เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๖
จิตสงบจะเห็นโทษแห่งความทุกข์
วันที่ ๑๓ เมื่อวานนี้ทองคำได้ ๓ บาท ๔๗ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๖๒๓ ดอลล์ ทองคำที่ได้หลังจากมอบคลังหลวงแล้ว ๑๒๐ กิโล ๑๕ บาท ๖๗ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๑๑๔,๓๑๕ ดอลล์ รวมทองคำทั้งหมดทั้งที่มอบแล้วและยังไม่ได้มอบ ๕,๖๗๙ กิโลครึ่ง ดอลลาร์ได้ ๗,๓๑๔,๓๑๕ ดอลล์
ตอนสำคัญดังที่เคยเรียนให้พี่น้องทั้งหลายทราบเสมอในช่วงวันที่ ๑๒ เมษา ซึ่งเป็นวันครบรอบปีที่เราประกาศช่วยชาติบ้านเมืองของเรา ในวันเช่นนั้นควรจะได้เป็นที่ระลึก คือได้มอบทองคำเข้าคลังหลวงในวันนั้น ๕๐๐ กิโล เราว่าอย่างนั้นนะ เราจึงพิจารณาอยู่นี้ละ ค่อยขยับเข้าเรื่อย เราค่อนข้างเชื่อนะ เราไม่เชื่อเราแต่เราเชื่อพี่น้องทั้งหลาย เวลานี้ได้ ๑๒๐ กิโล ๑๕ บาท ๖๗ สตางค์ ส่วนเงินนั้นเรารอจังหวะทองคำลดราคาเมื่อไร จะโทรไปหาคุณชายโดยด่วน ปุ๊บปั๊บ ๆ โอนไปโน้นแล้วเข้าซื้อทองคำทันทีเลย เรารอจังหวะ ทองคำมันขึ้นมันลงอยู่เรื่อย เราก็จะขยับเข้าใส่ ๕๐๐ กิโล มันต่างคนต่างขยับ
อย่างไรอย่าลืมความพร้อมเพรียงสามัคคีกัน อันนี้เป็นกำลังใหญ่มากทีเดียว อะไรถ้าเป็นความสามัคคีมันเป็นกำลังเข้าทันที ไม่ว่าทางชั่วทางดีเป็นได้ทั้งนั้น กำลังทางชั่วก็พุ่งขาดสะบั้นเลย กำลังทางดีก็เหมือนกัน พุ่งความชั่วขาดสะบั้นไปเหมือนกัน นี่พลังสำคัญ ความสามัคคี จากกำลังใจของเราทุกคน อะไรไม่หนีจากกำลังใจ กำลังใจเป็นที่หนึ่ง ถ้าลงกำลังใจมีแล้ว อะไรจะล้มจะเหลวไปจิตใจไม่ล้มเสียอย่างเดียว มันดึงกลับคืนมาได้หมดนะ กำลังใจนี่สำคัญมากนะ
เราจะได้เห็นเวลาเราประกอบความเพียร กำลังใจนะที่ได้ธรรมะมาแจกจ่ายพี่น้องทั้งหลาย มีแต่กำลังใจทั้งนั้น เพราะกำลังใจนี้มันรุนแรงมาก เราพูดจริง ๆ กำลังใจของเราไม่เคยอ่อนเลยนะ ดังที่เคยพูดให้บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายฟัง เดินมาจากที่พักจะไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน เพราะหลาย ๆ วันจะฉันจังหันทีหนึ่ง ๆ ทีนี้เวลาจะไปต้องคำนวณว่า จากนี้ไปถึงหมู่บ้านเขา จะไปถึงหมู่บ้านไหม ถ้าจะไปไม่ถึงก็ให้ไปฉันเสียในวันนี้ ถ้ามันจะพอไปถึงก็ยืดวันเวลาคืออดอาหารไปเรื่อย ๆ เพราะการอดอาหารนี่มันช่วยนะ ไม่ใช่เป็นการถอดถอนกิเลสนะการอดอาหาร เป็นการส่งเสริมกำลังของความเพียรเรา
