เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด อุดรธานี
เมื่อวันที่ 30 กรกฏาคม 2521 (ค่ำ)
เรื่อง อย่ามัวเมาความจำ
อาศัยหลักวิชามาสอนมันไม่ทันไม่ถึงใจการโต้ตอบอะไรก็ดี ปัญหาในแง่ต่าง ๆ เราจะไปหาคำตอบที่ไหน ในคัมภีร์ท่านไม่มีไว้ทุกแง่ทุกมุมพอเราจะไปหามาตอบให้ทันกับเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นในขณะนั้น แต่เราเรียนธรรมภายในจิตใจดูซิ เรียนให้รู้ถึงเหตุถึงผลภายในจิตใจ ทั้งโลกและธรรมกระจ่างกันทั้งสองด้านแล้วเอาซิ จิตจะข้องที่ไหนขัดที่ไหน เมื่อจิตไม่ติดตัวเองเสียเท่านั้นแหละมันไม่ติดอย่างอื่น สำคัญที่มาติดตัวเองมาหลงตัวเองนั่นซิไปไหนไม่รอด เพราะฉะนั้นจึงให้เรียนตัวเอง
พระพุทธเจ้าสอนไว้แคบ ๆ แท้ ๆ ละ แต่มันลึกซึ้ง เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ สอนความจริงแท้ ๆ นี่ นี้แลเริ่มแรกจุดของงานที่จะกระจายออกไปทั่วโลกทั่วสงสาร ให้รู้แจ้งแทงตลอดไปว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ จะแจ้งไปทั่วสรรพางค์ร่างกายก็ออกจากนี้เสียก่อน กระจายออกไปออกจากนี้ก็กระจายไปทั่วโลก โลกวิทู รู้แจ้งเห็นจริงโลกสงสาร คืออันนี้ฉันใดอันนั้นก็ฉันนั้น ไม่ต้องไปเที่ยวดูเที่ยวถามใครละ เห็นอันนี้ชัดเจนภายในตัว เพราะมันเหมือนกันในโลกอันนี้ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เมื่อรู้นี้ชัดแล้วแตกกระจายไปหมดรู้ไปหมดจะว่ายังไง ทีนี้จิตไม่มีอัดไม่มีอั้นไม่มีติดข้องตัวเอง ไม่มีอะไรมาปกคลุมหุ้มห่อ มันดีดตัวได้อย่างคล่องแคล่วทีเดียว พูดถึงเรื่องอรรถเรื่องธรรมก็แสดงออกปุ๊บ ๆ ๆ จะว่าไง นี่เรียนธรรมพระพุทธเจ้าให้เรียนอย่างนี้
ที่นำธรรมมาสอนโลก ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ซึ่งนับเพียงพอประมาณเท่านั้น ก็ออกจากพระทัยนี่ ท่านไม่ได้ไปหาศึกษาที่ไหนมาเลยเฉพาะธรรมแล้ว เรื่องโลกต้องศึกษา แต่เรื่องธรรมแล้วพระองค์เป็นสยัมภู ทรงรู้เองเห็นเองด้วยการปฏิบัติให้ถึงความจริงโดยพระองค์เอง เมื่อถึงความจริงรู้ความจริงแล้ว สอนคนสอนสัตวโลกทำไมจะไม่จริง ผู้ที่หาของจริงอยู่แล้วทำไมจะไม่ยอมรับ ของจริงมีอยู่นี่
นี่สาวกออกมาจากสกุลต่าง ๆ พระราชามหากษัตริย์ พ่อค้า เศรษฐี กุฎุมพี ชาวนา คนยากจนเข็ญใจ เข้าไปแล้วเป็นศากยบุตรทั้งหมด ใครเรียนมากเรียนน้อยขนาดไหนพระองค์ไม่เห็นว่านี่นะ ทางโลก มาเถิด เอหิภิกขุอุปสัมปทา เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมวินัยเรากล่าวดีแล้วหรือธรรมเรากล่าวดีแล้ว จงประพฤติตนเพื่อความสิ้นสุดแห่งทุกข์เถิด ถ้าผู้ที่ยังไม่ได้สิ้นสุดแห่งทุกข์ ผู้ที่สิ้นสุดแล้วมาบวชทีหลังนี้ก็ไม่ทรงรับสั่งอย่างนั้น ประทานโอวาทไปอีกแบบหนึ่ง เป็นภิกษุมาเถิดธรรมเรากล่าวดีแล้ว เท่านั้นพอ นี่ผู้ที่สำเร็จไปแล้วจึงมาบวชก็มีแต่เป็นส่วนน้อย
สาวกเหล่านี้ท่านไปเรียนที่ไหนมา ทำไมท่านจึงสอนโลกได้แม่นยำนัก สรณํ คจฺฉามิ สรณํ คจฺฉามิ เราถือทุกวันนี้ ถ้าท่านไม่เก่งไม่เลิศทั้งทางด้านจิตใจ ไม่เลิศทั้งการอบรมสั่งสอนจะไป สรณํ คจฺฉามิ ได้ยังไง มันไม่ถึงใจโลกพอที่จะ สรณํ คจฺฉามิ ได้นี่นะ นี่เรียนกันมาจนคัมภีร์แตก คนไหนบ้างพอที่จะเป็น สรณํ คจฺฉามิ ให้โลกเขากราบไหว้ได้สนิทใจมันไม่มีนี่นะ เอาแต่ความจำมาอวดน้ำลายกันเฉย ๆ ความจำมันจะเหมือนความจริงได้ยังไง
ความจริงมันรู้จริงเห็นจริง เพราะทำจริง ปฏิบัติจริง รู้จริงเห็นจริง พูดได้จริง ๆ ตามหลักธรรมชาติที่เป็นจริงแล้วใครจะค้านได้ ค้านไม่ได้ มันต่างกันที่ตรงนี้ เพราะฉะนั้นให้เรียนให้ถึงของจริง ของจริงสมัยครั้งพุทธกาลกับของจริงครั้งนี้เหมือนกัน ทุกขัง อริยสัจจัง คงเส้นคงวา สมุทัย อริยสัจจัง ก็คงเส้นคงวา นิโรธ อริยสัจจัง ก็คงเส้นคงวา มัคคปฏิปทา อริยสัจจัง ก็คงเส้นคงวา เอาเดินซิ ไม่มีอะไรบกพร่องเลยธรรมของพระพุทธเจ้า
มันบกพร่องอยู่ที่ตัวของเราเท่านั้นแหละ เอ้า ฟิตตัวของเราขึ้นให้มีความสมบูรณ์ สติฝึกอย่านอนใจ อย่าอยู่เฉย ๆ อย่าเห็นอะไรดียิ่งกว่าเรื่องธรรมของพระพุทธเจ้า ในขณะเดียวกันอย่าเห็นอันใดดียิ่งกว่าการตั้งสติ ตั้งมันทั้งวันทั้งคืน สติเป็นของตั้งได้ เป็นของบำรุงให้มีความสืบต่อกันโดยลำดับจนมีกำลังแก่กล้าสามารถได้ ปัญญาก็เหมือนกัน ทีแรกเริ่มฝึกหัดก็ล้มลุกคลุกคลาน เพราะไม่เคย พิจารณาแยกแยะอะไรมันก็ไม่เข้าใจทีแรก
ก็เหมือนเราเอาจอบเอาเสียมไปขุดภูเขาทั้งลูก ปรากฏเป็นอย่างนั้นละทีแรก โห จนเกิดความท้อใจ จะพิจารณาได้ยังไงจิตใจของเราก็มืดตื้อ กิเลสตัณหาก็ยิ่งหนาแน่น แล้วจะไปขุดไปฟันหรือไปพิจารณากันรู้ได้ยังไง นี่เวลาไม่มีกำลัง สติปัญญายังไม่มีเป็นอย่างนั้นความรู้สึกของเรา พอพยายามเข้าไปเรื่อย ๆ ไม่หยุดไม่ถอย สติปัญญาก็ค่อยแสดงกำลังตัวออกมาให้เห็นโดยลำดับ ๆ ทีนี้ความกล้าหาญก็มีขึ้น ผลที่เกิดขึ้นจากการพิจารณาก็ประจักษ์เรื่อย ๆ ไป ทีนี้สติปัญญาก็ยิ่งเด่น เด่นเรื่อย นั่นการฝึกเป็นอย่างนั้น ขอให้มีความขยันหมั่นเพียร
นักบวชต้องเป็นนักอดทน ไม่อย่างนั้นสอนโลกไม่ได้ถ้าสอนตนไม่ได้ คนไม่มีความอดความทน คนไม่มีความอุตส่าห์พยายาม ไม่มีความพากเพียร เป็นคนขี้เกียจ สอนตนเองก็ไม่ได้แล้วจะเอาอะไรไปสอนคนอื่น หาหลักเกณฑ์ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นหลักสำคัญที่จะชำระกิเลสออกจากจิตใจ ต้องอาศัยความพากเพียรมีสติปัญญาเป็นหลักสำคัญ เป็นเครื่องมือที่ทันสมัย
ประมวลลงมาในธรรม ในโลกนี้ไม่มีอะไรเลิศยิ่งกว่าธรรม เราแน่ใจจนหาที่แย้งไม่ได้ในหัวใจเราก็ดี นี่หมายถึงปัจจุบันนี้ทุกวันเวลานี้ ตั้งแต่ก่อนก็เป็นอีกอย่างหนึ่งซึ่งเคยเล่าให้หมู่เพื่อนฟังแล้ว เกิดความสนใจในศาสนา เกิดความเลื่อมใสพระกรรมฐานก็เลื่อมใสมาก ตั้งแต่เริ่มต้นออกบวชถ้าเห็นพระกรรมฐานมาพักอยู่ที่วัด เราต้องไปถึงก่อนเพื่อนหมด ไปศึกษาปรารภกับท่าน ท่านพูดให้ฟังมันจับใจ จิตใจมันชอบกล จึงได้ออกกรรมฐาน เวลาเรียนเสร็จแล้วก็ออก
ในขั้นเริ่มแรกอ่านหนังสือธรรมะธัมโม เฉพาะอย่างยิ่งประวัติของพระพุทธเจ้า พุทธประวัติ เกิดความซึ้งจนถึงกับน้ำตาร่วงเรื่อย ๆ เกิดความสงสารพระองค์ด้วย เกิดความอัศจรรย์ในผลของพระองค์ที่ทรงได้รับด้วย แล้วจิตก็มีความกระหยิ่ม และอ่านประวัติของสาวกองค์นั้น ๆ ที่ออกมาจากสกุลต่าง ๆ มาแล้วมาเป็นแบบเดียวกัน ไม่ได้คำนึงถึงความอดอยากขาดแคลนอะไรทั้งนั้น มุ่งแต่อรรถแต่ธรรมเพื่อความพ้นทุกข์โดยถ่ายเดียว องค์ไหนออกมาจากสกุลใด สกุลพระราชามหากษัตริย์ เศรษฐี กุฎุมพีขนาดไหน ไม่เอาเรื่องสกุลมาเกี่ยวข้องเลย เอาแต่หน้าที่ของพระเต็มเม็ดเต็มหน่วยจนได้บรรลุธรรม เมื่อบรรลุธรรมแล้วสอนใครได้ มันแตกฉานแล้วภายในหัวใจนี่ ไม่มีอะไรมาปิดมาบังก็ฉะฉานน่ะซิ พูดได้ตามความสะดวก ออกมาจากใจที่เปิดเผยอยู่แล้วโดยปรกติ
เราพยายามฝึกหัดทีแรกก็ล้มลุกคลุกคลานเหมือนกัน เริ่มแรกจริง ๆ ตั้งแต่เราบวชเราอยู่วัดโยธานิมิต หนองขอนกว้าง กรมทหารฯ นี่ แต่เราเลื่อมใสทางภาวนา ถึงได้มาเรียนถามท่านพระครูว่าภาวนาจะทำยังไง กระผมมีความสนใจอยากจะภาวนาด้วย ท่านก็สอนว่า พุทโธ น่ะแหละ ผมก็ภาวนา พุทโธ น่ะแหละ พอว่างั้นเอา พุทโธ เรื่อย เวลาจะหลับจะนอนเราไว้เวลา ๑ ชั่วโมง หยุดเรียนหนังสือ ๑ ชั่วโมงนั่นละทำภาวนา อย่างนั้นเป็นประจำไม่เคยลดละ ภาวนาพุทโธ ๆ ทำไปก็ไม่ค่อยสงบ หลายครั้งหลายหนไปสงบที่นี่ พุทโธ ๆ ปรากฏว่าจิตมันแน่วเข้า ๆ จิตที่ค่อยแน่ว ๆ สงบลงไปโดยลำดับ ๆ
มันเป็นจุดแห่งความสนใจเหมือนกันนะ ทำให้เกิดความสนใจ สติก็ดีขึ้น ๆ แล้วจิตก็ลงถึงที่กึ๊ก โอ้โห พอจิตลงถึงที่ หือ ทำไมจึงเป็นอย่างนี้ ตื่นเต้น จิตใจรู้สึกมีความตื่นเต้นพูดไม่ถูก เป็นเรื่องอัศจรรย์ คงอันนั้นละความตื่นเต้นนี่ละ เราเข้าใจว่าความตื่นเต้นนี่ไปรบกวนจิตที่สงบนั้นให้ถอนตัวขึ้นมาเสีย สงบลงไปไม่นานนะ แต่พอจับได้ชัดเจนถึงเรื่องหลักฐานของจิตที่ว่าสงบลงไปแล้วเป็นอย่างไร ซึ่งเราไม่เคยเป็นเลย มาเป็นที่วัดโยธานิมิต ตะล่อมลงไป ๆ พุทโธ ๆ พุทโธหายเงียบไปเลย จิตก็หยุดกึ๊กเลย ลงถึงที่เลย ขาดออกไปจากทุกสิ่งทุกอย่าง มีเด่นอยู่แต่จิตซึ่งเป็นของอัศจรรย์อย่างยิ่ง
นั้นแหละมันเกิดความตื่นเต้นดีใจอะไรก็แล้วแต่จะพูด เราไม่เคยเห็นอย่างนั้น แต่ไม่นาน คงจะเป็นเพราะความตื่นเต้นไปเขย่ามันเสีย จิตเลยถอนออกมา พยายามทำเท่าไรก็ไม่ได้ที่นี่ โอ๊ย เสียใจทำไม่ได้ ก็ทำอยู่ทุกวันนั่นแหละ ความจริงจิตไปคาดผลที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว อยากให้มันเป็นอย่างนั้น ๆ ลืมภาวนาซึ่งเป็นหลักปัจจุบันอันจะยังผลให้เกิดนี้เสีย มันไปยุ่งกับเรื่องอดีต อารมณ์อดีตนั่นแหละมันไม่เป็น ทีนี้พอจาง ๆ ไป พอปล่อยอารมณ์อดีตมาภาวนา เป็นอีก พอเป็นแล้วจิตก็เป็นบ้าอีกแหละ ขยับเข้าใส่อารมณ์อดีตอยู่นั่น อยากให้มันเป็นอย่างนั้นอีกอยู่อย่างนี้ เลยอยากให้เป็นอย่างนั้น ๆ อยู่โน้น อยู่นอก ลืมนี้เสีย
จนกว่าจะออกภาวนาจริง ๆ นี่เราเป็น ๓ หนเท่านั้นละ เรียนหนังสืออยู่ถึง ๗ ปีเป็นเพียง ๓ หนเท่านั้น เป็นอย่างมากนี่นะ ลงถึงขนาดที่ว่าอัศจรรย์เต็มที่ ลงกึ๊กเต็มที่แล้วขาดหมดเลย อารมณ์อะไร ๆ ขาดหมดเลยในเวลานั้น เหลือแต่รู้อันเดียว กายก็หายเงียบเลย มันอัศจรรย์ล่ะซิ นี่ละเป็นเครื่องฝังจิตให้มีความสืบต่อที่จะออกปฏิบัติ กล้าพูดให้หมู่เพื่อนฟังได้ในที่เปิดเผย ว่าผมนี้จะเรียนจบแค่เปรียญ ๓ ประโยคเท่านั้น ส่วนนักธรรมจะได้แค่ไหนไม่สำคัญ สำคัญที่เปรียญนี้ให้ได้ ๓ ประโยคแล้วผมจะออกปฏิบัติ แต่เราไม่ได้บอกนะว่าผลของเราที่เคยปฏิบัติมา เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจ หรือทำจิตใจให้เป็นเครื่องดูดดื่ม เราไม่ได้บอก
พอจบประโยค ๓ แล้วทีนี้อยู่ไม่ได้ คำสัตย์เราตั้งไว้แล้วว่าต้องออก เหมือนกับใบไม้มันเหลืองไปหมด ถูกผู้ใหญ่ท่านบังคับไว้ว่าไม่ให้ไปที่ไหน ยังไม่ให้ออกอะไรอย่างนี้ แต่เราไม่ค้าน ความจริงภายในจิตมันหากไม่รับ อย่างไรก็จะต้องออกเท่านั้น ถ้าไม่ออกแล้วก็เป็นโมฆภิกษุ คือขาดความสัตย์ความจริงแล้วเกิดประโยชน์อะไร จะเรียนไปสักร้อยประโยคก็ไม่เห็นเกิดประโยชน์อะไร เมื่อฆ่าความสัตย์ความจริงของตัวให้ฉิบหายลงไปแล้วไม่เกิดประโยชน์ อย่างไรต้องออกถ่ายเดียวเท่านั้น ก็เหมือนอย่างเทวดาช่วยนะ ตอนที่อยู่กรุงเทพฯ เราอยากออกทุรนทุรายจะตาย ปรากฏว่าสมเด็จมหาวีรวงศ์ องค์วัดพระศรีมหาธาตุ ท่านออกไปต่างจังหวัด เราได้โอกาสเท่านั้นเปิดหนีเลย
เรายังไม่ลืมนะคำสัตยาธิษฐานของเราที่ตั้งก่อนตอนพรุ่งนี้เช้าเราจะออกเดินทาง เราเอาอย่างเร็วขนาดนั้นนะ เพราะถ้าเป็นผลไม้ก็เรียกว่ามันจะหล่นอยู่แล้ว คือจะออกอยู่แล้ว กลางคืนตั้งสัจอธิษฐานหากว่าข้าพเจ้าออก ๑) ข้าพเจ้าออกได้ด้วย และออกไปแล้วปฏิบัติธรรมถึงความมุ่งหมายที่เราได้ปรารถนาไว้หนึ่ง ขอให้นิมิตในทางฝันก็ตาม หรือจะรู้ในทางด้านภาวนาก็ตาม ให้เป็นของอัศจรรย์ เราเอาความอัศจรรย์ในนิมิต จะเป็นความฝันก็ตาม จะรู้ด้วยทางภาวนาก็ตาม เรายอมรับทั้งสองอย่าง เพราะเราภาวนาอยู่ทุกวันไม่เคยละเรียนหนังสืออยู่ก็ดี ๒) ถ้าออก-ออกได้ คือว่าออกจากทางเรียนที่ผู้ใหญ่บังคับไว้นี้ได้ แต่ไม่เกิดผลอะไร ก็ให้แสดงนิมิตแบบนั้น แบบออกได้แต่ไม่มีผลให้เห็นได้อย่างชัด ๆ ๓) ออกไม่ได้ด้วยและไม่มีผลอะไรด้วย ก็ให้เห็นอย่างชัด ๆ ๓ ข้อด้วยกันตั้งสัจอธิษฐาน
เวลาไหว้พระสวดมนต์เสร็จเรียบร้อยแล้วก็ตั้งสัจอธิษฐานอย่างนี้ แล้วก็นั่งภาวนาพอสมควร ก็ไม่รู้อะไรไม่เห็นอะไร นอน อยู่วัดบรมนิวาสลืมเมื่อไร มันก็ ๖ ทุ่มแล้วแหละ นอนลงไป ประมาณสักตี ๔ นี่มันฝันอะไรพิสดาร โอ้โฮ อัศจรรย์จนกระทั่งทุกวันนี้ความฝันน่ะ พอหลับลงไป แต่ฝันตอนจวนสว่างคือตอนตี ๔
ปรากฏว่าเหาะขึ้นอากาศโน่น เหาะรอบพระนครหลวง แต่ไม่ใช่นครหลวงกรุงเทพฯ เรานะ นครอะไรแปลกอัศจรรย์ เหมือนนครเทพ เหมือนเทวสถาน เราเหาะรอบพระนคร ๓ รอบ พระนครนี้มองสุดสายหูสายตา มองลงไปตึกรามบ้านช่องเป็นเหมือนหอปราสาท ประดับด้วยทองคำด้วยเพชรด้วยพลอยอะไรอย่างนั้น แพรวพราวไปหมดอัศจรรย์จนกระทั่งทุกวันนี้นะ โอ้โฮ เมืองอะไรถึงเป็นอย่างนี้ มันไม่ใช่มุงหรือปลูกสร้างกันด้วยวัตถุต่าง ๆ เหมือนมนุษย์ทั้งหลายสร้างกัน เช่นด้วยอิฐด้วยปูนด้วยไม้ด้วยดินเผาอะไรเหล่านี้ มันไม่มีอย่างนั้นนี่ มองลงไปมันเป็นทองเหลืองอร่ามไปหมดเลย แพรวพราวอัศจรรย์ เหาะไปเรื่อยชมเรื่อย เหาะรอบพระนคร ๓ รอบนี้เกิดความอัศจรรย์จนถึงใจเหมือนกัน เพลิน ถึง ๓ รอบแล้วก็ลง พอลงมาถึงที่กึ๊กรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา
มันก็คงจะเริ่มตั้งแต่ตี ๓ ฝันนี่นะ รู้สึกตัวขึ้นมาก็เป็นตี ๔ เวลาตี ๔ พอดี โอ้โห มีความกระหยิ่มเต็มที่ อย่างไรก็สำเร็จตามความมุ่งหมายไม่สงสัยความฝันนี้ เราได้ตั้งเป็นสัตยาธิษฐานอย่างเต็มที่แล้ว จิตแน่วแน่ที่สุดในขณะที่ตั้งสัตยาธิษฐาน ไม่ได้วอกแวกคลอนแคลนเลย เราแน่ใจอย่างไรเรา ๑) เราต้องได้ออก ๒) ออกแล้วเราต้องสำเร็จตามความมุ่งหมายของเราโดยไม่สงสัย
พอตื่นเช้ามาแล้วมีความดีใจภูมิใจ โอ้โห เย็นไปหมดวันนั้น พอฉันเสร็จแล้วก็ไปกราบลาสมเด็จองค์เก่า สมเด็จฯ ติสฺโส อ้วน วัดบรมนิวาส เอ้อ เจ้าจะไปก็ดีให้ไปช่วยที่วัดสุทธจินดาหน่อยนะว่างั้น เกล้าฯก็จะไปทางโน้นแหละก็ว่างั้น เราจะไปทางโน้นต่างหากแต่เราไม่ได้หวังจะช่วย ก็เพื่อให้ท่านเปิดโอกาส เกล้าฯก็จะไปทางโน้นแหละ เอ้อไปได้ ว่างั้นเราก็เตรียมตัวออกเดินทางในวันนั้นเลย ขึ้นรถมานอนโคราช แล้วก็เลยไปจำพรรษาที่จักราช ปีนั้นไปจำพรรษาที่อำเภอจักราช
ได้ภาวนาเต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะตั้งแต่ออกไปตั้งหน้าตั้งตาเอาจริงเอาจัง คราวนี้เราจะให้เห็นจิตที่เราปรากฏ ๓ ครั้งนั้นให้ได้ทีเดียว คราวนี้จะไม่ให้มันเป็นอย่างที่เป็นมาแล้ว ๒ ปี ๓ ปีถึงปรากฏหนหนึ่งนี้ไม่เอา คราวนี้จะเอาให้มันอยู่มือทีเดียว ตั้งแต่ออกมาก็เอาจริงเอาจัง นิสัยเราเป็นอย่างนี้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนมีแต่ภาวนาทั้งนั้น เรื่องการเรื่องงานอะไรไม่ยุ่ง มายุ่งไม่ได้ จิตมันก็เริ่มขึ้น ๆ ปรากฏเด่น ปรากฏเรื่อยอันนั้นที่นี่ เว้น ๒ คืน ๓ คืนปรากฏ ๆ ต่อไปก็ปรากฏทุกคืนแน่ว ๆ สมาธิเก่งมาจากโน้น แต่มันมาเสื่อมอย่างที่เคยเล่าให้ฟัง มันมาเสื่อม พลิกได้อีกตอนไปอยู่กับท่านอาจารย์มั่น จากนั้นมาก็เร่งใหญ่ เร่งจนจะเอาเป็นเอาตายจริง ๆ ก็พรรษา ๑๐ นี่แหละ
โอ้โห ตั้งแต่เราบวชมานี้ พูดถึงเรื่องความหักโหมทางร่างกายนี้ พรรษา ๙ ล่วงไปแล้วนั่นแหละ ไปเข้าพรรษา ๑๐ นี่หนักมาก ทางร่างกายนี้หนักมาก ทางจิตใจมันก็เข้มแข็งอยู่แล้ว ทางร่างกายมันหนักมาก เพราะว่าเราได้นั่งถึงตลอดรุ่ง ๆ นี่นะ นั่งแต่ละคืน ๆ นี้ โอ้โห มันเหมือนตายไปแล้วฟื้นกลับคืนจะว่าไง เพราะเหตุใด เพราะเหตุว่าจิตมันไม่ได้อย่างใจทุก ๆ ครั้งไปที่เรานั่งตลอดรุ่ง บางคืน ๖ ทุ่มยังลงกันไม่ได้ นั่นแหละที่มันบอบช้ำมาก ค้นทางด้านปัญญา นี่แหละที่ว่าปัญญาอบรมสมาธิ เราได้จากการพิจารณาของเรานี่ เมื่อสติปัญญาทันกับเหตุการณ์ต่าง ๆ เช่น ทุกขเวทนา เป็นต้นแล้ว ทุกขเวทนาก็ดับพึบลงไม่มีอะไรเหลือเลย แม้ร่างกายที่นั่งโด่อยู่ก็หายเงียบไปจากความรู้สึก เหลือแต่ความรู้ล้วน ๆ ซึ่งเป็นของอัศจรรย์ นี่ได้จากความเด็ดเดี่ยวอาจหาญ ได้จากความจนตรอก ทุกขเวทนามันตีต้อนเรา เหมือนกับว่าเราจะแหลกเป็นผุยผงไปโน่น แต่สติปัญญาก็บุกเบิกออกจนได้ เราจึงกล้าพูดว่า คนเราไม่ใช่จะโง่อยู่ตลอดเวลา เมื่อถึงคราวจนตรอกแล้วมันหาทางออกได้ ฉลาดได้ เราก็เห็นเรื่องของเราที่เคยเป็น
ตั้งแต่ยังไม่เข้าพรรษามันเร่งใหญ่แล้วความเพียร เพราะจิตไม่เสื่อมแล้วตั้งแต่เดือนเมษาฯมาแล้วไม่เสื่อม จนกระทั่งถึงเข้าพรรษา มันนั่งตลอดรุ่งมาไม่ทราบกี่คืนแล้ว เอาใหญ่จริง ๆ นี่ เพราะเหมือนกับผูกอาฆาตนะ อาฆาตเรื่องความเสื่อมของจิตนี่ คราวนี้จะเสื่อมไปไม่ได้ เสื่อมคราวนี้ให้ตายเสียเลย เอา ๆ สู้กันขนาดนั้นทีเดียว ไอ้เรื่องจะถอยนี้ไม่มี ถ้าจิตดวงนี้จะเสื่อมก็ให้ตาย เอาตายเท่านั้นละว่ากัน มันก็ฟาดกันอย่างหนัก
เวลานั่งตลอดรุ่งนี้ โอ้โห ทุกขเวทนา ถ้าวันไหนมันลงได้ง่าย เช่นอย่างนั่งประมาณสามสี่ชั่วโมงมันลงได้ นี่ก็ไม่บอบช้ำนะร่างกายของเรา นั่งเวลาเท่ากันก็ตามสำคัญที่จิต ถ้าวันไหนจิตพิจารณายากลำบาก วันนั้นสุขภาพของเรานี่โทรมมากทีเดียว ทรุดโทรมมาก เจ็บปวดมาก วันไหนพิจารณาได้อย่างใจ พอกำหนดปั๊บได้ความ ๆ พิจารณาไปปั๊บ ๆ ได้ความ เดี๋ยวก็พุ่งลงเลย พอถอนขึ้นกำหนดพิจารณาอีกได้ความอีก ได้เรื่อย กว่าจะตลอดรุ่งมันรวมถึง ๓ หน ถอนมาถึง ๓ หนตลอดรุ่งพอดี
วันเช่นนั้นลุกออกจากที่ไปได้อย่างสบาย เหมือนกับเราไม่ได้นั่งตลอดรุ่งถ้าวันไหนจิตดีอย่างนั้น ถ้าจิตไม่ดีนั่นซิ คือปัญญาไม่ทันกันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นั่นละรู้สึกว่าทุกข์มากที่สุด พรรษานั้นตั้งแต่เราบวชมานี้เกี่ยวกับเรื่องร่างกายเป็นพรรษา ๙ พรรษา ๑๐ อ้อพรรษา ๙ ออกไปแล้ว ตั้งแต่เดือนเมษาฯของพรรษา ๙ ที่ล่วงไปแล้ว ตอนนั้นเราเร่งใหญ่จนกระทั่งออกพรรษา จากนั้นมาเราก็ไม่เคยนั่งตลอดรุ่งอีกเลย นี่เป็นความลำบาก
ทีนี้จิตก็เป็นสมาธิได้แน่และแน่ตั้งแต่นั่งสมาธิตลอดรุ่งได้นั้น แน่ ๆ ขนาดที่ว่า เอ้อ ต้องอย่างนี้ ทีนี้ไม่เสื่อม นั่นรู้นะรู้ในจิต เหมือนกับว่ามันขึ้นพัก เป็นพักของมัน ปั๊บ เกาะติดกันปั๊บไม่ตก พูดง่าย ๆ ว่าไม่เสื่อม มันแน่ ก็ไม่เสื่อมจริง ๆ ส่วนปีนขึ้นไปข้างหน้า ปีนขึ้นไปสูงขึ้นไป ๆ มันก็ปีนตก ๆ เพราะยังไม่ได้จังหวะไม่ได้ที่ของมัน มันยังไม่ชำนาญ ปีนขึ้นไปตกลงมา ๆ พอปีนขึ้นไปเต็มที่อีกติดปั๊บ ๆ อีกไม่เสื่อม แน่ะ มันรู้กันชัด ๆ เป็นขั้น ๆ ของมันอย่างนั้น แต่ใครอย่ามาคาดไม่ได้นะ พูดตามเรื่องความจริงของใครของเรา จะมาคาดไม่ได้
หลังจากนั้นจิตก็เป็นสมาธิแน่ว เอ้า กำหนดเมื่อไรเป็นสมาธิตลอดเวลาอยู่แล้วนี่จะว่าไง ยืนเดินนั่งนอนเป็นสมาธิอยู่ตลอด จิตสร้างฐานได้อย่างมั่นคงเหมือนกับหินภูเขาทั้งลูก จิตมันแน่นปึ๋งเชียวแต่มันไม่ออกทางปัญญา มันติดสมาธินี้เสีย จึงได้ค้นทางด้านปัญญาเมื่อได้รับการดุด่าว่ากล่าวจากพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นแล้ว จึงได้ออกพิจารณา เมื่อออกพิจารณาค้นคว้า ก็สมาธิมันพร้อมอยู่แล้วที่จะเป็นอุปกรณ์หรือเป็นเครื่องสนับสนุน แต่ปัญญามันไม่ทำงานเฉย ๆ เพราะฉะนั้นจึงเป็นปัญญาให้ไม่ได้
นี่เราก็แน่ใจว่าสมาธิจะเป็นขนาดไหนก็ตามเถอะ ถ้าลงไม่ได้ใช้ปัญญาออกคิดแล้ว สมาธิจะทำปัญญาให้เกิดขึ้นได้เองนี้ไม่มีทาง ว่างี้เลย เราเชื่อเพราะเราติดสมาธิมาตั้ง ๕ ปี ๖ ปี พอออกพิจารณาเท่านั้นมันก็คล่องแคล่วที่นี่ พิจารณาอะไรก็เพราะจิตไม่กังวลกับอะไรนี่ จิตมันอิ่มตัว จิตอยู่ในสมาธิจิตมีความสงบ ก็เรียกว่าจิตอิ่มตัวไม่หิวโหยอะไร กับอารมณ์อะไร รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส ไม่มายุ่ง
มีแต่ความสงบ..จิต เย็นใจอยู่ตลอดเวลา ทีนี้เวลาเราออกทางด้านปัญญาจะพิจารณาในแง่ใด ๆ มันเป็นหน้าที่การงานแง่นั้นจริง ๆ มันไม่ได้สนใจกับอะไร ตั้งหน้าตั้งตาทำงานนั้นจริง ๆ เพราะไม่หิวไม่โหย ไม่มีอะไรมาแย่งมาชิงเอาจิตดวงนี้ไปด้วยความหิวโหย มันไม่มี พิจารณาอะไรมันก็รู้แจ้งเห็นชัดโดยลำดับ ๆ เอ๊ะ ชอบกล ๆ จากนั้นก็พุ่งเลยที่นี่ เอาละปัญญา นี่เราพิจารณาซิ เรื่องสติปัญญาทีแรกมันล้มลุกคลุกคลานอย่างนั้นแหละ ครั้นต่อมามันเปลี่ยนมา ๆ ด้วยความบำรุงส่งเสริมอยู่เสมอ ๆ ไม่หยุดไม่ถอย ไม่ละไม่ปล่อยไม่วางเป็นอย่างนั้น จนกลายเป็นสติปัญญาน้ำซับน้ำซึมไปเลย คือไหลรินอยู่ทั้งแล้งทั้งฝน น้ำซับน้ำซึมไปอย่างนั้น สติปัญญาอันนี้ก็เหมือนกัน
เมื่อเห็นคุณค่าของสติปัญญาแล้ว กับเห็นผลของสติปัญญาที่ทำงานขึ้นมา ในการแก้กิเลสตัดกิเลสนี้ตัดด้วยปัญญาทั้งนั้น สมาธิเป็นแต่เพียงว่ารวมตัวกิเลสเข้ามาอยู่ด้วยกัน เข้ามาในวงแคบเท่านั้น แต่ไม่สามารถที่จะทำลายกิเลสได้ นี่รู้ได้ชัดขนาดนั้น ปัญญาทีเดียวเป็นผู้ชำระหรือตัดกิเลสได้เป็นประเภท ๆ ออกไปโดยลำดับเห็นประจักษ์กับใจ ทีนี้มันก็หมุนติ้ว ๆ ไม่มีกลางวันกลางคืน ค้นเรื่องร่างกายมี อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อสุภะอสุภังนี้มันเด่นมาก สำหรับผมเองอสุภะนี้เด่นมากทีเดียว กำหนดกายเจ้าของให้เป็นหนังไม่มี มีแต่เนื้อแดงโร่ ออกจากนั้นกำหนดจากนั้นมันก็พังกันลงไป ยังเหลือแต่ร่างกระดูก กำหนดจากร่างกระดูกให้มันขาดจากกัน มันก็ขาดลงไปโดยลำดับลำดากองอยู่ในดิน ความรวดเร็วของปัญญา จากนั้นมันยิ่งเร็ว
เราถึงเชื่อเรื่องการฝึกฝนอบรมนี่ นานไปมันคล่องตัวไป เช่นอย่างเขาฝึกหัดมวยก็เหมือนกัน จะเป็นแชมเปี้ยนแชมเปิ้นมันไปจากล้มลุกคลุกคลานนั่นแหละ มันคล่องตัวแล้วก็เป็นไปได้อย่างนั้น นี่ก็เหมือนกัน สติปัญญาคล่องตัวแล้วกิเลสก็อ่อนกำลังลงไป ๆ เวลาเราพิจารณานั้นเหมือนโลกไม่มีนะ มีแต่งานเราเท่านั้นไม่มีอะไรเข้ามาแทรกได้เลย จิตไม่ส่งไม่ส่ายไปไหน ตั้งหน้าตั้งตาทำงาน ทำด้วยความสนใจ ทำด้วยความอยากรู้อยากเห็นอยากเข้าใจในสิ่งนั้นจริง ๆ แล้วมันก็พ้นไปไม่ได้
เมื่อจิตจดจ่อก็เหมือนกับน้ำไหลพุ่งลงทางเดียว มีกำลังมาก จิตมีหน้าที่ที่จะรู้จะเห็นจะพิจารณา ปัญญามีหน้าที่ที่จะพิจารณา จิตเป็นผู้รู้ตามเห็นตามปัญญาเป็นช่องเดียว ช่องเดียว ๆ ขาดทะลุ ๆ ไปเลย จากนั้นมันก็ทะลุไปได้
มันละเอียดจริง ๆ ก็คือเรื่องกามราคะ ถ้าหากว่าเป็นนิสัยสุกเอาเผากินนี้อย่างไรก็ต้องสำคัญตน พอไปถึงขั้นละเอียด ขั้นมันนอนตัวมันหลบซ่อน หลบซ่อนจริง ๆ กามราคะ แต่ก็อาศัยสติปัญญาคุ้ยเขี่ยขึ้นมาจนได้ จนเห็นชัดแล้วฆ่าได้ นี่อันหนึ่ง มันเป็นเคล็ดลับ เราไม่พูดมากกว่านี้เดี๋ยวจะไปหมายผู้ปฏิบัติ
ขั้นละเอียดเข้าไปกว่านั้นอีกก็คืออวิชชา อันนี้ก็เคล็ดลับสำคัญอีกเหมือนกัน ทำให้ติดได้อย่างงอมไม่รู้ตัวเลยละ อวิชชายิ่งกล่อมได้สนิท กล่อมได้กระทั่งสติปัญญาที่เป็นอัตโนมัติ ให้นอนใจ แต่ไม่พ้น สติปัญญาอันนี้หมุนตัวอยู่ตลอดเวลา เดี๋ยวก็มารู้ก็มาสะดุดจนได้ สะดุดแล้วก็หมุนติ้วเข้าไปในตรงนั้นก็พังกันลง ทลายลงไปเลย นั่นละที่นี่มีอะไรเหลือ นั่นแหละเรียนโลกจบจบตรงนั้น เรียนสมมุติจบจบตรงนั้น จบตรงอวิชชาพังทลายลงไปจากใจ ไม่มีอะไรเหลือเลย
เหลือแต่ใจผู้บริสุทธิ์ล้วน ๆ เวิ้งว้างไม่มีอะไรเป็นเครื่องหมาย ไม่มีนิมิตอะไรเป็นเครื่องหมายภายในจิตใจเลย เพราะไม่มีสมมุติ นั่นแหละมันรู้แท้ อันนี้แหละเรียนจบ เรียนโลกจบจบตรงนี้ เรียนธรรมจบจบตรงนี้ โลกกับธรรมอยู่ด้วยกัน เรียนโลกจบก็เรียนธรรมจบ โลกเป็นขั้น ๆ ขึ้นไปจนถึงอวิชชาที่ละเอียดที่สุดก็เป็นสมมุติ สมมุติก็เรียกว่าโลกได้เหมือนกัน เมื่อเป็นสมมุติแล้วก็เรียกว่าโลกทั้งนั้นแหละ แยกเข้าไป ๆ เอาจนเข้าใจถึงที่แล้วหมดไม่มีอะไรเหลือเลย ยังเหลือแต่ความเวิ้งว้างเป็นอิสระเสรี
เอ้า ดูอะไรดูได้เต็มหูเต็มตา ฟังได้ทุกอย่าง ใครจะตำหนิว่าดีก็ตามชั่วก็ตาม รูปจะเป็นรูปขี้ริ้วขี้เหร่ รูปสวยรูปงามขนาดไหนก็ตามดูได้หมดที่นี่ นั่นแหละเรียกว่าอิสระ หูตาก็เป็นอิสระเพราะใจเป็นอิสระ หูตาเป็นเพียงทางเดินของใจเท่านั้น ตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นทางเดินของใจออกมาจากอายตนะภายในนี้ออกไปสู่อายตนะภายนอก รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส เมื่อจิตใจปล่อยวางหมดเสียแล้ว สมมุติกับวิมุตติไม่เข้ากันแล้ว อยู่คนละฟากแล้ว ทำอย่างไรก็อย่างนั้น
คำว่าคนละฟากนี้ก็เป็นข้อเปรียบเทียบ ยกขึ้นมาเฉย ๆ นะ จิตนั้นเราจะพูดว่าฟากนั้นฟากนี้ไม่ได้ รู้เด่นอยู่อย่างนั้นแหละ แต่เราจะว่าเป็นลักษณะใดพูดไม่ได้ อันนั้นไม่ใช่สมมุติ สมมุติเราพอเทียบเคียงกันได้ แม้เช่นนั้นท่านก็ยังบอกว่าจิตบริสุทธิ์ ก็เป็นสมมุติอันหนึ่งเหมือนกัน ถ้าไปเกี่ยวข้องกับธรรมชาติอันนั้น นิพพานบ้าง วิสุทธิจิตบ้าง หากมีแต่ชื่อ ไปให้ชื่อทั้งนั้น ๆ นี่นะ ตัวจริงจริง ๆ ไม่เป็นอย่างนั้น โลกมีสมมุติก็ต้องทำกรุยหมายป้ายทางไว้ให้เข้าอกเข้าใจกัน ท่านก็ว่าไปยังงั้น รู้ตัวเองแล้วไม่มีปัญหาละ จะมีชื่อไม่มีชื่อไม่สนใจ ก็เหมือนกับเรารับประทานอิ่มเต็มที่แล้ว จะมีลักษณะท่าทางอย่างไรคนอิ่มอาหาร ความอิ่มนั่นเป็นลักษณะอย่างไรไม่จำเป็นต้องถามใคร ถึงจะอธิบายก็อธิบายไม่ถูก
|