมนี่มากต่อมากนะ เราจะไปพูดอะไรถึงภายนอกที่เราจะต้องสั่งสอนคนเกี่ยวกับด้านภาวนา มันจึงห่างไกลกันมาก เพราะฉะนั้นเราจึงไม่สอน สอนแต่พระเรา พระก็พระเฉพาะวงปฏิบัติผู้มุ่งหน้ามุ่งตาต่อการปฏิบัติเพื่อกำจัดกิเลสตามทางของศาสดาเท่านั้น นอกนั้นไม่ค่อยสอน เห็นว่าเป็นการทำยาก นี่หลักใหญ่ใครก็ไม่อยากทำ ๆ ตั้งแต่ผู้ที่ตั้งหน้าตั้งตามาสู่การชำระสะสางกิเลสด้วยจิตตภาวนาเป็นอย่างยิ่งหรือเป็นหลักใหญ่ ก็ยังไม่อยากทำกัน ไม่ทำกัน
นี่ซิเราจึงไม่ค่อยจะสั่งสอน ไปที่ไหน ๆ ทีนี้นานมา ๆ ความคิดนี้ก็คิดมานานก็ค่อยระบายออกบ้าง การเทศนาว่าการสั่งสอนพี่น้องทั้งหลายก็มีเริ่มภาวนา ติดแนบไปบ้างไม่มากนัก ไม่มาก ต่อมาก็ค่อยเพิ่มขึ้น ๆ เรื่องจิตตภาวนา นี่หลักของศาสนาพุทธศาสนาที่เป็นเอกได้เพราะจิตตภาวนา เป็นรากฐานอันสำคัญมากทีเดียว จึงจะเว้นไปไม่ได้ในคำว่าจิตตภาวนาซึ่งประจำพุทธศาสนาของเรา ส่วนศาสนาอื่นใดเราไม่ค่อยไปสนใจละ เขาจะมีภาวนาหรือไม่มีเราก็ไม่ทราบ แต่พระพุทธเจ้าหรือพุทธศาสนาของเรานี้มีเรื่องจิตตภาวนาเป็นสำคัญมาก เป็นรากฐานของพระพุทธเจ้ามาก่อนด้วย รวมแล้วเป็นรากฐานพุทธศาสนาครอบไว้หมดด้วยจิตตภาวนานี้ ถ้าลงได้บำเพ็ญทางด้านจิตตภาวนาจะได้รู้ความหนักเบามากน้อย ความละเอียดลออของธรรม ที่พระพุทธเจ้าของเราเองทรงแสดงไว้แล้วไปโดยลำดับ คือจะค่อยรู้ไปโดยลำดับ รู้จากตำรับตำราที่ท่านบำเพ็ญมาแล้ว ท่านรู้ท่านเห็นแล้วท่านแสดงไว้นั้นเป็นรู้อย่างหนึ่ง
รู้เป็นความจำกิเลสไม่ถลอกปอกเปิกนะ เมื่อรู้ด้วยความจริงคือจำได้แล้วมาปฏิบัติเป็นความรู้ ความจริงปรากฏขึ้นมา กิเลสก็ค่อยถอดค่อยถอนออกไปเรื่อย ๆ จึงเรียกว่าจิตตภาวนาเป็นสำคัญ ศาสนาพุทธของเราถืออะไรเป็นหลักพุทธศาสนาบอกว่า จิตตภาวนาเท่านั้นพอ ไม่มีสิ่งใดจะเหนือนี้ไปได้ละ พระพุทธเจ้าก็เป็นลูกจิตตภาวนา พระสงฆ์สาวกก็เป็นลูกจิตตภาวนา พวกเราทั้งหลายนี้จะเป็นพ่อจิตตภาวนาได้ยังไง มันขี้เกียจขี้คร้านเหมือนหมูตายตัวหนึ่ง มันไม่อยากภาวนากัน มันถึงไม่ได้รู้ได้เห็นของแปลกประหลาดอัศจรรย์ที่พระพุทธเจ้าประกาศกังวานมาได้ ๒,๕๐๐ กว่าปีนี้แล้ว ล้วนแล้วตั้งแต่ธรรมที่เลิศเลออัศจรรย์ทั้งภายในภายนอก
ภายในคือพระทัยสว่างกระจ่างแจ้ง เพราะการชำระกิเลสทั้งหลายด้วยจิตตภาวนา สิ่งภายนอกนอกจากพระทัยไปจะรู้เห็นไปหมด เช่น อย่างบาป บุญ นรก สวรรค์ นิพพาน เปรต ผี ประเภทต่าง ๆ สัตว์ทั่วแดนโลกธาตุที่ได้เสวยกรรมอยู่ตามอำนาจแห่งวิบากกรรมของตนนั้น มีอยู่รอบพระทัย พระองค์ทรงรู้แจ้งเห็นหมดจากจิตตภาวนานี่นะ จิตตภาวนาจึงเป็นของสำคัญ
จากนั้นก็มาถึงท่านผู้ปฏิบัติตาม นอกจากพระพุทธเจ้าแล้ว บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายก็ปฏิบัติตามนั้น ๆ ละกิเลสก็ละตามพระพุทธเจ้า รู้เห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ก็รู้เห็นเหตุการณ์ตามพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นแบบเป็นฉบับอันถูกต้องตายตัวมาโดยลำดับอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้เองการภาวนาจึงเป็นของสำคัญมากทีเดียว ละกิเลสได้มากน้อยออกจากภาวนา คำว่ากิเลสนั้นก็คือข้าศึกต่อธรรม ข้าศึกต่อใจของสัตว์โลกนั่นเอง เฉพาะอย่างยิ่งเป็นข้าศึกต่อเราชาวพุทธ ย่นเข้ามาเป็นข้าศึกต่อนักจิตตภาวนา
นักจิตตภาวนาชำระสะสางกิเลสทั้งนั้น กิเลสเป็นตัวภัย แก้อันนี้ออกจิตใจค่อยสว่างไสวออกมา นี่เรียกว่าจิตตภาวนาเหมือนน้ำที่สะอาด ซักฟอกสิ่งสกปรกคือกิเลสให้จางไป ๆ กลายเป็นจิตที่สะอาดขึ้นมา ๆ จนถึงขั้นที่จิตบริสุทธิ์วิมุตติหลุดพ้น ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกัน นี่ก็จากจิตตภาวนาเหมือนกัน ไม่นอกเหนือไปจากนี้เลย จึงควรได้เอาไปประพฤติปฏิบัติบ้างนะ สิ่งใดที่ได้ปรากฏขึ้นประจักษ์ตัวเองมันจะดูดจะดื่มนะจิตใจนะ รู้ธรรมภายในใจนี้ก็ดูดดื่มประเภทหนึ่ง อันนี้เรียกว่าประเภทเยี่ยม รู้ขึ้นทีไรจิตใจดูดดื่ม ๆ หนักแน่นดูดดื่ม หนักแน่นตลอด
จากนั้นก็รู้เห็นสิ่งภายนอกอีกก็เป็นความดูดดื่มเหมือนกัน แต่ไม่มีน้ำหนักเหมือนความดูดดื่มภายในใจที่ละที่ถอนกิเลสไปได้ แล้วเกิดความอัศจรรย์ขึ้นมาเป็นผลแห่งความบริสุทธิ์ หรือเป็นผลแห่งความสะอาดของตนจากจิตใจโดยลำดับลำดาไป อันนี้เป็นของสำคัญมากทีเดียว ภายนอกมันก็รู้อีกละ อันนั้นรู้ไปแต่ไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะรู้ไปละกิเลส พวกเปรตพวกผี พวกสัตว์นรกอเวจีอะไรนี้ ทั่วแดนโลกธาตุจะพ้นจากจิตดวงนี้ไปไม่ได้นะ เปิดจิตดวงนี้ออกไปแล้วจะรู้ ๆ เต็มกำลังนิสัยวาสนา ภูมิวาสนาของตนๆ นั้นแหละ นี่ก็ออกจากจิตตภาวนาไม่ได้ออกจากอะไรนะ
เพียงเราเรียนเรียนไปเท่าไรก็ได้แต่ชื่อแต่เสียง ว่าบาปก็ไม่เห็นบาป ว่าบุญก็ไม่เห็นบุญ ว่านรกไม่เห็นนรก สวรรค์ไม่เห็นสวรรค์ ว่านิพพานก็ไม่เห็นนิพพาน จำได้แต่ชื่อไม่ได้เห็น แต่ภาคปฏิบัตินี้เห็นนะ รู้ พอปฏิบัติไปรู้ไปเห็นไป ถ้าเป็นเรื่องของกิเลสก็ละไปถอนไปเรื่อย ๆ ๆ ไปอย่างนั้น นี่เรื่องจิตตภาวนา แดนพุทธศาสนาที่อัศจรรย์เลิศเลอก็คือจิตตภาวนานี้นะ ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้จดจำไปปฏิบัติ แต่อย่าไปคาดนะ ไปคาดว่าภาวนาท่านว่าจะรู้อย่างนั้นจะเห็นอย่างนี้ อย่าไปคิดอย่างนี้ไม่ถูก ให้ตามองค์แห่งการภาวนา อยู่ในหลักปัจจุบันของจิต เช่น เราภาวนาด้วยอานาปานสติ ก็ให้รู้ลมเข้าลมออก รู้ลมเข้าลมออกอยู่เท่านั้น ๆ ไม่ให้ไปคาดมรรคผลอะไร ดีชั่วประการต่าง ๆ มันเป็นสัญญาอารมณ์ ให้เอาลงปัจจุบัน ปัจจุบันนี้แลจะสามารถทำให้เกิดผลต่าง ๆ ความรู้ต่าง ๆ ขึ้นมาจากหลักปัจจุบัน ให้เรายึดนี้
ละกิเลสก็ละในปัจจุบันนะ ไม่ได้ละด้วยอดีตอนาคต ละด้วยปัจจุบัน พินิจพิจารณาด้วยสติปัญญาให้แน่นหนามั่นคง กิเลสจะค่อยจางไป ๆ สิ่งที่ปิดจิตใจของเราของโลกทั้งหลายไม่ให้รู้เห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ซึ่งมีมาดั้งเดิมก็เพราะกิเลสนี้เท่านั้นปิด พอเปิดจากนี้ออกไปแล้วสิ่งเหล่านั้นมีอยู่แล้ว มันก็ค่อยรู้ค่อยเห็นตามความสามารถของตนไปเรื่อย ๆ ให้พากันตั้งหน้าตั้งตาภาวนาบ้าง ว่าศาสนาพุทธนี้เลิศที่ตรงไหน เลิศที่จิตตภาวนาเป็นต้นเหตุบอกอย่างนั้นเลย ต้นเหตุของพุทธศาสนา ต้นเหตุของมรรคผลนิพพานไปจากจิตตภาวนานี้เป็นสำคัญมาก ส่วนศาสนาอื่นเขาจะมีภาวนาหรือไม่มีเราไม่สนใจนะ แต่พุทธศาสนาที่เราเทิดทูนสุดหัวใจ และเทิดทูนสุดหัวใจของชาวพุทธเรานี้ต้องถือเรื่องจิตตภาวนาเป็นสำคัญ นี้เห็นประจักษ์ทีเดียว
อย่างพูดอยู่เวลานี้มันก็ท้าทายอยู่ในใจนี่จะว่ายังไง ใครจะเห็นไม่เห็นมันไม่เคยสนใจ ใครจะว่ามาหลอกมาลวงต้มตุ๋น ว่าพูดจริงไม่จริงก็ไม่สนใจอีกเหมือนกัน ยิ่งกว่าเรารู้จัง ๆ อยู่ในหัวใจเรา และทรงไว้ซึ่งธรรมอัศจรรย์เต็มอยู่ในหัวใจแล้ว เราจะไปหาใครมาเป็นสักขีพยาน สักขีพยานเหล่านั้นมันวิเศษวิโสอะไร ธรรมต่างหาก ธรรมอยู่กับใจต่างหาก ที่เป็นสมบัติของตนนี้ให้ตนได้เทิดทูนหรือว่าอัศจรรย์อยู่ในตัวเองนี้ต่างหากนะ นี้เป็นของแปลกประหลาดอัศจรรย์กว่าสิ่งใด เหนือจะเอาใครมาเป็นสักขีพยาน อันนั้นเรื่องนอก ๆ เรื่องเจ้าของเป็น สนฺทิฏฺฐิโฏ ประกาศรู้ขึ้นประจักษ์ตัวเอง โดยไม่ต้องไปถามใคร นี้ต่างหากเป็นธรรมอัศจรรย์
เพราะฉะนั้น จึงไม่เคยสนใจว่าใครจะเชื่อไม่เชื่อก็ตาม ดังที่หลวงตาเทศน์ พูดอย่างจัง ๆ เทศน์ภาษาของธรรมต้องพูดไปตามธรรม จะพูดอย่างอื่นไม่เรียกภาษาของธรรม เราก็ต้องพูดไปตามภาษาของธรรม ทีนี้ภาษาของธรรมกับภาษาของกิเลสมันเป็นข้าศึกกัน เพราะกิเลสกับธรรมเคยเป็นข้าศึกกันมาประจำอยู่แล้ว ทีนี้ธรรมพูดอย่างตรงไปตรงมา นี่มันขัดกับกิเลสที่เป็นตัวอ้อมแอ้ม ๆ หลอกลวงต้มตุ๋นโลกมาเป็นประจำ มันเข้ากันไม่ได้ มันก็หาเรื่องใส่ธรรมว่า พูดหยาบ พูดโลน พูดดุ พูดด่า นี่มันหาเรื่องไปอย่างนั้นนะ
ดุด่าที่ตรงไหน พิจารณาซิ หยาบ ๆ อะไร ถ้าว่าเทศน์หยาบ คำว่าเทศน์หยาบ ท่านชำระสิ่งหยาบต่างหาก ทีนี้สิ่งหยาบคืออะไร ก็คือกิเลสนั้นเอง อะไรจะหยาบธรรมท่านไม่ได้หยาบนะ ความหยาบคือกิเลส ความหนักคือกิเลส เทศน์หนัก ๆ สอนหนัก ๆ ก็เหมือนน้ำชะล้างลงไป ฟาดลงเต็มถัง ๆ ๆ ลงไป เพราะความสกปรกมีมากต้องชะล้างอย่างหนักเลย นี่กิเลสมันก็หาว่าหยาบว่าโลน ตัวมันหยาบโลนมันไม่ให้แตะต้องมัน นี่ภาษาของธรรมตรงเข้าไปเลย มันสกปรกที่ตรงไหนสาดเข้าไปตรงนั้น กิเลสตัวสกปรกมันก็หาเรื่องว่าธรรมนี้สกปรก ตัวมันสกปรกไม่ได้ว่านะ
นี่ละภาษาของกิเลสมันตรงกันข้ามกับธรรม คือความจริงไม่มีกิเลสมีแต่ความหลอกลวงต้มตุ๋นไปตลอดเลย ส่วนความปลอมไม่มีคือธรรม มีแต่ความจริงล้วน ๆ นี่ละมันแก้กันอยู่หรือว่ามันเป็นข้าศึกต่อกัน ให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบ ใครมาพูดไพเราะเพราะพริ้ง หอมหวนชวนฟังอย่างนี้เราเป็นบ้ากับเขานะ เขาอ่อนนิ่มเท่าไรยิ่งหลอกคนได้สนิท เขาจะไปต้มตุ๋นกันเอาจนหมดไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัว ก็เพราะความหลอกลวงต้มตุ๋น นิ่มนวลอ่อนหวานไพเราะเพราะพริ้งนั่นเอง ถ้าบอกว่าข้าจะมาต้มแกนะ ใครจะให้ต้ม พูดอย่างตรงไปตรงมานี้ กิเลสมันไม่ไปอย่างนั้นมันหลอกลวง ถูกต้มเอาเสียจนแหลก
ส่วนธรรมท่านไม่นะ ท่านตรงไปตรงมา ผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูก จึงเป็นข้าศึกกันตลอดมาอย่างนี้ อย่างหลวงตาที่เทศน์นี้กับปัจจุบันเลย หลวงตาไม่เคยสะทกสะท้าน ใครจะว่าหลวงตาพูดดุพูดด่า ดุก็ดุเพื่อดี แน่ะ ก็เป็นธรรมเสีย หรือว่าด่าอะไรก็เพื่อดี สกปรกก็ชำระสิ่งสกปรกต่างหาก ธรรมที่นำมาชำระนั้นไม่ได้สกปรก ธรรมะเป็นของสะอาดแต่ชะล้างลงไปหาความสกปรกของสัตว์โลก สัตว์โลกมันก็คือความสกปรกแล้วก็ได้แก่กิเลสอยู่ที่สัตว์โลก มันก็หาเรื่องว่าเทศน์หยาบไปเสีย ตัวมันตัวหยาบ ๆ มันไม่ให้ว่ามันปิด ธรรมต้องตรงไปตรงมาเรียกว่า ภาษาธรรม เมื่อยังเทศน์สอนโลกอยู่ต้องนำภาษาธรรมออกเทศน์ จะเอาภาษาอื่นมาเทศน์ไม่ได้ ถ้าเทศน์ภาษากิเลสมันก็เป็นกิเลสไปด้วยกัน ไม่เห็นแปลกประหลาดอะไร แล้วชะล้างกิเลสไม่ได้ นอกจากเพิ่มพูนกิเลสเข้าไปเท่านั้น ต้องชะล้างด้วยอรรถด้วยธรรมซึ่งเป็นภาษาตรงไปตรงมานี้เท่านั้น
นี่ละท่านทั้งหลายจำเอานะ เราจะเทศน์อย่างนี้ตลอดไป ให้เทศน์อย่างอื่นไม่ได้เพราะกิเลสเป็นอย่างนั้น การชะล้างต้องชะล้างด้วยน้ำอย่างนี้ตลอดไปเหมือนกัน คือด้วยธรรม เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านั้นละมันเหนื่อยแล้ว
อ่านและฟังธรรมะหลวงตา วันต่อวัน ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th |