เทศน์อบรมฆราวาส
ณ กุฏิกลางน้ำ สวนแสงธรรม กรุงเทพมหานคร
เมื่อค่ำวันที่ ๑๙ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๖
เรียนเฉพาะที่จะแก้กิเลส
วันนี้ที่ไปเทศน์บริษัทสยาม หัวหน้าเขาพูดน่าฟังนะ นั่นละเวลาพิจารณาไปมันเป็นอย่างเขาว่า ที่จับได้ก็คือว่ามันขัดธรรมชาติ คือทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมชาติทั้งนั้น แต่จิตนี้มันคะนองมันดีดนั้นดีดนี้ปรุงนั้นปรุงนี้ เคยภาวนาอยู่แถวไหน บ้านไหนกิ่งเอราวัณว่างั้น จะเป็นในถ้ำเอราวัณหรือว่าถ้ำใดก็ไม่รู้ เพราะแถวนั้นมีภูเขาหลายลูก ถ้ำเอราวัณจริงๆ เราเดินไปถามทางมองไปก็เห็นอยู่ มองเห็นหน้าถ้ำ จึงทราบว่า เวลาเขาบวชเราก็ไม่ได้ถามว่า ทำในวัดถ้ำเอราวัณเองหรืออะไร สงสัย ที่ว่าเจองูเห่านะ โอ๊ะ งูจงอางๆ ตัวใหญ่ เขาก็ไม่ทำไม ตามธรรมดางูจงอางนั้นไม่ค่อยทำร้ายใคร ไม่ค่อยแสดงฤทธิ์
เรารู้นิสัยงูจงอางได้พอสมควร เพราะในวัดเราเริ่มแรกมีงูจงอางประจำวัดอยู่นั้นเลย เราเข้าไปสร้างวัดทีแรก มีบริเวณปลูกศาลาเล็กๆ พอได้อาศัย ไปๆ มาๆ เห็นงูจงอางตัวหนึ่ง ตัวมันดูเหมือนเท่าคอขวด เห็นมันมานี้ งูจงอาง มันมาอะไรไอ้นี่ เราว่างั้นนะ หยอกเล่นมัน มึงมาอะไรที่นี่ มึงอย่ามาที่นี่นะ ยักษ์มันเยอะ เดี๋ยวเขามาเจอแล้วเขาฆ่ามึงนะ มึงหนีไป เราก็ว่า เขาก็ไปของเขาธรรมดา เราก็ไม่ได้ไล่อะไร เขาก็อยู่กันอย่างนั้นละกับพระ ผ่านไปผ่านมาพระก็ไม่สนใจกับเขา เลยกลายเป็นสัตว์เลี้ยงไป ไม่กลัวคน
งูจงอางไม่ค่อยแผลงฤทธิ์ ไม่ค่อยแสดงฤทธิ์ ไม่เหมือนงูทางมะพร้าวนี้ชอบขู่ ชอบแผลงฤทธิ์ แต่มันก็ไม่มีพิษละงูทางมะพร้าว แต่มันชอบแผลงฤทธิ์ ทำท่าขู่ฟ่อๆ แต่งูจงอางนี้ ไม่ เฉย เขาก็อยู่นั้นมาตั้งแต่ ๒๔๙๘ กำลังจะสิ้นปี ๙๘ ย่างเข้า ๙๙ เราไปสร้างวัดที่นั่น เขาก็อยู่นั่น เห็นเขาอยู่นั้นแล้ว ผ่านไปผ่านมาเจอกันอยู่เรื่อย เขาก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยสนใจกับเรา ไม่กลัว ไอ้เราก็ไม่แสดงอาการอะไรให้เขากลัว ไปๆ มาๆ พบกันอยู่เรื่อยๆ ตัวเท่าคอขวด ทีนี้เมื่อเขาอยู่นานเข้าๆ ก็เลยเป็นเหตุให้สั่งสอนพระ ไม่ใช่สอนนะ สั่งพระเลย
บอกว่างูอย่าไปหยอกไปเล่นกับเขานะ ให้ต่างคนต่างอยู่ต่างเฉยพบกันก็พบไปผ่านไปผ่านมาธรรมดา ไม่ต้องแสดงอากัปกิริยาอะไรกับเขา หยอกเล่นอะไรห้าม เราบอก คือสัตว์เหล่านี้เขาจะไม่ทราบว่าหยอกเล่นหรือไม่หยอกเล่น เขาจะถือว่าจริงกับเขาทั้งนั้น เมื่อแสดงกิริยาออกไปนั้น เขาว่ามีจริงจังกับเขา เขาจะมีท่าต่อสู้ เราว่า ถ้าหนักมากกว่านั้นไปเขาจะโกรธ เราบอก แล้วโกรธก็ผูกโกรธผูกแค้น เวลาไปเจอกันทีหลังเขาเจอเราก่อน ผูกกรรมผูกเวรเขาทำเราได้ง่ายเราว่างี้ บอกพระหมดทั้งวัดเลย ห้ามไม่หยอกให้เล่นบอกตรงๆ เลยไม่ว่าใครก็ตามไปเจอที่ไหน เขาอยู่ยังไงก็ให้อยู่ตามเรื่องของเขาเราจะผ่านไปก็ไปเลยธรรมดา ไม่ต้องมีอากัปกิริยาอะไรกับเขา
เขาก็อยู่ของเขาอย่างนั้นละ พระก็ผ่านไปผ่านมา ทางพระมันทางแคบๆ ในวัดป่าบ้านตาด ทางพอไปได้ปัดกวาดไปนี้ เวลาเขาออกมา เราผ่านไปนี้ เขาจะนิ่งกลางทาง เราก็เดินถ้าควรไปทางหางเขาก็ไป ถ้าควรจะไปทางหัวเขาก็ไป เดินผ่านไปธรรมดา ไม่สนใจกับเขา พอเราไปสักเดี๋ยวเขาก็ไปของเขา ทีนี้วันหนึ่งๆ เจอพระเท่าไรล่ะ พระทั้งวัด เขาก็ไปมาอยู่นั้น แล้วเราก็สั่งพระแบบเดียวกันหมด ห้ามไม่ให้หยอกให้เล่น ไม่สนใจอะไรกับเขา แล้วเขาจะอยู่ธรรมดาของเขาเอง จะไม่มีอะไรกับเรา เราบอก แล้วเขาก็เป็นอย่างนั้นตลอดมา ไม่มีอะไรกับเรา
พระเจอเขาไม่ทราบว่ากี่องค์เจอวันหนึ่ง เขาเจอพระมากกว่าพระเจอเขา พระมีเป็นบางองค์เจอใช่ไหม แต่เขาไปไหนก็มีแต่พระ มันก็เจอ อย่างกุฏิเรามันก็ไป มันก็ค่อยโตขึ้นๆ เราก็เลยให้ชื่อมันว่า ไอ้ขี้ดื้อว่างั้น เพราะมันไม่กลัวใคร เฉย ไม่สนใจกับใคร เลยเรียกมันไอ้ขี้ดื้อ พระก็ปฏิบัติตามเราสั่ง ไม่มีอะไรกับมัน มันก็ไปของมันอย่างนี้ บางทีพระท่านฉันน้ำร้อนอยู่ในครัวนั้นแหละ เขาอยากเข้ามาเขาก็มาผ่านเข้ามา บริเวณพระนั่งอยู่นั้นน่ะ เขาผ่านของเขา พระก็เฉย มึงอยากกินน้ำร้อนเหรอ เหอ ไอ้ขี้ดื้อมึงจะกินน้ำร้อนเหรอ เขาก็เฉย เขาไปของเขา เป็นอย่างนั้นตลอดไม่ว่าที่ไหน
งูตัวนี้ เชื่อง เราก็เรียกไอ้ขี้ดื้อ แต่มันมีหลายตัว นี้เป็นตัวแรก ตัวเหล่านั้นก็มี มีมาเรื่อยๆ หรือมันอยู่นั้นแต่เก่าก็ไม่ทราบ เพราะวัดมันก็กว้าง มันอยู่แต่ก่อนก็ไม่ทราบหรือมันมาใหม่ก็ไม่รู้ แต่ตัวนี้จำได้มันอยู่นั้นเป็นประจำ ทีนี้ครั้นนานเข้ามาก็มีประชาชนเข้ามาเกี่ยวข้องเรื่อยๆ ซี ประชาชนก็มีทั้งเด็กเล็กเด็กน้อยคนเฒ่าคนแก่ ใครเขาไม่เคยเห็น เห็นแล้วเขาจะเกิดความสนใจจะมีปฏิกิริยาอะไรกับสัตว์เหล่านี้ นั่นละจะเกิดเหตุ จะไปหยอกไปเล่นบ้างอะไรบ้าง ไม่เหมือนพระที่ต่างคนต่างอยู่ มันไม่ได้การแล้วนะนี่ เลยสั่งให้พระจับงูออกไปปล่อยไกลๆ เช่นไปปล่อยวัดถ้ำกลองเพล ภูเขาใหญ่ๆ ปล่อยเข้าในวัด
วัดถ้ำกลองเพลแต่ก่อนยังไม่มีกำแพง ปล่อยไปไหนมันก็ไปได้สบายๆ เอาไปปล่อยเรื่อยละ ไม่ได้ปล่อยในวัดก็ปล่อยนอกวัด ก็เป็นภูเขาทั้งนั้น เป็นป่า เขาอยู่ได้สบายๆ เห็นท่าไม่ได้การเลยเอาไปปล่อย แต่ตัวนี้มันถูกเขาฆ่านะ นี่ละมันเอานิสัยของวัดไปใช้ พอออกจากวัด คือตอนนั้นมันยังไม่มีกำแพง แล้วดงติดต่อกัน ฟากทางคือทางด้านตะวันตกมันมีทางผ่านเข้าไปป่า วัดก็อยู่ทางนี้ วัดมีรั้วลวดหนามอยู่ทางนี้ แล้วทางก็อยู่ด้านนั้น เขาอยากออกไปนู้นเขาก็ไป อยากเข้ามาทางนี้เขาก็มา ผ่านไปผ่านมาเพราะมันเป็นป่าเป็นดงเหมือนกัน แล้วทีนี้เวลานานเข้าๆ จำได้เลยได้ ๑๖-๑๗ ปีแล้วมั้ง ตั้งแต่ปีพ.ศ.๒๔๙๙ ที่เราสร้างวัดแล้วก็เจอเขาอยู่ที่นั่น
จนกระทั่ง ๒๕๑๖ ก็เด็กในวัดนั่นละเขามาเล่าให้ฟัง โอ๊ย ไอ้ขี้ดื้อหลวงพ่อเขาฆ่าตายแล้วแหละเมื่อวานนี้ว่างั้น อยู่ตะวันตกวัด เขาฆ่าอยู่กลางทาง มันออกไปกลางทาง พอเห็นเขาก็เอาปืนยิงตายเลย วันที่ ๑ มกรา จำได้เลยนะ มกรา ๒๕๑๖ มันตัวขนาดไหนล่ะ เขาบอกตัวขนาดนี้ว่างั้น ใช่แล้ว ตั้งแต่ตัวเท่าคอขวดจนถึงระยะมันตาย ๒๕๑๖ ตัวเท่านี้ เขาบอกว่าตัวเท่านี้แหละ โอ๊ น่าจะใช่แล้วแหละ เพราะเดี๋ยวนี้มันตัวขนาดนั้นแล้วงูตัวนี้นะ แล้วตั้งแต่นั้นมาไม่เห็นอีกเลยแสดงว่าตัวนั้นแหละตาย
จากนั้นก็จงอางนี้มาเรื่อย เราก็จับเรื่อยนะ แต่เขาไม่มีปฏิกิริยาอะไรกับเรานะ งูจงอางไม่แสดงฤทธิ์ บืนไปอย่างนั้นแหละก็มีแต่จะหนี ไม่มีอาการต่อสู้เรานะ งูที่จับได้ในวัดนี้ จงอางไม่ต่ำกว่า ๗-๘ ตัวนะ ตัวใหญ่ขนาดนี้ก็มี ขนาดโตกว่านั้นหน่อยก็มี นี่ที่โตกว่านั้นหน่อยก็ไม่เห็นมาเพ่นพ่าน แต่ตัวนี้มันไปทั่ววัดทุกแห่งทุกหน ตัวเหล่านั้นไม่ค่อยเห็น นานๆ เจอทีนึงๆ เวลาเขามาแล้วเราก็เลยสั่งพระให้จับให้ได้ ทีนี้งู ไม่ว่างูประเภทใดให้จับหมดเลย เราสั่งให้จับหมดเลย งูจงอางประมาณสัก ๗-๘ ตัว เอาไปปล่อย ปล่อยในภูเขาๆ
แล้วงูเห่าก็มี มันก็พอๆ กันแหละจำนวนนะ อยู่ในราว ๕-๖ ตัว งูสามเหลี่ยมนั้นก็มีประมาณสัก ๔-๕ ตัว จับได้ ส่วนงูทางมะพร้าว โอ๊ย มาก มากตลอดมา ทุกวันนี้ก็ยังมาก จับเรื่อยๆ ออกไปสักเดี๋ยวเข้ามาแล้ว กินพวกกระจ้อนกระแตพวกหนูเก่ง และลูกไก่เหล่านี้ อันนี้เร็วกว่าเขา จับไปปล่อยทั้งนั้นละ ทุกวันนี้จึงไม่ให้มีงูในวัด ไม่ให้มี นอกจากไม่เห็นเขา พระองค์ไหนเจอก็ให้จับเลยๆๆ ทั้งนั้นละ เพราะรักษานี้กลัวมันเป็นภัยต่อประชาชน ก็วัดนั้นมันเป็นวัดอะไรก็ฟังเอาซิ มันมีกำหนดกฎเกณฑ์อะไรยั้วเยี๊ยๆ
งูอันนี้มันไปได้ทุกแห่ง จึงต้องได้จับงูๆ ออกมา โอ๊ย หลายตัว งูเห่าก็หลายตัว จงอาง สามเหลี่ยม พวกงูสิงงูอะไรจับได้ทั้งนั้น เอาไปปล่อยหมด เจอเมื่อไรงูอะไรก็ตามให้จับเลย เดี๋ยวนี้ไม่มี ไม่ปรากฏ ไม่ปรากฏมานานแล้วแหละ เพราะจับมาตลอด แล้วเวลามันไปหลบซ่อน ส่วนมากมันมักจะไปทางด้านครัว ฝ่ายผู้หญิง มาทางด้านพระนี้ ถ้าเจอก็เรียกพระท่านจับ แล้วเจอพวกนั้นไม่ได้จับมัน นอกจากบางครั้งเขามาบอกพระให้ไปจับให้เท่านั้น ทางนี้ถ้าเจอท่านจับเลยๆ
เพราะความสงสารสัตว์นั้นแหละ อะไรที่จะเบียดเบียนทำลายกันนักมันสะเทือนใจ ไม่อยากให้มันทำ เช่นอย่างแมวนี้ ถ้าเข้ามาแล้วหมดสัตว์ แมวในบ้านนี่นะ กลางคืนมันออกมาหากินในวัด พอเข้าวัดแล้วไม่ยอมออก เพราะอาหารมันเต็มไปหมด ถ้าลงได้เข้าวัดแล้วไม่ยอมออก ต้องจับกันทุกตัวเลยแมวไม่ให้อยู่ ถ้าอยู่สัตว์ฉิบหายหมดเลย จึงได้เอาสังกะสี ตีสังกะสีครอบต้นเสาข้างบน มันขึ้นไปนี้เกาะนี้ตกๆ ให้ครอบไว้หมดเลยรอบวัด ถึงขนาดนั้นมันยังเข้าได้อยู่ มันมีช่องตรงไหนพอเข้าได้มันเข้า เราก็ไปเสาะหาดูพอเห็นช่องพอแมวเข้าได้เราก็ไปแก้ไขเสีย ก็ผ่านไปๆ
วันนี้ก็ไปเทศน์ที่สวนสยามเหรอ ไม่เทศน์นาน ไม่เทศน์มากอะไรนัก เพราะเหนื่อยด้วย เทศน์เบาๆ ไป ทั้งเหนื่อยด้วย มันได้เท่าไร ๓๐ นาทีหรือไง (๓๙ นาที) ๓๙ ฟังซิ วันนี้ละน้อยที่สุด สำหรับเทศน์มานี้ มีวันนี้ว่า ๓๙ นาที มันเหนื่อย มันไม่อยากเทศน์อะไรมาก เราก็พูดเรื่องภาวนามากกว่าเรื่องอื่น เพราะเจ้าของบริษัทเป็นผู้สนใจภาวนา เขาไปบวช ๓ เดือน ๔ เดือนอยู่ทางจังหวัดเลย ที่กิ่งอำเภอเอราวัณ เขาได้ภาวนา ทีนี้เวลาเขามาทำการทำงานอยู่ในบริษัทเขา เขาก็พิจารณา เขาก็เล่าเรื่องเขาพิจารณาให้ฟัง น่าฟังๆ ทีนี้เราก็เลยแนะไปทางด้านภาวนาไปเลย มากกว่าอย่างอื่น
เขาพูดเข้าหลักเข้าเกณฑ์ดี นั่นละจิตใจ ถ้ามันเป็นของมันแล้วมันมักจะฝักใฝ่ พิจารณาซอกแซกอย่างนั้นอย่างนี้ นี่เป็นแง่ของธรรม เราก็ค่อยเปิดช่องออกเรื่อยๆ พิจารณาไปเรื่อย เขาเล่าให้ฟังอย่างนี้น่าฟังอยู่ เราก็เลยได้เทศน์เรื่องภาวนาบ้างวันนี้ มีพระอยู่นั้นด้วย พระก็มาน่าจะ ๑๐ กว่าองค์มั้ง เราก็เทศน์เพื่อให้พระได้ยินได้ฟังการภาวนาบ้าง
เรื่องการภาวนานี้ถ้าพูดตามตำราแล้วก็ เป็นงานของพระแบบพื้นฐานเลย ตั้งแต่ครั้งพุทธกาลมีแต่การภาวนาทั้งนั้นๆ ครั้นเวลามาสมัยนี้ไม่เห็นพระภาวนา เดินจงกรมภาวนาก็ไม่เห็น ที่ไหนก็ไม่เห็น ตามวัดบ้านวัดอะไรไม่เห็น ทั้งๆ ที่ตำรามีเกลื่อนอยู่ด้วยการทำความเพียรด้วยจิตตภาวนา นี่ละถึงจะมีตำรามากางเมื่อคนไม่สนใจแล้ว มันก็ไม่นำออกมาทำประโยชน์ การภาวนานั้นเป็นพื้นฐานอยู่ในตำราหมด เรื่องการก่อการสร้างท่านไม่เห็นสนใจอะไร ในตำราอยากจะพูดว่าไม่มี ของเล่นเมื่อไร
พระพุทธเจ้าทรงสงวนเรื่องการภาวนา พอบวชมาแล้วก็ไล่เข้าในป่าในเขา ให้ไปภาวนาอยู่ในป่าในเขา ดังที่ท่านสอนอนุศาสน์ให้ พระทุกองค์ต้องได้ฟังโอวาทข้อนี้ด้วยกันไม่เว้นแม้แต่องค์เดียว คืออุปัชฌาย์ต้องสอนเลย พอบวชเสร็จก็สอนอนุศาสน์ให้เลยทุกองค์ เพราะเป็นธรรมจำเป็นขาดไม่ได้ นั่นเห็นไหมล่ะ จำเป็นถึงขนาดที่ว่าขาดไม่ได้ พอบวชเสร็จแล้วก็ขึ้นโอวาทอันนี้ที่เป็นหลักใหญ่ ขึ้น.รุกฺขมูลเสนาสนํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา ตตฺถ เต ยาวชีวํ อุสฺสาโห กรณีโย แปลออกแล้วว่า บรรพชาอุปสมบทแล้วให้เธอทั้งหลายไปอยู่ตามรุกขมูล คือร่มไม้ ในป่าในเขา ตามถ้ำเงื้อมผา ป่าช้าป่ารกชัฏ ซึ่งเป็นสถานที่เหมาะสมในการบำเพ็ญจิตตภาวนา
เพราะที่เช่นนั้นโลกเขาไม่ต้องการ เขาก็ไม่ไปรบกวน ท่านก็ได้ทำภาวนาได้สะดวกสบาย จากนั้นก็บอกว่า เมื่อไปอยู่อย่างนั้นแล้ว ประกอบความพากเพียรด้วยความสะดวก และจงทำความอุตส่าห์พยายามอยู่อย่างนั้นตลอดชีวิตเถิด นั่นฟังซิ อยู่ตลอดชีวิตเถิด ยาวชีวํ อุสฺสาโห กรณีโย ตลอดชีวิต ทำความอุตส่าห์พยายามอยู่อย่างนั้นตลอดชีวิตเถิด
นี่ละพื้นเพเดิมของศาสนธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงพาดำเนินมา เริ่มต้นตั้งแต่พระองค์ทรงบำเพ็ญ จนได้ตรัสรู้แล้วก็ประทานพระโอวาทนี้ไว้เป็นพื้นฐานมาจนกระทั่งบัดนี้ โอวาทข้อนี้จะเป็นวัดใดอุปัชฌาย์องค์ใดก็ตามต้องได้สอนลูกศิษย์ เพราะเป็นโอวาทที่เด็ดเดี่ยวเข้มแข็ง เคร่งครัด ขาดไม่ได้ ใครไม่สอนอนุศาสน์อันนี้ถือว่าบกพร่องในหน้าที่อุปัชฌาย์ ถึงจะไม่ชอบกรรมฐานเพียงไรต้องสอนสัทธิงวิหาริกผู้มาบวชด้วย ไม่สอนไม่ได้ นั่นเป็นอย่างนั้น
จากนั้นก็ ปิณฺฑิยาโลปโภชนํ เที่ยวบิณฑบาตหาด้วยกำลังปลีแข้งของตน อย่างมากก็ได้มาเฉพาะในบาตรเอามาฉัน พอยังชีวิตให้เป็นไปเพื่ออรรถเพื่อธรรมซึ่งเป็นจุดใหญ่ นั่น แล้วก็ผ้าบังสุกุล ถือผ้าบังสุกุล หาเก็บเอาผ้าที่ตกอยู่ตามที่ต่างๆ ในหนังสือท่านบอกไว้ เช่นอยู่ในป่าช้า ให้ชักเอาบังสุกุลตามที่มันตกอยู่ในที่ต่างๆ เอามาเย็บปะติดปะต่อกัน นี่ละผ้าจีวรของพระในครั้งพุทธกาล มีปะติดปะต่อกันมาอย่างนั้น
นี่ละพื้นเดิมของศาสนาครั้งพุทธกาล ที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ สั่งสอนนี้เป็นพื้นฐานเลยเชียว ถือผ้าบังสุกุล คือคหปติจีวรที่เขาเอามาถวายท่านก็ไม่ห้าม แต่อันนั้นถือเป็นอันดับหนึ่ง เช่นอย่างอยู่ในป่าอย่างนี้ จะออกมาอยู่ในบ้านท่านก็ไม่ห้าม แต่อันนั้นเป็นอันดับหนึ่ง ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนอย่างเด็ดขาดทีเดียว แล้วบิณฑบาตจะไม่ไปก็ได้ แต่การบิณฑบาตเป็นกิจประจำของพระท่านสอนเอาไว้เรียบร้อย จากนั้นก็เรื่องหยูกยา หยูกยาครั้งพุทธกาลไม่มีมาก มีนิดๆ หน่อยๆ ทุกวันนี้มันเกลื่อนมีแต่ยาทั้งนั้นมองไปกุฏิพระ มองไปดูพระนี้ไม่เห็นมีแต่ยาบังไว้หมดเลย มันพิลึก เพราะฉะนั้นพระจึงอ่อนแอมาก จามก็ไม่ได้ วิ่งหาหมอ หมอไม่มาก็วิ่งหาหมอ ตามหมอมา อ่อนเอามาก คือผิดกันคนละโลกเลยกับที่พระองค์ทรงสอนเน้นหนักเด็ดเดี่ยว
นี่ละธรรมะพระพุทธเจ้าที่ท่านคิดค้นได้อรรถได้ธรรมมาแจกจ่าย และโปรดสัตว์ทั้งหลายได้มาด้วยวิธีการลำบากลำบนมากนะ ไม่ได้หรูหราฟู่ฟ่าอย่างที่พระปัจจุบันนี้อยู่กันจนเป็นคนละโลก ถ้าไม่เห็นในตำราก็จะเข้าใจว่าเหล่านี้มีมาดั้งเดิม อะไรๆ มันแฝงขึ้นมาทีหลัง เหมือนหญ้าเกิดขึ้นมามันก็ทับหญ้า มันก็ทับพื้นที่ที่เตียนโล่งให้รกรุงรังไปหมดด้วยหญ้า อันนี้กิเลสหรือประเพณีอะไร ความมักง่ายของกิเลสมันเทียบเหมือนกับหญ้ามันปกคลุมขึ้นมา พื้นเดิมที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้หมดจนไม่มีเหลือ ไปดูในตำราแจ่มแจ้งอยู่ตลอดเวลา เพราะในตำราไม่ถูกลบล้างไม่ถูกทำลาย มาเห็นในตำรา ท่านบวชมาท่านมุ่งอรรถมุ่งธรรมจริงๆ ท่านไม่ได้มุ่งโลกามิสอะไรยิ่งกว่าอรรถกว่าธรรม
อย่างพระสาวกทั้งหลายนี้เป็นพระราชามหากษัตริย์ก็มีจำนวนไม่น้อย ออกทรงผนวชบวชเป็นพระ เป็นคนขอทานไปเหมือนเราๆ ท่านๆ ท่านไม่ถือเนื้อถือตัวหรือถืออะไร เหมือนกันไปหมดเลย เข้าในป่าแล้วไปเงียบ ไม่ได้สนใจกับบ้านกับเรือนแหละ เศรษฐีกุฎุมพีก็เหมือนกัน ออกจากบ้านเรือนไปแล้วเงียบเลยไม่มาสนใจ หาขอทานเขากินไปวันหนึ่งๆ พอยังชีวิตให้เป็นไปเพื่อพรหมจรรย์ คือการบำเพ็ญธรรม ท่านเป็นอย่างนั้นเรื่อยมา
ทีนี้เวลาผลที่ปรากฏในครั้งพุทธกาลเป็นยังไง นี่ละผลที่พระพุทธเจ้าพาดำเนินและพระสงฆ์ของเราดำเนินมา องค์นั้นสำเร็จโสดา องค์นี้สำเร็จสกิทา องค์นั้นสำเร็จอนาคา องค์นี้สำเร็จอรหันต์เรื่อยมา กระจายไปเรื่อยเป็นอย่างนั้นละ ครั้นต่อไปหญ้ามันก็เกิดมากขึ้นทับถมไปเลย พื้นเดิมก็เลยไม่มี มีแต่หญ้า มองไปก็เห็นแต่หญ้าเป็นอย่างนั้นนะ ผู้ไม่เคยได้ฟังก็ให้ฟังเอา นี่ละเรื่องหลักเกณฑ์ของพุทธศาสนาเรา ทางปริยัติคือการศึกษาเล่าเรียน ก็เรียนกันบ้างไม่มาก แต่ทางภาคปฏิบัตินี้เป็นพื้นฐานเลยเทียว ปฏิบัติ ต่อมาก็ปริยัติมันก็ท่วมอีกแหละ ท่วมภาคปฏิบัติ ภาคปฏิบัติก็เลยถูกปริยัติเป็นหญ้าแล้วก็ท่วมไปอีกเสียเลย
ใครเรียนสำเร็จได้ชั้นนั้นชั้นนี้มามากน้อย โอ๊ย เป็นชื่อเป็นนามเป็นชื่อเป็นเสียงมีเกียรติยศชื่อเสียงไปแล้วนะ พระพุทธเจ้าท่านถอดถอนกิเลสหลุดพ้นไปได้เป็นมรรคเป็นผลขึ้นมาด้วยภาคปฏิบัติ แต่ทีนี้เวลามันไหลเข้ามาปัจจุบันนี้ สำเร็จขึ้นมาด้วยภาคเรียนจบสอบชั้นนั้นชั้นนี้ได้ ทั้งๆ ที่กิเลสไม่ได้ถลอกปอกเปิกสักตัวเดียว เพราะไม่ได้ปฏิบัติ ก็มีแต่เรียนจำได้เฉยๆ กิเลสพันห้าตัณหาร้อยแปดร้อยปอดมันก็จำได้แต่ชื่อ มันไม่ได้เห็นตัวกิเลสหรือแก้กิเลสออก กิเลสตัวเป็นภัยต่อใจไม่สนใจ มีแต่เรียนได้มากเท่าไรก็ความทะนงตัวความสำคัญมั่นหมายตัว ก็ว่าเรียนได้มากเท่านั้นเท่านี้เพิ่มกิเลสขึ้นโดยไม่รู้ตัว นี่เรียนเพื่อเพิ่มกิเลสถ้าไม่สนใจปฏิบัติ
ท่านจึงสอนว่าปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ถ้าเรียนเพื่อปฏิบัติ ปริยัติก็เป็นบาทฐานของปฏิบัติ เรียนได้แล้วก็นำออกไปปฏิบัติ ปฏิเวธผลแห่งการปฏิบัติมันก็ปรากฏขึ้นมา เป็นอรรถเป็นธรรมเป็นความสงบ เป็นสมาธิ เป็นปัญญา เป็นวิชชาวิมุตติไปเรื่อยๆ นี่ถ้ามีภาคปฏิบัติ ถ้าไม่มีตายทิ้งเปล่าๆ เรียนจบมากน้อย ใครจะว่าผู้เรียนจบมากน้อยวิเศษวิโสด้วยความจำเป็นการฆ่ากิเลส ไม่มี บอกตรงๆ เลย เรียนก็ได้แต่ชื่อแต่นามเฉยๆ ต้องเอาที่เรียนนั้นออกมากางเหมือนแผนที่ แผนที่ก็กำหนดไว้เรียบร้อยแล้วทุกอย่างแล้ว เราอย่าไปยินดีในแผนที่นั้นว่าเป็นบ้านเป็นเรือนโดยถ่ายเดียว ทั้งๆ ที่ยังไม่นำมาปลูกสร้างเป็นบ้านเป็นเรือน มันก็เป็นแบบแปลนอยู่อย่างนั้น ทำมาเท่าไรก็เป็นแบบแปลน ยัดไว้ในห้องก็เต็มห้องก็มีแต่แปลนมันไม่มีตึกมีห้างนะ เพราะเราไม่ได้นำมาสร้าง
พอลากแปลนออกมา แปลนนี้ต้องการอะไร เราต้องการชนิดไหนเอาแปลนชนิดนั้นมากางแล้วทำตามแปลน ก็สำเร็จเป็นบ้านเป็นเรือนตึกรามบ้านช่องขึ้นมา นั่นออกมาจากแปลน นี่เป็นภาคปฏิบัติคือการก่อสร้าง ผลก็สำเร็จรูปขึ้นมาเรื่อยๆ ตั้งแต่วางรากฐานที่แรกเป็นต้นเป็นเสาก็เห็นผลมาเรื่อยๆ จนกระทั่งสุดท้ายเป็นบ้านเป็นเรือนตึกรามโดยสมบูรณ์เรียกว่าปฏิเวธ คือเป็นผลที่เกิดขึ้นมาจากภาคปฏิบัติ ภาคปฏิบัติเป็นผลเกิดขึ้นมาจากปริยัติ ปริยัตินั้นคือแบบแปลน นั่น เป็นอย่างนั้นตามอรรถธรรมจริงๆ
นี่มีแต่เรียนเฉยๆ ไม่ได้มาสนใจปฏิบัติ กิเลสมันไม่ถลอกปอกเปิก ดีไม่ดีเพิ่มกิเลสขึ้นยิ่งกว่าคนไม่เรียนเสียอีก นี่ละหลักความจริงเป็นอย่างนั้น ถ้าเรียนเพื่อปฏิบัติ ถูกต้อง เรียนแล้วออกไปปฏิบัติเป็นการถูกต้อง ในครั้งพุทธกาลท่านไม่ได้เรียนมากมาย เรียนเฉพาะที่จะแก้กิเลสๆ ไป พระครั้งพุทธกาลมีพระภาคปฏิบัติมากทีเดียว ปริยัติก็มีบ้างเล็กน้อยไม่มาก แล้วก็ปริยัติก็กระจายออกที่นี่ก็เลยมาก เลยท่วมภาคปฏิบัติไปจนกระทั่งจะไม่มีกรรมฐานเหลืออยู่เลย
ภาคปริยัติพอใครไปเห็นก็ว่าสะดวกสบาย เรียนได้ชั้นไหนๆ ยิ่งตั้งชั้นตั้งภูมิไว้แล้วก็เหมือนว่ามรรคผลนิพพานอยู่ในชั้นนั้นๆ เขยิบๆ ใส่นั้น เรียนสำเร็จแล้ว โอ๊ย เหมือนจะเหาะจะลอย มันได้แต่ชื่อ รับรองกันว่าสอบได้อันนี้ด้วยลมปากเฉยๆ ส่วนพระพุทธเจ้าสอบได้ด้วย สุปฏิปนฺโน ปจฺจตฺตํ หรือ สนฺทิฏฺฐิโก. จากภาคปฏิบัติ ปฏิบัติยังไงจิตกิเลสได้หลุดลอยไปมากน้อยเพียงไรเป็น สนฺทิฏฺฐิโก รู้โดยลำดับลำดา
ท่านตัดสินของท่านเอง ไม่มีใครมาตัดสินให้ ภาคปฏิบัติตัดสินตัวเองทั้งนั้นละ มี สนฺทิฏฺฐิโก เป็นพื้นฐานปฏิบัติรู้ได้มากน้อยมันจะรู้ขึ้นมาๆ จนกระทั่งถึงที่สุดวิมุตติก็เป็น สนฺทิฏฺฐิโก เต็มภูมิ รู้เองเห็นเองถึงที่สุดวิมุตติ ไม่ต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้า เพราะคำว่า สนฺทิฏฺฐิโก นี้เป็นธรรมที่พระองค์ประกาศไว้เรียบร้อยแล้ว การปฏิบัติความรู้ความเห็นที่เกิดขึ้นจากภาคปฏิบัตินั้นจะรู้ด้วยตนเอง ไม่มีผู้ใดที่จะมารู้มาเห็นได้นอกจากผู้ปฏิบัติเท่านั้น เมื่อปฏิบัติได้มากน้อยก็รู้เป็นลำดับลำดาไป แล้วก็หมดเป็นพักๆ เหมือนกัน
พักที่จะมีกรรมฐานขึ้นมา เป็นหลวงปู่มั่นหลวงปู่เสาร์นะเป็นผู้รื้อฟื้นขึ้นมา แต่ก่อนไม่มีกรรมฐานเหมือนเป็นของแปลกประหลาด ถึงจะมีก็มีแบบนั้นละ แบบไม่มีใครถือสา ก็อยู่ไปอย่างนั้นตามประสีประสา กฎเกณฑ์อะไรก็ไม่มี หรืออยู่ไปแบบขลังๆ ก็มี มันหลายแบบ ไม่ใช่อยู่แบบธรรม หลวงปู่มั่นหลวงปู่เสาร์ท่านอยู่แบบธรรมล้วนๆ ปฏิบัติธรรมตั้งแต่ท่านบวช ท่านมีนิสัยชอบกรรมฐานมาตั้งแต่เริ่มแรกบวช ท่านปฏิบัติกรรมฐานมาตลอดเลยจนกระทั่งท่านมรณภาพ ดูว่าท่านฉันหนเดียวมาตลอดนะ เหตุที่ว่างั้นว่าอาจารย์ที่เป็นหัวหน้าพาไปถากเอาต้นเสามาปลูกกุฏิ เราก็บวชใหม่ ทีนี้ถึงเวลาฉันเพลพระท่านก็มาฉันเพล ท่านไม่ฉันท่านว่างั้น นี่เพราะฉันเพลมันไม่สบายเป็นยังไงชอบกล ฉันหนเดียวนี้สบายดีกว่า เลยไม่ฉันเพลนะ
คงจะตั้งแต่นั้นมาละท่า ฉันหนเดียวมาเรื่อย นี่จิตมันเกิดความปีติในธรรม เพราะท่านชอบภาวนา บวชใหม่ท่านก็เริ่มภาวนา จิตใจเกิดความปีติยินดีในธรรมทั้งหลาย จิตเป็นสมาธิสงบเย็นขึ้นมา ท่านว่างั้นละท่านเล่าให้ฟัง เวลามีโอกาสเหมาะสมที่ท่านจะเล่าปลีกๆ ย่อยๆ มีนะ ทีนี้เวลาพระท่านไปฉันเพล ไอ้เรามันคะนองมือยังไงไม่รู้ท่านว่างั้น ก็ไปจับขวานมาเสา เสาที่ถากยังไม่เสร็จ แล้วพระท่านไปฉันเพล ท่านก็เลยไปจับขวานเอามาถาก ขวานมันพลาดยังไง ปึ๋งเลย อู๋ย แรงเหมือนกัน
ขวานถากพลาดยังไงมันใส่ขาท่านจนกระทั่งล้ม นึกว่าขาขาดไปหมดเลยท่านว่า จนหมู่เพื่อนรุมมาเป็นยังไงๆ มาดู ไม่มีแผลเลยนะ ไม่เข้า อันนั้นท่านก็บอกว่ามันคงจะเป็นเพราะปีติภายในจิตใจกำลังใจท่านว่า ไอ้เราเองก็จนถึงขนาดล้มมันแรงอยู่นะ พลาดปึ๋งนี่ใส่ปั๊วะเลยล้มเลย ถ้าธรรมดาแล้วจะเลือดสาดไปหมดนะท่านว่า นี้ไม่มีอะไร เห็นรอยนิดหน่อยเท่านั้น ท่านเล่าให้ฟังเองนะ
จากนั้นท่านก็ออกปฏิบัติเรื่อย ความรู้ของท่านพิสดารมากทีเดียว สมกับท่านเคยเป็นโพธิสัตว์ปรารถนาพุทธภูมิ ท่านปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ครั้นเวลาถึงกาลที่จะพลิกออกมานี้ก็คือว่า ความต้องการอยากพ้นทุกข์มีกำลังหนักเข้าๆ สนใจภาวนา ครั้นภาวนาพอจะเข้าด้ายเข้าเข็มทีไร สัญญาหรืออารมณ์ที่เคยเป็นโพธิสัตว์ ปรารถนาพุทธภูมิแล้วผ่านเข้ามาท่านว่างั้น พอผ่านเท่านั้นทางนี้ถอยเสีย ระลึกถึงพระพุทธเจ้า โพธิสัตว์ท่านว่าถอยเสีย ทางนี้ความอยากพ้นทุกข์ก็หนักเข้าท่านว่า ครั้นเร่งความเพียรเข้าไป พอจะเข้าจุดทีไรหากมีสัญญาอารมณ์ของโพธิสัตว์ผ่านเข้ามาๆ มันก็เลยรบกันอยู่ระหว่างจิตที่จะให้ได้มรรคได้ผลนี้ กับสัญญาอารมณ์ของโพธิสัตว์ มันก็เลยมารบกันตรงนั้นแล้วก็ถอยเสียท่านว่างั้น
ทีนี้ความอยากหลุดพ้นจากทุกข์ ก็ยิ่งนับวันหนักเข้าๆ ก็เลยทำให้รำพึงย้อนหน้าย้อนหลัง เอ๊ การปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้านี้ก็เป็นวิสัยของพระพุทธเจ้า เมื่อตรัสรู้แล้วโปรดสัตว์โลกได้จำนวนมากมายสมภูมิของศาสดาว่างั้น แต่เรื่องของสาวกทั้งหลายนี้ พอบรรลุธรรมแล้ว บริสุทธิ์แล้ว สั่งสอนโลกก็ได้ตามภูมิของตัวเองเท่านั้น ไม่ได้มากเหมือนพระพุทธเจ้า สิ่งที่ต่างกันก็มีเท่านี้ท่านว่างั้น ความสุขหรือความบริสุทธิ์ของใจ ระหว่างพระอรหันต์กับพระพุทธเจ้านี้มีเสมอกันอยู่แล้ว นี่เราทำจิตของเราให้หลุดพ้นจากทุกข์แล้ว ถึงจะไม่ได้ทำประโยชน์ให้โลกอย่างกว้างขวางเหมือนเป็นพระพุทธเจ้าก็ตาม แต่ความบริสุทธิ์ก็เสมอกันแล้ว ได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้นละ ขอให้หลุดพ้นจากทุกข์นี้เป็นที่พอใจท่านว่างั้นนะ จึงอยากหลุดพ้นจากทุกข์เป็นกำลัง
ท่านเลยมาเปลี่ยนเสียใหม่ท่านว่า เปลี่ยนคำอธิษฐานจากโพธิสัตว์เพื่อเป็นพระพุทธเจ้า กลับมาเป็นพระสาวกธรรมดาเรา นี่ละท่านเล่าให้ฟัง เลยเปลี่ยนคำอธิษฐานกลับมาเป็นสาวกธรรมดาทั่วๆ ไป จิตใจก็รู้สึกว่าหายกังวลท่านว่างั้น ทีนี้มาทางด้านภาวนาจิตใจก็ดิ่งๆๆ พุ่งๆ ไม่มีสัญญาอารมณ์ของโพธิสัตว์มากีดมาขวาง มันก็ไปของมันเรื่อยๆ นี่ท่านเล่าให้ฟัง
คือที่ท่านพูดว่าปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า แล้วท่านอธิษฐานกลับพลิกใหม่เปลี่ยนใหม่ได้นั้น คือพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งยังไม่ทรงทำนายให้ ก็เรียกว่าความแน่นอนการจะเป็นพระพุทธเจ้าก็ยังไม่มี จะเอียงไปทางสาวกก็ได้ เอียงไปพระพุทธเจ้าตามเดิมก็ได้ ถ้ายังไม่มีพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งทรงทำนายไว้เป็นการแน่นอนแล้วนั้น เราก็เปลี่ยนได้ท่านว่างั้น แต่ถ้าได้รับลัทธพยากรณ์คือพระพุทธเจ้าทรงทำนายแล้ว อย่างไรแก้ไม่ตก ต้องเป็นอย่างนั้นแน่นอน นี่ท่านบอกว่าท่านยังไม่ได้รับลัทธพยากรณ์ พอเปลี่ยนนี้จิตมันโล่งไปเลยๆ ก็เลยไปเลยท่านว่างั้น
ในตำราก็มีผู้ปฏิบัติสายโพธิสัตว์เพื่อเป็นพระพุทธเจ้า ถ้าพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งยังไม่ทรงทำนาย ยังไม่ได้รับลัทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งแล้วก็แก้ก็ได้อย่างที่หลวงปู่มั่นท่าน ถ้าลงได้ทำนายแล้วว่าจากนี้ไปเท่านั้นกัปเท่านั้นกัลป์ยาวขนาดนั้นนะกว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้า ท่านจะได้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งชื่อว่าอย่างนั้น สาวกชื่อว่าอย่างนั้นๆ
ลงได้ทรงพยากรณ์อย่างนั้นแล้ว ยังไงก็แก้ไม่ตก ต้องเป็นอย่างนั้นโดยถ่ายเดียว ก็สมกับพระญาณของพระพุทธเจ้าว่า เอกนามกึ คือหนึ่งไม่มีสอง ถ้าลงได้เล็งญาณดูแล้วแม่นยำเลย จะเปลี่ยนแปลงพลิกแพลงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ รู้อันนี้เป็นอย่างนั้นๆ แล้วจะกลับมาเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ จึงเรียกว่าพระญาณหยั่งทราบเป็นความแน่นอนตายตัว ให้เป็นอย่างอื่นยังไงไม่ได้แล้ว นี่เรียกว่าพระญาณ ท่านจึงเรียกว่า เอกนามกึ คือหนึ่งไม่มีสอง ได้แก่พระญาณของพระพุทธเจ้าทรงหยั่งทราบเหตุการณ์ต่างๆ อันดับต่อมาก็การแนะนำสั่งสอนไม่มีผิดมีพลาดเป็น เอกนามกึ เหมือนกัน เพราะทรงรู้ทรงเห็นประจักษ์ด้วยพระญาณทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว สอนถูกต้องตามนั้น แล้วอีกอันหนึ่งพระพุทธเจ้าเวลาอุบัตินี้ อุบัติได้เพียงแต่องค์เดียวเท่านั้น จะไม่มีสองเป็นคู่กันมาเลย ไม่มี เพราะอุบัติได้ยาก นี่อันหนึ่ง
ความจะเป็นพระพุทธเจ้ามาแต่ละพระองค์ๆ นี้แสนสาหัส ความทุกข์ยากลำบากเข็ญใจกี่กัปกี่กัลป์กว่าพระบารมีจะเต็ม มันต่างกันอย่างนี้ ทีนี้เวลาได้ตรัสรู้ขึ้นมาแล้ว การแนะนำสั่งสอนสัตว์โลกจึงได้กว้างขวางมากผิดบรรดาสาวกทั้งหลาย นี่ละเรียกว่าบารมีของพระพุทธเจ้าต่างกัน นี่แถวแนวของธรรมที่ก้าวเดินมานี้ มีพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์เป็นผู้สืบทอดแถวแนวของธรรม เพื่อเป็นที่เกาะยึดของโลกมาเป็นสายเดียวกันมาเลยไม่เป็นอย่างอื่น ตรัสรู้ก็ตรัสรู้เป็นแถวเดียวกันไปเลย ตั้งแต่พระพุทธเจ้าพระองค์แรก ไม่มีคลาดมีเคลื่อน จะมาสายเดียวกันเลย
เช่นอย่างเวลานี้พระพุทธเจ้าของเราอุบัติขึ้น มาตรัสรู้แล้วก็ปรินิพพานไป และต่อไปนี้พระอริยเมตไตรยก็จะมาตรัสรู้ต่อกันไปอย่างนี้ แล้วองค์นี้ทำนายต่อไปๆ อย่างนั้นนะ พระอริยเมตไตรยนี้จะมาตรัสรู้นี้ก็คือพระพุทธเจ้าทรงทำนายเอง ท่านรับสั่งว่าการบำเพ็ญเพียรของเรานี้ยากลำบาก วาสนาบารมีของเราไม่มากเหมือนพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ที่ท่านทรงสะดวก เช่นพระอริยเมตไตรย เวลาท่านเสด็จออกทรงผนวชเพียง ๗ วันเท่านั้นท่านตรัสรู้ขึ้นเป็นศาสดาเลย ไอ้เรานี้แทบเป็นแทบตายเลยท่านก็ว่าไว้
แล้วพระชนม์ของท่านก็มีถึง ๘ หมื่นปี ทรงครองราชย์สมบัติอยู่ ๔ หมื่นปี เสด็จออกจากราชสมบัติ ทรงผนวชได้ ๗ วันสำเร็จเป็นอรหันต์ แล้วแนะนำสั่งสอนสัตว์โลกอีก ๔ หมื่นปี พอหมดจากนั้นแล้วก็นิพพานเลย ไม่ได้วางธรรมะไว้เหมือนศาสดาของเรา ศาสดาของเราท่านบอกชีวิตจิตใจของเรามีน้อย ท่านก็บอกไว้เลยว่า ๘๐ ปี ถึงวันแล้วก็ไปเลย ไปนิพพานเลย ตรงแน่วไหมล่ะ เอกนามกึ พระญาณหยั่งทราบแล้ว คือ ๘๐ ปีแล้วยังไงไม่อยู่ เช่นปลงพระชนม์ในเดือน ๓ เพ็ญ ว่าเดือน ๖ เพ็ญนี้เราจะตายแล้ว พอถึงเดือน ๖ เพ็ญก็เสด็จไปแล้ว ก็ไปตายเลยนั่นเห็นไหม นั่นละไม่เคลื่อนคลาดอย่างนั้น
นี่ท่านก็รับสั่งไว้แล้ว อายุของท่านไม่มาก เพียง ๘๐ ปีเท่านั้นก็ตายแล้ว เลยโอวาทสั่งสอนเอาไว้ต่อกันไปให้ยืดยาวพอสัตว์โลกทั้งหลายได้รับผลประโยชน์ แต่การสั่งสอนอย่างถูกต้องแม่นยำนี้เหมือนกันหมดไม่ผิดพลาด ไม่ต่างกัน แล้วจากนี้ไปก็ยังมีอีก นี่ท่านทรงทำนายไว้แล้วนะ มีอีก อนาคตวงศ์มีพระพุทธเจ้าอีก ๑๐ พระองค์จะต่อจากพระอริยเมตไตรยไปอีก มี ๑๐ พระองค์ชื่อพระองค์นั้นๆ บอกไว้เรียบร้อย ทีนี้แต่ละพระองค์นี้สร้างบารมีนี้แหม ไม่มีใครทำได้ ท่านก็ทำได้ของท่านอย่างงั้นละ จึงได้เป็นพระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียวๆ มันยากแสนยากแสนลำบาก
นี่เราพูดถึงเบื้องต้นเรื่องการอยู่ป่าอยู่เขา ภาคปฏิบัติสอนไว้คือพระพุทธเจ้าทรงพาอยู่ในป่าในเขา ถ้าเป็นสมัยทุกวันนี้เขาก็เรียกว่า มหาวิทยาลัยป่า เพราะทุกวันนี้มันมีมหาวิทยาลัยบ้านใช่ไหมล่ะ นั้นเป็นมหาวิทยาลัยป่าโดยหลักธรรมชาติ ผู้ที่เป็นหัวหน้ามหาวิทยาลัยป่าก็คือองค์ศาสดา ทรงบำเพ็ญในป่าตรัสรู้ในป่า สั่งสอนสาวกทั้งหลายในป่า พวกสาวกน่ะเป็นนักศึกษาเข้าใจไหม นักศึกษานักปฏิบัติ องค์นั้นสำเร็จๆ สำเร็จออกมาก็มาแนะนำสั่งสอนโลก เป็นอย่างนั้นนะ สำเร็จออกมาจากป่ากิเลสไม่มีติดใจมาเลย เป็นผู้บริสุทธิ์เต็มที่ๆ ออกมาจากมหาวิทยาลัยป่า เรื่อยมาอย่างนั้น
ทีนี้เขาก็มีมหาวิทยาลัยบ้านตั้งแข่งกันขึ้นมา ไอ้เรานี้จะว่าปากเปราะหรือไม่เปราะก็ตาม เราก็พูดตามความจริง มหาวิทยาลัยป่าของพระพุทธเจ้าเป็นมหาวิทยาลัยสังหารกิเลสจะว่างั้น แต่มหาวิทยาลัยบ้าน มหาวิทยาลัยสงฆ์ทุกวันนี้เป็นมหาวิทยาลัยกิเลสสังหารพระ เราว่างี้ เราออกแล้วพูดแล้ว เอ้าใครถ้าว่าผิดเอ้าค้านมา มันไม่มีใครกล้าค้าน ก็พูดด้วยความถูกต้องนี่ มีแต่ชื่อมหาวิทยาลัย ในมหาวิทยาลัยมีแต่วิชาทางโลกวิชากิเลสตัณหาเต็มไปหมด อยู่ในมหาวิทยาลัยสงฆ์ทุกวันนี้ มันไม่ได้เป็นมหาวิทยาลัยแก้กิเลสเป็นมหาวิทยาลัยสั่งสมกิเลส แล้วสุดท้ายก็มหาวิทยาลัยกิเลสสังหารพระ แน่ะก็เท่านั้นเอง นี่มันแข่งกันมาอย่างนี้นะ แข่งกันมาๆ
ถ้าหากว่าตั้งใจปฏิบัติแล้วความสงบร่มเย็นของชาวพุทธเราจะมีขึ้นนะ ถ้าหากดิ้นไปตามกิเลส ตื่นเขาตื่นเรา อย่างที่เป็นมานี้แล้วจะไม่มีวันมีความสงบร่มเย็น วันเป็นที่แน่ใจเจ้าของในการเป็นการตายก็ไม่มี มีแต่ไขว่คว้าตลอดไป เพราะกิเลสไม่เคยเอาความจริงมาให้เกาะ เอาแต่ของปลอมมาให้เกาะให้ยึด ยึดแล้วพังลงๆ หวังนั้นหวังนี้พอได้มาแล้วผิดหวัง บางทีไม่ได้ก็ผิดหวัง กิเลสมันหลอกไปพร้อมๆ กัน
ถ้ามีธรรมในใจมันจะรู้จักประมาณคนเรา การเสาะแสวงหา ความเป็นอยู่พูวายทั้งหลาย การใช้การสอยทุกสิ่งทุกอย่างจะมีความพอดิบพอดี ก็ไม่สร้างความยุ่งเหยิงวุ่นวายความดีดความดิ้นให้มากเกินไปพอจะเพิ่มกองทุกข์ขึ้นมา ความสงบสุขเย็นใจก็มี มีเวล่ำเวลาที่จะบำเพ็ญจิตใจ ให้สร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นเพื่อภพชาติของตนในกาลต่อไปอีก คือผู้ที่สร้างคุณงามความดีภายในใจ เรียกว่าส่งเสริมภพชาติของตัวให้ไปทางที่ถูกที่ดีเป็นที่แน่ใจ
ไม่ได้เหมือนที่ต่างคนต่างอยู่ ไม่ได้สนใจกับอรรถกับธรรม แล้วว่าสร้างเนื้อสร้างตัว มันสร้างฟืนสร้างไฟต่างหาก เวลาเป็นอยู่พิจารณาสรรหาอะไรที่จะเป็นหลักยึดสักนิดก็ไม่มี เวลาตายไปแล้วก็ไปแบบนั้นแหละ แบบไม่มีหลักยึด ระเหเร่ร่อนแล้วแต่จะเกิดในภพใดชาติใด เป็นสัตว์ตัวใดชนิดใด มีหลายประเภทสัตว์ในโลกอันนี้ มีมาก จากนั้นก็เป็นเปรตเป็นผีเป็นยักษ์เป็นมาร ฝ่ายชั่วที่ดีดที่ดิ้นไม่มีอรรถธรรมเป็นเบรกห้ามล้อ ไม่มีธรรมเป็นเครื่องยึดให้ตายใจ มันก็หาหลักเกณฑ์ไม่ได้คนเรา
ถ้ามีธรรมในใจ เอ้า การก่อการสร้าง เพื่อวิ่งเต้นขวนขวายกิจบ้านการเรือน เกี่ยวกับเรื่องอัตภาพร่างกายความเป็นอยู่ เอ้า เราก็วิ่งเต้นเพราะทราบทั่วกัน ว่าธาตุขันธ์นี้มีความบกพร่องต้องการ การเยียวยาบำรุงอยู่เสมอ เราก็หามา แต่ในขณะเดียวกันอย่าลืมจิตนี้ ซึ่งเป็นเจ้าของของร่างนี้เป็นใหญ่โตมากทีเดียว อันนี้ต้องการอะไร มีแต่ความเดือดความร้อน นั้นเป็นเรื่องของกิเลสตัณหามันสร้างขึ้นมาก็เผาตัวเอง เวลาเราสร้างบุญสร้างกุศลจิตใจมีความสงบร่มเย็นโดยลำดับลำดา ย้อนเข้ามาหาใจก็อบอุ่นๆ มากน้อยตามกำลังแห่งกุศลที่เราสร้างไว้ๆ อันนี้ยิ่งสร้างมากยิ่งหนาแน่นขึ้น อบอุ่นๆ ยิ่งมีการภาวนาประกอบเข้าด้วยยิ่งแม่นยำแน่นอน ยังไม่ตายมันก็รู้ๆ นี่คือความแน่นอน
มีแต่เรื่องของบุญของกุศลเรื่องอรรถเรื่องธรรม สร้างความแน่นอนให้แก่ผู้บำเพ็ญ ความไม่แน่นอนเป็นเรื่องของกิเลสสร้างกันทั่วโลก หาความแน่นอนไม่ได้ทั่วโลกเหมือนกัน ต่างคนต่างดีดต่างดิ้นเวลาจะหาของจริงมาเป็นที่ยึดที่เกาะไม่มี รวนเรไปหมด นี้เราพูดจริงๆ เราสงสารนะ ดีดไปที่ไหนดีดตลอดเวลา จะหาหลักเกณฑ์อะไรพอเป็นฝั่งเป็นฝาให้ยึดให้เกาะสมดีดสมดิ้นมันไม่มี เพราะมันผิดทาง ดีดดิ้นตามกิเลสโดยถ่ายเดียวนี้ผิดทาง เดินตามกิเลส ธาตุขันธ์เรามีก็ดิ้น ดิ้นทางความดีของเราเราก็ดิ้น นี้ไม่ผิดทางได้ทั้งสอง เป็นอย่างนั้นละ จึงสำคัญที่จิตใจ
ใจไม่เคยตาย ไม่เคยตายแต่ไหนแต่ไรมา ตกนรกอเวจีกี่กัปกี่กัลป์ ทนทุกข์ทรมานแสนสาหัสก็ยอมรับว่าทนทุกข์ แต่ไม่เคยฉิบหายคือใจ เพราะโลกอันนี้มันเป็นโลกอนิจจัง ถึงจะตกนรกได้รับความทุกข์ความลำบากนานขนาดไหน มันก็ไม่พ้นกฎอนิจจังมันจะค่อยเปลี่ยนแปลง ไม่เร็วก็ช้า เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาจนได้นั่นแหละ เพราะฉะนั้นสัตว์นรกจึงพ้นจากนรกได้ เหมือนกับคนติดคุกติดตะรางเท่านั้นปีเท่านี้เดือนแล้วพ้นได้ มันก็เป็นอย่างนั้น
จิตนี้ไม่ตาย ทีนี้เวลามาบำเพ็ญความดี ไม่ตายก็จริงแต่เกิดที่ใดด้วยอำนาจแห่งบุญกุศลพาให้เกิดพาให้อยู่พาให้เสวย ทุกข์ก็ไม่มาก มีทุกข์อยู่ก็ตาม เพราะโลกนี้ต้องมีทุกข์เจือปน แต่ต่างกันทุกข์ของคนมีบุญมีวาสนา กับทุกข์ของคนสร้างบาปโดยถ่ายเดียวมันผิดกันมาก คนนั้นมีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้ลมหายใจสิ้นลงแล้วผึงเลย มีแต่ลมหายใจกั้นเอาไว้ในขณะนั้น พอลมหายใจขาดก็ผึงเลย เมืองมนุษย์อยู่ที่ลมหายใจ เมืองผีอยู่ที่ขาดลมหายใจ จิตใจจะเป็นเรื่องวิญญาณของผีไป บาปกรรมจะหนุนไปเลย ไปเมืองผีเลย เป็นเปรตเป็นผีสัตว์นรกอเวจีก็จากมนุษย์นี้ไปละ เอ้า ผู้ที่จะไปเมืองพรหมก็สร้างความดี เอ้า ไปสวรรค์ชั้นพรหมก็ไปด้วยความดีๆ ไปเลย
เพราะจิตดวงนี้ไม่เคยตาย ไม่มีคำว่าตาย อันนี้ให้เห็นชัดก็คือนักภาวนา เรียกว่าไม่มีสอง ภาวนาจิตใจมีหลักมีเกณฑ์แน่นหนามั่นคงแล้วยิ่งละเอียด ยิ่งเห็นจิตดวงนี้ชัดเจน เห็นชัดเจนมากเพราะจิตนี้เรียกว่ามันซักมันฟอกด้วยตัวของมันเรื่อยๆ ทีนี้มันก็คัดออกๆ อะไรที่มาเกี่ยวข้องพัวพันหรือซึมซาบกัน มันค่อยซักค่อยฟอกออกๆ จิตนี้เป็นความผ่องใสก็รู้ชัดอยู่ในร่างกาย ร่างกายจะเป็นอะไรเจ็บท้องปวดหัวจิตไม่เจ็บท้องปวดหัว จิตมีความผาสุกเย็นใจสว่างไสว แน่ะมันก็รู้ จิตดวงนี้ไม่เป็นอะไร มันเป็นเฉพาะร่างกาย นี่เพราะจิตที่มีธรรม ถ้าจิตไม่มีธรรมร่างกายเป็น จิตก็ดิ้นตายอีกแบบหนึ่ง ร่างกายกับโรคใจบวกกันเข้าแล้วเป็นโลกนรกอเวจีอยู่ในมนุษย์นั่นแหละ มันทรมานกว่าจะตาย โถ ทุกข์มากแสนมาก เป็นอย่างนั้นนะ
ทีนี้เวลาฝึกเข้าไปๆ เริ่มต้นแต่เพียงจิตเป็นสมาธินี้แล้วจะเริ่มรู้เรื่องของจิตของกาย สมาธิที่ว่าสมาธิเต็มภูมิยิ่งรู้ได้ชัด สมาธิคือจิตนี้มีความแน่นหนามั่นคงเป็นธรรมในขั้นนี้ จิตนี้รู้เด่นอยู่ท่ามกลางร่างกาย ร่างกายเป็นร่างกาย จิตเป็นจิตมันไม่เป็นอันเดียวกันมันก็รู้ อ๋อ จิตนี้เป็นอย่างนี้ พอจิตหดเข้ามาๆ มาอยู่เป็นเอกเทศนี้คือจิต นั้นคือร่างกายมันก็รู้ ทีนี้ยิ่งชำระเข้าไปด้วยปัญญาด้วยแล้วยิ่งซักยิ่งฟอกออก ยิ่งเห็นได้ชัดละเอียดลออเป็นลำดับลำดา แยกออกๆๆ เห็นชัด
เรื่องธาตุเรื่องขันธ์นี้เป็นของหยาบ มันพัวพันกันอยู่กับจิตใจ ใจก็ยึดก็ถือหมด เวลาพิจารณาเข้าไปเรื่องธาตุเรื่องขันธ์เป็นของหยาบ มันก็ซักออกฟอกออกปัดออกๆ ส่วนสัญญาอารมณ์ที่เป็นนามธรรม คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นส่วนละเอียดนี้เป็นกิเลสแทรกอยู่อันหนึ่งเราก็ค่อยปัดออกๆ เรื่อย ละเอียดเข้าไปๆ จิตยิ่งละเอียดเข้าไปเรื่อยๆ คำว่าตายไม่มี จิตไม่มีคำว่าตาย ละเอียดเข้าไปเท่าไรโลกธาตุนี้มีแต่ธรรมชาติที่รู้ๆ ว่างไปหมดก็มีแต่ธรรมชาติที่รู้ๆ เด่นครอบโลกธาตุนั่นเห็นไหม มันสูญเมื่อไร ยิ่งพิจารณาเข้าไปเท่าไร ธรรมชาตินี้มันครอบไปหมดโลกธาตุ ถ้าว่ามันสูญมันเอาอะไรไปครอบ ฟังซิ
แต่ก่อนเราได้รู้เมื่อไร การบำเพ็ญถูกตามแถวทางของธรรมแล้วมันก็รู้ขึ้นมาเอง พระพุทธเจ้าสอนเพื่อรู้อย่างนี้ ละเอียดเข้าไปๆ ตีออก ปัดออกๆ อันไหนที่มาเกี่ยวข้อง จะไปให้ถึงขั้นสุดยอดแห่งธรรม อะไรเข้ามาเกี่ยวข้องเป็นสมมุติทั้งนั้นๆ มันปัดของมันเองนะ ปัดของมันเองซักฟอกของมันเอง แล้วตะล่อมเข้าไปๆ เหลือแต่จิต กิเลสที่ละเอียดอยู่กับจิต มันก็ซักฟอกของมัน จนกระทั่งขาดสะบั้นไปหมด ทีนี้กิเลสแม้เม็ดหินเม็ดทรายไม่มีเหลือแล้วทุกข์ก็หมดไปพร้อมๆ กัน ทุกข์ไม่มีขณะที่กิเลสดับลงไปแล้วเท่านั้น ไม่มีทุกข์ภายในใจของพระอรหันต์
ใจอันนี้มันสูญไหมล่ะที่นี่ มันจ้าขึ้นมาแล้ว เราจะเรียกให้เป็นชื่อก็เรียกว่าเป็นธรรมธาตุ หรือว่ามหาวิมุตติมหานิพพานคือธรรมชาตินี้ หรือธรรมธาตุคือธรรมชาตินี้เองไม่ใช่ตัวสูญ เด่นชัดนี้ ที่ว่านิพพานเที่ยงคือตัวนี้เอง จิตดวงที่บริสุทธิ์เต็มที่แล้วนี้ไม่สูญ เที่ยง ที่ไม่เที่ยงเพราะอะไร เอนเอียงไปเพราะสมมุติ กิเลสตัณหาทำให้โยกให้คลอน เอนนู้นเอนนี้เหมือนใจของปุถุชนเรา เหมือนฟุตบอลถูกเตะถูกถีบไปโน้นไปนี้ เตะออกไปนอกแล้วเตะเข้ามา เตะออกไปข้างนอกแทนที่จะไปแล้วเตะเข้ามา เหมือนฟุตบอลแหละ ทีนี้เวลามันได้ออกผึงนอกโลกแล้วทีนี้ไม่เข้ามาล่ะซิที่นี่ กิเลสไม่ได้เตะ เตะกิเลสให้อยู่ในโลกเสีย เราก็ออกนอกโลกเสีย
นี่ละคุณค่าของการบำเพ็ญตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า นี้แม่นยำมากทีเดียว ศาสนธรรมของพระพุทธเจ้าจึงว่าศาสนาชั้นเอก ผู้ครองศาสนาเป็นผู้บริสุทธิ์เป็นพระพุทธเจ้า ผู้บรรลุธรรมตามคือพระอรหันต์เป็นแบบเดียวกันหมด ท่านไม่ต้องถามใคร รู้เห็นอย่างเดียวกันหมด นี่ละแล้วจิตดวงนี้สูญหรือไม่สูญมันก็ยิ่งชัด รู้ นิพพานเที่ยงอันนี้แหละ คือไม่สูญนี่แหละ เที่ยงตลอดไปเลย ไม่มีกัปใดกัลป์ใดเข้ามาทำลายได้ กาลเวล่ำเวลาไม่มีทำลายได้เลย ทำลายธรรมธาตุที่ไม่เคยสูญ ทำลายไม่ได้ นี่ละท่านว่านิพพานเที่ยง แล้วสมเหตุสมผลที่เราอุตส่าห์พยายามตะเกียกตะกาย บำรุงรักษาจิตใจของเรามา ยากง่ายยังไง มันจะมารวมอยู่เป็นผลให้เป็นที่พึงพอใจนี่แหละ
ยากลำบากลำบน ลำบากเพื่อจะเป็นความสุข ไม่ได้เหมือนกิเลสพาให้ลำบาก กิเลสพาให้ลำบากแล้วยังทุกข์ไม่ถอย แล้วไม่มีที่เกาะที่ยึดไม่มีฝั่งมีฝา ไม่มีเขตมีแดนคือกิเลสลากสัตว์โลก แต่ธรรมฉุดสัตว์โลกนี้ไปมีเขตมีแดนเป็นลำดับลำดา ต่างกันอย่างนี้ พอถึงขั้นตายตัวแล้วก็อย่างที่ว่า สำเร็จพระอรหันต์ขึ้นมา พอหมดเลยไม่มีอะไร ท่านอยู่ที่ไหนท่านพอหมด เรื่องธาตุเรื่องขันธ์นี้ยอมรับเพราะเป็นสมมุติ อันนี้เป็นสมมุติร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนโลก
ท่านผู้ครองสมมุติอยู่นี้ทั้งๆ ที่จิตบริสุทธิ์ ท่านก็ยอมรับว่าธาตุขันธ์นี้เป็นทุกข์ แต่ไม่ซึมซาบเข้าหาจิตท่านได้ เป็นหลักธรรมชาติ เป็น อฐานะ เป็นไปอย่างใดไม่ได้แล้ว ก็ครองกันไป เจ็บไข้ได้ป่วยเหมือนกับเรา เจ็บหัวตัวร้อน หิวกระหายมีเหมือนกัน มันก็เป็นอยู่ในธาตุไม่เข้าถึงใจ เพราะฉะนั้นเราถึงกล้าพูดละซิ เอานี้ออกยันเลย ธาตุขันธ์เป็นสมมุติ สมมุติต่อสมมุติเข้ากันได้ติด ติดได้ เช่น พระอรหันต์ ที่ว่ายาเสพย์ติดๆ นี้มันจะมีละตัวอุตริขึ้นมา เว้นแต่พระอรหันต์ไม่ติด ยาเสพย์ติดอะไรนี้ไม่ติด อย่ามาโม้นะ ว่างั้นเลย อย่ามาหลอกพ่อมึงนะอยากว่าอย่างนี้ ยันๆ อย่างนี้เข้าใจไหม
ก็ธาตุขันธ์มันเป็นสมมุติ สิ่งเหล่านั้นก็เป็นสมมุติมันเข้ากันติด เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ ธาตุขันธ์ของท่านจึงติดได้ ติดฝิ่นติดกัญชายาเมานี้ติดได้ ยาเสพย์ติดติดได้เหมือนโลกทั่วๆ ไป เป็นแต่เพียงว่าใจของท่านไม่ติด ที่ว่าท่านไม่ติดนี้ ก็จะหมายถึงว่าธาตุขันธ์ก็เป็นอรหันต์ด้วยใช่ไหมล่ะ ท่านไม่ติดอันนี้ ติดร้อยเปอร์เซ็นต์ยันเลย ร้อยเปอร์เซ็นต์ติด แต่จิตนี้ทำไงก็ไม่ติด นี่เรียกว่าจิตกับขันธ์คนละอย่างแล้วใช่ไหมล่ะ เมื่อมันอยู่ด้วยกันแล้วก็ต้องเป็นตามขันธ์ ขันธ์ติดแต่จิตไม่ติด แต่โลกเขาไม่ได้ว่า จิตท่านไม่ติดนะท่านติดเฉพาะธาตุขันธ์ เขาก็จะบอกว่า อรหันต์องค์นี้ติดยาเสพย์ติดมันเป็นพระอรหันต์ได้ยังไง เขาก็จะว่าอย่างนั้นใช่ไหม มันจะเหมาเอาหมดเลย แล้วเวลาความจริงแล้วถามใครวะ
พอพูดอย่างนี้เราก็ระลึกได้ แต่เราไม่ได้ว่าเราเป็นอรหันต์นะ เราระลึกได้สิ่งที่เข้ามาเทียบเคียงกัน ยาอันหนึ่ง แต่เราไม่บอกมันกระทบกระเทือนกับผู้ขาย บอกว่ายาอะไรนั้นเดี๋ยวการขายของเขาก็จะอาภัพลงไป เราจะพูดแต่ว่ายาชนิดนี้มียาเสพย์ติดแทรกอยู่ในนั้น พอฉันลงไปๆ พอถึงเวลามันต้องการมันอยาก มันอยากฉันยาอันนั้นว่างั้นเถอะ อย่างอื่นๆ มันไม่ติด ไม่เห็นอยากเห็นอะไร ถึงเวลาฉันก็ฉันธรรมดา แต่อันนี้มันรู้สึกอยากประหวัดๆ ธาตุขันธ์ มันอยากของมัน จิตเป็นผู้รู้ ธาตุขันธ์ต้องการอะไรไม่ต้องการอะไร อะไรดีไม่ดีเป็นเรื่องของธาตุขันธ์ล้วนๆ ธาตุขันธ์จะบ่งบอกในตัวของมันเอง เมื่อจิตบริสุทธิ์เต็มที่แล้วจะได้ดูเรื่องความสัมผัสของธาตุขันธ์ว่ามันชอบอะไรไม่ชอบอะไร ทีนี้เวลาฉันอันนี้เข้าไปแล้วนี้ พอถึงเวลามันทำให้ยิบแย็บๆ อยากๆ ฉันอันนั้น อ๋อ นี่มันมียาเสพย์ติดอยู่ มันไม่ได้แล้วนี่ เลยหยุดเลย พอรู้แล้วก็หยุด
ให้ทราบเอาไว้นะ นี่ละขันธ์ติดยา แม้พระอรหันต์ก็ติด เพราะขันธ์ต่างหากติด ท่านไม่ติด ขันธ์นี้เป็นสมมุติ สิ่งเหล่านั้นเป็นสมมุติเข้ากันได้สนิท ส่วนจิตของท่านเป็นวิมุตติ อะไรจะเข้าไปเกี่ยวไม่ได้เลย เรียกว่าอรหันต์ นอกสมมุติไปเรียบร้อยแล้ว เป็นแต่เพียงว่าครองขันธ์อยู่เฉยๆ พากันเข้าใจหรือยังที่พูดนี่ นี่ละจิตให้มันแยกได้ขนาดนั้นซี
อย่างที่เขาถามมาว่าหลวงปู่มั่นท่านเป็นอรหันต์ ยังเห็นท่านฉันหมาก เขาถามมา อู๊ย ทุกขัง อนิจจัง อย่างงั้นซิ คือพระอรหันต์ต้องไม่ฉันหมากจึงเรียกว่าอรหันต์ ถ้างั้นพวกนี้ไม่ฉันหมากกันพวกนี้เป็นอรหันต์กันทั้งหมดซิ ใครฉันหมากก็พวกนั้น โอ๊ย เซ่อที่สุดเลย เข้าใจไหมล่ะ นี่อรหันต์เหรอเหล่านี้ มันไม่ได้กินหมากกันเลยใช่ไหม เป็นอรหันต์ทั้งๆ ที่แบกกิเลสอยู่น่ะ อรหันต์แบกกิเลสเข้าใจไหม อรหันต์พวกเรา แยกซี เวลาจิตมันเข้าใจของมัน มันแยกหมดนะ ไม่มีใครมาบอกก็รู้ อย่างที่ว่าท่านบรรลุธรรมผางขึ้นมานี้ท่านทูลถามพระพุทธเจ้าหาอะไร อันเดียวกันแล้ว อย่างเดียวกันแล้ว ถามท่านหาอะไรเท่านั้นพอ สนฺทิฏฺฐิโก รู้เองเห็นเองประกาศป้างขึ้นมาตามพระโอวาทที่สอนไว้ว่า สนฺทิฏฺฐิโก ผู้ปฏิบัตินั้นแลจะเป็นผู้รู้เองเห็นเอง ผู้ไม่ปฏิบัติรู้ไม่ได้ นั่น ก็อย่างนั้นแหละ
นี่ละพุทธศาสนาของเรานี้เลิศเลอสุดยอด พี่น้องทั้งหลายให้จับให้มั่น แม่นยำแล้วพุทธศาสนาของเรานี้ ไม่มีอะไรผิดเพี้ยนเลย พระโอวาทที่สอนสอนด้วยความถูกต้องจริงๆ จากจิตที่บริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้า ทรงรู้ทรงเห็นอย่างเต็มพระทัย นำออกมาสอนนี้ถูกต้องไปหมดเลย ไม่ได้เหมือนคลังกิเลส กิเลสเต็มหัวใจ ลูบๆ คลำๆ กำดำกำขาว งูๆ ปลาๆ จะว่าอะไรมันไม่ถนัดใจฟาดทั้งงูทั้งปลาไปด้วยกันเสีย งูๆ ปลาๆ นี่ละศาสนาคลังของกิเลส ศาสนาพระพุทธเจ้าเป็นอย่างว่านะ ไม่ถามใครเลยผางมารู้ทันที นี่ละธรรมที่เป็นของที่ว่าเลิศเลอ วันนี้เอาเท่านั้นละ
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
และเครือข่ายทั่วประเทศ |