การปกครองรักษาตน
วันที่ 2 พฤศจิกายน 2513 ความยาว 39.15 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๑๓

การปกครองรักษาตน

 

         วันนี้เป็นวันที่มีโอกาสอย่างยิ่งในบรรดาวันทั้งหลายที่ผ่านมา รู้สึกวันนี้เป็นวันที่มีโอกาสเต็มที่นับแต่เริ่มออกเดินทางมา เป็นโอกาสในการแสวงบุญตลอดมาจนกระทั่งถึงบัดนี้ ของท่านนักแสวงบุญทั้งหลาย

         คำว่าบุญ ท่านทั้งหลายคงพอทราบได้ เป็นสิ่งที่โลกต้องการทั้งคนและสัตว์ตลอดมา ไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงเหมือนความนิยมอย่างอื่น สิ่งอื่นทั้งหลายนั้นมีการนิยมเป็นยุคเป็นคราว แล้วเปลี่ยนแปลงกันไปเรื่อยๆ ส่วนความนิยมในคำว่าบุญนี้ไม่ว่าสัตว์ไม่ว่าบุคคล ไม่ว่าชาติชั้นวรรณะใด มีความมุ่งหวังกันตลอดมาทั้งอดีต ปัจจุบันและอนาคตไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อความรู้สึกยังมีอยู่ภายในตัวของบุคคลและสัตว์นั้นๆ แต่ควรทราบตามภาษาไทยของเราที่แยกออกไปจากบุญ ซึ่งก็เป็นภาษาไทยคำหนึ่งแล้ว เพื่อทราบความหมายในคำว่าบุญนี้ให้ชัดเจน สมกับว่าเป็นสิ่งที่เรามุ่งหวังอย่างแท้จริงนั้นคืออะไร

         คำว่าบุญนี้จึงหมายถึงความสุขโดยตรง จะเป็นความสุขทางกายหรือทางใจ เป็นสิ่งที่โลกต้องการด้วยกัน ไม่มีจืดจางเปลี่ยนแปลงในความปรารถนา ซึ่งความสุขนี่เป็นสิ่งที่โลกต้องการเสมอมา ความสุขทางกายอย่างหนึ่ง ความสุขทางใจอย่างหนึ่ง รวมแล้วมีสอง กายสบายเราก็อยู่สงบ ใจสบายเราก็เรียกว่าเป็นสุขนั่นเอง

         สาเหตุที่จะให้เกิดเป็นความสุขขึ้นมาทางกายทางใจ ต้องมีการขวนขวาย มีการระมัดระวังรักษา อย่าให้ข้าศึกมาทำลายความสุขทั้งสองประเภทนี้ได้ ที่ท่านนักใจบุญทั้งหลาย อุตส่าห์สละเวล่ำเวลาหน้าที่การงาน และทรัพย์สมบัติมากน้อยด้วยใจจริงของตน มาสู่สถานที่นี้ก็ดี หรือในการบำเพ็ญบุญทั่วๆ ไปก็ดี ชื่อว่าเป็นต้นเหตุแห่งการแสวงบุญคือความสุขอย่างแท้จริง ถูกต้องตามหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ทรงสอนมาแล้ว นี่เป็นทางที่ถูกที่ดี เป็นทางที่ชุ่มเย็นแก่จิตใจเรา

         บุญนี้ได้มากน้อย เป็นสิ่งที่พึงปรารถนาทั้งนั้น ได้มากเท่าไรก็ไม่เหลือเฟือไม่เฟ้อเหมือนอย่างอื่นๆ เป็นสิ่งที่สัตว์โลกปรารถนาโดยทั่วกัน แม้ท่านที่ถึงวิมุตติพระนิพพาน ก็ยังต้องมีธรรมชาติอันหนึ่งที่โลกทั้งหลายพอทราบกันได้ในทางสมมุติว่า ปรมํ สุขํ ท่านยังมีความสุขอย่างยิ่งที่นอกสมมุติอยู่ภายในใจท่าน

         ฉะนั้น เมื่อเราทราบแล้วว่า บุญคือสิ่งที่โลกต้องการ เราผู้หนึ่งในนามของโลกทั่วๆ ไป จงพยายามทำความสนใจและขวนขวายในทางบุญให้เกิดขึ้นโดยสม่ำเสมอ จนตลอดอายุขัยวัยสิ้นสุด

         คนไม่มีบุญ สัตว์ไม่มีบุญ เป็นบุคคลและสัตว์ที่อาภัพมาก เกิดมากับโลกเขาแม้วันคืนปีเดือนยังคงเส้นคงวาอยู่ตามธรรมดาก็ตาม ก็รู้สึกว่าวันคืนปีเดือนนั้นยืดยาวมาก อยากให้มืดให้แจ้งเสียโดยเร็วเพราะทนต่อความทุกข์ความทรมานไม่ได้ นี่แหละการขาดบุญคือความสุข มีแต่ความทุกข์ทรมานทางกายทางใจบีบบังคับอยู่ตลอดมา วันคืนปีเดือนจึงเป็นเหมือนกับยืดยาวจนเหลือประมาณ ความอาภัพบุญยังต้องแบกบาปหามกองทุกข์ไม่มีประมาณ ทั้งนี้ก็เพราะความเชื่อตัวเองเกินไปเป็นสาเหตุให้รับเคราะห์กรรม

         โลกก็กลายเป็นโลกแคบ ถ้าลงทุกข์ได้เข้าบีบคั้นร่างกายและจิตใจของคนและสัตว์รายใดแล้ว อะไรๆ ก็ไม่เป็นสิ่งที่พึงปรารถนา ไม่เป็นที่เจริญตาเจริญใจทั้งนั้น โลกก็แคบเข้ามา แต่วันคืนปีเดือนรู้สึกว่ายืดยาวมาก ชีวิตนี้ก็รู้สึกว่ายืดยาวไปด้วยในเวลาคับขันเช่นนั้น เพราะความสนใจอยากให้พ้นจากทุกข์ที่กำลังเหยียบย่ำทำลายอยู่เวลานั้น บางรายก็อยากตายไปเสียในขณะนั้น เพื่อจะได้พ้นจากทุกข์ที่กำลังบีบบังคับอยู่เวลานั้น ทุกข์ต้องทำให้จิตเราคิดได้ต่างๆ เพราะอำนาจของทุกข์นี้เป็นของรุนแรงมาก แม้แต่สัตว์ก็กลัว ไม่ว่าแต่มนุษย์เราเลย

         การสร้างเครื่องป้องกันทุกข์ จึงมีหลักวิชา มีอุบายวิธีที่จะสร้างให้ถูกต้องดีงาม โดยไม่สร้างความทุกข์ให้ตัวเองและขนทุกข์ให้คนอื่น คือไม่เหยียบย่ำทำลายคนอื่นเพื่อการสร้างความสุขให้ตนเองอันเป็นทางที่ผิด พระพุทธเจ้าจึงได้ประกาศสอนธรรมอันเป็นแนวทางที่ถูกต้อง ที่เรียกว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม แปลว่า คำสั่งสอนอันเป็นเครื่องชี้แนวทางเดินของชีวิตทั้งปัจจุบันและอนาคตแก่บรรดาสัตว์นั้น พระองค์ท่านได้ตรัสไว้ชอบทุกสิ่งทุกประการแล้ว ไม่มีส่วนบกพร่อง นี่เป็นทางเดินอันราบรื่นดีงามสม่ำเสมอและชุ่มเย็นแก่ผู้ดำเนิน คือประพฤติปฏิบัติตามทางที่พระองค์ทรงประกาศสอนไว้ ดังเราท่านทั้งหลายได้บำเพ็ญและปฏิบัติตามสวากขาตธรรมนั้นตลอดมา

         เช่น กฐินทานที่เราได้บำเพ็ญมาเป็นประจำจนกระทั่งปัจจุบันนี้ ก็เป็นการดำเนินตามหลักสวากขาตธรรมที่พระพุทธเจ้าสอนไว้แล้วทั้งนั้น นี่เป็นทางที่ถูกที่ดี เป็นทางชุ่มเย็นทั้งผู้ที่ให้ทาน ทั้งผู้รับทานจากเรา พูดทั่วๆ ไปก็ว่า ทั้งผู้ให้ผู้สงเคราะห์ ทั้งผู้รับการสงเคราะห์ เราจะสงเคราะห์มนุษย์ด้วยกันก็ตาม สงเคราะห์หรือให้ทานแก่สัตว์ก็ตาม สัตว์ก็ไม่เป็นภัย เราก็ไม่เป็นโทษ ต่างคนต่างมีความสุขความเย็นใจยิ้มแย้มแจ่มใสทั่วหน้ากัน

         เราได้รับความสุขเพราะการสงเคราะห์ผู้อื่นในทางน้ำใจ ด้วยความรู้สึกซาบชึ้งในจิตใจว่า ตนมีวาสนาพอจะให้คนอื่นหรือสัตว์อื่นได้อาศัยความสุขความร่มเย็นจากตน สัตว์หรือคนก็ตามรายที่ได้รับการสงเคราะห์จากเราก็มีความดีอกดีใจ ว่าเท่าที่ตนได้รับความสุขมานี้จากท่านผู้นั้นๆ สงเคราะห์ มีจำนวนมากน้อยเพียงไรก็ต้องระลึกกันไม่หลงลืมอย่างง่ายดาย เพราะไม่ใช่เป็นสิ่งที่จะหลงลืมได้ง่ายๆ จึงจะลืมเสียไม่ได้ เพราะเป็นทานที่ให้ความร่มรื่นทั้งสองฝ่าย เรียกว่าทานบารมี

         ทานนี้เป็นความจำเป็นสำหรับโลกเราที่อยู่ร่วมกัน จะเว้นเสียไม่ได้ เพราะเป็นพื้นฐานแห่งชีวิตความเป็นอยู่ซึ่งเกี่ยวเนื่องระหว่างกันและกัน กว้างแคบไม่มีประมาณต้องอาศัยทานเป็นเครื่องเชื่อมโยงถึงกัน ถ้าไม่มีทานแล้ว โลกมนุษย์ต้องแตกทรงตัวอยู่ไม่ได้

         ทานจึงเป็นเหมือนกับสิ่งมั่นคงในการก่อสร้างต่างๆ จะเป็นสร้างบ้านสร้างเรือนตึกรามบ้านช่องโรงพักโรงแรมอะไรก็ตาม ถ้าไม่มีสิ่งมั่นคงเป็นหลักยึดไว้แล้ว บ้านเรือนนั้นๆ ก็ย่อมไม่แน่นหนามั่นคง อาจพังทลายลงได้ไม่อ้างกาล โลกจะมีความปึกแผ่นแน่นหนามั่นคงเพียงไร ต้องอาศัยการสงเคราะห์ซึ่งออกจากความเมตตาและความเห็นอกเห็นใจกันเป็นรากฐานสำคัญ สิ่งที่จะนำมาสงเคราะห์ก็ย่อมเป็นไปเองเพราะใจเป็นผู้บงการ ทานจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะปฏิบัติต่อกัน โดยไม่นิยมว่าเป็นนักบวชและฆราวาส ตลอดสัตว์ทั้งหลายย่อมมีต่อกันอยู่เสมอ แต่ไม่ได้ให้ชื่อว่าเขาให้ทานกันเฉยๆ เมื่อแปลแล้วก็คือการให้นั้นแล

         ทานะ แปลว่าให้ พูดให้ทราบกันอย่างชัดๆ ก็คือการให้นั่นเอง จะให้ด้วยวัตถุให้ด้วยการอบรมสั่งสอน ให้โดยวิธีใดเพื่อความรู้ความเข้าใจ เพื่อผู้อื่นได้รับความสุขจากการให้ของตน เรียกว่าทานทั้งนั้น ทานวัตถุ คือให้ด้วยวัตถุสิ่งของ ให้ทางความรู้ความฉลาด คือให้การอบรมสั่งสอน ให้อุบายแนวทางอะไรก็แล้วแต่ จัดว่าทานทั้งนั้นทานจึงเป็นเรื่องใหญ่โตประจำโลก ถ้าขาดทานเสียเมื่อใด โลกก็ตั้งอยู่เป็นปึกแผ่นแน่นหนาไม่ได้ แม้ที่สุดในครัวเรือนเดียวกันที่อยู่ด้วยกันมา ก็ต้องอาศัยสิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานของครอบครัวนั้นๆ ไม่มีนี้เป็นพื้นฐาน โลกหรือครอบครัวจะเป็นไปไม่ได้

         นอกจากการกระทำของเราที่ได้บำเพ็ญลงไปด้วยวัตถุไทยทานเหล่านี้แล้ว ผลที่แสดงอยู่ในปัจจุบันและอนาคต ย่อมเป็นไปได้ด้วยความราบรื่นชื่นใจทั้งสองฝ่ายเพราะอำนาจแห่งทานนี้ ทานเป็นที่จะให้คนอื่นไปเสียจนหมดสิ้นไม่มีอะไรเหลือติดตัว แต่ผลแห่งทานย่อมสะท้อนย้อนกลับมาเป็นคุณสมบัติของผู้นั้น จะไปที่ไหน อยู่ที่ใดไม่อดอยากขาดแคลน เพราะอำนาจแห่งทานบารมีที่ตนได้เคยสร้างไว้ เข้ามาเป็นสมบัติภายในสถิตอยู่กับใจ กลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดจิตใจผู้อื่นให้เกิดความชื่นชมยินดีไม่มีใครรังเกียจ ผู้มีใจกว้างด้วยการให้ทานจึงสมบูรณ์พูนผลตลอดกาลสถานที่ ภพกำเนิดที่เกิดที่อยู่ ไม่ขัดสนจนทรัพย์ อาภัพญาติมิตรเพื่อนฝูงและสมบัติทั้งปวง

         เราจะจำได้ก็ตาม จำไม่ได้ก็ตาม ไปเกิดในภพใดชาติใดก็ตาม นิสัยคนที่มีทานประจำใจย่อมเป็นผู้มีอัธยาศัยกว้างขวาง ไม่คับแคบตีบตัน ไม่ตระหนี่ถี่เหนียว คนมีนิสัยเช่นนี้แม้จะไปเกิดเป็นสัตว์เพราะวิบากกรรมบางประเภทพาให้เป็นไปก็ตาม นิสัยนี้ย่อมไม่เปลี่ยนแปลงเพราะอยู่กับใจ ถึงร่างกายจะเปลี่ยนแปลงไป แต่จิตใจนั้นจะไม่เปลี่ยนแปลงไปจากนิสัยเดิมของตนเลย เป็นสัตว์หรือเป็นมนุษย์มักมีบริษัทบริวารเพื่อนฝูงมากเสมอ ทั้งนี้เพราะอำนาจแห่งทานการสงเคราะห์หากดึงดูดให้มีมาเอง

         การที่จะให้ทานได้แต่ละอย่างๆ ตั้งแต่เล็กแต่น้อยจนมากมายก็ต้องออกจากใจ ใจที่เคยสั่งสมคุณธรรมเหล่านี้อยู่โดยสม่ำเสมอย่อมมีกำลัง จนกลายเป็นคนมีอัธยาศัยกว้างขวาง แม้จะอดอยากขาดแคลนจนถึงขั้นจำเป็นจริงๆ ก็พอเป็นไปได้ หากมีผู้ช่วยหากมีผู้อุดหนุน หากมีผู้เห็นใจ หากมีผู้เมตตาสงเคราะห์ช่วยเหลืออยู่นั่นแล เพราะเชื้อเดิมแห่งความเสียสละมีอยู่ภายในใจ จะเกิดในชาติใดภพใด อำนาจแห่งทานบารมีนี้ย่อมส่งเสริมไม่ให้อดอยากขาดแคลน นอกนั้นยังเป็นเครื่องสนับสนุนจิตใจเราให้หลุดพ้นจากทุกข์ไปได้ด้วยอำนาจแห่งทานด้วย เพราะเป็นส่วนหนึ่งของคุณงามความดีทั้งหลายมีศีลภาวนาเป็นลำดับ

         ฉะนั้น นักปราชญ์ทั้งหลายจึงสอนแล้วสอนเล่า ให้โลกทั้งหลายประพฤติตนในธรรมประเภทนี้เป็นพื้นฐาน จากนั้นก็สอนเรื่องศีล เรื่องภาวนาไปตามลำดับ ดังท่านแสดงไว้ในอนุปุพพิกถาห้าประการ แปลว่าการกล่าวธรรมเครื่องอบรมซักฟอกจิตใจของผู้ศึกษาอบรมไปโดยลำดับ นับแต่ขั้นหยาบ ขั้นกลาง ขึ้นไปจนถึงขั้นสูงสุดคือวิมุตติพระนิพพาน

         ในข้อที่ว่าเป็นนิสัยอยู่ภายในจิต เพราะอำนาจแห่งการบำเพ็ญมาโดยสม่ำเสมอนี้ จะเห็นตัวอย่างจากพระพุทธเจ้าของเรา ในคราวเป็นพระเวสสันดร ได้ทรงให้ทานเสียทุกสิ่งทุกอย่าง จนชาวเมืองเขาไม่พอใจ ถ้าพูดตามภาษาของเราก็เรียกว่าเขาขับไล่พระองค์ออกจากเมือง จากความเป็นพระเจ้าแผ่นดินเสีย กลัวบ้านเมืองจะล่มจม เพราะพระองค์เป็นผู้หนักในการให้ทานตามพระอัธยาศัยที่เคยเป็นมาอย่างนั้น

