เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๒๙
ธรรมคู่เคียงกับโลก
a
ขอให้พี่น้องทั้งหลายทราบ เพราะเข้าใจว่าจะมีเป็นจำนวนมากที่สงสัยเกี่ยวกับเรื่องหลวงตาบัวไม่ให้ถ่ายรูป ความจริงการถ่ายรูปเราไม่หวงแต่ไม่อยากอวด คืออยากให้ถ่ายเรื่อยไป เขาจะได้เอาไปชมเชยว่าหลวงตาบัวดีอย่างนั้นอย่างนี้เราก็ไม่มี เราจะหวงหาเหตุหาผลไม่ได้ก็ไม่มี เราหวงเพราะสิ่งที่ควรให้หวงมีอยู่ ส่วนมากผู้ที่ถ่ายไปแล้วเอาไปล้างฟิล์มที่ร้านเขานั่นแหละ พอไปล้างฟิล์มแล้วเจ้าของไม่รู้ และเขาเอาไปแล้วตอนนั้นน่ะ จากนั้นมาก็ออกไปจ่ายตลาด รูปครูบาอาจารย์เต็มตลาดเหมือนกับปลาเน่า ไม่น่าดูเลย รูปครูบาอาจารย์ไปจำหน่ายขายกินอย่างนั้นไม่เหมาะ เราจึงไม่อยากเห็นไม่อยากให้เป็น นี่ละเหตุสำคัญที่ไม่ค่อยจะให้ถ่ายรูปหรือไม่ให้ถ่ายรูป เพราะอันนี้เองเป็นหลักใหญ่มากกว่าเหตุอื่น
ส่วนที่จะให้ถ่ายเพื่อให้เขาเคารพบูชาอะไรอย่างนั้น เราก็ไม่คิดนัก เพราะหลวงตาบัวก็ยังไม่ได้แน่ใจตัวเองว่า เป็นที่เคารพบูชาของประชาชนได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วเหรอ หลวงตาบัวนั่นน่ะ เราอยากถามเจ้าของเสียก่อน ก่อนที่จะให้ใครถ่ายรูป ฟังแต่ว่าหลวงตาบัวเป็นไร มันได้หน้าได้หลังอะไรหลวงตาบัว สิ่งที่เก่งก็มีแต่กินกับนอน หลวงตาบัวน่ะเก่ง ใครอย่ามาแข่งถ้าไม่อยากตกเวที หลวงตาบัวเอาไม่ได้พอยกล่ะน่ะ ยังไม่ได้ยกครูด้วยซ้ำไป หลวงตาบัวเอาตกเวทีแล้ว ถ้าเป็นเรื่องกินกับนอนไม่มีใครสู้ เก่งกว่าใครทั้งนั้น เพราะอะไร เพราะนอนมาตั้งแต่วันเกิด กินมาตั้งแต่วันเกิด จนกระทั้งป่านนี้ทำไมจะไม่ชำนิชำนาญล่ะ ต้องชำนาญแน่นอน ส่วนใครจะเป็นเหมือนกันหรือไม่เป็น ไม่เอาเราไม่รับรู้ เรารับรู้แต่หลวงตาบัวองค์เดียว ใครจะกินจะนอนขนาดไหนตั้งแต่เกิดมานั้น เราไม่รับรู้ด้วยตรงนี้นะ
นั่นละการถ่ายเราจึงให้ถ่ายพอประมาณ ทุกสิ่งทุกอย่างให้อยู่ในเกณฑ์พอประมาณแล้วเหมาะ ถูกต้องตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ฉะนั้นขอให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบว่า หลวงตาบัวนี้หึงหวงรูปเพราะเหตุผลกลไกอะไร ก็ได้เล่าให้ฟังเรียบร้อยแล้วนะ ที่ดุนั่นเพราะอะไรถึงดุ นี่อันหนึ่งนะ ดุนั้นเราก็ชี้แจงเหตุผลให้ทราบเรียบร้อยแล้ว และผู้ที่รับทราบก็เป็นที่ลงใจแล้วยอมรับ แล้วอยู่ ๆ ก็ถ่ายพึ่บเอาเลย นี่คนยอมรับกันยังไงจึงต้องเป็นอย่างนั้น ชาวพุทธเราไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น
ไม่มีใครที่จะเป็นนักเหตุผลยิ่งกว่าชาวพุทธ ถ้าชาวพุทธไม่มีเหตุผลแล้ว ใครเล่าในโลกนี้เขาจะมีเหตุผล เพราะชาวพุทธก็คือชาวธรรมนั่นเอง ธรรมก็คือองค์แห่งเหตุผล บวกกันเข้าแล้วเป็นธรรม นี่ละหลักใหญ่อยู่ที่ธรรม แยกออกมาก็คือเป็นเหตุเป็นผล ยอมรับกันด้วยเหตุด้วยผลแล้วก็ไม่ควรจะทำอย่างนั้น นี่เห็นต่อหน้าต่อตา เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วก็ต้องดุกันบ้าง ไม่ดุไม่ได้ คนดื้อด้านต้องเอาธรรมดื้อด้านเข้าใส่ซิ คำว่าธรรมดื้อด้านธรรมยังไง ธรรมปราบความดื้อด้านของคนมี กิเลสเป็นกองทัพใหญ่ กิเลสโหดร้ายทารุณ ธรรมะก็ต้องเป็นธรรมะที่เด็ดเดี่ยว เป็นธรรมะประเภทที่กิเลสจะหมอบ ไม่อย่างนั้นกิเลสจะเพ่นพ่านทั่วโลกดินแดน ธรรมหาที่ออกไม่ได้ เพราะฉะนั้นธรรมจึงต้องมีทั้งประเภทที่เด็ด เพื่อปราบกิเลสซึ่งเป็นข้าศึกประเภทเด็ด ๆ ธรรมจึงจะอยู่ครองโลกได้ ฉะนั้นขอให้พี่น้องทั้งหลายได้นำไปประพฤติปฏิบัติตัวเอง
เวลามันเด็ดต่อเรามีนะ กิเลสประเภทต่าง ๆ ที่จะเป็นข้าศึกต่อเรานั่นเองแหละมันแสดงขึ้นในใจของเรา อยากให้ทำอยากให้พูด อยากให้ไปอยากให้มา อยากให้ประพฤติอย่างรุนแรง นี่ละประเภทที่รุนแรง ทั้งอยากคิดทั้งอยากพูด ทั้งอยากทำ ทั้งอยากประพฤติต่าง ๆ อันเป็นสิ่งไม่พึงปรารถนา ทำลงไปมากน้อยเป็นความเสียหายทั้งนั้น นี่ประเภทที่โหดร้าย เมื่อประเภทที่โหดร้ายแสดงขึ้นในตัวของเรา เราเป็นผู้รับผิดชอบเราจึงต้องมีธรรมเป็นเครื่องประกาศหรือเป็นเครื่องยืนยัน เป็นเครื่องต่อสู้ เป็นเครื่องปราบปรามกัน ด้วยความเด็ดเดี่ยวเช่นเดียวกัน
มันอยากคิดประเภทนั้นซึ่งเป็นของไม่ดี เราไม่ยอมคิด เด็ดต่อเด็ดใส่กัน มันอยากพูดเราไม่ยอมให้พูด เราเป็นผู้รับผิดชอบในปากของเราเอง ทำไมจะรับผิดชอบไม่ได้ ข้าวต้มขนมเรายังรับผิดชอบเอาใส่ปากมาแล้วเท่าไร ความรับผิดชอบในลมปากของเราที่จะไปก่อความเสียหายแก่คนอื่น ทำไมเราจะรับรองไม่ได้จะห้ามปรามไม่ได้ เมื่อเรามีธรรมะอันเด็ดเข้าไปสู่ในปากของเราแล้ว จะพูดออกมาไม่ได้เลยคำอันเป็นความเสียหายนั้น นี่คือธรรมะที่เด็ดเพื่อปราบกิเลส หรือความเสียหายที่จะออกมาทางปาก มันจะออกมาทางความประพฤติแง่ใดที่จะเป็นความเสียหาย เราไม่ทำในแง่นั้น ๆ ห้ามปรามให้ได้ทุกสิ่งทุกอย่างบรรดาที่เป็นความชั่วด้วยความดีของเรา นี่ก็ชื่อว่าธรรมะอันเด็ด
เราไม่มีธรรมะอันเด็ดไว้ใช้เราจะแพ้กิเลสวันยังค่ำ จะแพ้ต่อความชั่วทั้งหลายคืนยังรุ่ง หาเวลาดีหาคนดีไม่ได้ในโลกนี้ ถ้าปล่อยให้แต่กิเลสมันเด็ด ๆ มีประเภทไหนก็มีแต่เด็ดๆ อย่างเดียว ประเภทไหนก็ไม่มีคำว่าเบรกห้ามล้อมันเลย มีแต่เหยียบคันเร่งเรื่อยไปแล้ว คนในโลกนี้จะไม่มีเกาะมีดอน ที่อยู่แห่งความดีแห่งคนดี แห่งความสงบร่มเย็นเลย จะเกลื่อนไปด้วยความชั่วช้าลามกความไม่เอาไหน ความเสียหายความทุกข์ความเดือดร้อน เพราะอำนาจแห่งกิเลสตัวลามกทั้งหลายที่ก่อขึ้นมา ผลิตขึ้นมา สร้างขึ้นมานั่นแล เพราะไม่มีธรรมเป็นเครื่องปราบปรามมัน
เพราะฉะนั้นเราเป็นนักปฏิบัติ เราเป็นชาวพุทธ ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบเอาไว้ว่า ธรรมะสำหรับปราบกิเลสนั้นมีทุกประเภท กิเลสมีกี่ประเภทธรรมะมีเท่านั้นประเภท กิเลสประเภทโหดร้ายที่สุด ธรรมะจะมีที่โหดดีที่สุดต่อสู้กัน กิเลสที่ทรหดดื้อด้านที่สุด ธรรมะประเภทที่ปราบความดื้อด้านของกิเลสก็มี อย่างนั้นโลกถึงอยู่ได้
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วขอให้ย้อนเข้ามาสู่ตัวของเรา คืนหนึ่งวันหนึ่งตั้งแต่เราเกิดมานี้ กิเลสออกเพ่นพ่านมันฉุดมันลากเราไป ด้วยพลังงานของมันมากน้อยเพียงไร เราเคยมีอะไรฉุดลาก เราเคยมีอะไรยับยั้ง เราเคยมีอะไรเป็นเบรกห้ามล้อมันบ้างมีไหม ถ้าไม่มีก็แสดงว่าเราแพ้มันตลอด เอ้า มันโหดร้ายเราต้องโหดดีสู้กัน มันเด็ดเราต้องเด็ด มันเด็ดชั่วเราต้องเด็ดดีใส่กัน นี่ละธรรมะเป็นคู่เคียงกับโลกมาเป็นอย่างนี้ ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบว่า ธรรมะที่เด็ดเดี่ยวก็มี ธรรมะที่ขึงขังตึงตังก็มี ธรรมะที่เป็นประเภทปรมาณูก็มี เช่นเดียวกับกิเลสประเภทปรมาณูเหมือนกัน กิเลสประเภทที่ชั่วช้าลามกที่สุด ก็เรียกได้ประเภทนิวเคลียร์นิวตรอน พวกธรรมะก็เหมือนกันมีประเภทนิวเคลียร์นิวตรอน ดัดกันเหมือนกัน สังหารกันเหมือนกัน ให้นำเอาไปใช้
เวลามันโหดร้ายทารุณขึ้นมามาก ๆ จะมองเห็นอะไรเป็นเท่าหนูตัวหนึ่งนี่นะ คนทั้งคนก็เห็นเท่าหนูตัวหนึ่ง นี่ละที่ฆ่าได้อย่างสบาย ๆ นี่คือความโหดร้ายของมันได้เกิดขึ้นเต็มที่แล้ว เป็นหูหนวกตาบอดไปหมด ไม่ยอมมองดูอะไร ไม่ยอมฟังเสียงใครห้ามปรามทั้งนั้น มีแต่จะเอาให้ได้อย่างใจท่าเดียว นี้คือกิเลสประเภทที่โหดร้ายทารุณที่สุด เราก็ต้องใช้ธรรมะที่โหดต่อกิเลสที่สุด ห้ามอย่างเด็ดขาดไม่ให้ก้าวออกไปเลย จะก้าวไปไหน เราไม่พาทำมันทำได้เหรอ มันก็ทำไม่ได้ นี่ละเรียกว่าธรรมะประเภทที่เด็ดที่สุด
.มี
ขอให้พี่น้องทั้งหลายทราบว่ากิริยาแห่งการกระทำ เราอย่าเข้าใจว่าอันใดที่เป็นกิริยาขึงขังตึงตังจะเป็นเรื่องของกิเลสทั้งมวล แต่เป็นกิริยาของธรรมที่ปราบกิเลสก็มี ไม่อย่างนั้นกิเลสจะมากที่สุดในโลกนี้ไม่มีอะไรเกิน เพราะมีอยู่ทุกหัวใจ ถ้าธรรมไม่ผลิตขึ้นทุกหัวใจเหมือนกับคำที่คิดว่าเราเป็นชาวพุทธแล้ว เราจะแพ้กิเลสวันยังค่ำคืนยังรุ่งตลอดไป
เราอยู่เรานอนเราเดินเราไปเรามาด้วยความแพ้ดีไหม พิจารณาซิ แม้แต่พวกนักกีฬาเขาไปเล่นกีฬาแพ้มา เขายังไม่ว่าดีเลย บางคนร้องห่มร้องไห้เสียใจมาก ทั้งที่คำว่ากีฬาก็คือการเล่นนั่นเอง เขายังเสียใจได้ ทำไมกิเลสเป็นเครื่องเล่นของคนเหรอ กิเลสไม่ใช่เครื่องเล่นของคน ไม่ใช่มิตรสหายของคน กิเลสเป็นข้าศึกของหัวใจคน เราทำไมจะเห็นว่ากิเลสเป็นของเล็กน้อยไป ถ้าเราไม่ยอมแพ้กิเลสเสียอย่างไม่รู้สึกตัวเท่านั้น เพราะฉะนั้นเราจึงต้องมีธรรมะเครื่องปราบกิเลสให้เด็ด ถึงวาระที่ควรเด็ดต้องเด็ด ไม่เด็ดได้แต่ชั่วอย่างเดียว ดีก็เด็ดได้เหมือนกัน เด็ดเพื่อทำลายชั่ว เพื่อปราบความชั่ว ให้พี่น้องทั้งหลายเอานี้ไปประพฤติปฏิบัตินะ
ส่วนมากท่านผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อความร่มเย็นเป็นสุข จนกระทั่งปรากฏชื่อลือนามมา เราก็เคยเห็นแล้วในตำรับตำรา ทำไมไม่นำเอามาใช้กันบ้าง ถ้าเป็นชาวพุทธที่แท้จริง เพื่อสำเหนียกศึกษาหาข้อมูลจากพุทธศาสนาจริงแล้ว ใครเป็นเจ้าของศาสนาเราทุกวันนี้ ก็พระสมณโคดมไม่ใช่เหรอ พระสมณโคดมท่านปราบกิเลสเป็นยังไงบ้าง ในตำรับตำราว่าไว้ยังไง สู้กิเลสจนกระทั่งถึงสลบ สลบกี่หน พระพุทธเจ้า ๓ หน นั่นฟังซิ พระองค์สลบไสล นี่คือสู้กับกิเลส โหดไหมเด็ดไหมพระพุทธเจ้า ครั้นสุดท้ายกิเลสตายพระพุทธเจ้าเพียงแค่สลบ ได้มาเป็นศาสดาของโลก นั่นละให้รู้ว่ากิเลสโหดขนาดไหน ธรรมะก็โหดขนาดนั้นเพื่อปราบกิเลส จึงได้เป็นศาสดาขึ้นมา นี่ละธรรมะประเภทที่เด็ด
ทีนี้ครูบาอาจารย์ทั้งหลายก็เหมือนกัน ในครั้งพุทธกาลบางองค์เดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตก เด็ดไหมจนฝ่าเท้าแตก พวกเราฝ่าเท้าแตกที่ไหนนอกจากหมอนแตกเท่านั้นละ หมอนแตกเสื่อขาด พวกเราเด็ดไปทางนั้น พระโสณะนี่ฝ่าเท้าแตก พระจักขุบาลตาแตกกิเลสแตก พวกเราไม่ได้เรื่องอะไร นั่นละความเด็ดของท่านเห็นไหม ครูบาอาจารย์ที่ปรากฏชื่อลือนามในสมัยปัจจุบันนี้ก็เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่นหลวงปู่มั่นเป็นต้น ที่หลวงตาบัวได้เขียนประวัติของท่านออกมาให้พี่น้องทั้งหลายได้อ่านนั้นเป็นยังไง นั่นละเอาความจริงล้วน ๆ มาให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบได้อ่าน เพื่อเป็นคติว่ากิเลสโหดร้ายขนาดไหน แล้วหลวงปู่มั่นท่านโหดดีขนาดไหน ต่อสู้กับกิเลสจนกิเลสอยู่ในเงื้อมมือแล้วเป็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ในวงปัจจุบันของเรา ให้ได้กราบไหว้บูชาอย่างถึงใจทุกวันนี้ เพราะความโหดนั่นเอง เพราะความเด็ด ความเอาจริงเอาจัง ความขึงขังตึงตัง ความเป็นก็เป็นตายก็ตาย ขึ้นชื่อว่าความดีแล้วเป็นไม่ถอย จะเอาให้ได้ทั้งนั้น นี่ละครูบาอาจารย์ทั้งหลายเป็นอย่างนี้
องค์ไหนก็เหมือนกัน เท่าที่เราได้เคยสัมผัสสัมพันธ์กับท่านมาแล้ว เช่น หลวงปู่แหวน หลวงปู่ขาว ก็เคยได้สนทนาธรรมะกับท่าน เป็นแบบเดียวกัน เป็นเดนตายทั้งนั้นละ ครูบาอาจารย์เหล่านี้มีแต่ครูบาอาจารย์เดนตาย เดนตายแล้วค่อยมาเป็นครูบาอาจารย์สอนคน คือฟัดกับกิเลสเสียจนกระทั่งเดนตาย กิเลสตาย ท่านเหล่านี้มีแต่กิเลสเรียบวุธ ๆ ทั้งหมด เป็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ โดยสมบูรณ์สำหรับพวกเรา ถ้าเป็นครั้งพุทธกาลจะเป็นใครจะให้ชื่อว่ายังไง ถ้าไม่ใช่เป็นพระอรหันต์เท่านั้นจะเป็นอะไรไป นี่ละศาสนาของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่โมฆะ
ศาสนาเป็นของมีเจ้าของ พระพุทธเจ้าเป็นเจ้าของของพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาจากอริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นี้ละเป็นหินลับของสติปัญญา ศรัทธาความเพียรให้คมกล้า ฆ่ากิเลสให้แหลกแตกกระจายไปหมด ภายในพระทัยคือ อริยสัจ ๔ อริยสัจ ๔ อยู่ในศาสนาใดเวลานี้ ก็อยู่ในพุทธศาสนา พุทธศาสนาของเราใครเป็นเจ้าของ พระพุทธเจ้าเป็นเจ้าของ พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาจากอริยสัจ ๔ นี่ละเป็นเครื่องยืนยันว่าศาสนานี้จริงไหม
ถ้าเราอยากจะทราบว่าศาสนาจริง เอ้า ปฏิบัติอีกทีซิ ถ้าเราอยากจะรู้นะว่าศาสนานี้เป็นโมฆะ หรือศาสนาเป็นตุ๊กตาเครื่องหลอกของเด็กเฉย ๆ หรือเป็นความจริง พระพุทธเจ้ามีตนมีตัวจริงไหม ศาสนาเป็นศาสนาที่แท้จริงหรือเป็นศาสนาลวงโลก เอ้า ลงมือปฏิบัติดูซิ สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ชอบแล้ว ตรัสว่ายังไงจึงชอบ ก็คือถูกต้องทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะกิเลสราบไปจริง ๆ ความชั่วราบไปจริง ๆ ความทุกข์หมดไปจริง ๆ จากหัวใจ เพราะอำนาจแห่งการปฏิบัติธรรมตามสวากขาตธรรมของพระพุทธเจ้านั้นแล นี่ละพี่น้องทั้งหลายให้พากันประพฤติปฏิบัติ นี่ละหลักธรรมเป็นความจริงอย่างนี้
ศาสนาของพระพุทธเจ้าเป็นอะไรไป ถ้าไม่ใช่ตลาดแห่งมรรคผลนิพพานจะเป็นอะไรไป จะมีฤทธิ์มีเดชแต่ตลาดสดตลาดแห้งอยู่ในอุดรฯ อยู่ในกรุงเทพฯ นั้นเหรอ ตลาดแห่งมรรคผลนิพพานในวงผู้ปฏิบัติจะไม่มีบ้างหรือเวลานี้ จะมีแต่เรียนจบมาแล้วก็โฆษณาป้าง ๆ ว่าตัวรู้ได้ชั้นนั้นชั้นนี้เท่านั้นหรือ เอามาอวดโลกทำไม อย่างนั้นเป็นเรื่องของกิเลสอวด ให้เห็นภายในจิตใจนี่ซิ ท่านว่าสมาธิเป็นยังไงให้รู้ในใจเจ้าของ ปัญญาเป็นยังไง ไม่ว่าปัญญาขั้นใดให้รู้ในเจ้าของ ให้เป็นในเจ้าของ บรรลุมรรคผลนิพพานให้รู้ในเจ้าของให้เป็นในเจ้าของ ก็หายสงสัยเท่านั้นละคนเรา และยอมกราบพระพุทธเจ้าไม่ต้องสงสัย
กี่ปีกี่เดือนก็ตามที่พระองค์ปรินิพพานไปแล้วไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่สัจจะ คือความจริงที่จริงอยู่ในหัวใจเท่านั้นละ หัวใจเราจริงฉันใด พระพุทธเจ้าจริงฉันนั้น เมื่อเรายอมรับในหัวใจของเราว่าเป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์เต็มที่แล้ว ทำไมจะไม่ยอมรับพระพุทธเจ้าล่ะ ก็เพราะพระพุทธเจ้าเป็นผู้สอนไว้ในเรื่องความบริสุทธิ์เหล่านี้ เพราะฉะนั้นขอให้พี่น้องทั้งหลายได้นำไปประพฤติปฏิบัติตามสติกำลังความสามารถ การแสดงธรรมก็อาจจะมีสูงบ้างต่ำบ้าง จึงขออภัยจากพี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกัน
เอาละพอ
a |