เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๖
อยู่ในป่าในเขาได้อ่านตัวเอง
ภูสังโฆนี้พระมาก ต้องอาศัยจากที่อื่น หมู่บ้านแถวนั้นมีไม่มากนัก จึงต้องอาศัยทางอื่นหนุนเข้าไป พระคราวที่แล้วดูว่า ๓๐ หรือไง ให้ต่ำกว่า ๓๐ ไม่ต่ำ พระจะว่ามากเราก็ไม่อยากว่า เพราะเป็นป่าเป็นเขา ทำเลเหมาะสมมากเหมือนกับภูวัว ภูวัวก็เป็นทำเลที่ดีเยี่ยม เพราะฉะนั้นถึงว่าพระจะมาเท่าไร ถ้าตั้งใจปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้วให้มา บอกตรง ๆ เลยเรา เราจะรับเลี้ยง มาเท่าไรให้มาเถอะ บอกเลย เราจะรับเลี้ยง หากว่ารับเลี้ยงไม่ไหวเราจะบอก ฟังซิน่ะ บอกให้มา คือทำเลนั้นเหมาะสมมากสำหรับพระผู้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ สถานที่นั่นเป็นสถานที่จะทรงมรรคทรงผล อำนวยผลประโยชน์ให้แก่ผู้ตั้งใจปฏิบัติเพื่ออรรถเพื่อธรรมจริง ๆ ที่นั่นนะ เราไปเที่ยวตระเวนดูหมดแล้ว เรียกว่าถึงใจ
มาก็มาประกาศเดี๋ยวนั้นเลย แต่ก่อนมีพระสององค์สามองค์ ก็เพราะไม่มีที่โคจรบิณฑบาต แต่ทำเลนั้นเหมาะสมมาก ใครเข้าไปแล้วไม่อยากหนีละ เหมาะสม แต่ที่โคจรบิณฑบาตไม่มีนั่นซิลำบาก เราก็ได้ยินได้ฟังมาเรื่อย ๆ ยังหาโอกาสไม่ได้ พอได้โอกาสเราก็ไปเลย ตั้งหน้าไปดูจริง ๆ พอลงรถปั๊บแล้วเข้าเลย เที่ยวสอดนั้นสอดนี้ดูนั้นดูนี้ โอ๋ย ไปที่ไหนเพลินนะ เพลิน ๆ เป็นทำเลที่เหมาะสม ๆ เงียบสงัด ๆ เวลากลางคืนจะออกมาอยู่หินดานกลางแจ้งก็ได้ สะดวกสบาย พอกลางวันเข้าในป่า มันเป็นดงอย่างนี้ เราไปเห็นเราก็พอใจเลย เพราะฉะนั้นจึงรับกันตั้งแต่บัดนั้นมา ดูเหมือนจะ ๑๐ ปีกว่าแล้วนะ ติดต่อมาเรื่อย ๆ พอจวนสิ้นเดือนเขาไปส่ง ๆ ไม่ให้บกพร่อง เรื่องอาหารการกินทุกอย่างเราเป็นคนจัดเอง สั่งเองทุกอย่างเลย ตั้งแต่นั้นได้ ๑๐ กว่าปีแล้ว อันนั้นเรียกว่าประจำเลย ไม่ให้ขาด เดือนหนึ่ง ๆ ปลายเดือน ๆ เช่นอย่างวันที่ ๒๖-๒๗ ไปละ ส่งตามนั้น ทำเลนี้เหมาะสมมาก แล้วก็ภูสังโฆ เรียกว่าเสมอกันเลยสองวัดนี้
เพราะฉะนั้นที่ว่าท่านมีพระ ๓๐-๔๐ องค์นี้เราไม่มีข้อตำหนิ เพราะว่าที่มันกว้างขวางมาก ทำภาวนาที่ไหนได้หมด ทำเลไม่พอไปแออัดกันอยู่อย่างนี้ไม่เหมาะ ที่เหมาะอยู่ทางแถบนี้ก็ภูสังโฆ ผาแดง ทางนาคำน้อย อันนี้เหมือนภูเขานี่ภูสังโฆ พวกผาแดง อยู่ตามเขาในป่าในเขารื่นเริง มันอาจจะขึ้นกับนิสัยก็ได้ แต่ส่วนมากจะชอบภูเขามากสำหรับพระนะ เป็นป่าเป็นดงก็ขอให้ดงภูเขา มันหากมีอะไรแปลก ๆ อยู่นั้นนะ ก็เราเคยเที่ยวมาพอแล้วนี่ ตามที่ระยะ ๙ ปีนี้มีตั้งแต่อย่างนั้นทั้งนั้น ตั้งแต่ขึ้นเวที บอกแล้วว่าพรรษา ๗ ล่วงไปแล้วพอสอบเปรียญได้ ๓ ประโยคปั๊บนี้ก็บึ่งเลยเชียวอะไรมาขวางไม่ได้ละ ตั้งแต่พรรษา ๗ นี่หมายถึงการฟัดการเหวี่ยงกัน รอดเป็นรอดตาย บางทีไม่ได้นึกว่าชีวิตจะเหลือเลยนะ ประกอบความพากเพียร กิเลสเหนียวขนาดไหนรู้กันหมด เพราะฉะนั้นจึงพูดได้อย่างชัดเจนซิ
มาสอนโลกนี้เราสอนแบบไม่สะทกสะท้าน เราผ่านทั้งเหตุแทบเป็นแทบตายผ่านมาตลอด ๙ ปี ไม่มีความสุขความสบายเลยแหละ ในระยะ ๙ ปีนี้ ไปแต่คนเดียว ๆ ใครก็ตำหนิไม่ได้ ไปที่ไหนเช่นอย่างพระที่จะมารังแกอวดอ้างก้ามว่าเป็นเจ้าคณะนั้นเจ้าคณะนี้จะมาขับแบบนั้นแบบนี้ นี่ก็มหามันก็ไม่กล้าละซิใช่ไหม มาก็ฟัดกันจริง ๆ ฟังแต่ไปก็ไปคนเดียวไม่ได้กลัวอะไรแล้ว แล้วจะไปกลัวใครอีกใช่ไหมล่ะ มันมีเสมอพวกกรรมฐานเราไปเที่ยวถูกรังแก กลัวจะไปเตะถ้วยลาภเขา ถ้วยแกงเขานั่นแหละ ไม่ใช่อะไรแหละ แต่เราก็ไม่ทราบว่าไปที่ไหนไม่เคยมี ก็มีอยู่ที่ทางโน้น ที่ได้จำพรรษาถึง ๔ ปี อันนั้นมี มหาต่อมหาฟัดกันบนภูเขาเลย ใส่กันเลย เขาฝ่ายปกครอง เรียนอะไรมันก็เรียนทันกันหมดนี่ว่าไงทางปริยัติ ทางปฏิบัติมันจะได้เปรียบกันตรงนี้ซิเข้าใจไหมล่ะ
ซัดกันอย่างเต็มเหนี่ยวบนภูเขาเลย ก็เรียกว่าได้ลองภูมิ มหาเข้าในป่าถูกพวกนี้ขับก็คือเราหนนั้นหนเดียว พอจากนั้นลงมาแล้ว ลงมาสั่งพระอยู่ตีนเขา มา เราไม่ให้ไปอยู่กับเรา เราอยู่บนภูเขากับเณร ๆ หนึ่ง พวกพระให้อยู่ตีนเขาโน้น สำนักโน้น โอ๊ย.มากพระ พอทางนั้นลงจากภูเขาทางนี้ก็ลงมาก็มาบอกพระเณรเลยว่า บอกกำชับไว้หมด ถ้าพวกนี้จะมาตรวจใบสุทธิอะไรต้องให้รอผมเสียก่อนคนเดียวเท่านั้น ถ้าผมยังไม่ลงมายังไม่ให้เข้ามาแตะได้บอกเลยนะ พระเณรในวัดทั้งหมด เพราะคราวนี้เอากันหนักอยู่นะ จะว่ากล้าหรือไม่กล้าก็ไม่รู้ละว่างั้นเถอะน่ะ บอกเลยสถานที่นี่ถ้าหากว่ายังไม่สงบเราจะหนีไปไหนไม่ได้ ออกแล้วนะ ประกาศเลย เราก็ไม่เคยพบแบบป่า ๆ เถื่อน ๆ อย่างนี้ เรียนมาด้วยกันจะมาหาไล่เบี้ยเอา ให้อยู่ไม่ให้อยู่ยังไง มันเป็นยังไงที่นี้ที่ของแผ่นดินไทยก็รู้แต่ไม่พูดนะ ยังไม่พูด ถ้าตรงไหนไม่จังก็ไม่เอาละ ตรงไหนจัง ๆ ซัดทีเดียวปั๊วะหงายเลย ๆ นั่น เอาอย่างนั้นนะ
พอลงมาก็บอกเลย แล้วก็ประกาศด้วย สถานที่นี่ถ้ายังไม่สงบเรียบร้อยเกี่ยวกับเรื่องอย่างนี้นั้น เราจะยังไม่หนีไปไหน เราจะอยู่ที่นี่ตลอดไป จนกว่าจะสงบเรียบร้อยเป็นปรกติแล้วเราอยากไปไหนก็ไปได้ ถ้าเราหนีไปนี้แล้วผู้อื่นเข้ามาอยู่ไม่ได้สถานที่นี่พูดง่าย ๆ ลงเราอยู่ไม่ได้แล้วเพื่อนฝูงจะอยู่ไม่ได้เลย ถ้าโง่ก็ให้โง่แบบบัดซบ หลับหูหลับตาเขาจูงไปไหนก็ได้ ถ้าฉลาดก็ฉลาดให้เหนือกันก็ยังจะอยู่ได้ อยู่ที่นี่นะ เราฉลาดหรือโง่เราจะอยู่เราบอกอย่างนั้นเลย บอกตรง ๆ เลยนะ เงียบทั้งนั้น จากนั้นก็ไปออกแหละ พวกนี้เขามาเขามีหลักมีเกณฑ์ อย่าไปขับไปไล่เขานะ ออกทางนั้นนะ นั่นเห็นไหมล่ะ ตั้งรับแล้วนี่นะทางนี้ตั้งรับแล้ว มีหนเดียวเราพูดตรง ๆ ที่เราเที่ยวกรรมฐานมา
ซัดกันจริง ๆ บนภูเขา เขาจะมาไล่เรา เอ้า ไล่มา ตรงไหนว่ามา ก็เรียนมาด้วยกันทางปริยัติก็ดี จะเอาเจ้าคณะมา เจ้าคณะก็ปกครองเพื่อความร่มเย็น ไม่ได้มาขับไล่ไสส่งผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ไล่ก็ผิดพระวินัย แน่ะ มันก็มีอยู่นั้น ก็มีแต่ทำท่ามาขู่ขวัญเพราะที่นั่นอยู่ไม่ได้พระ ที่เราไปอยู่นั้น อยู่ไม่ได้ถูกขับ เป็นอย่างนั้นนะ เราก็ได้ยิน ไอ้เรื่องได้ยิน ๆ แต่เราไม่เคยสนใจ เราจะหาอรรถหาธรรม หลักธรรมวินัยมีอยู่เต็มตัวด้วยกันทุกคน เรียนมาด้วยกันทุกคน จะมาแบบไหนมันก็รู้นี่วะ มาก็มีแต่ทำท่ามาขู่ขวัญไปอย่างนั้นแหละ ไม่กล้าจะเอาจังนะ ก็หลักเกณฑ์ของเรามันแน่นปึ๋ง มาซิ พูดภาษาของเราสนุก ๆ มาซิอยากตายบอกงั้นเลย ถ้าลงได้อยู่บนภูเขาแล้วขึ้นเวทีแล้วนั่น จะมาไล่ลงภูเขาให้ลงมางาบงีบ ๆ ลงมานี้ไม่มีทางว่างั้นเถอะน่ะ ใครจะตกเขาก็ให้ตกเท่านั้นเองเข้าใจเหรอ เพราะหลักเกณฑ์มีอยู่ทุกคน ๆ มาหาเหตุหาผลอะไรแบบป่า ๆ เถื่อน ๆ อย่างนั้นละ
นี่เราพูดถึงเรื่องเราเที่ยวมานี้ ไปไหนก็มีแต่ไปคนเดียวเท่านั้นแหละ จะว่ากล้าหรือกลัวก็แล้วแต่ เราไปแต่คนเดียว ๆ ไปที่ไหน นี่ละส่วนมากพระถ้าไปอย่างนั้นแล้วพวกนี้ขับละ หาเรื่องนั้นเรื่องนี้ขับ เราไม่มีมีหนเดียวเท่านั้น แต่เราไปอยู่กับหมู่กับคณะ เพราะสถานที่นั่นพระอยู่ไม่ได้นี่ถูกขับ แต่เวลาเราไปอยู่ที่นั่น พระตั้ง ๑๐ กว่านู่น เต็มอยู่ข้างใต้เราอยู่ข้างบน เรื่องราวมันเป็นอย่างนั้น ก็เห็นว่ามันจะมาตีทัพแถวนี้ให้แตกหมดแล้วนะพวกนี้ คงว่าอย่างนั้นนะ จึงขึ้นมาขู่ขวัญเรา ขู่ก็ให้ขู่หัวหน้านี่ละวะ ขึ้นมาหัวหน้าก็ซัดกันเลย ลงมาก็บอกพระหมดทุกสิ่งทุกอย่าง เขาจะมาตรวจนั้นตรวจนี้ถ้าผมยังไม่ลงมาให้บอก ไปบอกผม ถ้าผมยังไม่ลงมาอย่าให้อะไรมาแตะบอก แม้ที่สุดใบสุทธิ เขาจะตรวจใบสุทธิห้ามให้เอาออกตรวจ รอผมมาเสียก่อนผมจะจัดการเอง บอกหมดเลย เรารับหมดในวัดนั้น ฟังซิ ไม่กล้า เขาบอกเขาจะมาตรวจใบสุทธิ เอ้า มา บอกตรงเลย ๆ ให้มาตรวจ
นี่เราพูดถึงสถานที่เหมาะสม ทุกวันนี้ไม่มีละเรื่อยอย่างนี้ไม่ปรากฏละ เรื่องป่า ๆ เถื่อน ๆ อย่างนี้ไม่ค่อยปรากฏ แล้วการปกครองก็แยกกัน แต่ก่อนปกครองเกี่ยวโยงกันมันถึงยุ่งละซิ ทีนี้ให้ต่างฝ่ายต่างปกครองกันก็เลยเงียบ ๆ ไป นี่เราพูดอย่างนี้พูดถึงสถานที่เหมาะสม ถ้าป่าไม่เป็นที่น่าอยู่แล้วอยู่ที่ไหน ศาสนาก็หมด พระพุทธเจ้าบำเพ็ญในป่า ตรัสรู้ในป่า พระสงฆ์สาวกบำเพ็ญในป่าตรัสรู้ในป่า แบบแผนพระวินัยกางเต็มคัมภีร์อยู่นั่นเห็นไหมล่ะ
เพราะฉะนั้น เราถึงสงวนพระเราที่อยู่ในป่าในเขาตรงไหน ๆ ให้อยู่ มีอะไรเราจะเป็นผู้เกี่ยวข้อง เหมือนว่าเรานี้เป็นกำแพงกั้นพระกรรมฐานปัจจุบันนี้ว่าอย่างนี้ก็ไม่ผิด พระเณรทั้งหลาย ๆ มารวมความรับผิดชอบจะมาหาเราคนเดียว กระเทือนมาตรงไหนจะเข้าตรงนี้ กระเทือนมาที่ไหนจะมาเข้าตรงนี้ จึงเรียกว่าเรารับผิดชอบผู้เดียวก็ไม่ผิด ไม่ประกาศมันก็ไม่เป็นจะว่าไง พระเณร เอ้า อยู่ ตรงไหนสะดวกสบายส่งเสริมให้อยู่ อย่างที่ว่า วัดภูวัวนี้ก็ตั้ง ๔๐ กว่าพระ เอ้า อยู่ ทางภูสังโฆนี้ก็มาก ผาแดงก็มาก แถวนี้อยู่ ๓ แห่งเป็นที่เหมาะสมมากทีเดียว แล้วจากนั้นไปก็ทางวัดศรีชมภูนั้นก็เหมาะ แต่มันไม่ใช่บนเขา เป็นป่าก็เหมาะ แล้ววัดดอยธรรมเจดีย์นั่นก็เหมือนกัน พระจะมากจะน้อยก็เหมาะด้วยกัน เพราะบนเขาด้วย เราเคยอยู่มาแล้ววัดดอยธรรมเจดีย์
นี่ละเราสงวนมากทีเดียวป่า ถ้าองค์ไหนที่ได้ไปอยู่สถานที่ไหนอยากให้อยู่เรื่อย ๆ อย่างนั้นละ บำเพ็ญสมณธรรม ในป่าธรรมดากับในป่าด้วยเขาด้วยต่างกันนะ ป่าธรรมดาไม่มีเขาก็ดี เรื่องดี ๆ เป็นยังไงสำหรับหัวใจของเรานะ มันไม่ค่อยเต็มเม็ดเต็มหน่วยเหมือนในป่าด้วยเขาด้วย ถ้าอย่างนั้นเหมาะตลอดเวลาเลย อยู่ที่ไหนเหมาะหมด มันหากเป็น มันอาจจะเป็นตามนิสัยก็ได้นะอันนี้ เราไม่ได้ว่าทุกรายไปนะ สำหรับเราเป็นอย่างนั้น ถ้าเป็นป่าเป็นเขาด้วยแล้วเหมาะที่สุดเลย เราจึงหาแต่อย่างนั้นตลอดมา
ทีนี้เมื่อสถานที่เหมาะสมเช่นนั้นมีอยู่ที่ใดแล้ว เอ้า ๆ ไป บอกเลยบอกพระเณรให้ไปเลย เหมาะสมที่สุด อยู่ในป่าในเขามันได้อ่านตัวเอง เข้าไปบำเพ็ญสมณธรรมได้อ่านตัวเองเรื่องราวเกี่ยวข้องกับสิ่งภายนอกภายในประสานกัน มันก็คัดเลือกได้ของดิบของดีออกมาใช้ อะไรไม่ดีปัดออก ๆ นั่นพระท่านอยู่ในป่าเพื่ออรรถเพื่อธรรมจริง ๆ เป็นนักพิจารณาทางหัวใจ พวกเรานี้นักบ้าวิ่งข้างนอก ให้อันนี้มันดันออกไปนี่ หัวใจนี้มันดันออกแล้วก็วิ่งตามเงามันละซิ ดิ้นโน้นดิ้นนี้ ๆ อันนั้นก็ดีอันนี้ก็ดี อะไรก็ดี คือตัวนี้มันผลักดันออกไป มันไม่ให้เห็นนะกิเลสตัวนี้ มันผลักดัน อันนั้นก็อยากได้ อันนี้ก็อยากรู้ อันนี้ก็อยากเห็น อันนั้นก็อยากมี มีแต่คนอยากเต็มบ้านเต็มเมือง มีแต่คนดีดคนดิ้นเต็มบ้านเต็มเมือง ผลสุดท้ายไฟเผาโลก เพราะอำนาจของกิเลสมันออกจากหัวใจ
นี่แหละโลกไม่ได้เห็น แล้วใครเก่งมาเทียบโลกกับพระพุทธเจ้าแล้ว พระพุทธเจ้าเห็น นี่พระองค์อ่านตรงนี้ ตัวเหตุอยู่ตรงนี้ มันดิ้นดีดไปไหนมันจะออกจากนี้ ๆ ไป ทีนี้พอทางนี้ขยับปั๊บเท่านี้ สติมีปัญญามี สติธรรมปัญญาธรรมจ่อ คอยคัดคอยเลือกคอยดัดคอยแปลงคอยปราบปรามกันอยู่ตลอดเวลา ทีนี้ค่อยสงบลง สงบลงธรรมก็ก้าวขึ้น ๆ ซิที่นี่ ธรรมก้าวขึ้นก้าวไปไหนมีแต่ความสงบร่มเย็น มีแต่ความสว่างไสวภายในจิตใจ จิตใจนี้เบิกกว้างออก ๆ ๆ นี่ผู้พิจารณาหัวใจฟังซิท่านทั้งหลาย เราพิจารณาตั้งแต่ตึกรามบ้านช่อง ถนนหนทาง ความมั่งความมีดีเด่น อันนั้นก็โก้อันนี้ก็เก๋ มันตายด้วยกันทั้งนั้นละน่ะ เอ้า ถ้าว่าหลวงตาบัวพูดผิดเอาไปวินิจฉัยซิ มีแต่โลกร้อน ๆ เป็นฟืนเป็นไฟเวลานี้เพราะดิ้นกับสิ่งเหล่านี้ เนื่องจากไม่ดูหัวใจตัวมันผลักดันออกไป
ตัวนี้มันดันออกไปให้อยากนั้นอยากนี้อย่างนั้น กินข้าวจนท้องป่องก็อยาก ตาก็อยากดู หูอยากฟัง จิตอยากคิด คิดตลอดเวลาหาเวล่ำเวลาไม่ได้ มีความสุขที่ไหน คนที่คิดอยู่ เหมือนฟุตบอลถูกเขาเตะกลิ้งไปกลิ้งมา ถ้ามีวิญญาณมันเอาสุขมาจากไหนลูกฟุตบอล แต่ฟุตบอลไม่มีวิญญาณนะ คนนี้มันมีวิญญาณละซี ดิ้นโน้นดิ้นนี้ กลิ้ง กิเลสมันเตะเอานี่ กลิ้งโน้นกลิ้งนี้ไม่ได้ดูตัวกิเลสจริง ๆ มันอยู่ที่ไหน นั้นละนักธรรมะท่านไปปฏิบัติธรรม ท่านดูหัวใจตัวมหาเหตุ ดูตัวนี้แก้ไขตรงไหน ควรแก้ตรงไหนท่านแก้ท่านผลักท่านดันท่านปราบปรามกันเรื่อย ๆ ค่อยสงบเย็น ๆ จิตไม่เคยสงบ ๆ ถ้ามีธรรมรักษาใจแล้วสงบ ถ้ามีแต่กิเลสว่ารักษาไม่ได้นะ เป็นมหาภัยตลอด
ถ้ามีธรรมเข้าระมัดระวังรักษาตัวเองแล้วจะค่อยกระจ่างออก จิตใจนี้ยังไม่เคยสงบจะสงบ ต่อจากสงบเบิกกว้างออก ๆ สว่างไสวจ้าออก ๆ ความสุขละเอียดเข้า ๆ ฟังซิ ความสุขละเอียดเข้าไป ๆ มันเป็นยังไง เพราะกิเลสตัวเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้มันห่างมันจางออกไป ๆ เนื่องจากน้ำดับไฟดับไปเรื่อยคือธรรม สติธรรม ปัญญาธรรม น้ำดับไฟ ทีนี้จิตใจก็ค่อยสว่างไสว ทุกสิ่งทุกอย่างเบิกกว้างไป จิตที่คับแคบที่สุดคือกิเลสบีบบังคับ พอกิเลสจางไปนี้จิตจะกว้างออก ๆ แล้วกว้างออกเรื่อย สุดท้ายฟาดครอบโลกธาตุ เห็นไหมจิตพระพุทธเจ้า จิตพระอรหันต์ จิตครอบโลกธาตุ เบิกกว้างออกหมด ไม่มีอะไรมาปิดมาบังหัวใจได้เลย นี่ละท่านสอนโลกท่านสอนอย่างนี้นะ ท่านเห็นผลประจักษ์เป็นบรมสุข พวกเรามหันตทุกข์เอาไปแข่งท่านซิ ว่าไง นี่ละท่านปฏิบัติ
เพราะฉะนั้น ถ้ายังมีพระท่านอยู่ในป่าในเขาอยู่มรรคผลนิพพานยังมี มีผู้ปฏิบัติตามแถวทาง ศาสนาของพระพุทธเจ้านี้คือตลาดแห่งมรรคผลนิพพานนั้นเอง สด ๆ ร้อน ๆ อยู่นี้ ก็ธรรมอยู่กับใจกิเลสอยู่กับใจ เมื่อมีธรรมเข้ามาชะล้างกิเลส กิเลสก็ค่อยจางไป ๆ ความทุกข์ก็เบาลง ๆ นั่น ความสุขก็ปรากฏขึ้นมา กิเลสกับธรรมอยู่ด้วยกัน แต่ปล่อยให้แต่กิเลสความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา มันบีบมันบี้มันไถอยู่นั้น ทุกข์ทั้งหมด ใครจะเอาอะไรมาอวดก็ตามว่ามีความสุข เพราะกิเลสส่งเสริมให้ไม่เคยมี ถ้าว่าธรรมส่งเสริมถูกต้องทันที ธรรมเป็นเครื่องดับไฟ กิเลสเป็นเครื่องก่อไฟจะเอาความสุขมาจากไหน ก่อแล้วมันก็เผาตัวเองนั้นแหละ นั่น
นี่ละพระที่ท่านอยู่ในป่าในเขาจึงเป็นที่น่ายินดีกับท่าน ดูซิ ไม่ใช่จะคุยจะโม้จะอวดยกครูบาอาจารย์ของตัว พ่อแม่ครูจารย์มั่นลูกศิษย์ของท่านมากขนาดไหน ผู้ที่ปฏิบัติศีลปฏิบัติธรรมด้วยความจริงจังในป่าในเขา เวลาท่านมรณภาพไปแล้วอัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุ ที่เรานับมาได้ตั้ง ๑๐ กว่าองค์นะไม่ใช่ธรรมดา ที่เห็นชัด ๆ กันนี้เลย ที่อยู่ลับ ๆ เงียบ ๆ ก็มี ผู้ทรงมรรคทรงผลอยู่เงียบ ๆ นั่นละมากนะ พระกรรมฐาน ใครจะว่าเป็นผ้าขี้ริ้วห่อมูตรห่อคูถเหรอ ผ้าขี้ริ้วห่อทองรู้ไหมลูกศิษย์ตถาคต ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ ท่านผู้ทรงอรรถทรงธรรมทรงความสุขความเจริญความสงบเย็นใจ มักอยู่ในป่าในเขาพระน่ะ จะออกมาตลาดตเล มีแต่กระดูกหมูกระดูกวัวแขวนคอมันจนไม่มองเห็นตัว นั่น มีถมไปอย่างนี้น่ะ
ผู้ที่มีอรรถธรรมประคองหัวใจสง่างามนี้มีน้อยมาก เราจะหาที่ไหนไม่ได้ มักจะมีอยู่ในป่าพระกรรมฐานท่านอยู่ทั้งนั้น เหมือนไม่มีสติปัญญาโง่ ๆ เต่า ๆ ตุ่น ๆ นะ เซ่อ ๆ ซ่า ๆ แต่ภายในท่านไม่ได้เป็นอย่างนั้นนะ กิเลสมันอยู่ภายใน ท่านแก้กันอยู่ภายในจิตนั่น พวกเรานั้นออกมาตีตลาดมีแต่กิเลสพาตีตลาด เอาอะไร ๆ มาโอ้อวดกัน ผลสุดท้ายมีแต่กองทุกข์เต็มบ้านเต็มเมืองดีที่ไหน พิจารณาซิ จะเอาอันนี้เหรอมาอวดธรรมพระพุทธเจ้า ใครปฏิบัติคุณงามความดีขึ้นมาพูดยุพุดแหย่พูดถากพูดถาง พูดหัวเราะเยาะเย้ยผู้ปฏิบัติดี แต่พวกมูตรพวกคูถมันเต็มอยู่ทั่วแดนโลกธาตุ ไม่เห็นดูกันบ้าง ยกมันมาขึ้นบ้างซิมูตรคูถ ข้านี้ดีนะ ๆ เอาไปอวดธรรมพระพุทธเจ้ามีไหม ไม่เห็นมี อย่างนี้ละไอ้ความหยาบโลนของกิเลส มันไม่ได้ว่ามันหยาบโลน มันดีเลิศทั้งนั้นแหละ มันเหยียบของดีขึ้น ตัวมันก็ยิ่งเลวลงไป ๆ เป็นอย่างนั้นนะ
เหยียบของดีเท่าไรยิ่งเลวลง ๆ พวกเลว คิดออกแง่ไหนเลว กิริยาแสดงออกก็เลว ออกแสดงแง่ไหน ๆ เลวทั้งนั้น ๆ เพราะมันความเลวออกทางใจ ถ้าใจดีทุกอย่างจะค่อยดีไปตาม ๆ กัน ถ้าใจไม่ดีเสียอย่างเดียวไม่มีทางดี ใครจะไปหาความเลิศเลอจากที่ไหนถ้าไม่ชำระฟืนไฟเผาไหม้อยู่ในหัวใจนี้ออก คือกิเลสนั้นแหละอยู่ในนั้น ให้ออกด้วยธรรม แก้กันออก ๆ ไม่ต้องถามหาความสุขความเจริญ ไม่ต้องถามหามรรคผลนิพพานจะจ้าขึ้นที่หัวใจของทุกคนนั้นละ จำเอานะที่พูดอย่างนี้นะ เราพูดเท่านี้เอาแค่เสียก่อนละ พอ
อ่านและฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตาวันต่อวัน ได้ที่
www.Luangta.or.th or www.Luangta.com
|