ใครจะไปคิดว่าการอดอาหารนี้เป็นการฆ่ากิเลส ไม่ใช่เป็นการฆ่ากิเลส ดังพระพุทธเจ้าท่านอดพระกระยาหาร แต่นั้นท่านไม่ได้เกี่ยวกับภาวนา ท่านอดพระกระยาหารเพื่อจะตรัสรู้ด้วยการอดอาหารก็ผิด อันนี้การอดอาหารเป็นเครื่องเสริมในการภาวนา การภาวนา เป็นทางตรัสรู้ เป็นทางบรรลุธรรม สิ้นสุดแห่งทุกข์ได้ไม่สงสัยเป็นอันดับหนึ่งเลย เอกด้วยนะ ทีนี้การประกอบความเพียรเราต้องหาสิ่งที่หนุน อะไรที่เหมาะสม ๆ เราต้องเล็งดังที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในธุดงค์ ๑๓ นี้เป็นเครื่องหนุนความเพียรของเราทั้งนั้น ทางไหนดีให้เลือกเอาในธุดงค์ ๑๓ ข้อ ให้เลือก อันไหนถูกจริตของตนก็เน้นหนักในข้อนั้น ๆ อย่างนี้
เช่น เนสัชชิ อดนอน เป็นต้น คำว่าอดนอนนั้น คือไม่นอน แต่ภาวนาอิริยาบถ ๓ ยืน เดิน นั่ง ไม่นอน เป็นยังไงความเพียรดีไหม สติดีไหม ปัญญาดีไหม การฆ่ากิเลสต้องขึ้นอยู่กับสติ ปัญญา ถ้ามันหนุนดีขั้นก็ เอา อันนี้ดี แล้วค่อย ๆ เร่งอันนี้มากเข้า ๆ กว่าอย่างอื่น ๆ ถ้าอดหลายวันเท่าไรการประกอบความเพียรมันยิ่งเบาหวิวๆ ทางจิตใจมันคล่องตัว ๆ เรียกว่าถูกต้อง แต่การอดอาหารนี้ไม่มีในธุดงค์ ๑๓ แต่มีในบุพพสิกขาเกี่ยวกับเรื่องธรรมเรื่องวินัยที่อยู่รวมกันในบุพพสิกขาเล่มเดียวกัน ไปมีอยู่ทางนู้น ในธุดงค์ ๑๓ ไม่มี
บุพพสิกขานั้นบอกว่า การอดอาหารถ้าอดเพื่อโอ้เพื่ออวดแล้ว ท่านปรับโทษทุกความเคลื่อนไหวเลย คืออดอาหารเพื่อโอ้เพื่ออวดเป็นโลก เป็นกิเลสตัณหาไปอย่างงั้น อดเท่าไรเคลื่อนไหวไปไหนปรับอาบัติตลอดเลย เรียกว่าไม่ให้อดเด็ดขาด พูดง่าย ๆ ว่างั้นเถอะ ถ้าอดเพื่ออรรถเพื่อธรรม เพื่อจิตตภาวนาอดเถิดเราตถาคตอนุญาต นี้อันหนึ่ง อันหนึ่งเวลาพระสาวกเข้ามาเฝ้านี้ บางองค์ท่านก็พูดถึงเรื่องท่านฉันแต่น้อย เอ้อ ฉันแต่น้อยแหละดี ตถาคตถ้ามีเวลาว่าง ๆ ตถาคตไม่ได้ฉันมากนะ มันคล่องแคล่วในธาตุในขันธ์ พอดิบพอดี
สำหรับเรื่องอดอาหารนั้นท่านบอกไว้อย่างนั้นเลย ว่าอดเถิด ตถาคตอนุญาตถ้าอดเพื่ออรรถเพื่อธรรม ถ้าอดเพื่อโอ้เพื่ออวดแล้วปรับอาบัติตลอดเวลา ความเคลื่อนไหวไปไหนปรับตลอด คือหมายความว่า อย่าอดเป็นอันขาดถ้าไม่อยากคอขาด ปรับอาบัติก็เหมือนเราตัดคอ ตัดทีนี้ไม่ขาดตัดสองหนสามหนมันก็คอขาด ปรับอาบัติตลอดก็ขาดล่ะซี การอดอาหารในธุดงควัตรนี้ไม่มี แต่มีการอดนอนที่พระทั้งหลายท่านมักจะทำ อิริยาบถ ๓ ยืน เดิน นั่ง ความเพียรดี แต่สำหรับเราๆ พูดจริง ๆ เราไม่ถูก มันถูกกับเรื่องอดอาหาร มันถึงหมุนทางนั้นมากนะ อดนอนนี้อดไปเท่าไร หลายวันเท่าไร ร่างกายสมองอะไรเป็นไปด้วยกัน ทื่อไปหมด เอ๊ ทำไมแทนที่จิตใจจะคล่องแคล่วว่องไว สติปัญญาดี ทำไมจึงเป็นอย่างนี้ อดไปหลายคืนหลายวันเท่าไรมันก็เป็นอย่างนั้น อ้าวไม่ได้ ไม่ถูกกับนิสัยของเรา พลิกใหม่
คือต้องหาอุบายวิธีการที่จะเสริมการภาวนาให้ดี หาวิธีนั้น เช่น การเดินมากเป็นยังไง เดินด้วยความมีสติ เช่นเดินจงกรม เดินด้วยความมีสติด้วยกัน นั่งภาวนาด้วยความมีสติด้วยกัน อันไหนดี ๆ ให้ดู ถ้าทางไหนดีพระท่านมักจะหนักทางนั้น เช่นอดอาหารอย่างนี้นะ อดจริง ๆ เป็นยังไง ผ่อนเป็นยังไง ไม่อดเป็นยังไง ทดลองดู สำหรับเรานี้มันโลภมาก ผ่อนก็ดีอยู่แต่มันไม่ทันใจ อดทีไรฟาดเสียจนจะสลบไสล ทีนี้ก็มาถึงบทที่ว่า ออกมานี่จะเข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน ก็กำหนดแล้วว่าวันพรุ่งนี้จะไปถึงบ้านเขาแหละ
แล้ววันพรุ่งนี้ก็ไปไม่ถึง พอไปถึงกลางทางหมดกำลัง ก้าวขาไม่ออก คือร่างกายของเรานี้มันอ่อนหมดนะ คือกำลังธาตุขันธ์มันไม่มีอาหารส่งเสริม มันก็ไม่มีกำลัง มันก็อ่อนลงๆ แต่จิตใจมันเหมือนจะเหาะเหินเดินฟ้า มันไม่ได้เข้ากันนะ นี่ละที่ว่ากำลังใจ กำลังใจมายิ่งดีด ๆ กำลังร่างกายอ่อนเท่าไรกำลังใจยิ่งดีด นี่เรียกว่าถูกนิสัยแล้วเราก็ต้องเสริม พอไปถึงกลางทางก้าวขาไม่ออก ทำยังไงนี่ ต้องไปพักอยู่กลางทาง พอได้กำลังแล้วจะก้าวไปบิณฑบาต นี่หมายถึงว่าตอนเช้าก่อนจังหันอ่อนเปียกไปอย่างงั้น ร่างกายนะ แต่เวลาฉันเสร็จแล้วกลับมานี้เหมือนจะเหาะ ก็กำลังคนหนุ่มใช่ไหม พอฉันอิ่มแล้วกลับมานี้มันดีดผึงเลยนะ มันไม่ได้ยากอะไรเลย เวลาไปได้พักกลางทาง
ทีนี้พอไปพักกลางทาง นั่งก็นั่งพิจารณาธรรม กำหนดพิจารณา สักเดี๋ยวกิเลสเกิดแล้วนะ นี่ฟังเสียงว่ากิเลสเกิด ธรรมเกิด เป็นยังไง ขึ้นในหัวใจนะ เป็นเหมือนคนพูด เสียงอย่างชัดเจนขึ้นมาจากหัวอก พอนิ่ง ๆ อยู่ขึ้น นี่เห็นไหมท่านอดอาหารจะฆ่ากิเลสให้ตาย แต่เวลานี้ท่านกำลังจะตายรู้ไหม คือท่านอดอาหารจะฆ่ากิเลสให้ตาย แต่กิเลสมันยังไม่ตาย ท่านจะตายเห็นไหม นี่เรียกว่ากิเลสเกิด คือจะกระตุกเราให้อ่อนกำลัง คนเราเมื่ออดอาหารมากมันจะตายมันก็อ่อนเปียก เลยไม่อด นี่เป็นกิเลสเกิด
พอทางกิเลสเกิดขึ้นหายพับไปเท่านั้น ว่านี่เห็นไหมท่านอดอาหารเพื่อจะฆ่ากิเลสให้ตาย แต่เวลานี้กิเลสยังไม่ตายท่านกำลังจะตายรู้ไหม พอทางนี้จบลงปั๊บ ทางนั้นขึ้นรับกันเลย ก็การกินนี้กินมาตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งถึงป่านนี้ก็ไม่เห็นวิเศษวิโสอะไร อดเพียงเท่านี้จะตายเหรอ เอาตายก็ตายซี นี่ขึ้นรับกันแล้วนะ คือกินมาตั้งแต่วันเกิดไม่เห็นวิเศษวิโสอะไร นี่ละธรรมะท่านตอบรับกันนะ อดเพียงเท่านี้จะตายหรือ เอาตายก็ตายซี มันก็ดีดผึงเท่าเดิม อันนี้เรียกว่าธรรมเกิด เป็นอยู่อย่างงี้นักภาวนา แต่ท่านไม่ค่อยพูดเรื่องอย่างนี้นะ
ธรรมอยู่ที่หัวใจ กิเลสอยู่ที่หัวใจ เมื่อบำเพ็ญธรรมธรรมมีช่องมีโอกาส จะออกด้วยวิธีการต่าง ๆ เหมือนกันกับกิเลสมันออกวิธีต้มตุ๋นโลกนั่นแหละ มันออกด้วยความคิดความปรุง ความทะเยอทะยาน เพราะกิเลสมันผลักดันให้ออก ให้ออกคิดท่านั้นท่านี้ อยากรู้ อยากเห็น อยากเป็นอย่างงั้น อยากเป็นอย่างนี้ มีแต่ความอยากอยู่ในหัวใจ ความอยากนี้เรียกว่ากิเลส มันผลักดันออกไปให้กิริยาของความคิดความปรุงไปทางกิเลสทั้งนั้น ๆ ไปเลย นี่เรียกว่ากิเลสมันอยู่ที่ใจ แล้วมันผลักดันออกไปเป็นกิริยาของกิเลส
ทีนี้เป็นธรรม ธรรมนี้ผลักดันออกไปอยากทำบุญให้ทาน อยากรักษาศีล อยากเจริญเมตตาภาวนา พื้นฐานมีความเมตตาสงสาร นี่เรียกว่าธรรมเกิดขึ้น ทีนี้เวลาจะออกเป็นคำกิเลสออกแบบที่ว่านี่ ทีนี้ทางธรรมก็ออกแบบว่านี้ แก้กันอย่างนี้ นักภาวนาท่านเป็นเสมอ แต่ไม่ใช่เรื่องที่จะมาพูดให้ใคร ๆ ฟัง ท่านไม่พูด นอกจากเป็นโอกาสที่ควรจะพูด ดังที่พูดเวลานี้ก็ไม่ต้องการโอ้อวด พูดให้เป็นคติ เมื่อเป็นขึ้นมาแล้วจะได้รู้เรื่องรู้ราวว่า อ๋อ ท่านเคยพูด อย่างนั้นพูดนั้นพูดนี้เป็นคำเตือนเรา มันก็ได้คติไป นี่ละที่ว่ากิเลสเกิด ธรรมเกิดเป็นอย่างนั้น
ส่วนที่ว่าธรรมเกิดล้วน ๆ นั้น ดังที่เคยพูดอีกเหมือนกันว่า เราอัศจรรย์จิตของเรา ตอนเช้าวันนั้น ดูว่าเป็นวันที่จะฉันจังหันละมั้ง บ้านนาสีนวล เขาขอท่านอาจารย์กงมา ว่าวันพระขอมาใส่บาตรที่วัด ทุกวันพระไปขอมาใส่บาตรที่วัด วันธรรมดาค่อยให้พระไปบิณฑบาต วันนั้นพอดีเป็นวันที่เราจะฉันจังหันด้วย เขาก็จะมาใส่บาตรที่วัด เราไปเดินจงกรมอยู่ทางด้านตะวันตก เปิดให้มันชัด ๆ อย่างนี้ซิ ความชั่วทำได้พูดได้ ความดีทำไมทำได้พูดไม่ได้ ผลได้ผลเสีย ผลเสียจากความชั่วก็พูดได้เขาพูดกันทั่วโลก แล้วความดีผู้ทำดีก็พูดได้ เป็นได้ มีได้ พูดได้ อันนี้มันก็มาเป็น พูดถึงเรื่องจิตมันสว่างไสวถึงขนาดอัศจรรย์เจ้าของ ฟังซิน่ะ เพราะตอนนั้นจิตมันว่างไปหมดแล้วแหละ ว่างไปหมดทุกอย่างเลย ไม่มีอะไร ก็เหลือแต่ที่ยังไม่ว่างภายในใจตัวเอง ก็เหลืออยู่จุดเดียวเท่านั้น
มันสว่างไสวจ้าไปหมด มันอดอัศจรรย์ตัวเองไม่ได้ ก็ยืนรำพึงล่ะซิ โอ้โห จิตของเรานี้มันทำไมถึงอัศจรรย์เอานักหนา สว่างไสวนี่ก็เหลือประมาณ กำหนดไปที่ไหนมันจ้าไปหมด ทำไมมันถึงได้สว่างไสวเอานักหนา พอความรำพึงอย่างนี้ยุติลงนะ ทีนี้ธรรมท่านก็ขึ้น ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพ นั่นล่ะคำว่า ว่าง ๆ ตัวจุดนั้นมันยังไม่ว่างตัวเอง ธรรมะท่านจี้เข้าไปตรงนั้น ให้ดูตรงนั้น นี่เรียกว่าธรรมท่านบอก แต่เราจับไม่ได้นะ ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพ งงไปเลย แก้ไม่ถูก งง
คำว่าจุดต่อม คือจุดแห่งความรู้ของเรานั้นน่ะ ความรู้อันนี้มันว่างไปหมด อะไรว่างไปหมด แต่ตัวความรู้เองมันยังไม่ว่าง คือมันยังไม่วางกิเลสทั้งหมด เข้าใจไหม มันก็ยังไม่ว่าง ท่านก็จี้เข้าไปตรงนั้น มีจุดก็คือจุดผู้รู้ต่อมผู้รู้นั้นแหละอยู่ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพ คือจุดนั้นละตัวสมมุติมันอยู่ในจิต กิเลสมันยังฝังอยู่ในจิตมันไม่ว่างเฉพาะจิตเท่านั้น เพราะฉะนั้นท่านถึงจี้เข้าไปตรงนั้นเพื่อจะให้ปล่อยตรงนั้น ในขณะนั้นมันงงไปเลย เลยไม่ได้ เวลากลับมาย้อนหลังมานั้นเป็นเดือน ๓ ไปเที่ยวที่ไหนกลับมา ๓ เดือนละมั้ง เดือน ๖ ขึ้นวัดดอยธรรมเจดีย์อีก มันจึงไปปลงกันที่นั่น คือจิตที่อัศจรรย์มันอัศจรรย์จริง ๆ นะ ไม่ใช่ธรรมดา เราเคยรู้เคยเห็นที่ไหน เราเองยังอัศจรรย์ตัวเราเอง นี่ละพระธรรมท่านกลัวผิดพลาด เรียกว่ากลัวลืมตัวไปแล้ว ท่านจึงมาเตือนตรงนั้น ที่ว่าอัศจรรย์ตรงนี้มันยังไม่ใช่นะ ความหมายว่าอย่างนั้น
ตัวที่เป็นภัยมันยังมีอยู่ในจุดในต่อมนั้น ให้ตีตรงนั้นให้แตกอีกถ้าอยากให้ว่างหมดความหมายว่าอย่างนั้น ว่างหมดวางหมดอยู่ที่จุดนั้น เวลานี้มันยังไม่ว่าง มันยังไม่วางจุดนี้ มันว่างแต่ข้างนอก วางแต่ข้างนอกข้างในยังไม่วาง เพราะฉะนั้นข้างในจึงยังไม่ว่างความหมายว่าอย่างนั้น ถ้าตีจุดนี้ ท่านบอก มีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพ นั้นละคือมหาภัยความหมายว่าอย่างนั้น ไอ้เราก็งง เวลาขากลับมาอีกจึงพิจารณากันฟัดกันอีกตรงนี้ละ อันนี้จึงขาดสะบั้นไปเลย ที่ได้เรียนให้พี่น้องทั้งหลายทราบว่าฟ้าดินถล่มเลย ที่เป็นจุดเป็นต่อมที่ว่ายังไม่ว่างตัวเอง พอมันขาดสะบั้นลงไปมันหมดเลยที่นี่ ว่างภายนอกก็หมดปัญหาไปแล้ว ทีนี้เข้าว่างภายในมันถึงว่างหมด วางหมดเลย
นี่ละ พระธรรมท่านเตือนว่า มีจุดมีต่อมผู้รู้อยู่ที่ไหนนั้นแลคือตัวภพ นั่นเป็นพระธรรมแท้ แต่เราจับเอาไม่ได้เท่านั้นเอง เวลาเรามันมารู้มันก็มารู้ย้อนหลัง เราจึงคิดเสียดายพ่อแม่ครูจารย์อยากให้ท่านมีชีวิตอยู่ พอไปเล่าเรื่องอย่างนี้ให้ท่านฟัง ท่านก็จะจี้เข้าไป ก็ตรงนั้นแหละ พอท่านใส่เปรี้ยงทางนี้ก็จะรู้สึกตัวปั๊บ พุ่งเลยขาดสะบั้น อาจจะบรรลุธรรมที่ต่อหน้าท่านก็ได้เพราะมันมีอยู่อันเดียวเท่านั้น พอเราชมเชยอันนี้เข้าไป ท่านตำหนิท่านตี เราชมเชยเพราะความอัศจรรย์อันนี้เป็นของปลอมอยู่นั่นน่ะ พอท่านตีเข้าไปอันนั้นมันตัวมหาภัย ผางเข้าไปเท่านั้นมันจะพังเลย เราโอ๊ย.เสียดายนะ ท่านล่วงลับไปแล้ว นั่น เห็นไหม นี่ละธรรมเกิดตอนแรกจับไม่ได้ ครั้งที่ ๒ เกิดที่ ๒ นี้เอาได้เลยไม่ต้องมีอะไรบอก ผางขึ้นมาตรงนี้เลย
นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าเป็นยังไงพี่น้องทั้งหลาย เลิศเลอสุดยอดมาตลอดเวลา ขอให้มีผู้ปฏิบัติเถอะ ธรรมพระพุทธเจ้าคงเส้นคงวาหนาแน่นเป็น อกาลิโก ตลอด ไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลานะที่จะมาทำลาย ผลประโยชน์ของผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ ให้หลุดไม้หลุดมือไปได้ไม่มี เจ้าของเองเป็นผู้ทำ ทั้งดีทั้งชั่วเป็นของตัวเอง ถ้าใครทำเป็นของคนนั้น ๆ คนอื่นไม่มีสิทธิไม่มีอำนาจที่จะมาให้คะแนนลบคะแนนหรือมาลบมาล้าง ความดีชั่วของบุคคลแต่ละคนนี้ที่ทำลงไปแล้วด้วยตัวเอง คนอื่นลบไม่ได้นะ
นี่เราพูดถึงเรื่องกำลังใจ เรื่องกำลังใจสำคัญมากทีเดียว มันจะอ่อนขนาดไหนก็ช่างเถอะร่างกาย ถ้าใจมีกำลังแล้วมันบืนของมันจนได้นั่นแหละ ถ้าใจไม่มีกำลัง โอ๊ย.มันนอนอยู่เหมือนหมูจะว่ายังไง กินอิ่มแล้วก็ โอ๊ย.วันนี้ง่วงนอน ไปอีกแล้วนะ นั่น ไม่มีกำลังใจเป็นอย่างนั้น ถ้ามีกำลังใจไม่ว่าหิวว่าอิ่มมันจะพุ่ง ๆ ของมันตลอด ให้พากันบำเพ็ญนะ พุทธศาสนาของเรานี้เอก เลิศโลกเลิศสงสาร สามแดนโลกธาตุไม่มีศาสนาใดเรากล้าพูดอย่างนี้เลย ว่าจะเสมอเหมือนศาสนาพระพุทธเจ้า เพราะศาสนาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเจ้าของศาสนาเป็นผู้สิ้นกิเลส กิเลสหมดสิ้นโดยสิ้นเชิงนะ ว่างไปหมดมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างไปหมด
นี่วิสัยของพระพุทธเจ้าละเอียดลออสุดยอด เห็นหมดเลย เรื่องสาวกก็ลดหย่อนผ่อนกันลงมาเป็นลำดับลำดา แต่จะปฏิเสธว่าไม่รู้ไม่ได้ นั่น มันเหมือนตาหนูตาช้างเข้าใจไหม ตาหนูเต็มตาหนู ตาช้างเต็มตาช้าง ไม่มีใครจะมาหยิบยืมความเห็นจากกัน เพราะนี้ตาเล็กสู้ไม่ได้ไปยืมตาช้างมาดูไม่มี หนูเป็นหนูเต็มตัว ช้างเป็นช้างเต็มตัวนี่ ทีนี้ความรู้ของสาวก ความรู้ของพระพุทธเจ้า ของท่านผู้ใดเต็มตัวเต็มภูมิวาสนาของตัวเองเหมือนกันหมด เพราะฉะนั้นท่านถึงไม่ถามกัน เป็นอย่างนี้แหละ
ธรรมพระพุทธเจ้าขอให้ปฏิบัติ เวลานี้ก็มีตั้งแต่จอกแต่แหน คือกิเลสมันปกปิดกำบังธรรมอยู่ในใจของเราไว้ไม่ให้มองเห็นธรรม เช่นเดียวกับบึงบ่อที่เต็มไปด้วยน้ำนั่นแหละ มีแต่จอกแต่แหนปกคลุมไว้หมด มองลงมาที่ไหนเห็นแต่จอกแต่แหน น้ำเต็มบึงเต็มสระไม่เห็น เพราะจอกแหนปกคลุมไว้ เอ้า เปิดจอกเปิดแหนออก เปิดมากเปิดน้อยเราจะมองเห็นน้ำ ตักมาอาบดื่มใช้สอยดูเป็นยังไงรสชาติเป็นยังไง ดื่มด่ำเห็นไหมล่ะ ทีนี้มันก็มีแก่ใจที่จะเปิดออก ๆ เปิดออกกว้างเท่าไรเห็นน้ำมากเข้ามา ๆ เปิดออกหมดโล่งหมด ทีนี้สระนั้นมีแต่น้ำ แต่ก่อนสระนั้นมีแต่จอกแต่แหน เช่นเดียวกับว่าใจนี้แต่ก่อนมีแต่กิเลสเท่ากับจอกกับแหน เปิดออก ๆ เปิดออกหมดใจนี้มีแต่ธรรม นั่นเห็นไหม อยู่ตรงนี้นะไม่อยู่ไหน อย่าไปถามดิน ฟ้า อากาศที่ไหน ว่าจะเป็นมรรคเป็นผล ว่าจะเป็นความสุขความทุกข์ที่ไหน เป็นอยู่ที่หัวใจเราที่มีกิเลส และเปิดกิเลสออกมากน้อย ความสุขจะปรากฏขึ้นมา เปิดกิเลสออกหมดแล้วความทุกข์ไม่มี เรียกว่าล้นโลกธาตุ คือความสุขของผู้สิ้นกิเลส มีแต่ธรรมล้วน ๆ เต็มหัวใจ นั่น จำเอานะ
กิเลสมันหลอก แหม ทุกวันนี้มันยิ่งหลอกหนักเข้านะ กิเลสนะ หนักมากทีเดียว เราทำความดิบความดีเวลานี้กิเลสมันตีเข้ามาแล้วนะ ทำความดิบความดีไม่มีความหมาย นอกจากทำตามกิเลสเท่านั้นความหมายเต็มฟ้าเต็มแผ่นดิน จะพาคนจมเข้าใจไหม นี่กิเลสมันไม่ได้บอกนะจะพาจม แต่มันหลอกเรื่อย ให้อยากดูดดื่มอยู่ตลอดเวลาในความคิดความปรุง ทางไหนก็ตามถ้ากิเลสพาคิดพาปรุงดื่มดูดตลอด เป็นรสเป็นชาติตลอด เวลาธรรมยังไม่มีกำลังนี้ กิเลสจะมีกำลังมากมีรสมีชาติมาก ดึงดูดสัตว์โลกให้พินาศฉิบหายไปได้ไม่สงสัย เมื่อมีธรรมแล้วเข้าแก้กันปั๊บนี้พอธรรมปรากฏขึ้นเท่าไรมันจะเห็นโทษของคู่ต่อสู้กัน เช่น ความฟุ้งซ่านวุ่นวายกับความทุกข์มาด้วยกัน พอจิตสงบเย็นกับความสุขก็มาด้วยกัน
ทีนี้พอจิตสงบร่มเย็นมันจะเห็นโทษแห่งความทุกข์ ความวุ่นวายของตัวเอง แต่ก่อนไม่เห็น เมื่อมีธรรมเข้ามาปั๊บมันจะเทียบกันได้ทันที ๆ มีมากเท่าไรก็อย่างที่พระพุทธเจ้าว่า โล่งไปหมดเลยไม่มีอะไรเหลือ วันนี้เอาเท่านั้นละนะ ให้เป็นคติแก่พี่น้องทั้งหลาย เรายึดเกาะถูกพระพุทธศาสนาแล้ว ถูกธรรมชั้นเอกแล้วอย่าปล่อยวางนะ อย่าเอาเรื่องนั้นมาหลอกเอาเรื่องนี้มาหลอก กิเลสมาหลอกคว้ามับ ๆ ตายนะ
อ่านและฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตาวันต่อวัน ได้ที่
www.Luangta.or.th or www.Luangta.com
|