         พระองค์ไม่ขัดข้อง เขาขับไปที่ไหนก็ไป แต่ไม่ทรงละการให้ทานตามพระอัธยาศัย หรือนิสัยของพระองค์ที่เคยบำเพ็ญมาดั้งเดิม แม้จะไปอยู่ในป่า ไม่มีสิ่งใดบริจาคทานเหมือนอย่างแต่ก่อน มีเพียงกัณหา-ชาลีเท่านั้น ก็ยกให้ทานแก่พราหมณ์ไปเพราะมีเท่านั้น ไม่มีอะไรที่จะให้ทาน มีเพียงสองกัณหา-ชาลี ก็ให้ทานไปอย่างไม่อาลัยเสียดาย ทีนี้ก็เหลือแต่พระนางมัทรี เทพนิมิตบันดาลเป็นพราหมณ์มาทูลขอนางมัทรีอีก ก็ทรงยกให้อย่างพอพระทัยอีก เพราะมีเท่านั้น ไม่มีอะไรจะให้ทาน สมบัติเงินทองอะไรไม่มี เพราะถูกเขาขับหนีไปจากบ้านจากเมืองไปอยู่ในป่า จะมีอะไร เพียงอัตภาพร่างกายจะเป็นไปกับอาหารวันหนึ่งๆ ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เครื่องเสวยประจำวันในป่าที่ประทับอาศัย ก็มีเพียงหัวเผือกหัวมันเท่านั้น อดบ้างอิ่มบ้างก็ทรงทนเอา

         เราคิดดูก็น่าสลดสังเวช กษัตริย์ทั้งองค์สละออกจากตำแหน่งเป็นกษัตริย์ กลายเป็นคนขอทานขึ้นมาทันทีทันใด จะเป็นคนขอทานก็ไม่ทราบว่าพระองค์ไปขอทานที่ไหน เป็นคนอนาถาเราดีๆ นี่เอง ทรงหาเผือกมันตามป่าตามรกมาเสวย ท่านได้รับความทุกข์ยากลำบากขนาดไหน เพียงนึกวาดภาพดูก็รู้

         แม้เช่นนั้นพระทัยที่เต็มเปี่ยมด้วยการให้ทาน การเสียสละ ยังไม่ปรากฏว่าบกพร่องที่ตรงไหน ใครจะขออะไร พระองค์ประทานให้ทั้งนั้น ขอลูกให้ลูก ขอเมียให้เมีย หรือใครจะมาขอพระเนตรหรือดวงหทัย พระองค์ก็ทรงไม่อาลัย พร้อมที่จะยกให้อยู่เสมอ นี่ก็เพราะอำนาจแห่งการเสียสละที่เคยเป็นมาภายในพระทัยของพระองค์นั่นเอง จนกลายเป็นนิสัยขึ้นมาดังที่รู้ๆ เห็นๆ กันอยู่กันตามตำรา ทรงยอมปฏิบัติตามที่เขาตำหนิทุกอย่าง เขาจะให้อยู่ก็อยู่ เขาให้หนีไปที่ไหนก็ไป แต่การให้ทานไม่ยอมลดละไม่ยอมแก้ไข ไม่ยอมปฏิบัติตามใคร ปฏิบัติตามพระเวสสันดรพระองค์เดียวเท่านั้นว่าเป็นนัก คือนักให้ทาน นี่คือความเคยฝังนิสัยมาแล้วแต่ดั้งเดิม จึงได้ยกทานขึ้นเป็นหลักสำคัญ ในหลักศาสนามีทานนี้เป็นฐานสำคัญ

         รวมแล้วคุณงามความดีที่เกิดขึ้นจากการให้ทานนี้ ก็สำเร็จขึ้นเป็นบุญ มีความสุขความเจริญก็เพราะอำนาจแห่งบุญ การรักษาศีลก็เพื่อบุญคือความสุข การให้ทานก็เพื่อบุญคือความสุข การเจริญภาวนาก็เพื่อบุญคือความสุข ซึ่งสัตว์โลกทั้งหลายต้องการตลอดมา

         ดังนั้น จึงขออนุโมทนากับบรรดาท่านทั้งหลายที่เป็นนักใจบุญ ได้อุตส่าห์บำเพ็ญตลอดมาไม่หยุดยั้ง และยังมีความอบอุ่นในใจว่า ท่านทั้งหลายยังไงก็จะปล่อยวางกุศลเหล่านี้ไม่ได้ จะต้องปฏิบัติเป็นลำดับไปจนชีวิตหาไม่ เพราะนี้เป็นรากฐานของจิตใจอย่างแท้จริงที่จะพาเราอยู่เราไป ไปมีความสุขความเจริญเพราะอำนาจแห่งการสร้างความดีใส่ตัวเอง นี่เรียกว่าการรักษาตัวเองด้วยความปลอดภัยไร้ทุกข์ทั้งปัจจุบันแลอนาคต

         ชาติภพนั้น ปัจจุบันนี้เรามีชาติมีภพ อดีตต้องเคยเป็นผู้เคยมีชาติมีภพมาแล้ว และอนาคตกาลข้างหน้าที่จะผ่านมา ชีวิตนี้จะผ่านไปเพื่ออนาคต ก็จำต้องสืบภพชาติต่อไปอีกจนถึงแดนแห่งพระนิพพาน อันเป็นที่ยุติภพชาติทั้งหมดทั้งมวล นั่นคือแดนสิ้นสุดปัญหาโดยประการทั้งปวง การท่องเที่ยวในวัฏสงสารของเราต้องมีด้วยกันทุกคน เมื่อเช่นนั้นความดีซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่จำต้องอาศัยยึดเหนี่ยวเกาะเกี่ยว หรือเป็นที่พึ่งในภพชาตินั้นๆ ต้องเป็นของจำเป็นเช่นเดียวกับชีวิตของเรา

         ชีวิตมีอยู่หาความสุขไม่ได้ก็เป็นโมฆะ ไม่มีคุณค่าอันใดกับชีวิตนั้นๆ เราไม่ต้องการเป็นผู้หมดคุณค่าในชีวิตโดยไม่มีความสุขเครื่องอาศัยเลย แต่เราเป็นผู้หวังคุณค่าแห่งชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุขความสมหวัง เราจึงสร้างคุณงามความดีไว้เพื่อตนซึ่งเป็นทางที่ถูก เป็นความคิดชอบ เพื่อความปลอดภัยหรือต้านทานสิ่งที่ไม่ดีอันจะทำลายตน การสร้างคุณงามความดี จะยากบ้างลำบากบ้างให้ถือว่าเป็นงานสร้างตัวเอง คือสร้างตัวเองด้วยความดี สร้างตัวเองให้มีความสุขความเจริญ สร้างหลักสร้างฐานสร้างความมั่นคง สร้างความอบอุ่นแก่จิตใจ ต้องใช้ความพยายามโดยสม่ำเสมอ ผลคือความผาสุกเย็นใจจะเป็นสมบัติอันพึงหวังของเรา

         เวลาจำเป็น จิตใจจะไม่คิดอะไรมากไปกว่าคิดหาที่พึ่ง อันนี้เป็นหลักสำคัญที่เราจะต้องคิดไว้ด้วยกันทุกคน เมื่อถึงคราวจนตรอกไม่มีเครื่องช่วยบรรเทา ย่อมจะจมโดยถ่ายเดียว ซึ่งน่าหวาดเสียวมาก เวลาไม่ร้อน เครื่องป้องกันแดดก็ไม่จำเป็น เวลายังไม่หนาว เครื่องป้องกันหนาวก็ไม่จำเป็น เวลาไม่หิวกระหาย อาหารหวานคาวที่เราเคยอาศัยมาก็ไม่จำเป็น แต่เมื่อเกิดความจำเป็นดังที่กล่าวมานี้ จิตต้องประหวัดถึงเครื่องป้องกันทันที พอร้อนปรากฏขึ้น ต้องประหวัดถึงเครื่องป้องกัน หนาวเกิดขึ้นจิตก็ต้องประหวัดถึงเครื่องป้องกัน ความหิวกระหายเกิดขึ้น ต้องคิดถึงอาหาร จะอยู่อย่างเย็นใจเหมือนเวลาไม่จำเป็นย่อมไม่ได้

         เวลาความจนตรอกจนมุมของชีวิตจิตใจจะเข้ามาถึงจริงๆ เราระลึกถึงอะไรนี่เป็นหลักสำคัญ ต้องระลึกถึงคุณงามความดีที่เราเคยสร้างมามากน้อย ว่ามีมากน้อยเพียงไรหรือไม่มี นั่นเป็นเวลาสำคัญมากสำหรับเรา เพราะทุกรูปทุกนามจะต้องถึงความจำเป็นเช่นนั้นด้วยกัน เราจงพยายามสร้างเพื่อตัวเองไว้เสียแต่บัดนี้ เหตุการณ์ทำนองนั้นจะไม่เกิดขึ้นแก่เรา จะผาสุกสบายตายเป็นสุข

         จิตใจที่เคยชินต่อสิ่งใด ย่อมระลึกถึงสิ่งนั้นทันที จิตใจที่เคยสร้างแต่บาปแต่กรรม เวลาจนตรอกจนมุม ใจคิดหาทางดีไม่มีเพราะตนไม่ได้สร้างไว้ ก็ประหวัดไปถึงแต่บาปแต่กรรม พอตายลงไปก็เป็นไฟเผาไปทีเดียว นรกอเวจีจะมีหรือไม่มีก็เห็นเป็นไฟอยู่กับผู้นั้น เพราะผลที่เกิดขึ้นย่อมเกิดขึ้นจากผู้ทำ จะว่านรกอเวจีเป็นผู้มาให้โทษใส่กรรมก็ไม่ได้ ความให้โทษให้คุณเป็นเรื่องของเราเป็นผู้สร้างขึ้นเอง

         เราเกิดมาไม่ได้ตั้งใจจะมาสังหารตนหรือทำลายตน ด้วยการทำชั่วช้าลามกอันเป็นฟืนเป็นไฟเผาตัว แต่เราต้องการมาส่งเสริมตัวเอง จึงต้องสร้างคุณงามความดีไว้เป็นที่พึ่งที่เกาะที่อาศัย เวลาจำเป็นจำใจ จิตจะได้ยึดได้เกาะ ไม่คว้าน้ำเหลวเปลวไฟมาเผาตัว พอระลึกถึงบุญปั๊บ ใจยิ้มแย้มแจ่มใสอบอุ่นทันที เพราะเราเคยสร้างไว้จนติดจิตติดใจติดนิสัยสันดานอยู่แล้ว ระลึกเมื่อไรก็เห็นเมื่อนั้น เพราะสร้างอยู่ทุกวันทุกคืนจนเป็นความเคยชินกับใจ ระลึกเมื่อไรก็เจอเมื่อนั้น ไม่ต้องรอเวล่ำเวลาเหมือนราษฎรไปศาลไปที่ทำการต่างๆ หาเจ้าหานาย กว่าจะได้พบแต่ละครั้งๆ แทบเป็นแทบตาย ใครๆ ก็เข็ดไปตามๆ กัน

        แม้ร่างกายจะแตกสลายไปก็เป็นธรรมดาของธาตุของขันธ์ จะต้านทานไว้ไม่ได้ เพราะเรื่องนี้เป็นคติธรรมดาอันเป็นเรื่องใหญ่โตประจำสัตว์สังขาร ไม่มีใครสามารถต้านทานไว้ได้ ต้องปล่อยไปตามสภาพของเขา แต่สิ่งที่เป็นสมบัติของเรา ไม่มีใครและสิ่งใดจะมาแย่งชิงได้นั้นคือบุญ อันเป็นความสุข ความอบอุ่นจิตใจ ที่เกิดขึ้นมาจากการสร้างบุญของเราเอง

         เวลานี้เรากำลังสร้างบุญ สร้างเครื่องระลึก สร้างเครื่องเกาะยึดแก่จิตใจ จะถึงคราวจนตรอกไม่จนตรอกไม่สำคัญ ระลึกเมื่อไรมีความเย็นอกเย็นใจหรืออบอุ่นภายในใจเสมอไป ยิ่งถึงคราวจวนตัวมาแล้ว ก็ยิ่งจะเห็นความสำคัญของใจที่ได้สร้างความดีไว้เพื่อตนมากน้อยประจักษ์ใจ เพราะความไม่ประมาท

         ธรรมดาคนฉลาดย่อมคิดเพื่อตัวเองทั้งปัจจุบันและอนาคตเสมอ เมื่อถึงคราวจำเป็นก็ไปแบบสุคโต คือไปดี มีความสุขความสบาย ภพใดชาติใดที่จะเป็นสมบัติของตนก็ล้วนแต่เป็นของดีๆ ทั้งนั้น เพราะตนสร้างแต่ความดีไว้ ผลต้องเป็นของดีเสมอไป นี่เป็นทางดำเนินของนักปราชญ์ที่เคยดำเนินมา ได้รับความดีและความปลอดภัยจนผ่านพ้นถึงวิมุตติพระนิพพานมาแล้ว ได้แก่พระพุทธเจ้าของเรา ไม่เคยโกหกพกลมแก่สัตว์โลกแม้คำเดียวประโยคเดียว ตรัสคำใดออกมาเป็นคำที่เต็มไปด้วยเหตุด้วยผล เป็นคำที่ถูกต้องดีงาม สมควรที่สัตว์โลกจะประพฤติปฏิบัติให้เกิดผลเป็นที่พึงพอใจ ทุกบททุกบาทแห่งธรรมที่ทรงแสดง จึงเป็นธรรมที่ถูกเนื้อต้องใจ เป็นธรรมที่ไว้ใจได้ ไม่มีคำใดที่เป็นคำแสลงหูแสลงใจและเป็นภัยเป็นเวรแก่บรรดาสัตว์ที่ปฏิบัติตาม นอกจากจะเป็นสิริมงคลแก่ผู้ดำเนินเท่านั้น ไม่มีทางอื่นใดจะเป็นภัย

         เราเองยังมีทางโกหกตนได้ ไม่ต้องว่าคนอื่นจะมาโกหกเรา ตัวเราเองยังสามารถโกหกตนได้ต่อหน้าต่อตา พระพุทธเจ้าไม่มีเลยจะโกหกสัตว์โลก จึงเป็นที่แน่ใจยิ่งกว่าเราแน่ใจในตัวเราเอง ซึ่งเป็นนักโกหกตนเองเรื่อยมาไม่ยอมเห็นโทษ

         คำว่าโกหกตนเองหมายถึงอะไร ยกตัวอย่างใกล้ๆ ว่า จะทำสิ่งนั้นก็หาเรื่องมาโกหกว่า อ้อ เดี๋ยวทำนั้นเสียก่อนแล้วค่อยทำสิ่งนี้ สุดท้ายก็ไม่ทำ เถลไถลไปเสีย เวลาเคยสวดมนต์ไหว้พระก็หาเรื่องอย่างอื่นมาแก้ตัว แล้วไม่ไหว้พระสวดมนต์เสีย เวลาระลึกอย่างอื่นระลึกได้ คิดหน้าที่การงานเรื่องอะไรๆ คิดได้ แต่พอระลึกถึงเวลาจะหลับจะนอนจะไหว้พระสวดมนต์เท่านั้น อ้อ วันนี้รู้สึกไม่ค่อยสบายเสียแล้ว โอกาสไม่ค่อยมีเพราะวันนี้เพียบกับงานมาเต็มแย่แล้ว วันหลังค่อยทำเถอะ แล้วนอนหลับครอกๆ ติดหมอน ไม่คำนึงเช้าสายบ่ายเย็นเลย นี่การโกหกตัวเอง ตื่นขึ้นมา โอ้โฮ วันนี้แย่เสียแล้ว ไม่ได้สวดมนต์เลย เอ้า วันหลังค่อยเอาใหม่นะ วันหลังโกหกอีก นี่เราเคยโกหกตัวเองมาแล้ว อาจารย์เคยโกหกตัวเองมาแล้ว จึงยกเอาเรื่องของตัวออกประจานให้ท่านทั้งหลายฟังอย่างไม่อาย แต่บรรดาท่านผู้ฟังทั้งหลายก็คงไม่เป็นแบบอาจารย์ นี่แสดงเรื่องความโง่ของตัวเองหรือความโกหกตัวเองให้ท่านทั้งหลายฟัง เพื่อได้นำไปพินิจพิจารณา ว่าอาจมีอาจเป็นแบบเดียวกันนี้อยู่บ้างไม่มากก็น้อย

         ส่วนพระพุทธเจ้าไม่ได้มาโกหกโลก แบบเราโกหกเราและโกหกคนอื่น อย่างนี้จึงเป็นที่แน่ใจสำหรับสวากขาตธรรม สมนามที่ว่าตรัสไว้ชอบแล้ว สมจริงๆ ไม่เช่นนั้นธรรมจะไม่คงเส้นคงวามาถึงทุกวันนี้ บรรดาพระโอวาทคำสั่งสอนของพระองค์จะต้องสลายเป็นอื่นไปนานแล้ว เพราะไม่มีใครนับถือ ทรงสั่งสอนอย่างนี้กลับเป็นไปอย่างนั้น ทรงสั่งสอนอย่างนั้นกลับเป็นไปอย่างนี้ ไม่ตรงตามความจริง คือเหตุกับผลไม่ลงรอยกัน แต่นี้ตรงตามความจริงทุกประโยค ทุกบททุกบาท ทุกวรรคทุกตอน จึงเรียกว่าสวากขาตธรรม หรือ เกวลปริปุณฺณํ ปริสุทฺธํ พฺรหฺมจริยํ ปกาเสสิ บริสุทธิ์บริบูรณ์ทั้งสิ้นในการประกาศพรหมจรรย์แก่สัตว์โลกทั้งเบื้องต้น ท่ามกลาง แลที่สุด

         สรุปความในพระโอวาททั้งมวล ย่อมเป็นหลักวิชาธรรมปฏิบัติเพื่อรักษาตัวเรา และเป็นหลักวิชาธรรมแก่โลกเพื่อการรักษาตนซึ่งเป็นหลักใหญ่มาก การปกครองตนการรักษาตนเป็นเรื่องสำคัญ การปกครองคนอื่น มนุษย์ชอบปกครองและชอบปกครองจนเป็นนิสัยน่าเกลียด แต่การปกครองตนเองนี้ คนเราไม่ชอบปกครอง ไม่ชอบสนใจดูตัวเองสังเกตตัวเอง การสั่งสอนคนอื่นนั้นชอบ แต่เวลาจะสั่งสอนตน การหักห้ามตนในสิ่งไม่ดี มักเกิดความขัดข้องไม่สะดวกขึ้นมาทุกทิศทุกทางจนก้าวขาไม่ออก นอกจากไม่สนใจอบรมตัวเองแล้ว ยังปล่อยตามบุญตามกรรมไม่นำพา ปล่อยให้เถลไถลไปตามซอกตามมุมแห่งอบายมุขนั้นมีเยอะ จึงเป็นเรื่องยากอยู่ไม่น้อยในการปกครองหรือสั่งสอนตนเพื่อเป็นคนดีมีเหตุมีผล เราชาวพุทธจึงควรพยายามคิดเน้นหนักในจุดนี้ให้มาก จะเป็นคนดีมีหลักมีเกณฑ์ มีข้อบังคับสำหรับตัวเอง ไม่เป็นคนเลื่อนลอย จะเป็นคนดีขึ้นเป็นลำดับไม่อับเฉาเศร้าใจในภายหลัง

         คำว่าการปกครองตนนั้น จะนิ่งนอนใจอยู่เฉยๆ ไม่ได้ เพราะหน้าที่การงานความประพฤติต้องเป็นไปกับกายวาจาใจของเราอยู่เสมอ ทำอย่างไรจะไม่เป็นไปเพื่อความเสียหายแก่ตนและผู้อื่น ทำอย่างไรจะเป็นความเจริญรุ่งเรืองแก่ตนและส่วนรวม ทำอย่างไรจะเป็นผู้มีเหตุมีผล การทำแต่ละอย่างควรมีเหตุมีผลอันถูกต้องดีงามประจำตน ไม่ทำแบบสุ่มเดา ความประพฤติแต่ละอย่างควรมีเหตุผลเป็นเครื่องรักษาตัวไปด้วย ความคิดการกระทำแต่ละอย่างหนักไปในทางดีหรือชั่วประการใด ควรนำเหตุผลมาพิสูจน์ตนอยู่เสมอ ชื่อว่าการรักษาตน โดยมากคนเราชอบฝืนตนและทำลายตนอยู่เสมอ แต่ไม่ได้คิดว่าฝืนตนและทำลายตน จึงมักมีแต่ความบกพร่องเสียหาย หากค้นดูความเป็นสิริมงคลในตัว ก็จะเห็นแต่ความบกพร่องช่องโหว่หมดทั้งตัว ไม่มีสิ่งที่น่าภูมิใจตกค้างอยู่บ้างเลย ซึ่งน่าใจคว่ำใจหาย คนทั้งคนอยู่ไปด้วยลมหายใจ มิได้อยู่ด้วยสารคุณพออบอุ่นใจบ้างเลย

         สมบัติเงินทองมีมากน้อย ถ้าเรารักษาตน ปฏิบัติต่อตนเองไม่ถูก ย่อมหมดไปและกลายมาเป็นข้าศึกต่อเรา คำว่าหมดไปคือหมดไปโดยการจับจ่ายไม่รู้จักประมาณ และไม่สนใจใคร่ครวญว่าสิ่งควรจ่ายหรือไม่ควรจ่าย เอาความอยากเป็นผู้เปิดประตูให้สมบัติไหลออกชนิดไม่มีวันปิด เปิดอยู่ตลอด เปิดเพื่อนำออกถ่ายเดียว ไม่ได้เปิดเพื่อนำเข้ามา โดยไม่มีเหตุผลเป็นเครื่องพาให้ปิดให้เปิด เพื่อจับจ่ายใช้สอยมากน้อย มีความจำเป็นหรือไม่ไม่คำนึง นี่คือความไม่สนใจรักษาตน รักษาสมบัติ จึงกลายเป็นการทำลายตนและสมบัติเงินทองไปในขณะเดียวกัน นอกจากนั้น สมบัติยังกลายเป็นยาพิษสังหารตนอีกด้วย โดยทั่วไปคนมีสมบัติแต่ไม่มีธรรมมักลืมตัวได้ง่าย ดังนั้นสมบัติจึงกลายเป็นเครื่องมือทำลายตนได้อย่างง่ายดาย ผิดกับผู้มีธรรมไม่ลืมตัวอยู่มาก เพื่อนฝูงกาฝากที่คอยดูดเลือดดูดเนื้อแทะกระดูกก็มีมาก ปากอบายมุขเปิดอ้าไม่มีเวลาปิด ถ้าตนไม่สำนึกตัวและปิดเสียเอง

         การจับจ่ายนั้น เมื่อจ่ายไปโดยไม่มีเหตุผล จ่ายผิดบ้างถูกบ้างนานๆ ไปก็มีแต่จ่ายผิดๆ พลาดๆ จ่ายเสียๆ หายๆ จ่ายเพื่อทำลายตนไปเรื่อยๆ ความเคยชินต่อนิสัยที่เคยเป็นเช่นนั้นก็ฝังใจลึกลงทุกที จนกลายเป็นคนไม่มีหลักมีเกณฑ์ จ่ายแบบสุรุ่ยสุร่าย ใจก็รั่ว สมบัติก็ไหล ไหลไปเรื่อยๆ จนไม่มีที่ยับยั้ง น้ำถ้าไม่มีแอ่งเป็นที่เก็บบ้าง จะมากเพียงไรก็ต้องไหลหนีไปหมด เมื่อหมดฝนแล้วน้ำก็หมดจากคลองต่างๆ หาที่อาบดื่มใช้สอยไม่ได้ย่อมเป็นทุกข์ ถ้ามีแอ่งเก็บน้ำไว้บ้างก็พอได้ใช้หน้าแล้ง เช่น เขาทำเขื่อนเก็บน้ำ เป็นต้น

         สมบัติเงินทองมีได้หาได้ แต่ถ้าไม่มีที่เก็บ ไม่มีเหตุผลเป็นเครื่องปิดเครื่องเปิดแล้ว สมบัติมีมากเท่าไรก็ไหลออกหมด และยังไหลพัดเราให้เสียไปด้วย จึงควรทราบไว้แต่ต้นมือว่า การทำตัวดังที่กล่าวนี้คือการทำลายตัวและสมบัติเงินทองให้ล่มจมฉิบหายไม่มีชิ้นดีเลย ที่ถูกต้องพยายามรักษาตัวด้วยศีลธรรม ซึ่งเป็นเครื่องค้ำประกันคุณภาพคุณสมบัติของคนให้จีรังมั่นคงและเจริญรุ่งเรืองทั้งปัจจุบันแลอนาคต

         การปกครองตนนั้นยาก ต้องบังคับบัญชาตนให้ดำเนินความประพฤติไปตามร่องรอยแห่งศีลธรรม สิ่งใดที่ไม่ดีแม้อยากไปก็ไม่ไป ถ้าเหตุผลไม่พร้อมว่าควรไป ต้องหักห้ามตนทันทีไม่ฝ่าฝืน สิ่งที่ไม่ควรทำแม้อยากทำก็ต้องบังคับตนไว้ นี่เรียกว่าการปกครองตน คือบังคับในสิ่งที่ไม่ควรไปไม่ควรทำ เปิดทางในสิ่งที่ควรไปควรทำ ในขั้นเริ่มแรกย่อมเป็นการลำบากในการปกครองตน ยากกว่าปกครองผู้อื่น เพราะเรื่องดีชั่วทั้งปวงอยู่ติดกับตัวเราตลอดเวลา ต้องได้สังเกตสอดรู้ตัวเองอยู่เสมอ การปกครองคนอื่น เวลาเขาไม่ฟังคำก็โกรธให้เขา โมโหให้เขา การโกรธให้เขาก็เป็นความผิดของตัว ความโกรธที่เป็นไฟก็เผาตัวยังไม่รู้อีก ตนเองก็ไม่ฟังคำของตัว จะให้ใครมีแก่ใจมาฟังคำของตัวเล่า ที่ถูกต้องปกครองตนไปด้วยกับการปกครองคนอื่นจึงได้ผลดี แม้เวลาจะโกรธเขาก็พอทราบความโกรธของตัวเองที่แสดงออก ความโกรธย่อมไม่รุนแรงและพอระงับกันได้ ถ้ามีธรรมในใจอยู่แล้ว

         นี่เราพูดถึงการปกครองทั่วๆ ไป แล้วย้อนเข้ามาปกครองจิต เกี่ยวกับธรรมะที่จะเอาความดีใส่ตนนี้ก็เป็นเรื่องยาก พอจะกำหนด พุทฺโธ ธมฺโม สงฺโฆ เข้าภายในใจ โอ๋ย รู้สึกอัดอั้นตันใจไม่อยากคิดไม่อยากว่าพุทโธให้เหนื่อยใจ พอเปิดทางให้วิ่งเลยไปเลย ไม่ทราบถึงโลกไหน คิดเรื่องเถลไถลต่างๆ วันยังค่ำก็ได้คืนยังรุ่งก็ได้ ไม่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า พอเอาพุทโธเข้าไปไม่ได้ใจจะขาด นึกพุทโธๆ แล้วใจรู้สึกยังไงชอบกล เหมือนกับเอาพริกใส่เข้าไปในปากเด็ก เด็กร้องทันที ใจนี้เป็นอย่างนั้นนะ ใจแสลงใจไม่อยากรับ จึงเป็นวิธีที่ละเอียดมากเกี่ยวกับเรื่องปกครองจิตใจหรือรักษาใจให้มีคุณธรรม ให้มีความดีเป็นความชุ่มชื่นอบอุ่นภายในใจ

         เพราะฉะนั้น ผู้หวังสารคุณแก่ตน แม้จะลำบากยากเย็นก็ควรฝึกอบรมใจเราให้คุ้นกับธรรม มี  พุทฺโธ ธมฺโม สงฺโฆ เป็นต้น ให้ใจได้รับความสงบเย็น ถึงคราวจำเป็นจำใจมาคว้าปั๊บติดมือปั๊บทันที สุคโตเป็นที่หวังได้ ไม่เสียความหวังอันพึงใจ จิตเมื่อฝึกอบรมให้อยู่ในขอบเขตเหตุผลแล้วย่อมไม่ดื้อดึง ไม่ฝ่าฝืนเหตุผลที่ตนเห็นว่าถูกต้องชอบธรรมแล้ว จนใจยอมจำนนทุกอย่าง จะทำอะไร จะพูดอะไร ใจยอมเหตุผลที่ควรหรือไม่ควร ชื่อว่าเราปกครองตนได้เป็นขั้นๆ

         ถ้ายิ่งปกครองได้อย่างพระพุทธเจ้าและสาวกท่านด้วยแล้วก็ยิ่งดีเยี่ยม ปกครองใจจนกลายเป็นใจที่บริสุทธิ์ ทั้งๆ ที่แต่ก่อนเคยมีกิเลสตัณหาอาสวะฝังจมอยู่อย่างเต็มหัวใจ และก่อกวนวุ่นวายให้ได้รับความทุกข์ร้อนอยู่เรื่อยมา เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นตัวยุแหย่ก่อกวน แต่ชำระซักฟอกได้สะอาดหมดจด ด้วยอำนาจแห่งความเพียรพยายาม กลายเป็นใจที่บริสุทธิ์ขึ้นมา เรียกว่าวิมุตติพุทโธที่แท้จริง หมดสิ่งที่เป็นเสี้ยนหนามต่อจิตใจแล้ว เรียกว่าปกครองตนได้โดยสมบูรณ์ ปรมํ สุขํ ไม่ต้องถาม ความสุขอันยอดเยี่ยมมีอยู่กับใจดวงหมดพยศโดยสิ้นเชิงแล้ว

         การแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา ขอทุกท่านได้นำไปพินิจพิจารณาเพื่อปฏิบัติปกครองหรือรักษาตนให้เป็นตนที่ไว้ใจได้ ความสุขความเจริญจะเป็นสมบัติของทุกๆ ท่านโดยไม่ต้องสงสัย

จึงขอยุติเพียงเท่านี้


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก