หากมีญาณเห็นโทษใครจะอยู่ได้
วันที่ 23 พฤษภาคม 2532 เวลา 19:00 น. ความยาว 46.06 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๒

หากมีญาณเห็นโทษใครจะอยู่ได้

 

ต่างท่านต่างมาศึกษาอบรม อย่าลืมที่พูดแล้วพูดเล่าเกี่ยวกับเรื่องการมาศึกษาอบรม ให้มีน้ำหนักอยู่ภายในจิตใจของตนโดยสม่ำเสมอ อย่าให้จืดจางว่างเปล่าไปเสียในสารคุณที่ได้คิดไว้แล้วในเบื้องต้น ได้แก่การมุ่งมาเพื่อศึกษาอบรม ส่วนมากมักเป็นเช่นนั้น จึงหาผู้ทรงอรรถทรงธรรมตามหลักความจริง ที่พระพุทธเจ้าทรงรู้และทรงสั่งสอนตลอดสาวกทั้งหลายท่านรู้ท่านสอนไม่ได้ ประหนึ่งว่าธรรมไม่มีในโลกนี้เลย มีแต่กิเลสเต็มบ้านเต็มเมืองเต็มโลกเต็มสงสาร ออกจุ้นจ้านตีตลาดลาดเลไปหมด ไม่ว่าแดนบ้านแดนวัดฆราวาสพระเณร เป็นสนามเล่นกีฬาของกิเลสก่อฟืนก่อไฟเผาโลกเสียทั้งนั้น ซึ่งน่าทุเรศจริงๆ

ถ้าหากว่าเรามีญาณเหมือนพระพุทธเจ้า หรือเหมือนพระสาวกท่าน มองดูความจริงทั้งหลายระหว่างกิเลสกับหัวใจของสัตว์โลกที่เกี่ยวพันกัน จนถึงกับเป็นคำว่ากรรมๆ หรือวิบากแห่งกรรมแล้ว เหมือนโลกนี้จะหาที่ปลงที่วางไม่ได้เลย เพราะมีแต่ธรรมชาตินี้ออกหน้าออกตา ทำการทำงานกอบโกยเอาผลประโยชน์จากตนจากหัวใจสัตว์โลก โดยที่สัตว์โลกนั้นก็สักว่ามีแต่ความรู้เท่านั้น การกีดกันหรือต้านทานสิ่งที่มากอบโกยเอาผลประโยชน์บนหัวใจนั้นไม่มีเลย ความรู้ประเภทที่จะนำมากีดกันต้านทานกันนั้นไม่มี เมื่อเป็นเช่นนั้นการมาศึกษา ก็ไม่พ้นที่สิ่งเหล่านี้จะเข้ามาแบ่งสันปันส่วนเป็นอย่างน้อย แล้วบีบบังคับเอาซึ่งๆ หน้าเป็นลำดับลำดาอยู่ตลอดมา นี้รู้สึกจะมีเป็นประจำ

ธรรมทั้งหลายที่ท่านแสดงไว้ว่ามีๆ นั้น ท่านทรงไว้แล้วทุกสิ่งทุกอย่าง ในธรรมที่เป็นฝ่ายผลทรงอยู่แล้วภายในพระทัยของพระพุทธเจ้า จึงได้นำออกมาสั่งสอนสัตว์โลกอย่างเต็มพระทัย หรือพูดภาษาของเราก็เรียกว่านำมาสอนอย่างเต็มปาก ไม่มีคำว่ากระดากอายกิเลสเลย เพราะกิเลสได้ม้วนเสื่อลงจากพระทัยท่านหมดแล้วไม่มีสิ่งใดเหลือ ธรรมที่ว่าประเสริฐเลิศเลอที่ได้ออกมาประกาศสอนโลกว่าธรรมๆ นั้น พระองค์ทรงไว้โดยสมบูรณ์แล้วจึงประกาศให้โลกทั้งหลายได้ทราบ ทั้งผลคือธรรมแท้ที่พระองค์เสวยอยู่ภายในพระทัย ทั้งเหตุคือทางเดินเข้าไปสู่ธรรมนั้น ก็ทรงประกาศสอนไว้ทุกแง่ทุกมุม ท่านผู้มีอุปนิสัยสามารถที่จะรู้ได้อย่างรวดเร็วก็รู้ได้ๆ อย่างไม่มีปัญหา

ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงไว้นั้น สาวกทั้งหลายก็ทรงธรรมประเภทนั้นเช่นเดียวกัน เรียกว่าธรรมกับใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว โล่งไปหมดในแดนโลกธาตุนี้ ไม่มีอะไรที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องทำลายหรือมารบกวนได้เหมือนอย่างแต่ก่อน ที่กิเลสตัวสำคัญยังมีอยู่ภายในพระทัยและใจนั้นเลย นั่นท่านเรียกว่าธรรมเปิดเผย ดังที่ท่านแสดงไว้ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตรว่า ญาณํ อุทปาทิ เกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายที่จะทรงรู้ทรงเห็นด้วยพระญาณของพระองค์ และคำว่า อาโลโก อุทปาทิ สว่างอยู่ในพระทัยนี้ด้วย สว่างออกไปสู่ข้างนอกไม่มีสิ่งใดมาปิดบังลี้ลับด้วย ธรรมนี้เปิดเผยในพระทัยของพระพุทธเจ้านับแต่วันตรัสรู้เรื่อยมาไม่ขาดวรรคขาดตอนเลย

ถ้าเราทั้งหลายมองเห็นได้เช่นเดียวกับมองเห็นพระอาทิตย์แล้ว พระทัยของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ที่ทรงธรรมประเภทนี้ เราจะเทียบว่าเหมือนพระอาทิตย์กี่ดวงล่ะ เพียงพระอาทิตย์ดวงเดียวนี้เราก็เห็นสว่างจ้าแล้ว พระทัยของท่านที่ทรงอรรถทรงธรรมเต็มที่แล้ว เมื่อต่างองค์ต่างก็รู้จริงเห็นจริงอย่างเดียวกันนั้นจะสว่างขนาดไหน เพียงแต่เรามีกิเลสก็ตาม ถ้าเป็นวิสัยที่จะมองดูได้เช่นเดียวกับเราดูพระอาทิตย์พระจันทร์แล้ว  เราจะเห็นความอัศจรรย์แห่งความบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้าและสาวกท่านขนาดไหน ทำไมเราจะนอนใจได้ในการประกอบความพากเพียร

และก่อนที่ท่านจะได้ตรัสรู้ธรรมและบรรลุธรรมของสาวกทั้งหลายนั้น ท่านได้รับความทุกข์ความทรมานเพราะอำนาจของกิเลสนี้บีบบังคับอยู่เรื่อยมา ไม่ทราบว่ากี่กัปกี่กัลป์ ความทุกข์ความทรมานทั้งหมดเมื่อประมวลลงแล้ว ไม่มีสิ่งใดมาทำให้ทุกข์มาทำให้เกิดทุกภพทุกชาติ แบกหามทุกข์มากน้อยเป็นลำดับมาเลย นอกจากกิเลสอย่างเดียวเท่านั้น เมื่อได้ทราบทั้งโทษเต็มพระทัยอย่างนี้ และเห็นทั้งคุณก็เต็มพระทัยอีกเช่นเดียวกันแล้ว การสอนโลกจึงสอนอย่างเต็มภูมิของศาสดา พระเมตตามีเท่าไรในพระทัยก็ทุ่มลงหมด ตั้งแต่วันตรัสรู้ทีแรกจนกระทั่งวันปรินิพพาน และยังทรงห่วงใยสัตว์ทั้งหลายอยู่อีก และประกาศศาสนธรรมไว้ เช่นศาสดาของเรานี้ประกาศไว้ ๕,๐๐๐ ปี เพราะยังพอมีผู้ที่จะยึดเอาสารประโยชน์จากธรรมนั้นอีกมากมาย

ธรรมนี้ถ้าหากว่าเป็นสิ่งที่ออกตลาดลาดเลได้แล้ว จะไม่มีอะไรเสมอเหมือนเลยในแดนโลกธาตุนี้ ขอให้ธรรมได้แสดงตัวออกเต็มที่ภายในจิตใจของสัตว์โลกนี้ลองดูซิ โลกนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง ผิดกันกับกิเลสออกแสดงตัวตีตลาดลาดเลเต็มโลกเต็มสงสารนี้เป็นไหนๆ แต่เวลานี้เราอยากจะพูดว่า  มีแต่สิ่งเหล่านี้ทั้งนั้นในหัวใจของสัตว์โลก แม้ชาวพุทธและนักบวชผู้ปฏิบัติเราก็ไม่พ้นที่สิ่งเหล่านี้จะเข้าย่ำยีตีแหลกอยู่ตลอดเวลาภายในหัวใจ จึงหาเวลาที่จะรู้อรรถรู้ธรรมเพราะความพากเพียรด้วยความตั้งใจจริงๆ นั้นไม่ได้

มีแต่กิเลสทำงานอยู่ตลอดเวลา แต่เจ้าของก็ยังภูมิใจว่าเราได้เดินจงกรม เรานั่งสมาธิ เราภาวนาเท่านั้นนาทีเท่านี้ชั่วโมงในอิริยาบถนั้นๆ แต่สิ่งที่มันไม่บอกไม่กล่าว เพราะเป็นความลี้ลับของมันตัวฉลาดแหลมคมนั้น มันทำงานอยู่ตลอดเวลาในหัวใจของเราที่ขาดสติ แม้แต่ยังมีสติอยู่ ธรรมชาตินี้ที่มีอำนาจก็ยังข้ามสติไปได้ต่อหน้าต่อตา ข้ามปัญญาของเราไปได้อย่างสบาย ประหนึ่งว่าเป็นเศษไม้เศษคนเศษพระเศษเณร ไม่มีคุณค่าอันใดเลยกับสติปัญญาเหล่านั้นที่เรากำลังบำเพ็ญอยู่ เพราะอำนาจของมันเหนือกว่าสติปัญญาอยู่มากมายในขั้นเริ่มแรกปฏิบัติ

ด้วยเหตุนี้ธรรมชาตินี้จึงต้องเพ่นพ่านอยู่บนหัวใจของนักบวชผู้ปฏิบัติ กระจายออกไปทั่วโลกดินแดน ไม่มีช่องใดที่จะว่างซึ่งกิเลสจะไม่ได้ทำงาน หรือกิเลสนี้ได้ว่างงานไปเพราะไม่มีงานทำ ไม่มีสถานที่ทำงาน แต่มันเต็มไปด้วยสถานที่ทำงาน เต็มไปด้วยงานของกิเลสตักตวงเอาผลประโยชน์ จากหัวใจสัตว์ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ความทรมาน เพราะการกอบโกยเอาผลประโยชน์ของมัน และสร้างความทุกข์ให้แก่สัตว์ทั้งหลายทั่วโลกดินแดนแทบไม่มีเกาะมีดอน

หากว่าเรามีความรู้หรือมีญาณหยั่งทราบสิ่งเหล่านี้แล้ว เราเองผู้ปฏิบัตินี้จะอยู่ได้อย่างไร เพราะในโลกนี้เต็มไปด้วยฟืนด้วยไฟ ราคคฺคินา โทสคฺคินา โมหคฺคินา ทั้งเผาอยู่ในวงปัจจุบัน ทั้งเสวยผลที่ทำมาก่อนแล้ว ที่เรียกว่าวิบากกรรมๆ พาให้ตกนรกหมกไหม้ เกิดเป็นเปรตเป็นผีเป็นยักษ์เป็นมารเป็นสัตว์เดรัจฉานไม่รู้กี่ประเภทนับไม่ได้เลย มากและนานขนาดไหน มีที่ว่างที่ตรงไหนที่ความทุกข์ของสัตว์จะไม่มี เพราะจิตวิญญาณนี้มีเต็มไปหมดทั่วแดนโลกธาตุ  ในบรรดาจิตวิญญาณที่มีอยู่เหล่านั้น มีดวงใดที่หลุดพ้นจากการกดขี่บังคับของธรรมชาติอันนี้คือกิเลส ที่จะไม่สร้างความทุกข์ร้อนให้แก่บรรดาสัตว์ทั้งหลายไม่มีเลย มีมากมีน้อยมีอยู่เป็นประจำตั้งแต่ไหนแต่ไรมา เว้นเฉพาะพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และสาวกอรหันต์ทั้งหลายเท่านั้น ที่ท่านผ่านพ้นมหันตทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้ไปแล้ว นอกนั้นเป็นแบบเดียวกันอย่างนี้ หนักบ้างเบาบ้างเป็นกาลเป็นเวลาตามวาระแห่งกรรมของตนๆ

แต่อย่างไรก็ตาม แม้แต่อยู่ในแดนนรก กิเลสก็ยังแฝงอยู่ในนั้นได้ แต่กิเลสมันไม่ร้อน สัตว์ทั้งหลายตัวรับเคราะห์รับกรรม เป็นสถานที่รองรับกิเลสคือใจดวงนั้น เป็นผู้เดือดเป็นผู้ร้อนเป็นผู้เสวยกรรม กิเลสไม่เสวยกรรม หากเราทั้งหลายมีญาณหยั่งทราบ คือสมมุติขึ้นมาว่า ได้มีความรู้หยั่งทราบวิบากแห่งกรรมของตนของสัตว์โลกเช่นนั้นแล้ว เราจะอยู่ได้อย่างไร มีทางเดียวคือการตะเกียกตะกายด้วยความเพียรอย่างสุดเหวี่ยงเท่านั้น เพื่อเอาตัวหนีรอดจากมหาภัยเหล่านี้โดยถ่ายเดียว จากกองทุกข์มหันตทุกข์กว้างแคบขนาดไหนดังที่ประจักษ์อยู่กับตาของเรา จะว่าตาภายในก็ได้ ตาภายนอกก็ได้ เพราะเรายกข้อเปรียบเทียบขึ้นมา เนื่องจากหลักธรรมชาตินั้นเป็นอย่างนั้นจริงๆ เป็นแต่เพียงว่าเราไม่เห็น จึงสนุกพากันสั่งสมความประมาทนอนใจ สร้างบาปสร้างกรรมกันอย่างไม่ลืมหูลืมตา

นี่เกิดว่าเรามีญาณมีความหยั่งรู้ทราบตามความจริงนั้นแล้ว เราจะอยู่อย่างที่เราอยู่อย่างนี้ได้อย่างไร คนคนนี้แลจิตใจดวงนี้แล ความสามารถดังที่เคยปฏิบัติมาอย่างนี้แล จะเปลี่ยนไปหมดทุกแง่ทุกมุมทุกอากัปกิริยา ความรู้ความเห็นจะพลิกตัวดีดดิ้นเพื่อหาทางออก ด้วยการตะเกียกตะกายสุดกำลังความสามารถขาดดิ้นของหัวใจ ชีวิตจิตใจขาดดิ้นเมื่อไรถึงจะอยู่ ถ้าไม่ขาดความเพียรนี้เป็นดีดดิ้นไม่ถอย ควรโดดต้องโดด ควรคลานต้องคลาน ควรวิ่งต้องวิ่ง ให้อยู่เฉยๆ หรือเดินไปอย่างสบายๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นนั้นไม่มีเลย เพราะเห็นภัยอย่างเต็มหัวใจ ประจักษ์กับความรู้ที่เห็นๆ อยู่นี้

มองไปเมื่อไรก็เห็น รอบตัวของเราก็มีอยู่อย่างนี้ เต็มไปด้วยกองทุกข์แห่งวิญญาณของสัตว์ทั้งหลาย ที่กิเลสและบาปกรรมต่างๆ มันบีบมันบังคับมันเผามันลนอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้ด้วยกัน เราจะอยู่ได้อย่างไร ต้องดีดต้องดิ้นสุดกำลังความสามารถ และพร้อมทั้งเรามีอรรถมีธรรม คือสวากขาตธรรมของพระพุทธเจ้า อันเป็นทางออกโดยชอบ ดังที่พวกเราทั้งหลายได้ทรงอยู่เวลานี้ จากการได้ยินได้ฟังจากการศึกษามา จะรวมตัวเข้าเป็นพลังของใจแหวกว่ายตะเกียกตะกายเต็มความสามารถ จนหลุดพ้นไปได้โดยไม่อาจสงสัย ฉะนั้นกำลังใจจึงเป็นของสำคัญมากในกิจการทั้งปวง มีการบำเพ็ญเพียรเป็นต้น

ดังที่ท่านผู้มีอุปนิสัยสามารถ ท่านเห็นโทษแห่งความเป็นอยู่ในโลกนี้แล้ว อยากเสาะแสวงหาธรรมเพื่อความร่มเย็นในกาลต่อไป แม้ท่านจะไม่มีญาณ ท่านก็มีความรู้สึกเบื่อหน่ายในโลกอยู่อย่างเต็มหัวใจ เช่น ประเภทอุคฆฏิตัญญู ดังตัวอย่างที่ยกไว้ เช่น พระสารีบุตร พระโมคคัลลาน์ ท่านเหล่านี้สมบูรณ์พูนผลด้วยสมบัติศฤงคารบริวาร แต่ท่านก็เบื่อ อยากเสาะแสวงหาคุณงามความดี ท่านจึงได้ออกไปบวชเป็นเดียรถีย์นิครนถ์หรือเป็นอะไร แต่ท่านก็เป็นนักบวชคนหนึ่งในสมัยนั้น

นี่เพียงท่านเห็นโทษแค่นี้ท่านก็ยังตะเกียกตะกายออกไป ลงได้เห็นอย่างที่ว่านี้ไม่ว่าท่านว่าเราว่าใคร ใครจะอยู่ได้ เมื่ออยู่ในวิสัยที่จะตะเกียกตะกายได้แล้ว ต้องตะเกียกตะกาย นอกจากสัตว์ที่จมอยู่ในหม้อน้ำร้อนเท่านั้น จะเอาอะไรไปตะเกียกตะกายเพราะสุดวิสัยแล้ว นี่เรายังอยู่ในวิสัยที่จะตะเกียกตะกายได้ อย่างไรต้องดีดดิ้นจนสุดกำลังความสามารถขาดดิ้นแห่งชีวิตจิตใจของเรานั้นแล ไม่อยู่เฉยได้อย่างเด็ดขาดสำหรับหัวใจมนุษย์ เพราะเรื่องของทุกข์ในโลกของสัตว์ผู้มีกรรมเป็นทุกข์อย่างนั้นจริงๆ

พระพุทธเจ้าไม่มีคำว่าโกหกสัตว์โลก ว่า ญาณํ อุทปาทิ ก็เหมือนกัน ทรงหยั่งทราบไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีอะไรปิดบังลี้ลับพระญาณของพระพุทธเจ้านั้นเลย เหตุใดพระองค์จะไม่เห็นสิ่งดังกล่าวเหล่านี้ อันนี้เพียงเรานำมาพูดให้ท่านผู้ฟังทั้งหลายทราบ โดยที่เราก็ไม่ได้มีญาณมีความรู้อันใด แต่เราแน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์ ว่าธรรมชาติที่กล่าวมาเหล่านี้เป็นความจริงล้วนๆ จึงนำมาสั่งสอนหมู่เพื่อนเช่นเดียวกับธรรมภาคทั่วๆ ไป เหตุใดพระพุทธเจ้าองค์เอกผู้ทรงรู้จริงเห็นจริงตลอดทั่วถึงในสามแดนโลกธาตุ ไม่มีสิ่งใดปิดบังลี้ลับ จะไม่ทรงรู้ทรงเห็น จะไม่นำมาสอนโลกให้เต็มที่เต็มฐาน เต็มพระสติกำลังความสามารถ ด้วยอำนาจแห่งพระเมตตาต่อสัตว์โลกที่มีเต็มพระทัยล่ะ

พระพุทธเจ้าสอนโลกไม่ได้สอนเหมือนอย่างโลกหรือใครๆ สอนกันเลย เป็นเอกทั้งความเป็นศาสดาด้วย ทั้งความรู้แจ้งเห็นจริงด้วย ทั้งอุบายในการแนะนำสั่งสอนสัตว์โลกที่ควรจะสั่งสอนอย่างไรด้วย ไม่มีใครเสมอศาสดาในเรื่องความฉลาดแหลมคม ฟังแต่ว่าญาณๆ ความฉลาดแหลมคมก็เป็นเช่นเดียวกับคำว่าญาณๆ นั่นแล ควรจะสั่งสอนสัตว์โลกด้วยวิธีการใดพอจะเป็นผลประโยชน์ในแง่ใด พระองค์จะทรงสั่งสอนเต็มพระสติกำลังความสามารถ เพราะทรงเห็นโทษแห่งกิเลสและบาปธรรมที่ย่ำยีตีแหลกสัตว์ทั้งหลายมาประจำสมมุตินี้นานแสนนานแล้ว กว้างแคบขนาดไหนพระองค์ไม่จำต้องคำนึงคำนวณให้เสียเวลาเหมือนโลกสมมุติทั่วๆ ไป

ถ้าอย่างสมัยปัจจุบันนี้เขาเรียกว่าทราบด้วยคอมพิวเตอร์ พระญาณหยั่งทราบของพระพุทธเจ้าถ้าเทียบก็เป็นเช่นนั้น แต่ยังละเอียดและรวดเร็วกว่านั้นไปอีกสักกี่หมื่นกี่แสนกี่ล้านๆ เท่า นี้เพียงเอามาเทียบเท่านั้น แล้วเหตุใดพระองค์จะไม่สั่งสอนสัตว์โลก ให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยด้วยพระปรีชาสามารถเล่า

สมมุติว่าเราเห็นแต่เพียงแง่ใดแง่หนึ่งแห่งภัยทั้งหลายที่กล่าวมา ไม่ได้มากถึงพระองค์ก็ตาม ก็จะต้องตะเกียกตะกายอย่างที่ว่านี้ และในปัจจุบันเดี๋ยวนี้ ที่เรามาประพฤติปฏิบัติธรรมอยู่ด้วยความเป็นนักบวชผู้เห็นภัยอยู่แล้ว และตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์อยู่แล้ว สิ่งที่เป็นข้าศึกต่อเรา-เราเห็นชัดๆ อยู่แล้วรอบตัวเรา เราจะอยู่เฉยๆ เดินเฉยๆ ธรรมดา นั่งสมาธิภาวนาทั้งง่วงทั้งหลับสัปหงกงงันอย่างที่เป็นอยู่เวลานี้ได้อย่างไร จะต้องดิ้นจนสุดขีดเพื่อเอาตัวรอดโดยไม่มีทางสงสัยนั่นแล

ถ้าจะยกเป็นข้อเปรียบเทียบก็ไม่ต้องเอามากแหละ เอาเพียงเมื่อเดือนก่อนนั้น ๓๐ วัน  เคยถูกกิเลสสับฟันมาเลือดสาดเต็มเนื้อเต็มตัว ตายก็มี สลบไสลก็มี ในอัตภาพของเราอัตภาพเดียวนี้ แล้วเดือนนั้นทั้ง ๓๐ วัน เราได้ถูกกิเลสสับยำมาตลอด ที่เป็นภพหนึ่งชาติหนึ่งมาจนกระทั่งถึงเดือนนี้เราก็ได้เห็นเช่นนี้ มาถึงเมื่อวานนี้ก็เห็นอย่างชัดๆ ว่าถูกสับถูกฟันถูกฆ่า วันนี้ก็เห็นอย่างชัดๆ ว่ากิเลสมันสับมันฟันอยู่ตลอดเวลา เลือดสาดหรือเลือดไหลอาบร่างของเราแดงฉานอยู่จนเดี๋ยวนี้ วันพรุ่งนี้มันก็เตรียมจะสับจะฟันเราอีก และวันมะรืนก็จะเป็นแบบเดียวกันนี้ต่อไป แล้วเราจะนิ่งนอนใจอยู่ได้ไหม ตั้งปัญหาด่วนถามตัวเองเพื่อหาทางออกซินักปฏิบัติเรา

พระพุทธเจ้าทรงเห็นภัยแห่งวัฏวนของโลก ท่านเห็นดังที่กล่าวมานี้แล ยิ่งเราพิจารณาเห็นซึ้งตามตามพระองค์ เพียงส่วนใดที่ควรแก่กำลังความสามารถของเราบ้าง เรื่องความเพียรนั้นอย่างไรก็ต้องหมุนติ้วด้วยกันนั่นแหละ

เฉพาะที่เป็นอยู่บัดนี้ก็ทุกข์พอแล้ว เราทำไมจะสามารถทนอยู่ได้ ทั้งจะรับภาระต่อไปแบบหน้าตาเฉยนี้จะทนได้ไหม เมื่อเป็นเช่นนั้นความเพียรที่จะให้หลุดลอยออกไปได้ในขณะใดเวลาใด เราจะต้องตะเกียกตะกายเต็มสติกำลังความสามารถนั่นแล เพราะฉะนั้นท่านผู้เห็นภัยประจักษ์ใจความเพียรจึงเด่น ความเพียรจึงดี ความเพียรจึงกล้าจึงสามารถ สติปัญญาจะเสริมสร้างกันขึ้นด้วยพลังของใจ เพื่อให้หลุดพ้นไปอย่างรวดเร็ว สติปัญญาจะมาพร้อมๆ กันโดยลำดับลำดาและเจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะความเห็นภัยกระตุ้นเตือนอยู่ตลอดเวลา

ในขณะที่สติปัญญามีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นภายในจิตใจ กิเลสจะค่อยอ่อนลงไปๆ และปัญญาเกิดขึ้นมาในแง่ใดมุมใด เป็นการเกิดขึ้นเพื่อสังหารกิเลสไปพร้อมๆ ๆ กัน และยิ่งเป็นสติปัญญาที่แกล้วกล้าสามารถโดยลำพังตนเองด้วยแล้ว ก็ยิ่งจะฟาดฟันกิเลสให้แตกกระจายอย่างเห็นประจักษ์ๆ นั้นละที่นี่ทำให้ผู้บำเพ็ญลืมหลับลืมนอนลืมกินลืมถ่ายลืมไปหมด เพราะการตะลุมบอนกับกิเลสชนิดต่างๆ เพื่อไม่ให้ต่อเงื่อนไปยืดยาวนาน เพื่อสับเพื่อฟันเราให้เลือดอาบไปหมดทั้งตัว เช่นเดียวกับเขาอาบน้ำหรืออาบเลือดอีกต่อไป เฉพาะเดี๋ยวนี้ก็ทุกข์พอแล้ว เพราะฉะนั้นจึงต้องฟัดต้องฟันต้องต่อสู้กันอย่างสุดเหวี่ยง สติปัญญาศรัทธาความเพียรมีเท่าไรโหมกันมาๆ เอาให้มันม้วนเสื่อในเดี๋ยวนี้ ไม่ให้มีเงื่อนต่อไปถึงวันพรุ่งนี้เลย

ถ้าจิตมีความรู้สึกต่อเครื่องเทียบเคียงดังที่กล่าวมานี้ ความเพียรของผู้ปฏิบัติเราเริ่มตั้งแต่มาศึกษาอบรมกับครูกับอาจารย์ จะมีความขยันหมั่นเพียรตั้งอกตั้งใจกว่าปกติที่เป็นอยู่เวลานี้และที่เป็นมาแล้ว ทั้งจะดียิ่งขึ้นไป ผลก็จะประจักษ์ขึ้นภายในจิตใจของตน สมาธิไม่เคยมี ความสงบไม่เคยมี ก็จะมีขึ้นด้วยการภาวนาเพื่อสมถธรรม เช่น เรานำธรรมบทใดเข้ามาบริกรรม ธรรมบทนั้นกับใจของเรากับสติของเราจะกลมกลืนกันอย่างแยกไม่ออก เพราะความเห็นภัยเป็นสำคัญ ถ้าสติกับจิตได้พรากจากกันเมื่อไร ก็เท่ากับเราตกจากสะพานไม้ลำเดียวลงจมน้ำนั่นแล ใครจะอยากตกสะพานและจมน้ำตายในเวลานั้น ต้องตั้งสติสตังให้เต็มที่เพื่อความปลอดภัย การไต่สะพานไม้ลำเดียวข้ามแม่น้ำนั้น เขามีสติไหมเวลาเขาไต่ไม้ลำเดียวเดินไปบนไม้ลำเดียวในเวลาข้ามแม่น้ำลำคลอง นี่ก็เหมือนกันสติกับใจของเรานี้ให้กลมกลืนกันอย่างแนบสนิท ทีนี้ความสงบไม่ต้องบอกจะเกิดขึ้นๆ มากขึ้นๆ โดยลำดับลำดา ด้วยพลังแห่งสติกับใจที่ติดแนบกันอย่างว่านี้

คำว่าสมาธิไม่เคยมีก็มีในหัวใจเรา เป็นยังไงที่นี่สมาธิคือความสงบใจ กับความฟุ้งซ่านของใจซึ่งเป็นเหมือนกับไฟเผาลนอยู่ตลอดเวลา ต่างกันไหม นี่ก็เทียบเคียงกันได้แล้ว ออกจากนั้นก็พิจารณาทางด้านปัญญาในวาระต่อไปที่ควรจะพิจารณา แต่ไม่ใช่พิจารณาในวาระเดียวกัน ต่างวาระกัน คือช่วงก้าวเดินด้วยปัญญามี ช่วงที่จะทำความสงบเพื่อเอากำลังใจก็มี ปัญญาก็ก้าวเดิน เดินอย่างเพลิน เดินอย่างลืมวันลืมคืนลืมปีลืมเดือนลืมเหน็ดลืมเหนื่อยเมื่อยล้า ลืมไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง มีแต่หมุนตัวเป็นธรรมจักรอยู่ระหว่างปัญญากับกิเลสฟัดกันๆ ทีนี้กิเลสตัวไหนจะเหนียวแน่นขนาดไหน พระพุทธเจ้าเคยสังหารมาแล้ว ด้วยพระปรีชาสามารถของพระองค์ ก็คือพระปัญญานั่นเอง พระสาวกทั้งหลายสังหารกิเลสหมอบราบไปหมด ได้ครองมหาสมบัติคือนิพพานสมบัติเต็มหัวใจ ทั้งพระพุทธเจ้าและพระสาวก เพราะอำนาจแห่งปัญญานี้แล สตินี้แลจะเป็นอะไรที่ไหนกัน

พวกเราทั้งหลายเมื่อนำมาใช้ด้วยความตั้งอกตั้งใจ ด้วยความเห็นโทษเห็นคุณจริงๆ แล้ว ศาสนธรรมก็คือตลาดแห่งมรรคผลนิพพาน เปิดเผยให้รู้หมดว่าสินค้านี้ราคาเท่าไร สินค้านั้นราคาเท่าไร เปิดหน้าห้างหน้าร้านเอาไว้ให้เห็นหมด เอ้า ใครจะไม่อยากได้ของที่มีคุณค่ามาก เพราะอยู่ในความสามารถของผู้ที่จะอาจจะเอื้อมให้ได้ในสินค้าเหล่านี้ ไม่นิยมว่าใคร ขอให้มีความสามารถจะได้มาเป็นสมบัติของตัว ได้ชมสมบัตินั้นเป็นของตัวโดยไม่อาจสงสัย เมื่อเป็นเช่นนั้นความเพียรของเราก็มี เราเป็นคนคนหนึ่ง สติเรามีปัญญาเรามี ทำไมจะไม่โหมตัวเข้ามาเพื่อสมบัติที่มีค่ามหาศาล หรือมหาสมบัติอันนั้นเป็นลำดับๆ เล่า คำว่าตลาดแห่งมรรคผลนิพพาน หรือว่าสมบัติเหล่านั้นก็กลายเข้ามาสู่ใจ ใจก็กลายเป็นตลาดแห่งมรรคผลนิพพานขึ้นมา ให้เจ้าของได้ชมอย่างเต็มหัวใจในวงพุทธศาสนานี้

ที่นี่ย่นเข้ามาสู่ตัวของเรา นี่มาเป็นสมบัติของเราแล้ว สมบัติของพระพุทธเจ้านั้นได้ประกาศธรรมสอนโลกเอาไว้เป็นกลางๆ เรียกว่าตลาดแห่งมรรคผลนิพพาน เราประพฤติปฏิบัติจมสามารถได้ธรรมเหล่านั้นมาเป็นสมบัติของเรา ตั้งแต่สมาธิขึ้นไปถึงขั้นปัญญาวิมุตติหลุดพ้น กลายเป็นใจของเรามาเป็นตลาดแห่งมรรคผลนิพพานเสียเองนี้ภูมิใจถ้าจะภูมิ ไม่มีอะไรประเสริฐเลิศเลอยิ่งกว่าผู้ครองมรรคผลนิพพานอยู่ในตลาด คือหัวใจที่บริสุทธิ์นี้เป็นสำคัญไปได้เลย หรือไม่มีใครจะสูงส่งเลยจากนี้ไปได้ ยิ่งกว่านี้ไปได้เลย นี่ละท่านว่าเลิศ เลิศที่ตรงนี้

ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ให้เอาจริงเอาจัง มาศึกษาก็ให้ตั้งใจศึกษา อย่ามาเร่ๆ ร่อนๆ ดังที่ว่านี้ คือความไม่เห็นโทษในสิ่งที่เป็นโทษทั้งหลาย แล้วก็จะไปโดนเอาโทษนั้นอีกไม่มีจบมีสิ้นลงได้ ก็คือพวกเราพวกตายไม่เข็ด พวกทุกข์ไม่เข็ดไม่หลาบ ตายแล้วตายเล่า เพราะอำนาจแห่งความทุกข์บีบบังคับ แล้วกิเลสทั้งหลายมันก็ปิดบังๆ ไว้ ไม่ให้มองเห็นสิ่งที่เป็นมาเสีย เราก็นอนใจๆ ข้างหน้าก็เหมือนกับจะไม่มีอะไร ไม่มีทุกข์ ทั้งๆ ที่เคยมีมาแล้วขนาดไหน เราก็ไม่เห็นไม่รู้ในสิ่งที่ผ่านมาแล้ว และก็จะให้ประมาทไปในอนาคตอีกไม่มีที่จบสิ้นลงได้ เราก็กลายเป็นใจดวงที่ประมาท เพราะอำนาจแห่งกิเลสมันครอบงำปิดบังไว้อย่างมิดชิดให้มองไม่เห็น เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วทางออกแห่งความพ้นทุกข์ของเราอยู่ที่ตรงไหน ก็ไม่มี แล้วเหตุใดถึงจะมีได้

ก็ศาสนธรรมของพระพุทธเจ้าประกาศกังวานอยู่นี้เป็นธรรมโกหกเมื่อไร กิเลสเป็นเครื่องโกหก ผ่านมาแล้วก็ไม่ให้เห็นไม่ให้มี นรกก็เคยตกมาแล้วไม่รู้กี่กัปกี่กัลป์กี่ครั้งกี่หน ก็ไม่เชื่อว่านรกมี บาปก็คือความทุกข์ถึงขั้นมหันตทุกข์มหันตโทษก็เคยจมมาแล้วกับบาป ถูกเผามาแล้วมากขนาดไหนก็ไม่เชื่อว่าบาปนั้นมีเสีย นั่นก็คือเรื่องของกิเลสมันปิดไว้ๆ ทั้งสิ้น แล้วไปข้างหน้าก็เช่นเดียวกับข้างหลังที่เป็นมานี้ ข้างหน้าก็ไม่มีนรก ข้างหน้าก็ไม่มีบาปไม่มีบุญ ไม่มีสวรรค์ไม่มีนิพพานในหัวใจ ก็มีแต่ความอยากเต็มหัวใจ ความอยากเต็มหัวใจนั้นมันเอายาพิษฝังไว้ในความอยากอย่างจมมิดมาแล้ว อยากอะไรเป็นเรื่องของกิเลสเสียทั้งมวลๆ แย็บออกไปตรงไหนก็มีแต่ยาพิษๆ เผาลงไปๆ เป็นยังไงพวกเราที่โง่เขลาเบาปัญญาที่สุด ที่พากันจมอยู่ในกองทุกข์เวลานี้ ไม่มีวันเข็ดหลาบบ้างเหรอ ถามตัวเองซิ

ศาสนธรรมพระพุทธเจ้าที่ประกาศกังวานอยู่นี้ เป็นสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วๆ ทำไมจึงไม่ฟังทำไมจึงไม่เชื่อ ทำไมจึงไปเชื่อสิ่งจอมปลอมที่เคยต้มตุ๋นมามากต่อมากแล้วก็คือกิเลส กิเลสตัวใดที่เคยเป็นความจริงให้เชื่อถือได้มีไหม ถ้าหากว่าเราจะพูดเป็นโคตรเป็นแซ่ ก็ตั้งแต่ปู่ย่าตายายโคตรแซ่ของกิเลส มาถึงลูกเต้าหลานเหลนของกิเลส มีแต่จอมโกหกทั้งนั้นโกหกสัตว์โลกน่ะ ธรรมชาติอันนี้อยู่บนหัวใจของสัตว์ มันอยู่ได้ด้วยการโกหก เพราะฉะนั้นถึงบีบบี้สีไฟสัตว์ทั้งหลายให้ได้รับความทุกข์ความทรมาน ถ้าพวกเราทั้งหลายได้เห็นด้วยตาญาณจริงๆ แล้วจะอยู่ได้ยังไงโลกอันนี้ เฉพาะตัวของเรานี้มีที่ไหนปลงวางใจของเราลงไปได้ มีแต่เป็นฟืนเป็นไฟไปด้วยกันหมด ทำไมจะไม่ดีดไม่ดิ้นคนเรา ต้องดีดต้องดิ้นสุดขีดทีเดียว ขอให้รู้ให้เห็นเถอะน่ะ

อันนี้มันไม่รู้ไม่เห็นนั่นซิ ถึงได้หลับหูหลับตาชนแล้วชนเล่า โดนแล้วโดนเล่า ตกแล้วตกเล่า ตกเหวตกบ่อตกนรกอเวจี ตกสักกี่กัปกี่กัลป์มันก็เท่ากันกับไม่ตก เพราะถูกปิดถูกบังไปเรื่อยไม่ให้เห็นเลย ข้างหน้าก็เป็นแบบเดียวกันดังที่เป็นอยู่เวลานี้ ในขณะนี้กิเลสมันหลอกไปที่ไหน หลอกให้ออกไปทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย มันผลักมันดันออกตามช่องทางเหล่านี้ เพราะอำนาจของกิเลสตัวสำคัญ มันเต็มอยู่ภายในหัวใจจนอัดแน่นจึงผลักดันออกมา เราก็ยังไม่รู้จะทำยังไง มันละเอียดไหมกิเลส

เราไม่รู้ว่ากิเลสผลักดันออกมาให้เราคิดเราพูดให้เราดูให้เราเห็นให้เราฟัง ให้ได้ยินให้คิดอ่านไตร่ตรองมีแต่เรื่องของกิเลสทั้งมวล เรื่องธรรมมีที่ตรงไหน เมื่อเป็นเช่นนั้นกิเลสเอาความสมหวังมาให้ใคร มีแต่เรื่องต้มเรื่องตุ๋น เรายังจะต้องเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกนานเท่าไร เพราะเราไม่รู้กลอุบายของมันนี่จะว่าไง เพราะฉะนั้นจึงต้องหาอรรถหาธรรม มีสติธรรมปัญญาธรรมมาเป็นเครื่องแก้กัน เริ่มตั้งแต่สมาธิธรรมขึ้นไป ให้ใจสงบ เราจะมีที่ยับยั้งชั่งตัว ถ้าใจไม่สงบแล้วหาที่ยับยั้งชั่งตัวไม่ได้นะ พระเราก็ตามผ้าเหลืองมีในตลาดไม่อดไม่อยาก ศีรษะใครโกนก็ได้ แต่ใจมันเป็นฟืนเป็นไฟ นั้นละกองทุกข์อยู่ที่ฟืนที่ไฟนั่นแล ไม่ได้อยู่ที่ผ้าเหลืองไม่ได้อยู่ที่หัวโล้นโกนคิ้วนะ มันอยู่ที่หัวใจสั่งสมเอาฟืนเอาไฟ ราคคฺคินา โทสคฺคินา โมหคฺคินา เผาอยู่ที่นั่น กองทุกข์อยู่ที่นั่น เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนให้แก้ลงที่จุดนั้น เพื่อใจได้รับความสงบ พอสงบแล้วก็ตั้งตัวได้ มองโน้นมองนี้ได้ละคนเรา มองดูดินฟ้าอากาศที่ไหนพอมองได้ เมื่อพอมีความสุขบ้างแล้ว

จากนั้นก็เพิ่มสมถธรรมของเราให้ยิ่งขึ้นไปๆ ด้วยการเอาจริงเอาจัง เราอย่าทำเล่นๆ นะ ธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ธรรมเล่นๆ ธรรมแก้ทุกข์จริงๆ ธรรมเห็นทุกข์จริงๆ ธรรมเห็นกิเลสจริงๆ ธรรมฆ่ากิเลสได้จริงๆ ไม่ใช่ธรรมแบบคำบอกเล่าหรือว่าพูดกันปาวๆ พระพุทธเจ้าเจ้าของศาสนาเป็นผู้สิ้นกิเลสแล้ว และทรงสว่างกระจ่างแจ้งไปหมด สอนโลกสอนด้วยโลกวิทู ไม่ได้สอนด้วยความมืดดำกำตานะพระพุทธเจ้าสอนโลกน่ะ โลกวิทู รู้แจ้งทั้งโลกนอกโลกในตลอดทั่วถึง ไม่มีใครเกินพระพุทธเจ้า ไม่มีคู่แข่ง การสอนโลกจึงไม่มีคู่แข่ง สอนได้หมดทุกแง่ทุกมุมที่สัตว์ทั้งหลายจะได้รับประโยชน์ในแง่ใด พระองค์สอนทั้งนั้น ต่างกับโลกทั่วๆ ไปสอนกัน ราวฟ้ากับดินหินกับเพชรนั่นแล

นี่ธรรมะพระพุทธเจ้าปราบกิเลสมาได้เท่าไรแล้ว ธรรมะท่านไม่ใช่ธรรมะแบบเป็นโมฆะๆ ว่าอะไรมี….มีอย่างนั้นจริงๆ พระพุทธเจ้าไม่ได้มาโกหกโลก ถ้าสัตว์โลกไม่เชื่อก็เป็นกรรมของสัตว์เอง ถ้าเชื่อก็เป็นบุญกรรมของสัตว์อีกประเภทหนึ่ง ที่จะได้ตะเกียกตะกายตนเพื่อความหลุดพ้น และสั่งสมคุณงามความดี ตะเกียกตะกายเพื่อความดีให้เด่นขึ้นไปๆ ก็หลุดพ้นจากทุกข์ได้ เพราะอำนาจแห่งธรรมของพระพุทธเจ้าที่ตนเคารพเชื่อถือและปฏิบัติตาม

นี่ธรรมก็มีอยู่ ท่านประกาศไว้แล้วเป็นของเล่นๆ เมื่อไร กิเลสไม่ใช่ของเล่นธรรมจะเป็นของเล่นยังไง กิเลสเป็นข้าศึกต่อหัวใจของสัตว์โลกจริงๆ โลกได้รับความเดือดร้อนมาทุกหย่อมหญ้า คืออะไรเป็นผู้พาให้โลกได้รับความทุกข์ ก็คือกิเลสประเภทเดียวนี้เท่านั้น กิเลสคำเดียวนี้เท่านั้นมันครอบไปหมดทั่วแดนโลกธาตุ กี่ภพกี่ชาติล่ะ กามโลก รูปโลก อรูปโลก กามภพ รูปภพ อรูปภพ ตรงไหนที่กิเลสไม่ครองในหัวใจของสัตว์ซึ่งอยู่ในภพนั้นๆ ไม่มีเลย ฟังซิ แล้วเหตุใดจะไม่เป็นพิษเป็นภัย เหตุใดจะไม่ได้รับความทุกข์ ลงไฟตัวนี้ได้เข้าเผาที่ตรงไหนแล้วเป็นแหลกไปทั้งนั้นแหละ นี่พระพุทธเจ้าก็เห็นแล้วอย่างประจักษ์ แล้วนำธรรมเข้ามาเป็นน้ำดับไฟ ประกาศสอนโลกเพื่อแก้ทุกข์แก้กิเลสทั้งหลายนี่ เอ้า ใครฟังก็ได้ผลดีผลเลิศไปครองใจ ถ้าใครไม่ฟังก็จนตรอกจนใจจะทำยังไง เป็นกรรมของสัตว์อย่างที่ว่านั่นละ

เราทั้งหลายเป็นนักบวชเป็นนักปฏิบัติ พร้อมอยู่แล้วที่จะปฏิบัติตามหลักศาสนธรรมของพระพุทธเจ้า กำลังวังชาของเรามันไปไหน มันก็มีอยู่นี่ สติปัญญามาจากไหน ตู้สติปัญญามีอยู่ที่ไหน มีอยู่ที่หัวใจ ธรรมท่านบอกลงในที่นี่ สอนลงในที่นี่ มรรคผลนิพพานก็เหมือนกัน ที่จะรับมรรคผลนิพพานจริงๆ คือหัวใจ เช่นเดียวกับรับกิเลสนั่นแล เมื่อเต็มภูมิแล้วก็จะรู้กันขึ้นที่ตรงนี้ เมื่อได้เปิดเผยแล้วจะสว่างไปหมดเลยในบรรดาเรื่องของกิเลส ในบรรดาเรื่องกองทุกข์ของสัตว์โลก กระจายไปทั่วโลกดินแดน ไม่มีอะไรปิดบังลี้ลับหัวใจที่บริสุทธิ์นี้ได้เลย เห็นไปหมดรู้ไปหมด ถึงกาลที่จะรู้ถึงกาลที่จะเห็นปิดไม่อยู่ จะเอาอะไรมาปิด ความจริงมีนี่ ความรู้ตามความจริงมี ทำไมจะไม่เห็นกันไม่เจอกัน เปิดใจให้ถึงความจริงซิ ความจริงมีอยู่ อะไรจะมาปิดบังความจริงคือธรรมชาติที่รู้นี้ได้อย่างไร ต้องเปิดต้องเผยต้องรู้ต้องเห็นอย่างเต็มหัวใจนั่นแล

ธรรมพระพุทธเจ้าท่านรู้อย่างนั้นท่านเห็นอย่างนั้น ท่านสอนโลกท่านสอนอย่างนั้นแล แล้วสอนพวกเราท่านก็สอนอย่างนั้น นอกจากพวกเราไม่ทำอย่างนั้นเท่านั้นเอง มันถึงปีนเกลียวกัน โดดไปหากิเลสให้กิเลสเอาไปต้มไปตุ๋น คอขาดแขนขาดขาขาด เอ้า ขาดไป เหลือเท่าไรยังวิ่งกับมันไปตลอดเวลา โลกกำลังวิ่งไปตามกิเลส โลกจึงต้องเป็นทุกข์มากมาย เราเคยวิ่งมาขนาดไหนเราก็ยังไม่เห็น ดูปัจจุบันนี่ซิซึ่งกำลังแสดงให้เห็นอยู่นี่เป็นยังไง ไม่ว่าท่านว่าเราเป็นแบบเดียวกัน ไม่มีใครที่จะทรงตัวได้ด้วยความสงบสุขร่มเย็นเลย มีแต่ความดีดความดิ้นวุ่นวายไปหมด

ให้พากันตั้งใจประพฤติปฏิบัตินะ อย่านอนอกนอนใจ มาศึกษาจริงๆ ปฏิบัติจริงๆ ธรรมอย่าเห็นเป็นเรื่องเล่นๆ นะ ธรรมะพระพุทธเจ้าไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ดังที่ว่ามานี่แหละ กิเลสไม่ใช่เรื่องเล่น เป็นฟืนเป็นไฟเผาเรามากี่กัปกี่กัลป์แล้วก็คือกิเลส และธรรมที่จะส่งเราให้หลุดพ้นจากทุกข์เป็นอนันตกาลไม่ต้องมี อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เข้าไปเกี่ยวข้อง ถึงความบริสุทธิ์แล้วเป็นอย่างนั้น ก็จะมีในตัวของเรา มีในธรรมของพระพุทธเจ้าที่สอนมานี่แหละ  ให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ

เลยจะมีตั้งแต่ตำรับตำรานะเวลานี้ ศาสนาท่านสอนไว้เพื่อความจริงแท้ๆ ให้เห็นทั้งชื่อให้เห็นทั้งความจริงซิ นี้มีแต่ชื่อ เช่นสมมุติว่าในธนาคารก็มีแต่บัญชีของเงิน ไม่มีเงินในธนาคาร จะเป็นธนาคารมาได้ยังไง สำเร็จประโยชน์อะไร มีแต่ชื่อเฉยๆ ใครเขียนก็ได้ อันนี้ก็มีแต่ศาสนาเต็มหัวใจด้วยความจำ แต่ศาสนาความจริงที่เกิดขึ้นจากภาคปฏิบัติที่จะทรงไว้บ้างตั้งแต่สมาธิปัญญาขึ้นไปไม่มี จนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้นยิ่งไม่มีใหญ่ ไม่สนใจและไม่เชื่อเสียอีกด้วยซ้ำแล้วหมดทางแล้วนะ ชาวพุทธของเราถ้าลงไม่เชื่อพระพุทธเจ้าแล้วหมดหนทางที่จะไป ไม่มี เราอย่าหวังอะไรเลย ลงไม่เชื่อพระพุทธเจ้าเสียพระองค์เดียวนี้เท่านั้น อันใดที่จะดียิ่งกว่าพระพุทธเจ้าไม่มี ใครที่จะรู้แน่รู้จริงเห็นจริงดังพระพุทธเจ้านี้ไม่มี

เราอย่าไปหวังพึ่งอะไรว่าจะดีไปกว่าพระพุทธเจ้า กิเลสมันก็เป็นตัวภัยอยู่แล้วทราบกันอยู่แล้ว ถ้าเราจะหวังพ้นทุกข์ก็ต้องเปลื้องทุกข์ออกจากหัวใจของเรา เราก็ต้องเชื่อพระพุทธเจ้า เชื่อธรรมที่ท่านสั่งสอนไว้ นำมาประพฤติปฏิบัติให้รู้ซิ จะไปไหนมันต้องรู้ ธรรมท่านก็บอก อกาลิโกๆ อยู่แล้ว มีกาลสถานที่เมื่อไร กิเลสไม่เห็นมีกาลสถานที่เวล่ำเวลา มันอยู่บนหัวใจสัตว์ตลอดมา แล้วเมื่อไรมันจะแก่คร่ำคร่าชรา และกิเลสจะตายไปจากหัวใจ ใจจะได้เป็นอิสระเคยมีไหม ในหัวใจดวงไหนไม่เคยมี แล้วจะเป็นอย่างนี้ตลอดไปอีกเช่นเดียวกัน ถ้าไม่แก้ถ้าไม่ทำลายมันให้ขาดสูญไปจากใจ ด้วยอำนาจแห่งธรรมเป็นเครื่องปราบปรามเท่านั้น ไม่มีทางอื่นเป็นทางออกแห่งความทุกข์ จึงพากันตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติให้ดีนะ

เอาละแค่นี้ เหนื่อย


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก