|
/body onLoad="MM_preloadImages('../images/link_2_6_a.gif')">
/SCRIPT LANGUAGE="javascript1.1" page="dhamma_online";
/SCRIPT LANGUAGE="javascript1.1" src="http://truehits1.gits.net.th/data/e0008481.js">
|
|
|
ถึงมีวาสนาก็ต้องฝึกอบรม |
|
วันที่ 31 พฤษภาคม 2545 เวลา 7:30 น. ความยาว 21.21 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด |
| | |
ค้นหา :
ถึงมีวาสนาก็ต้องฝึกอบรม
เมื่อวานนี้งานรู้สึกเงียบ ๆ สงบแปลก ๆ กว่าทุกปีอยู่ แต่เวลาผลของงานแสดงออกมานี้ เมื่อวานนี้ทองคำได้ ๑๐ กิโล ๔๒ บาท มาได้ตอนบ่ายอีก ๔ บาทเป็นทองคำน้ำหนัก ๑๐ กิโล ๔๖ บาท ๘๙ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๖,๗๙๒ ดอลล์ เงินสดได้ ๑,๐๒๑,๕๓๕ บาท (หนึ่งล้านสองหมื่นหนึ่งพันห้าร้อยสามสิบห้าบาท) เมื่อวานนี้งานเงียบ ๆ แต่ผลของงานแสดงเด่นคือทองคำได้ถึง ๑๐ กิโล ดอลลาร์ตั้ง ๖,๗๙๒ ดอลล์ ทองคำที่มอบเข้าคลังหลวงเรียบร้อยแล้วเวลานี้ ๕ พัน ๕๙ กิโลครึ่ง ทองคำที่ได้หลังจากมอบเข้าคลังหลวงแล้วได้ ๗๒ กิโล ๕ บาท ๑๗ สตางค์ รวมทองคำทั้งหมดได้ ๕,๑๓๑ กิโลครึ่ง รวมทั้งที่มอบเข้าคลังหลวงแล้วและยังไม่ได้มอบ รวมทั้งหมดเลยเป็นทองคำ ๕,๑๓๑ กิโลครึ่ง หรือน้ำหนัก ๕ ตัน ๑๓๑ กิโลครึ่ง ดอลลาร์ที่มอบเข้าคลังหลวงแล้ว ๖,๘๖๗,๐๐๐ ดอลล์ ที่มอบเข้าเรียบร้อยแล้ว กรุณาทราบตามนี้
เราจะหนุนขึ้นเรื่อย ๆ นะ เฉพาะทองคำดอลลาร์นี้ไม่อ่อนข้อ จะต้องหนุนเคียงข้างกันไป เพราะเป็นประโยชน์แก่คลังหลวงของเราและประชาชนมากมาย ทองคำเข้าอยู่ในนั้นก็แผ่รัศมีออก ดอลลาร์อยู่ในนั้นก็แผ่รัศมีออกให้เป็นความสะดวกสบายเกี่ยวกับเรื่องการเงิน เช่น พิมพ์ธนบัตรเพิ่ม เรามีดอลลาร์มากก็ยิ่งพิมพ์ธนบัตรเพิ่มได้มากขึ้น ๆ
วันนี้คนไม่ค่อยมากเพราะเมื่อวานนี้มาก แต่รู้สึกจะน้อยกว่าทุกปี งานประจำปีโลกธาตุที่ผ่านมาเมื่อวานนี้รู้สึกว่าคนจะน้อยกว่าทุกปีเล็กน้อย น้อยกว่าบ้าง แต่ผลแห่งงานของเราไม่น้อยนะ ทองคำได้ตั้ง ๑๐ กิโลกว่า ดอลลาร์ก็ตั้งหกพันกว่า
หลวงตานี้แก่มากแล้วนะได้ประกาศเรื่อย ๆ คือการแก่มากของหลวงตานี้ หลวงตาไม่ได้ห่วงตัวเองนะ ห่วงบรรดาพี่น้องทั้งหลายที่เป็นชาวพุทธมาดั้งเดิมต่างหาก ที่ว่าห่วงพี่น้องทั้งหลายไม่ได้ห่วงหลวงตา คือห่วงในการแนะนำสั่งสอนจะไม่ได้สั่งสอนพี่น้องทั้งหลายนาน เดี๋ยวก็ตายไป ครั้นตายไปผู้มาสั่งสอนมันก็มีนิสัยวาสนาต่างกัน เช่นอย่างท่านแสดงไว้ในตำรา พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้อย่างแม่นเหมาะเลยว่า พระอรหันต์นั้นสิ้นกิเลสเหมือนกันก็จริง แต่บุญญานุภาพหรือนิสัยวาสนาบุญญาภิสมภารนี้มีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงต่างกัน เรื่องความบริสุทธิ์นี้เสมอกันหมด นับแต่พระพุทธเจ้าลงมาถึงสาวกองค์สุดท้ายเป็นธรรมชาติเสมอกันหมด ท่านแสดงไว้เป็นบาลีว่า นตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย ไม่มีความยิ่งหย่อนต่างกันแม้นิดหนึ่งเลย
นี่คือความบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลาย แต่นิสัยวาสนาของแต่ละท่าน ๆ ตั้งแต่พระพุทธเจ้าลงมาทำความปรารถนาแปลกต่างกัน แปลกต่างยังไง มุ่งจุดสุดยอดก็คือขอเป็นอรหันต์หรือความพ้นทุกข์อย่างเดียวกัน แต่เครื่องประดับนั้นให้เป็นพระอรหันต์ด้วย ให้มีบุญญาภิสมภารนิสัยวาสนามีแยบคายทางนั้น เด่นทางนั้น เด่นทางนี้ต่าง ๆ กัน ท่านทำความปรารถนาไว้อย่างงั้น ทีนี้พอสมบูรณ์เต็มที่จิตบริสุทธิ์แล้ว นิสัยวาสนาบุญญาภิสมภารซึ่งเทียบกับกิ่งก้านสาขาดอกใบของไม้ต้นนั้นแตกกิ่งแตกก้านออกไปต่าง ๆ กัน เป็นอย่างงั้นนะ
ไม่ใช่ว่าไม้ชนิดเดียวกัน กิ่งก้านจะเหมือนกันหมด ไม่เหมือน กิ่งก้านสาขาดอกใบจะแปลกต่างกันไปในนามของไม้ชนิดนั้น พระนามของพระสาวกทั้งหลายก็เหมือนกัน เป็นความบริสุทธิ์ล้วน ๆ เหมือนกัน นิสัยวาสนาจึงแปลกต่างกัน มีความลึกตื้นหนาบางกว้างแคบต่างกันมากทีเดียว เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านจึงได้ทรงตั้งสมณศักดิ์ให้พระ พูดง่าย ท่านเรียกว่า เอตทัคคะ คือเลิศคนละทาง ๆ เฉพาะพระองค์ทรงตั้งก็มี ๘๐ องค์ บรรดาพระอรหันต์ทั้งหมด พระองค์ทรงตั้งเอตทัคคะคือสมณศักดิ์ให้พระอรหันต์ ๘๐ องค์ ยกตัวอย่างเช่น พระสารีบุตร ยกย่องทางสติปัญญาเฉลียวฉลาดมากในบรรดาสาวกทั้งหลาย พระสารีบุตรเป็นที่หนึ่ง เห็นไหมล่ะ นั่นท่านตั้งไว้แล้ว แล้วบรรดาวิชชาศักดานุภาพทั้งหลายนี้มี พระโมคคัลลาน์ เป็นที่หนึ่งในบรรดาสาวกทั้งหลาย
การกล่าวทั้งนี้ไม่ได้หมายถึงว่าท่านเหล่านั้นไม่มีปัญญาไม่มีวิชชาศักดานุภาพ มี แต่ผู้นี้แหลมกว่าเพื่อนจึงยกให้เป็นอันดับหนึ่งเสีย ๆ อย่างนี้ อย่าง พระสีวลี เป็นผู้มีอติเรกลาภมาก ไปที่ไหนเกลื่อนไปด้วยอติเรกลาภ เครื่องปัจจัยไทยทานต่าง ๆ ไปที่ไหนเกลื่อนไปหมด ยกให้พระสีวลีเป็นผู้มีอติเรกลาภมากในบรรดาสาวกทั้งหลาย พระสีวลีเป็นที่หนึ่ง นี่เรายกมาเพียง ๓ ประเภท นอกนั้นท่านเด่นคนละทาง ๆ ไป นี่หมายถึงกิ่งก้านที่แตกแขนงออกไปไม่เหมือนกัน แต่ความบริสุทธิ์ที่เรียกว่าต้นลำนั้นเหมือนกัน
ที่เราพูดตะกี้นี้ เราไม่ได้พูดถึงวัดรอยของสาวกทั้งหลายนะ เราก็พูดตามภาษีภาษาของเราด้วยความที่เราเป็นห่วงพี่น้องทั้งหลายนั้นก็คือว่า ในระยะหรือปัจจุบันนี้รู้สึกจะมีเราเป็นผู้ที่ออกหน้ากว่าบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลาย อันนี้เราก็ไม่ได้เหยียบย่ำทำลายท่านนะ เราปรากฏในสายตาของพี่น้องทั้งหลายก็ปฏิเสธกันไม่ได้ใช่ไหมล่ะ เริ่มต้นมาตั้งแต่นู้น เอ้า เปิดให้ฟังชัดเจน ตั้งแต่วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ หลังวัดดอยธรรมเจดีย์ นั้นเป็นวันตัดสินกันระหว่างวัฏจักรกับวิวัฏจักรหรือวิวัฏธรรม ขาดสะบั้นจากกันในคืนวันนั้นแล้ว กิเลสมุดมอดลงไม่มีอะไรเหลือ มีแต่ธรรมทั้งแท่งกระจายครอบโลกธาตุ
นี่หัวใจเพียงหนูตัวหนึ่ง มันก็เป็นในหัวใจจะไม่ให้พูดได้ยังไง แต่ก่อนมันไม่เป็นก็บอกว่าไม่เป็นใช่ไหม ก็เมื่อมันเป็นแล้ว มันเป็นอยู่กับเจ้าของ ใครเชื่อไม่เชื่อไม่ได้สนใจกับใคร มันเป็นอยู่กับเจ้าของ จะเอาอะไรมาเชื่อ ไม่เชื่อเจ้าของเชื่อใคร มันกระจ่างขึ้นมา เพียงเท่านั้น มันเป็นยังไงที่นี่ในหัวใจดังที่ท่านทั้งหลายได้ทราบแล้ว นี่แหละที่เราทำประโยชน์ให้โลก ในเบื้องต้นอันนี้เสียก่อน กิเลสตกเวที ธรรมครองเวที ในวันนั้น เวลาก็บอกเรียบร้อยแล้ว ๕ ทุ่มเป๋งพอดี หลังวัดดอยธรรมเจดีย์ นี้จะลืมไม่ได้เลยเรา ฝังลึกมากทีเดียว เพราะฉะนั้นพูดเมื่อไรจึงไม่มีคำว่าจืดจาง สด ๆ ร้อน ๆ ตลอดเวลา เพราะธรรมชาตินี้เป็นธรรมเที่ยง
ท่านบอกว่านิพพานเที่ยงคืออะไรฉันใด อันนี้ฉันนั้นอันเดียวกัน เพราะฉะนั้นจึงไม่มีจืด ๆ จาง ๆ อะไรไม่มี อันนั้นเป็นสมมุติ อันนี้คำว่าเที่ยง สด ๆ ร้อน ๆ ตลอดเวลา ตั้งแต่บัดนั้นมา พระสงฆ์ก็พัวพันเราอยู่แล้วตั้งแต่ยังไม่ถึงวันนั้นก็ดี พอหลังจากถวายเพลิงคือ เผาศพหลวงปู่มั่นเสร็จเรียบร้อยแล้ว บรรดาพระเจ้าพระสงฆ์ที่มีครูบาอาจารย์เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร ร่มโพธิ์ร่มไทรได้พังลงไปเสีย พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นมรณภาพ แล้วจุดสุดท้ายในวันนั้นเผาศพท่าน นั่นละที่นี่ว้าเหว่สุดยอดเลย พระสงฆ์องคเจ้าแตกสานซ่านเซ็นหาครูหาอาจารย์ เราก็กำลังหัวเลี้ยวหัวต่อในสามเดือน จากเผาศพไปถึงวันที่ ๑๕ นี้เป็นเวลาสามเดือน อันนี้จิตจะหมุนเป็นธรรมจักร
ฟังให้ดีนะ เวลาเราตายจะไม่มีใครพูด เราจึงบอกว่าเราห่วงพี่น้องทั้งหลาย ธรรมเป็นธรรมสด ๆ ร้อน ๆ ธรรมพระพุทธเจ้าเลิศเลอขนาดไหนเอามาประกาศให้พี่น้องทั้งหลายฟังเวลานี้ โกหกพี่น้องทั้งหลายเหรอ ฟังซิน่ะ ทีนี้เวลาพ่อแม่ครูจารย์มั่นมรณภาพไปแล้ว นี้แหละวิ่งหาครูหาอาจารย์ ไอ้เราตัวถูกเกาะตัวหนึ่ง วิ่งหลบตลอดเวลาเหมือนผู้ต้องหา เพราะเวลานั้นจะอยู่กับใครไม่ได้แล้ว เป็นเวลาที่ธรรมกับกิเลสฟัดกันตลอดเวลา เข้าวงในตลอดด้วย เรียกว่าธรรมจักร
นี่ละธรรมทำงานฆ่ากิเลสโดยลำพังตนเองโดยอัตโนมัติ ถึงขั้นสติปัญญาซึ่งเป็นเรื่องของธรรมสังหารกิเลสแล้วเป็นอัตโนมัติเหมือนกันกับกิเลสทำลายสัตว์โลก กิเลสทำลายสัตว์โลกคิดออกแง่ใดมุมใด มองเห็นอะไรเป็นกิเลสไปหมด กิเลสออกทำงาน ไม่ว่าจะเห็นได้ยินได้ฟังคิดอ่านเรื่องอะไรกิเลสจะจูงไป ๆ ๆ นี้คือกิเลสทำงานโดยอัตโนมัติในหัวใจของสัตว์ทั่วแดนโลกธาตุ ทีนี้พลิกกันปั๊บ การบำเพ็ญคุณงามความดีตั้งแต่วันล้มลุกคลุกคลานเหมือนเขาฝึกหัดมวยเรา ทีแรกก็ต่อยกระสอบเตะกระสอบเสียก่อน ต่อไปก็ต่อยคน แล้วขึ้นเวทีหลวงด้วย เวทีโลกได้ด้วย
ทีนี้การฝึกหัดตัวเองเพื่อเข้าสู่คุณงามความดีต้องฝึกหัด ไม่ฝึกหัดไม่ได้ เราอย่าเข้าใจว่าจะดีเด่นขึ้นนะ คนเราต้องได้รับการฝึกหัด ฝึกหัดไม่ได้พระพุทธเจ้าไม่สอน พระพุทธเจ้าไม่สำเร็จ พระพุทธเจ้าก็ฝึกหัดเสียก่อน สำเร็จมาแล้วก็สอนวิธีฝึกหัดให้เป็นอย่างพระพุทธเจ้า จึงสอนเรื่อย ๆ ทีนี้เวลาเราบำเพ็ญทีแรกมันล้มลุกคลุกคลานเพราะกิเลสมันรุนแรง กระแสของกิเลสนี้กระแสของน้ำมหาสมุทรสู้ไม่ได้นะ มันรุนแรงกว่านั้น อำนาจของธรรมนี้เหมือนฝ่ามือกั้นมหาสมุทร กระแสของกิเลสมันตีหงาย ๆ เอ้า หงายก็หงาย ล้มลุกคลุกคลานหลายครั้งหลายหน มันก็ค่อยลุกได้เร็ว ล้มได้ช้าเข้าไป ๆ ต่อไปก็ตั้งไข่ได้
พอตั้งไข่ได้ จิตค่อยเริ่มมีหลัก ๆ แล้วหมุนตัวเข้าเรื่อย นี่เรียกว่าธรรมมีกำลังจากการบำเพ็ญของเราทั้งหลายทุก ๆ คนเหมือนกันหมดนะ เราอย่าเข้าใจว่าใครจะวิเศษวิโส มันประจำอยู่ในนิสัยวาสนาของตัวเองทุกคนนั้นแหละ ใครจะมีวาสนา แต่การฝึกอบรมนี้ต้องได้ฝึกอบรมเหมือนกัน ทีนี้เวลาพ่อแม่ครูอาจารย์มรณภาพแล้วหมู่เพื่อนเกาะตลอดเวลา เราจึงเป็นเหมือนผู้ต้องหา หลบหลีก อยู่กับหมู่เพื่อนไม่ได้เพราะจิตดวงนี้กับกิเลส ธรรมกับกิเลสอยู่บนหัวใจฟัดกันบนเวทีคือหัวใจของเรา ไม่มีเวลาหยุดหย่อนเลย นี่เรียกว่าธรรมทำงานโดยอัตโนมัติ ฆ่ากิเลสอัตโนมัติ ไม่ต้องบีบไม่ต้องบังคับ มีแต่รั้งเอาไว้ ๆ มันจะไม่หลับไม่นอน ถึงเวลาหลับนอนมันไม่ยอมหลับนอน มันฟัดกับกิเลสตลอดเวลา นี่เรียกว่า สติปัญญาเป็นฝ่ายธรรม สังหารกิเลสโดยอัตโนมัติ
ให้ท่านทั้งหลายฟัง หลวงตาบัวตายแล้วไม่มีใครพูดนะคำพูดอย่างนี้ เพราะถอดออกจากหัวใจมาพูด ไม่มีคำว่าสะทกสะท้าน เวลามันหมุนหมุนอย่างนี้ ตอนหลังจากพ่อแม่ครูอาจารย์มรณภาพไปแล้วยิ่งหมุนใหญ่ แต่ก่อนหน้านั้นก็หมุนอยู่แล้ว ตั้งแต่เวลาท่านป่วยก็หมุนอยู่ แต่มันพะวักพะวนกับท่าน ก็ไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย มือหนึ่งต่อย มือหนึ่งจับปากกา มือหนึ่งเขียนอยู่อย่างงั้นนะ มันไม่ได้ปล่อยเต็มที่ ปล่อยเต็มที่มือเขียนเต็มที่ คือว่าไม่มีภาระอะไรแล้ว เอาเต็มเหนี่ยว นั่นแหละตอนเอาเต็มเหนี่ยว บรรดาพระเณรทั้งหลายวิ่งตาม โหย โดดไปอยู่นู้นได้สองอาทิตย์บ้างสามอาทิตย์บ้าง โดดไปนู้นแล้วโดดไปนู้น ไม่งั้นหมู่เพื่อนติดตาม ถ้าหมู่เพื่อนติดตามไปคนหนึ่งสองคนเป็นเหมือนน้ำไหลบ่า สร้างความกังวลให้เจ้าของ ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยในการต่อสู้กับกิเลส เพราะฉะนั้นจึงต้องหลบต้องหลีก ๆ ตลอดเวลาจนกระทั่งถึง ๓ เดือน ตั้งแต่เดือน ๓ เผาศพท่านแล้วกลับมาก็เป็นเดือน ๖ กลับมาวัดดอยธรรมเจดีย์
นี่ละถึงได้มาฟัดกันลงที่นั่นขาดสะบั้นลงนั้นแล้ว จากนั้นหมู่เพื่อนก็เกาะเรื่อย ๆ สุดท้ายก็ติดเล็กติดน้อยติดมากเข้า ๆ จนกระทั่งเอาโยมแม่บวชแล้วติดหมด แล้วยิ่งนำพี่น้องทั้งหลายแล้วเลยติดไปทั่วประเทศเลย นี่ละการทำประโยชน์ พี่น้องทั้งหลายก็เห็น เราไม่ได้พูดโอ้พูดอวด บรรดาพระสงฆ์ที่ทำประโยชน์ในปัจจุบันนี้รู้สึกจะเป็นหลวงตาบัวที่ออกมากกว่าเพื่อน แล้วที่นี่ที่ว่าหลวงตาบัวเป็นห่วงก็คือว่า เวลาเราตายแล้วกิริยาที่ออกอย่างนี้จะระงับดับไป จะยังเหลือแต่ความรู้สึกที่ได้ยินได้ฟังจากครูจากอาจารย์คือเราที่เคยสอนแล้วเท่านั้น ไม่สด ๆ ร้อน ๆ ต่อไป เพราะจิตใจกับกิเลสมีอยู่ด้วยกัน จะสด ๆ ร้อน ๆ ตลอดไปไม่ได้นะ ต้องมีจืดมีจาง
ฟังครูบาอาจารย์เวลานี้สด ๆ ร้อน ๆ พอห่างจากท่านไปแล้วมันจะจืดจะจาง กิเลสจะเข้ารวมตัวแล้วมัดเรา เหมือนจอกแหนอยู่ในน้ำนั่นแหละ เปิดจอกเปิดแหนออกก็เห็นน้ำ พอปล่อยมือเท่านั้น จอกแหนมันก็หุบเข้ามาปิดหมด อันนี้พอห่างจากครูบาอาจารย์เท่านั้น เรื่องของกิเลสมันก็หุบเข้ามาพลิกหมด เป็นเรื่องกิเลสไปหมด นี่แหละที่ว่าเป็นห่วงพี่น้องทั้งหลายนะ เวลานี้เราก็ยังทำหน้าที่ให้โลกยังได้พอตะเกียกตะกายอยู่ ถึงไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยเหมือนแต่ก่อนก็ตาม เราก็ได้ทำเต็มกำลังของเรา
จึงได้ประกาศให้ทราบว่า จากนี้ต่อไปเป็นเรื่องของทองคำที่มีอยู่เป็นจุดมุ่งหมายของเราพร้อมกับพี่น้องชาวไทย ๖๒ ล้านคน มุ่งหมายโดยหลวงตาได้เป็นผู้นำ ยังไงก็พยายามจะให้ได้ทองคำ ๑๐ ตันในคราวนี้ นี่เป็นความมุ่งหมายของหลวงตาบัวที่เสียสละทุกอย่างเพื่อชาติเพื่อศาสนาของเรา แล้วก็มาลงจุดรวมที่ว่าอย่างไรก็ขอให้ได้ทองคำ ๑๐ ตันในคราวนี้ เพราะการที่เมืองไทยเราจะล่มจะจมก็เห็นต่อหน้าต่อตาด้วยกัน ถึงขนาดหลวงตาบัวร้องโก้กเลยเทียวนะ ทุกสิ่งทุกอย่างมีแต่จะจม ๆ จะมองหาความจมไม่ทันจะทำยังไง นี่ร้องโก้ก จากนั้นมาก็ เอ้า เราจะเป็นผู้นำได้แค่ไหนก็เอาแหละ เป็นก็เป็นตายก็ตาย ถึงได้ออกเป็นผู้นำพี่น้องทั้งหลายมาตั้งแต่บัดนั้นจนกระทั่งบัดนี้ แล้วเราก็พอลืมหูลืมตาอ้าปากได้บ้างแล้ว
ทีนี้ทองคำ ๑๐ ตันนี้ เราคิดว่าไม่เหลือบ่ากว่าแรงของพี่น้องชาวไทยเราซึ่งเป็นผู้รักชาตินักเสียสละอยู่แล้ว จะพยายามเก็บหอมรอมริบของแต่ละท่าน ๆ มารวมกันคนละเล็กละน้อย ๆ ยังไงเราแน่ใจว่าทองคำเราจะได้ ๑๐ ตัน ทีนี้พอทองคำได้ ๑๐ ตันแล้ว ไม่บอกลาหลวงตาบัวจะพังลงเองนะ พังเวที เพราะมันกระเสือกกระสนเพื่อทองคำ ๑๐ ตันนี้เท่านั้นเวลานี้ ถึงร่างกายจะอ่อนเพลียมันก็ยังกระเสือกกระสนอยู่ด้วยน้ำใจ ที่ไม่อ่อนต่อทองคำ ๑๐ ตันนะ จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายได้เห็นใจในจุดนี้ ให้ต่างท่านต่างพยายามกัน
ทีนี้เวลาทองคำเราขึ้นถึง ๑๐ ตันแล้วนี้ จะสง่างามประกาศทั่วโลกภายนอกทั่วถึงกันหมด เช่นเดียวกับเขาทราบเรื่องของเราที่เมืองไทยจะจมในครั้งแรก บอกว่า ๒๕๔๐ พูดไม่ผิด นี่เริ่มจะจม ๆ เด่นขึ้น ๆ เราก็พยายามฟื้น คนทั้งประเทศค่อยลืมหูลืมตาอ้าปากได้บ้าง มาคราวนี้เราก็พอที่จะเอื้อมได้อยู่แล้วในทองคำ ๑๐ ตัน เวลานี้ก็ได้ ๕ ตันกว่าแล้ว รวมทั้งหมดทองคำเราทั้งที่มอบแล้วและยังไม่มอบเวลานี้ได้ทองคำ ๕ ตัน ๑๓๑ กิโลครึ่ง หรือ ๕,๑๓๑ กิโลครึ่ง ต่อจากนี้ไปเราก็จะขยับเข้าเรื่อยให้ถึง ๑๐ ตัน ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้เห็นใจหลวงตานะ คือหลวงตานี้เห็นใจพี่น้องทั้งหลายเห็นใจขนาดไหน ถึงขนาดเอาคอขาดเลยเทียวนะ ไม่ใช่เล่น ๆ
หลวงตาช่วยชาติศาสนาคราวนี้หลวงตาเอาคอเป็นประกันเลย ไม่มีคำว่าสะทกสะท้าน จะกลัวจะกล้ากับอะไรไม่มี มีแต่จะให้เป็นไปตามความมุ่งหมาย สละทุกสิ่งทุกอย่าง นี้เป็นหัวใจของหลวงตาที่มีกับพี่น้องทั้งหลาย แล้วก็ขอให้สนองกลับด้วยนะ ก็ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้เห็นใจหลวงตาด้วย เห็นใจชาติของเราซึ่งเป็นชาติที่รักสงวนเต็มหัวใจของทุกคนด้วย แล้วมาบวกกันแล้วรวมลงสู่ทองคำ อย่าให้ต่ำกว่า ๑๐ ตันนะคราวนี้ ถ้าได้ทองคำ ๑๐ ตันแล้ว การหยุดนั้นไม่ต้องบอก มันคอยจะพังลงเวทีอยู่แล้วหลวงตา หายใจแขม่ว ๆ ใส่ทองคำ ๑๐ ตันนี้เท่านั้น กรุณาทราบไว้นะ
การเทศนาว่าการใครจะนิมนต์ไปเทศน์ที่ไหนเราก็บอกตรง ๆ เลย เราจะรับให้เฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น ที่เรารับนี้เราเพื่อทองคำ ๑๐ ตัน พอทองคำ ๑๐ ตันสำเร็จเมื่อไร ไอ้เรื่องการรับนิมนต์อะไรมันก็ล้มของมันไปเองเพราะมันตะเกียกตะกาย กรุณาทราบตามนี้ทุกคน ๆ ให้พยายามตั้งแต่นี้ต่อไป ใครมีมากมีน้อย เอา เราสละเพื่อชาติไทยเราจมไปไหน ถามตัวเองซิ เงินในกระเป๋าเรามีมาตั้งแต่วันอ้อนวันออกจนกระทั่งวันนี้ มันสร้างความแน่ใจให้เราได้อย่างไรบ้าง แต่เงินของเราที่บริจาคไปเพียงละเล็กละน้อยเข้าสู่คลังหลวงของเราจะสร้างความล่มจมให้เรามีอย่างหรือ ให้ว่างั้นซิ นี่เป็นที่แน่ใจของเรา สมบัติเข้าสู่คลังหลวงเราหายใจเต็มปอดได้ทุกคน อะไรก็ตามเข้าสู่จุดศูนย์กลางนี้แล้ว คนไทยเราหายใจได้เต็มปอด ๆ ทุกคน จึงขอให้พยายามทุกคน ไม่อย่างงั้นไม่ได้นะ หลวงตานี้อ่อนเต็มที่แล้ว
นี่ก็พูดถึงเรื่องว่าเวลาหลวงตาตายแล้วจะไม่มีใครแสดงอย่างนี้นะ บรรดาท่านเหล่านั้นท่านก็เก็บไปตามนิสัยวาสนาของใครของเรา ไอ้เราก็เป็นไปตามนิสัยวาสนาของเราที่จะช่วยชาติบ้านเมืองมากน้อยเพียงไร เราก็ตะเกียกตะกายดังพี่น้องทั้งหลายเห็นนี้แหละ เวลาหลวงตาตายไปแล้ว ทีนี้หลวงตาไม่ได้มาเทศน์อย่างนี้อีกนะ จึงเป็นห่วงพี่น้องทั้งหลายมาก ให้พากันตั้งอกตั้งใจสั่งสมคุณงามความดีไว้ให้ดี
ใจนี้เป็นสำคัญมากนะ ใจนี้ไม่เคยตาย ให้จำคำนี้ให้ดี เรื่องร่างกายนี้มันแตกมันดับได้ทั้งนั้น ออกจากร่างนี้เข้าสู่ร่างนั้น ออกจากร่างมนุษย์ถ้าสร้างบาปสร้างกรรมลง เป็นร่างเปรตร่างผีก็ได้ ถ้าเราสร้างคุณงามความดีผุดขึ้นเป็นร่างเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมได้ไม่สงสัย เพระการทำดีทำชั่วให้ผลเสมอกันตั้งแต่ไหนแต่ไรมา เรียกว่าไม่มีครึไม่มีล้าสมัยทั้งสองอย่าง ทำบาปได้บาปวันยังค่ำ ทำบุญได้บุญวันยังค่ำ ผลเป็นของตัวเองทั้งฝ่ายดีฝ่ายชั่วนั้นแหละ ให้พากันอุตส่าห์พยายามตั้งอกตั้งใจนะ เราอย่าลืมเนื้อลืมตัวว่ามาเป็นมนุษย์ก็มาภูมิใจอยู่กับมนุษย์ คำว่ามนุษย์ไม่ได้พาเราไปหาความสุขความทุกข์ได้นะ ความคิดบาปคิดบุญต่างหากนะ คิดทางบาปมันจะพามนุษย์นี้จม ความคิดชั่วมันจะทำมนุษย์คือเรานี้ให้จม ความคิดในทางดีสร้างในความดีจะพามนุษย์เรานี้ขึ้นให้หลุดพ้นจากทุกข์ได้โดยประการทั้งปวง เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านั้น
พระพุทธเจ้าท่านตั้งสมณศักดิ์ให้สาวก ๘๐ องค์ นั่นท่านเป็นสาวกอรหันต์ ตั้งไว้แล้วจึงเป็นเครื่องประดับตลอดเลย ไม่มีทรุด แต่ตั้งให้ถังขยะอย่างพวกเรา เช่น ตั้งให้หลวงตาบัวนี้ไม่เป็นท่าละ หลวงตาบัวเดี๋ยวนี้เป็นพระธรรมวิสุทธิมงคล ไม่ได้พูดสักที มีแต่บทเวลาจะพูดถึงชื่อเจ้าของอย่างหลวงตาบัวไม่เป็นท่าละ มาตั้งให้ถังขยะ ท่านตั้งให้เลยเอามาประดับถังขยะเลยกลายเป็นขี้ไปเลย พระพุทธเจ้าท่านตั้งให้พระสาวก พระสาวกท่านพอแล้วท่านจะหลงอะไร ท่านไม่หลง ตั้งเท่าไรท่านก็ไม่หลง เป็นส่วนเศษส่วนเลยส่วนเกินเสียทั้งนั้น ไม่มีอะไรจะเลิศเลอยิ่งกว่าส่วนที่พอแล้ว อันนั้นพอแล้วความเป็นพระอรหันต์ตั้งเป็นเครื่องประดับ ท่านก็เทิดทูนสำหรับผู้มาตั้งท่าน ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตลอดไป
แต่มาสมัยปัจจุบันนี้มันลืมเนื้อลืมตัว ดินเหนียวติดหัวก็ว่าตัวมีหงอนไปเสีย เลยทำลายผู้มาตั้ง อันนี้คนต่ำ ๆ หรือมาตั้งให้เป็นใหญ่เป็นโตทุกวันนี้นะ ผู้ใหญ่นะมาตั้ง แล้วถ้าอย่างพระพุทธเจ้าตั้งพระสาวก สาวกทั้งหลายเทิดทูนพระพุทธเจ้าด้วยการปฏิบัติและความบริสุทธิ์ในใจท่าน แต่ปัจจุบันนี้มันไม่ได้เอาอันนี้เทิดทูน มันเอามูตรเอาคูถเทิดทูน เอานี้เป็นดินเหนียวติดหัวว่าตัวมีหงอนแล้วก็โอ่อ่าฟู่ฟ่าเสีย นี่มันเสียตรงนี้นะ ผิดกัน ถ้าว่าพูดมาหาตำแหน่งหลวงตาบัวทีไรแล้วเป็นบ้าทุกทีหลวงตาบัว ย้อนมาถามชื่อเจ้าของก็ไม่รู้
นี่ก็บอกแล้วใครอยากไปกราบเจ้าคุณบัวก็ให้ไปกราบข้างบน ข้างบนมีพัดเจ้าคุณบัว ๒ พัดอยู่นั้นนะ พัดชั้นราช พัดชั้นธรรมอยู่ข้างบน หลวงตาบัวอยู่ข้างล่าง ถ้าใครอยากกราบเจ้าคุณบัวก็ให้ไปกราบข้างบนศาลานะ มีพัดเจ้าคุณบัวอยู่โน้น ถ้าใครอยากกราบหลวงตาบัวก็ให้มากราบที่ใต้ถุนศาลาเราว่า เลยไม่มีใครขึ้น มากราบตั้งแต่หลวงตาบัว เป็นอย่างนั้นนะ เลยไม่ไปกราบเจ้าคุณบัว ก็อย่างว่านะ ตั้งแต่เจ้าคุณบัวเองยังไม่เห็นขึ้นไปกราบเจ้าของ ก็จะให้คนอื่นเขาไปกราบยังไงใช่ไหม เจ้าของเองยังไม่ขึ้นนะ ไม่ขึ้น ไม่ไปสนใจเลย เราบอกแต่คนอื่นให้เขาไปกราบ เขาก็คนเขาจะไปทำไมใช่ไหมล่ะ เราไม่ขึ้นเขาก็ไม่ขึ้น
อย่างสมณศักดิ์มีมาตั้งแต่ดั้งเดิม จึงถืออันนั้นเป็นคติตัวอย่างมาเรื่อย ๆ แต่มันพลิกตัวอย่างกลายเป็นตัวอย่างชั่วไปเสีย เป็นส่วนมากนะเวลานี้ ไม่ได้รู้เนื้อรู้ตัวว่านี้ท่านได้เทิดขึ้นมาบูชาบุญคุณของเราที่สร้างความดี ให้มีแก่ใจสร้างความดีให้มากขึ้นกว่านี้ ๆ ตามสิ่งที่มาเทิดนี้ มาเทิดคืออะไร ตั้งสมณศักดิ์ให้ มันพลิกตาลปัตรไปเสีย
เอาละนะ เลิกละ ไปละนะผู้ว่านะ ก็ดีละห่างกันบ้างก็ไม่เป็นไรละ เพราะต่างคนต่างทำประโยชน์ให้ชาติ ทางนี้ก็อยู่ทางนี้ ทางโน้นก็อยู่ทางโน้นทำประโยชน์ให้ชาติด้วยกัน ถึงจะหนักบ้างเบาบ้างก็ทนเอานะทั้งสอง คุณนายก็ทนเอา เข้าใจ เป็นธรรมดา ทนเอาเราทำประโยชน์ให้ชาติจะว่ายังไง จะไปหาคนนั้นคนนี้จับมาทำประโยชน์ มันไม่ได้นะ คนไม่สมควรทำประโยชน์ยังไงมันก็เป็นประโยชน์ไม่ได้ ผู้ที่คัดเลือกมาก็เป็นคนเช่นไรเราก็รู้แล้ว คัดเลือกมาให้ทำงานเป็นยังไง นั่นแหละเป็นคนดีเป็นผู้ใหญ่จึงเป็นได้ยาก ต้องหาความดีประกอบถึงเป็นไปได้
อย่างท่านผู้ว่าฯมาทำนี้ ให้พวกเราเป็นผู้ว่าได้ไหม ถูกเขาไล่ตีแหลกหมดพวกนี้ เขาไม่ยอมรับความเป็นผู้ว่าฯละซิ เขาจะเอาไม้ไล่ตี แต่ผู้ว่าเราท่านเย็นสบาย แม้แต่ในวัดไม่เห็น ๒-๓ วัน หือ ผู้ว่าฯไปไหนนี่ยังถาม ใครไปเอาไม้ไล่ตีผู้ว่าที่ไหน ใช่ไหมล่ะ มันก็ต่างกันอย่างนั้น อย่างคุณนายมาวันนี้ก็ยิ้มแย้มแจ่มใส ก็ลูกศิษย์ด้วยกันทั้งสอง ยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่เห็นเอาไม้ไล่ตี นี่ละมันต่างกันอย่างนี้แหละ ความดีมันสมประกอบกับแต่ละราย ๆ ของบุคคล ตามวาสนาของคน ๆ เอาละนะ ทีนี้นะ เลิก ๆ ๆ พูดแล้วจบไม่เป็น
หลวงตา : ไปกันแล้วเหรอ จะกลับรถใคร ขับรถเป็นไหม
ลูกศิษย์ : ไม่เป็นค่ะ
หลวงตา : ไม่เป็น เอาไปฆ่า ไม่เป็นท่ามันหนักรถเขา สองคนสามคนเขาขับแทบเป็นแทบตาย เรานอนเป็นซุงใช้ไม่ได้ พากันไปสงบเย็นใจสบาย นะ อย่าลืมพุทโธ ไปไหนพุทโธ สติดีละ พอคำว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ สติจะมี สตินี้มันจะซ่านออกรับผิดชอบทุกอย่างได้ทันการ ๆ ถ้าธรรมดาคิดเรื่องใดมันจะเถ่อนะจิต ถ้าคิดเรื่องธรรมไม่เถ่อ พอระลึกถึงธรรมปั๊บสติจะมา สติมามันจะรอบตัวของมัน สติจึงเป็นของสำคัญมากนะ เอาละ
อ่านธรรมะหลวงตา วันต่อวัน ทางอินเตอร์เน็ต www.luangta.com |
** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก
ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์
และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์
|
|
|
|