ญาณ หยั่งทราบจากจิต
วันที่ 23 พฤษภาคม 2545 เวลา 7:30 น. ความยาว 40.12 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)   วิดีโอแบบ(Win High Band)

ค้นหา :

ญาณ หยั่งทราบจากจิต

เมื่อวานทองคำได้ ๕๐ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๒๐ ดอลล์ รวมทองคำที่ได้ทั้งหมด ๕,๑๑๘ กิโลครึ่ง ส่วนดอลลาร์เวลานี้ได้ ๖,๘๖๗,๐๐๐ ดอลลาร์ จวนจะถึง ๑๐ ล้านแล้ว ไม่นานก็ถึง เหลืออยู่ประมาณ ๓ ล้านกว่าจะถึง ๑๐ ล้าน

เห็นเขาขนอะไรมาไว้ที่ศาลาใหญ่ จะมากางเต็นท์หรืออะไร (งานวันที่ ๓๐ ครับ) นั่นซี เหมือนเขาจะมากางเต็นท์ อยู่ในศาลา เขาจะทำอะไรชนิดหนึ่งละ วันที่ ๓๐ วันนั้นครบรอบเสียของโยมแม่ โยมแม่ตายวันที่ ๓๐ พฤษภา ๒๕๒๕ เสียไป ๒๐ ปีพอดี เรียกว่าวันครบรอบ จากนั้นก็ถือโอกาสนั้น เอาโยมแม่เป็นต้นเหตุอุทิศส่วนกุศลแผ่เมตตาทั่วแดนโลกธาตุในวันที่ ๓๐ เพราะฉะนั้นเขาถึงบอกว่า วันเปิดโลกธาตุ คือเราเป็นคนพูดเอง โดยถือโยมแม่เป็นเหตุแล้วบำเพ็ญกุศลแผ่เมตตาจิต อุทิศส่วนกุศลให้สัตว์โลกทั่วแดนโลกธาตุ ในวันที่ ๓๐ นี้

สัตว์ที่ยากจนนี้แหม ทุกข์ทรมาน ตายไปไหนมีแต่บาป โดดออกจากไฟกองนี้ก็ไปโดนไฟกองนั้น ออกจากไฟหลุมนี้ไปโดนไฟหลุมนั้น เพราะหลุมไหน ๆ ก็มีแต่บาปแต่กรรมที่เจ้าของสร้างไว้ มันก็เป็นไฟแล้วก็มาเผาเจ้าของ เกิดกี่กัปกี่กัลป์ก็มีแต่โดดเข้ากองไฟกองนั้นกองนี้ แล้วมีความหมายอะไรพิจารณาให้ดีนะ ถ้าไม่มีธรรมมาฉุดมาลากออกแล้ว จะเป็นอย่างนี้ตลอดไปเลย แต่นี้มีธรรมเป็นคู่แก้กัน ใครมีความสนใจต่อธรรมผู้นั้นบำเพ็ญ ธรรมนั้นแหละฉุดออก ก้าวออก หลุมนี้ร้อน โดดทีหลังหลุมนั้นเย็นหน่อย แน่ะ มีกุศลสร้างเอาไว้ แล้วหลุมนั้นเย็น ๆ ไปเลย ถ้ามีบุญกุศลเกิดจากการบำเพ็ญ ทาน ศีล ภาวนา นี้ก็เป็นหลักธรรมชาติ ใครจะมีกี่ปาก คนหนึ่งมีห้าปาก ๆ มาลบบาปลบบุญว่าไม่มี ลบนรกสวรรค์ไม่ให้มีนี้ ปากเหล่านี้ ๕ ปากยังไม่พอ เอาร้อยปากมาลบก็จมไปทั้งเจ้าของปากนั่นแหละ คือใจมันพาปากให้โกหกหลอกคนอื่น หลอกเขา ผู้ได้ก็ได้ ผู้ไม่ได้ก็ไม่ได้ หลอกตัวเองนั้นแลเป็นสำคัญ เวลาจมเจ้าของนั้นแหละเป็นผู้จม

พระพุทธเจ้าสอนไว้อย่างถูกต้องไม่มีผิดมีเพี้ยนเลย เรียกว่าสวนทางกันร้อยเปอร์เซ็นต์ กิเลสมีแต่หลอกลวง ๆ ทั้งหมด ไม่มีกิเลสตัวใดจะแสดงเป็นความจริงขึ้นมา ธรรมนี้จริงทั้งหมด ไม่มีธรรมประเภทใดจะเป็นของปลอมขึ้นมา นี่ละมันถึงแก้กันได้ อันหนึ่งปลอมทั้งเพ อันหนึ่งจริงทั้งนั้น ถ้าใครหมุนไปทางปลอมก็ปลอมไปเรื่อยทุกระยะเวลา คือทำตามความจอมปลอมของจิตที่มันคิดชั่วช้าลามก ทำไปก็เป็นความชั่วช้าลามก ทำลงไปแล้วมันไม่ไปไหน ใครเป็นคนทำคนนั้นแหละเป็นเจ้าของเรื่อยไปทั้งบาปทั้งบุญ ใครทำเป็นของคนนั้น ปากไม่มีความหมายไปลบล้างบาปบุญ ถ้าลบล้างได้เช่นนั้นพระพุทธเจ้าก็ไม่มีความหมาย บาปบุญก็ไม่มีความหมาย เพราะลบออกหมดนี่จะมีความหมายอะไร นี่มันลบแต่ปากเฉย ๆ น่ะซี ถ้าเจ้าของยังทำอยู่ไม่ว่าดีว่าชั่ว เป็นดีเป็นชั่ว เป็นบุญเป็นบาปตลอดไปเลย ขึ้นอยู่กับการกระทำ การกระทำจึงเป็นเรื่องใหญ่โตมาก

พระพุทธเจ้านำธรรมมาสอนโลกทั้งดีทั้งชั่วทุกแง่ทุกมุม นำออกจากพระทัย รู้เห็นทุกอย่างประจักษ์กับพระทัยแล้วนำออก อันไหนส่วนดีส่วนชั่วแจงออกไป ๆ จากที่คัดเลือกเรียบร้อยแล้วที่พระทัยคือใจ ส่วนไหนผิดก็บอก ส่วนไหนถูกก็บอก เพราะพระองค์เคยทำความผิดความถูกมาเป็นประจำ จนกระทั่งถึงวันรู้แจ้งแทงทะลุหมดนี้ จึงกระจ่างออกหมด บอกบาปบอกบุญคือใจ ขึ้นตรงนั้นเลย เกิดขึ้นที่ใจไม่เกิดขึ้นที่ไหน ทั้งดีทั้งชั่วเกิดขึ้นที่ใจ ใจเป็นผู้คิดดีคิดชั่วแล้วแสดงออกมาทางวาจา ก็เป็นวาจาที่ดีที่เสีย ทำออกไปก็เป็นการกระทำผิดกระทำถูกไป ออกไปจากใจผู้บงการ

พระพุทธเจ้าทรงเลือกเฟ้นหมดแล้วเห็นประจักษ์ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีผิด นี่ละที่นำมาชะล้างโลกพอได้บรรเทาทุกข์กันไปบ้างในภพหนึ่ง ๆ ไม่ติดแนบกันไปทีเดียว เช่นอย่างเป็นภพชั่วอย่างนี้ ชาตินี้ชั่วชาติหน้าดี ภพนี้เลวภพนั้นดีอย่างนี้ สับปนกันไป ถ้าดีมีมากความดีก็หนาเข้า ๆ สืบต่อกันเรื่อย ๆ ต่อกันถึงนิพพาน ความชั่วก็แบบเดียวกัน สร้างแต่ความชั่ว ๆ สร้างเมื่อไรไม่ว่าดีว่าชั่ว เพิ่มได้ทั้งนั้น สร้างไม่หยุด เพิ่มไม่ถอย ผลความทุกข์ความสุขก็เพิ่มขึ้นตลอด นั่นธรรมพระพุทธเจ้าสอนไว้นี่คือธรรมสอนโลก ไม่ได้มาลูบ ๆ คลำ ๆ สอนนะ พระพุทธเจ้าสอนโลกทุกพระองค์ ทรงเลือกเฟ้นพิจารณาเรียบร้อยจากพระทัยแล้วนำออกแสดงจึงไม่ผิด จึงเรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้สมบูรณ์แบบแล้ว หรือตรัสไว้ชอบแล้ว ไม่มีที่จะเพิ่ม จะต่อเติมหรือตัดออกอะไร เรียกว่าตรัสไว้สมบูรณ์แล้ว

คือหัวใจดวงนี้ระหว่างกิเลสกับธรรมมันรบกันตลอดเวลา ถ้ากิเลสมีอำนาจมาก มีแต่กิเลสเหยียบธรรม ก็เหยียบเรานั้นแหละ พอตื่นขึ้นมา สมมุติว่าชาตินี้ตั้งแต่ตื่นนอนวันหนึ่ง ๆ เจ้าของไม่คำนึงทั้ง ๆ ที่เจ้าของทำอยู่ตลอดเวลา ทำชั่วทำดี คิดชั่วคิดดี พูดชั่วพูดดี ออกไปจากใจเป็นผู้บงการตั้งแต่ตื่นนอนจนหลับ เราเอาภพมนุษย์ของเราที่เป็นภพพอรู้เรื่องได้บ้างนี้ ดีชั่วก็รู้กันในวงมนุษย์เรา วันหนึ่งตื่นขึ้นมาสั่งสมแต่ความชั่ว ที่คนมีใจหนักแน่นไปทางความชั่ว เพราะกิเลสมันดึงลง ๆ ก็สร้างแต่ความชั่ว วันนี้ก็สร้าง วันหน้าก็สร้าง เดือนนี้เดือนหน้า ปีนี้ปีหน้า ตั้งแต่วันเกิดถึงวันตายสร้างแต่ชั่ว แล้วคน ๆ เดียวเป็นผู้รับทั้งหมดนะ

ที่สร้างไว้ทั้งหมดนี้ไม่มีใครมารับมาแบ่งสันปันส่วนออกไป แบ่งหนักแบ่งเบากันไม่มี เป็นเรื่องของเจ้าของล้วน ๆ แล้วมันไม่หนักได้ยังไงก็สร้างอยู่ตลอดเวลา แล้วยังประมาทอยู่อีกว่าบาปบุญไม่มี ก็ยิ่งหนักเข้าไปอีก นั่นซี นี่โลกมันจม ๆ เพราะเหตุนี้เอง โลกฟื้น ๆ ขึ้นตามอรรถตามธรรม ฟังเสียงธรรมแล้วก็ดีขึ้นไปเรื่อย ๆ ตะเกียกตะกาย ๆ ตั้งแต่หนัก ๆ ขึ้นไปเรื่อย ตะเกียกตะกายไม่หยุดไม่ถอยก็ค่อยเบาลง ค่อยราบรื่นไป การสร้างความดีราบรื่นได้เช่นเดียวกับคนที่เคยสร้างความชั่ว สร้างความชั่วเมื่อมันติดนิสัยสันดานแล้ว ไม่ได้ทำอยู่ไม่ได้นะ มันกวน ทีนี้คนทำดีก็ธรรมเตือน วันหนึ่ง ๆ ไม่ได้ทำอยู่ไม่ได้ มันหากมีอยู่ในจิต ตะขิดตะขวงอยู่ในนั้นแหละไม่สะดวก ถ้าไม่ได้ทำไม่สะดวก นี่เรียกว่าทางธรรมค่อยราบรื่นแล้วนั่น ค่อยก้าวออก ๆ วันไหนทำสบาย ๆ เรื่อย ๆ นั่นเป็นอย่างนั้นนะ ฟังให้ดีทุกคน

ที่พูดนี้ถอดออกจากหัวใจทั้งนั้นนะ พูดแล้วสาธุไม่ได้ประมาทคัมภีร์ คัมภีร์ออกจากพระทัยพระพุทธเจ้าออกจากใจของสาวก ถอดออกไปเป็นคัมภีร์ หลักใหญ่จริง ๆ อยู่นั้น ทีนี้เวลามันรู้นี้แล้วจะไปหาคว้าที่ไหนล่ะ ก็มีอยู่นั้นหมดแล้ว เวลามันลำบากก็ลำบาก อ่านดูหัวใจตัวเอง เวลาเราประกอบความพากเพียร เริ่มมาตั้งแต่รักษาศีลนั่นนะ ยกตัวอย่างเช่นเราบวชแล้ว บวชแล้วต้องเปลี่ยนใจให้หมด ตัดสินใจวินิจฉัยใคร่ครวญสั่งสอนตัวเอง ฝึกทรมานตนเองดัดตัวเองตั้งแต่บัดนั้นมา นั่นตั้งโปรแกรมใหม่แล้ว ความรู้สึกนี้เปลี่ยน เช่นยกตัวอย่าง ที่แม่พูดไม่ลืมนะ เราไม่ลืมจริง ๆ มันฝังลึกนะ แม่ก็ไม่เคยยกยอลูกแหละ บทวันนั้นวันจะไปบวช ปั๊บมานั่งนี้ แม่จะบอกนะ เตรียมของแล้วจะออกไปพร้อมกับท่านพระครู ออกไปบวช เพราะท่านพระครูท่านมาทำบุญที่บ้าน(บ้านตาด)ที่วัด(เก่า) ที่ต้นสักอยู่ รื้อแล้วจึงมาเป็นวัดนี้ขึ้นมา ท่านพักอยู่ที่นั่นวัดร้าง ตอนนั้นไม่มีพระ

เวลาท่านออกนั้นเราก็จะเตรียมไปหาท่านแล้วก็ออกพร้อมกันไปวัดโยธา ของจะมีอะไร ของเอาติดตัวไปมีเครื่องนุ่งห่มนิดหน่อยเท่านั้นเอง เขามาบอกว่าท่านเตรียมจะออกแล้ว เราก็เตรียมตัวออกมาจะไป แม่มานั่งปั๊บนี่ นี่แม่จะบอกนะ ทุกสิ่งทุกอย่างแม่ไม่มีที่ต้องตินะลูก แต่สำคัญที่การนอนนะลูก ถ้าลงได้นอนแล้วตายเลยเทียว แม่ไม่ปลุกเป็นไม่ลุก นี่ละแม่วิตกวิจารณ์เหลือเกิน อย่างอื่นแม่ไม่ได้วิตก แต่เรื่องการนอนนี้เด่นเอามากทีเดียว จนอดเป็นห่วงเป็นใยไม่ได้ เกรงว่าเวลาไปบวชเป็นพระแล้วนอนไม่ตื่น พระท่านไปบิณฑบาตบ้านใดตำบลใดที่ไหนมา กลับมาแล้ว ให้ไปปลุกท่านบัวยังนอนไม่ตื่นมากินข้าว อย่าให้แม่ได้ยินนะ แม่เอาหัวมุดดินเลยนะลูก แม่วิตกเหลือเกินตอนนี้

ว่าจะไปไหนมาไหน ถ้าลงได้นอนแล้วจมเลย เฉพาะก็คือว่าเราได้สั่งแม่ไว้ วันพรุ่งนี้เช้าปลุกหน่อยนะ จะไปธุระแต่เช้า พอแม่รับทราบแล้วก็ปล่อยเลย คือทอดธุระ ทีนี้แม่ไม่รู้ว่าเราทอดธุระล่ะซี ถึงเวลาแม่ก็มาปลุกเองมันก็จมไปเลย ไม่มีวันไหนที่จะตื่นไปเลยทีเดียว ไม่เคยมี เพราะทอดธุระ ถึงเวลาแม่ก็มาปลุกเอง เราก็นอนจม ถึงเวลาแม่สะกิดนิ้วเท้าปั๊บเท่านั้นสะดุ้งปึ๊บไปเลย ทุกครั้งไม่มีพลาดเรื่องจะตื่นเองนี้ไม่มี เรียกว่าทุกครั้งแม่ต้องปลุกทุกที นี่ละเป็นอารมณ์มากสำหรับแม่นะ ที่ว่าไปปลุกท่านบัวมาฉันจังหันนี้ โอ๋ย อย่าให้แม่ได้ยินเลยนะ แม่อยากเอาหัวมุดดิน เราไม่พูดนะ เฉย ฝังลึก

คือความรู้สึกของเรากับแม่มันต่างกัน ที่เรานอนจนกระทั่งแม่มาปลุก คือว่าทอดธุระ ถึงเวลาแม่ก็มาปลุกเอง จากนั้นก็นอนเลย พอถึงเวลาแม่ปลุกแล้วค่อยไป ๆ มันมีพี่ชายคนหนึ่งเป็นคู่แข่งกัน บักห่านั่นมันนอนตื่นก่อนเข้าใจบ่ มันบอกแม่เหมือนกัน แม่ปลุกหน่อยนะตอนเช้า จะไปธุระอะไรแต่เช้า แม่ไม่ทันปลุกมันตื่นมันไปแล้วไอ้นั่น มันเป็นคู่แข่งกันกับเรา ไอ้เราแม่ต้องปลุกทุกที บักห่านี่ โมโหให้มันอยู่เดี๋ยวนี้ เข้าใจบ่ ถึงเวลาเขาลุกไปเองก็มี แม่ได้ปลุกก็มี ไอ้เราไม่มี ที่ว่าลุกไปเองไม่มีเลย แน่ใจขนาดนั้นเพราะความทอดธุระ เพราะถึงเวลาแม่ก็มาปลุกเอง

ทีนี้พอออกจากบ้านไปแล้ว ตัดสินตัวเองผึงเลยเทียวนะ ที่นี่ออกมาแล้วแม่ไม่ตามมาปลุกนะ ทุกอย่างเราต้องเป็นตัวของเราเต็มเหนี่ยว จะเป็นอย่างแต่ก่อนไม่ได้นะเท่านั้นพอ เหมือนกับหินหักเลย เอามาต่อก็เป็นรอยต่อ คือเหมือนหินหักต่อกันไม่ได้ ว่าอย่างไรต้องเป็นอย่างนั้น ตั้งแต่บัดนั้นมานอนนี่สะดุ้งผึง ๆ ๆ เลย ฝึกหัดตั้งแต่วันเข้านาคทีแรก ยังไม่ได้บวชนะเอาแล้วฝึกแล้ว จนกระทั่งได้ ๑๘ พรรษาฟังซิ พี่น้องทั้งหลายฟังมันน่าเชื่อไหม แต่เราก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ตั้งแต่บัดนั้นแล้วนอนนี้ดีดผึง ๆ ๆ จะเอาเวลาไหนกำหนดตายไว้เลยเทียว ดีดผึง ๆ บางทีนอนตี ๓ ตี ๔ สว่างตื่นทันหมดเลยไม่มีพลาด นี่ละคือฝึกตัวเอง นอนนี้ดีดผึง ๆ ๆ

ไม่ได้ลุกขึ้นธรรมดานะ พอตื่นนอนนี้เหมือนกับแม่เนื้อตื่นนายพรานนั่นแหละ ดีดผึงเลยทันที จนกระทั่งชินต่อนิสัย เราจะตั้งท่าลุกอย่างนั้นหรือไม่ตั้งท่ามันชินของมันแล้ว พอรู้สึกนี่มันจะดีดผึง ๆ ๆ ตั้งแต่บัดนั้น เรียนหนังสือก็แบบเดียวกัน ยิ่งออกปฏิบัติด้วยแล้วมันก็แบบเดียวกันอยู่แล้วจะให้ว่ายังไง ไปถึงพรรษา ๑๘ นั่นละฝึกตั้งแต่บัดนั้นไม่มีเคลื่อนคลาดเลย การนอนจะเอาเวลาไหนได้ทั้งนั้นเลย นอนดึกขนาดไหนกำหนดปั๊บไว้เลยจะลุกเวลาเท่านั้น บังคับไว้อย่างนี้นะ พอถึงเวลาดีดผึง ๆ เลย

จนกระทั่งพรรษา ๑๘ แล้ว ทีนี้คิดว่าจะฝึกใหม่ จะนอนให้ธรรมดา ๆ คือตื่นขึ้นมารู้ทิศรู้ทางต่าง ๆ เรียบร้อยแล้วค่อยลุกขึ้นมาด้วยความมีสติสตังเรียบร้อยดีงาม ไม่ได้แบบผึง ๆ อย่างนี้ ผึง ๆ อย่างนี้เราก็ทราบแล้วว่าเราขึ้นเวที ต้องใช้วิธีการอย่างนั้น บัดนี้ไม่ได้ขึ้นเวที เป็นธรรมดา ก็ควรจะปฏิบัติกิริยา การหลับการนอนการตื่นเป็นธรรมดา พอดิบพอดี ถึงอย่างนั้น พอตื่นปั๊บออกแล้วนะ ตามไม่ทัน นี่เคยชินต่อนิสัย พอรู้สึกนี้ดีดผึง เจ้าของกำหนดว่าจะรู้ทิศรู้ทางก่อนค่อยลุก ไม่นะมันผึงก่อนแล้ว พยายามฝึกอยู่นานเหมือนกันถึงได้

ทีนี้เวลาได้แล้วนี่ ตายไปเลยทุกวันนี้ แล้วแต่จะลุกเมื่อไรไม่ลุกเมื่อไร มันเลยเถิดแล้วเดี๋ยวนี้น่ะ เรื่องการหลับการนอนเรานี้เรียกว่าเลยเถิดแล้ว ปฏิบัติตามธาตุตามขันธ์ พาอยู่พากินพาหลับพานอน เอาธาตุขันธ์เป็นประมาณแล้วเดี๋ยวนี้ ไม่ได้เอาธรรมมาเป็นประมาณนะ อันนี้เราก็ไม่ได้ตำหนิเรา เราจะปล่อยวาระไหนเรามีเหตุมีผลของเรา เช่นอย่างที่ว่าพรรษา ๑๘ นี้ฝึกใหม่ เราก็มีเหตุมีผลของเรา ระยะนี้ก็ไม่ได้ขึ้นเวทีเข้าสู่สงครามที่ตรงไหน ๆ เป็นธรรมดาปฏิบัติตัว การหลับการนอนการตื่นก็ให้เป็นธรรมดา พอตื่นขึ้นมารู้ทิศรู้ทางเรียบร้อยแล้ว ลุกขึ้นมาด้วยความมีสติสตังสวยงามธรรมดา เราจะเอาอย่างนั้น แต่มันไม่ได้ซิ เพราะมันเคยมาแล้ว พอรู้สึกนี้ผึง ๆ เลยเทียว

ไม่มีคำว่านอนซ้ำอีก นั่นฟังซิ ถ้าลงได้ตื่นแล้วเท่านั้น เว้นตั้งแต่ป่วย เช่น ถ่ายท้อง บางทีมันถ่ายไม่รู้กี่ครั้งกี่หน มาก็ต้องมานอน มันหากมียกเว้นกันอยู่ในนั้นนะ พอหมดวาระแล้วมันจะดีดของมันเป็นปกติทันที ไม่ได้มีคำว่าตั้งใจฝึกนะ มันหากเข้าใจตัวเอง พอปกติแล้วต้องเป็นปกติทุกอย่าง การหลับการนอน ความพากความเพียรต้องเป็นปกติ จะอืดอาดเนือยนายอย่างนั้นไม่ได้ แต่เวลามันเจ็บไข้ได้ป่วยเราอนุโลมไปเสีย เช่น มานอนซ้ำอีก อย่างนั้นนอน ถ้าธรรมดาไม่เจ็บไข้ได้ป่วย พอตื่นแล้วเท่านั้นไม่เคยหลับไม่เคยนอน ถ้าตื่นแล้วกลับมานอนอีก มันเข้ากันได้หรือกับเวลาเราตื่นนอนดีดผึง ใช่ไหมล่ะ ยังจะกลับมานอนอีก มันเข้ากันได้หรือ มันก็ไม่เห็นภัยในการหลับละซี จะหลับไปอีกละซิ นี่ละการฝึก

ที่โยมแม่พูดนี่เราไม่ลืม เราก็ไม่เคยมาพูดให้โยมแม่ฟังนะ ว่าเราไปฝึกตัวยังไง ๆ ออกจากแม่ไปแล้ว เราไปฝึกตัวเราแบบไหน ไม่เคยเล่าให้แม่ฟัง แต่แม่ต้องทราบที่อยู่วัดโยธาฯ เพราะวัดโยธาฯ กับบ้านตาด แม่จะไม่สังเกตสอดรู้ลูกของตัวได้ยังไง ใช่ไหม ลูกเป็นยังไง ๆ ก็ต้องสอดรู้อยู่งั้น เราก็ไม่มีอะไรให้แม่ให้พ่อเสียใจด้วยความอ่อนแอท้อแท้เหลวไหลนี่ไม่มี นอกจากเขาไปฟ้องท่านพระครูว่าท่านบัวจะเป็นบ้า แล้วเป็นยังไงถึงจะเป็นบ้า ไม่ทราบว่านอนเวลาไหน เขาไปทำบานประตูตึกสองชั้น เขาทำบานประตูจนกระทั่งออกพรรษา ๓ เดือน บานประตูหน้าต่างทุกสิ่งทุกอย่าง เขานอนอยู่ข้างนอก เราอยู่ข้างใน เขาก็สังเกตอยู่ตลอดละซิ เวลาไหนก็เหมือนว่าไม่มีหลับมีนอน ถ้าว่าจะไปเที่ยวไปกุฏิหลังไหน ไปเที่ยวอยู่กับใครก็ไม่เห็นไปไหน อยู่คนเดียวตลอด ๆ มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ

(เขา)จึงไปฟ้องท่านพระครูว่าคุณบัวจะเป็นบ้า เป็นบ้าเพราะอะไร ไม่รู้จักหลับจักนอนเลย เวลาไหนมีแต่ดูหนังสือ ๆ ตลอด ครั้นออกมาก็บ่นหนังสือสวดหนังสือพุม ๆๆ คือท่อง เขาก็เห็นแต่อย่างนั้น ถ้าขืนเป็นอย่างนี้ไปเดี๋ยวคุณบัวจะเป็นบ้านะ ท่านพระครูท่านก็กลัวลูกศิษย์ท่านอ่อนแอ ท่านก็ว่า หือ คุณบัวเธอหนุนอะไร หนุนหมอนหรือหนุนมะพร้าว เราว่าหนุนหมอน เฮ่ย.ข้าหนุนมะพร้าว ไปเรียนสนธิ์เรียนมูลฯ อยู่เมืองอุบลฯ โน่น ไปเรียนสนธิ์เรียนมูลฯ หนุนมะพร้าว พอมะพร้าวกลิ้งนี้ข้าลุกเลย ว่างั้น อันนี้ยังหนุนหมอนอยู่ อย่าไปบอกนะเดี๋ยวกำลังใจจะลด แล้วเขามาเล่าให้ฟัง พระครูเองท่านไม่เล่าแหละ เฉย แต่ท่านก็รู้ กิริยาท่าทางทุกอย่าง การกระทำทุกอย่าง เพราะยังงั้นถึงได้อยู่ใกล้ชิดกับท่านละซี แล้วท่านก็ได้รู้ทุกอย่างกับเรา

พูดถึงเรื่องการฝึกตั้งแต่วันไปบวช เริ่มฝึก การนอนฝึก ทุกอย่างฝึก จากนั้นแล้วพอบวชปั๊บ หลักธรรมหลักวินัยต้องเป็นชีวิตของพระ ให้เคลื่อนให้คลาดให้ด่างพร้อยไม่ได้เมื่อรู้อยู่ นอกจากเราไม่รู้มันไปโดนโทษเอาโดยสุดวิสัย อย่างนี้มันเป็นได้

เอา ยกตัวอย่างมันสุดวิสัย เช่น เขาเอาอันนี้มาวางไว้ที่นี่ อันนี้ยังไม่ประเคน นี่เป็นที่นั่งฉันจังหันของเรา เขามาวางไว้นี้เราไม่เห็นเวลามาวาง แต่เราเข้าใจว่าเป็นพระเอามาวางไว้เสีย ความจริงไม่ใช่พระ โยมเอามาวางเข้าใจไหม เมื่อโยมเอามาวางเรียกว่าของนี้ยังไม่ประเคน ใช่ไหมล่ะ เมื่อยังไม่ประเคนพระฉันลงไปปรับอาบัติ ทีนี้เราเข้าใจว่าประเคนแล้วก็ไปจับเอามาก็มาฉัน อย่างนี้ปรับอาบัติแล้วใช่ไหม นี่เป็นโทษได้โดยไม่มีเจตนาไม่รู้เรื่อง อย่างนี้เป็นไปได้ด้วยกันนั่นแหละ ที่จะให้มีเจตนาว่ายังไม่ประเคนจะมาฉัน โอ๋ย.ไม่ได้เลยเด็ดขาด นี่แหละพูดถึงมันสุดวิสัย มี นึกว่าของเขาประเคนแล้ว นึกว่าพระเอามาวางไว้ ที่ฉันอยู่ที่นี่นึกว่าพระเอามาวางไว้ข้าง ๆ ความจริงโยมหรือเด็กเขาเอามาวางไว้ เราไม่เห็น เวลาฉันแล้วจึงมีผู้บอก บอกที่ไหนได้มันฉันแล้ว นั่นละเป็นอาบัติแล้วเราก็ยอม อย่างนี้ท่านไม่ได้ถือว่ารุนแรง ถือเป็นธรรมดา ปรับโทษเป็นธรรมดา แสดงอาบัติยอมรับโทษเรื่องก็ผ่านไป ไม่ใช่เจตนา ถ้าเจตนานี้รุนแรงมาก ถึงโทษน้อยก็เพื่อมากได้ไม่สงสัย

วันนี้พูดถึงเรื่องการระมัดระวัง เรื่องศีลเรื่องธรรมปฏิบัติตลอดมา ก็ลำบากบวชทีแรก ก็เราอยู่ฆราวาสโกโรโกโสมีธรรมมีวินัยเมื่อไร พอไปบวชแล้วธรรมวินัยมัดตัว กิริยาทุกอย่างระมัดระวังกลัวผิดกลัวพลาด ขาดจากศีลจากธรรมไม่ใช่ของดี จากนั้นจนกระทั่งทางพระก็ค่อยชินไป ทีนี้เกี่ยวกับเรื่องธรรม ธรรมเวลาฝึกหัดทรมานทีแรกมันดีดมันดิ้นจิตใจ เพราะมันเคยเตลิดเปิดเปิงมาเป็นประจำ เวลาจะมาเข้ากรอบของศีลของธรรมมันไม่อยากเข้า มันคอยจะเตลิดเปิดเปิง นี้ก็บังคับยาก ๆ จากนั้นเข้าทางด้านภาวนาหนักเข้าไปอีก ยิ่งมัดกันเข้า หนักกันเข้า นี่ฝืนยากขนาดไหนล่ะ ฟังเอาซิ นี่ฝืนเป็นลำดับ ๆ ครั้นต่อมาค่อยชินเข้า ๆ ค่อยราบรื่นเข้าไป ส่วนที่ยังไม่ชินมันก็ฝืน ๆ ๆ เอากันไปเรื่อย ๆ ต่อไปมันก็ค่อยราบรื่น ๆ

จิตพอได้มีความสงบแล้วเห็นคุณค่าแห่งความสงบของตัวเอง ขยันหมั่นเพียรมากเข้า ถึงจะฝืนก็ฝืนกัน ตั้งหน้าตั้งตาฝืนจริง ๆ ไม่ท้อแท้อ่อนแอเพราะมีผลข้างหน้าอยู่แล้ว จากนั้นหนักเข้า ๆ จิตมีความสงบเยือกเย็นเป็นความสุข อยู่ที่ไหนสบาย ก็ยิ่งเพิ่มความพากเพียร ออกทางด้านปัญญา ปัญญาทีแรกก็ต้องลากออก มันไม่ยอมออก มันนอนตายอยู่ในสมาธิไม่อยากออก ลากออก ๆ พอปัญญาเห็นคุณค่าแล้วก็บึ่ง นั่นเห็นไหมล่ะ นี้ต้องฝืนทั้งนั้น ไม่ฝืนไม่ได้ ฝึกทั้งนั้นไม่ฝึกไม่ได้ นี่พูดถึงเรื่องการฝึก

ใจของเราดวงเดียวนี้แหละ เวลาเริ่มแรกฝึกแบบนี้ ต่อมาฝึกแบบนี้ฝึกแบบนั้น ๆ ไปเรื่อย แบบไหนที่ยังไม่เคยมันก็ฝืนเรา ๆ ก็ต้องต่อสู้กัน พอเคยกันไปแล้วก็ค่อยราบรื่น ๆ เรื่อย ๆ ไปอย่างนั้นนะ จนกระทั่งก้าวเข้าสู่ความเป็นเองของธรรมของความเพียรของสติปัญญา ก้าวขึ้นสู่สติปัญญาอัตโนมัติ อันนี้พูดไม่ได้ว่าฝืนนะ มีแต่พุ่ง ๆ เลยเทียว ยากลำบากมันก็ไม่ถือเป็นอุปสรรค มีแต่พุ่งจะเหยียบหัวกิเลสถ่ายเดียว หนักมากน้อยเท่าไรมีแต่หนักเพื่อจะเหยียบหัวกิเลสหนักเข้าเท่านั้น มันเลยลืมเรื่องเหล่านี้ นี่ละมันเป็นขั้น ๆ นะการฝึก

ถ้าถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติแล้ว ทั้ง ๆ ที่กิเลสก็มีอยู่แต่ความหวังนี้มันล้นพ้นนะ เพราะฉะนั้นความเพียรจึงกล้าละซิ คือขนาดได้รั้งเอาไว้ รั้งเอาไว้คือให้พออยู่พอดี ถึงเวลาหลับนอนก็หลับนอนบ้าง เข้าสมาธิภาวนาบ้าง พักผ่อนความสงบบ้าง ออกทางด้านปัญญาให้พอเหมาะพอดีบ้าง นั่น เรียกว่าพอดี ทีนี้เวลามันติดสมาธิก็ไม่พอดี นอนจมเหมือนหมูจมปลักอยู่งั้น หมูจมปลักเป็นยังไง แล้วเวลาออกทางด้านปัญญามันก็พุ่งของมันเลยแบบไม่มีเบรกห้ามล้อ มีแต่คันเร่งเตลิดเปิดเปิง มันก็ไม่รู้จักความพอดีละซิอย่างนั้น ก็ต้องมีครูมีอาจารย์คอยรั้งคอยบังคับเอาไว้ เราก็ก้าวเดินตามนั้น

พอก้าวเข้าถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติหมุนตัวไปเอง ๆ ความเพียรเป็นเอง ๆ ทีนี้เรื่องว่าฝืนไม่ฝืนมันไม่ถือเป็นอารมณ์ละ มีแต่จะเหยียบหัวกิเลสถ่ายเดียว มันจะหัวใหญ่เท่าหัวช้างก็ตามเหยียบหัวมันไปเลยไม่ถอย นี่การประกอบความพากเพียรให้ท่านทั้งหลายยึดไปเป็นหลักเป็นเกณฑ์นะ มันยากมันลำบากเป็นขั้นเป็นตอน ๆ แต่ไม่พ้นจากความอุตส่าห์พยายามของเราไปได้ จะราบรื่นในวันหนึ่งแน่นอน เพราะธรรมเป็นธรรมชาติที่ราบรื่น เมื่อเราเอาธรรมเข้ามาเป็นที่เกาะที่ยึดแล้ว ธรรมพาไปพาฝืนพาสู้เรื่อย ถ้ากิเลสพาสู้ สู้ลงเหวลงบ่อไปอย่างนั้นนะ นี้การฝึกตนให้พิจารณากันอย่างนั้นนะ

นี้ได้ถอดออกมาจากหัวใจมาสอนพี่น้องทั้งหลาย เพราะเป็นที่แน่ใจแล้ววิธีการของเราที่ดำเนินมาแล้วนี้ไม่ผิด เพราะถ้าผิดผลปรากฏขึ้นมาได้ยังไง นั่น ผลมากน้อยประจักษ์อยู่ที่ใจ ได้มาจากเหตุผลอย่างนั้น ๆ นั่นมันสืบเนื่องกันมา จนกระทั่งถึงสติปัญญาอัตโนมัตินี้โล่งไปหมดเลยที่จะหลุดพ้นจากทุกข์ นิพพานเหมือนอยู่ชั่วเอื้อม ๆ ขยับ ๆ เลย ไม่มีถอย ไม่ว่าอยู่เวลาใดธรรมเผลอไม่มี นี่จึงเรียกว่า ธรรมชาติเป็นเองไม่มีเผลอ ตื่นนอนพับเป็นอันเดียวกันแล้วสติปัญญา ติดแนบกันฟัดกันกับกิเลสแล้ว เป็นเอง ๆ ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ๆ แม้ฉันจังหันอยู่นี้อาหารเคี้ยวกันก้อบ ๆ เราเข้าใจหรือว่าจิตนี้จะมาพัวพันกับอาหาร มันไม่ได้อยู่นะ มันหมุนของมันอยู่โน้น อันนี้ก็เคี้ยวไปกลืนไปอย่างนั้นแหละ ส่วนกิเลสกับธรรมมันฟัดกันอยู่โดยอัตโนมัติ

เหมือนกับเราที่เซ่อ ๆ ซ่า ๆ อยู่นี้แหละ เวลาอยู่ที่ไหนทางเคี้ยว ๆ ไป กิเลสลากคอไป ๆ ทางนี้ก็เคี้ยวไป ตาก็เหม่อมองไป กิเลสลากคอไปเข้าใจเหรอ นั่น เวลากิเลสมีอำนาจมีแต่ลากไปเพลินไปกับมัน ทีนี้เวลาธรรมมีอำนาจถึงเคี้ยวก็เคี้ยวกลืนก็กลืนแต่มันไม่ได้สนใจ มันจะหมุนของมันอยู่นี้เข้าใจไหมล่ะ เวลาธรรมราบรื่นแล้วเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่เราจะลากไปตลอดเวลา ลำบากตลอดเวลา ถึงขั้นมันมุมานะมันเป็นของมันเอง คำว่าขี้เกียจขี้คร้านหายหน้าไปไหนไม่รู้นะ มันหายของมันไปเองตั้งแต่ความเพียรอัตโนมัตินี้ขึ้นเท่านั้นแหละ เรื่องความขี้เกียจขี้คร้านจึงรู้ว่ามันเป็นกิเลสทั้งนั้น เหยียบหัวมันไปแล้วผาง ๆ ปัญญาอัตโนมัติอยู่ที่ไหนเป็นความเพียรตลอด ๆ ตั้งแต่ขณะตื่นนอนจนกระทั่งหลับ ไม่มีเวลาพรากจากกันเลยระหว่างสติปัญญากับกิเลสฟัดกัน นี่เรียกว่าเป็นเอง

นี่ละธรรมะถึงขั้นเป็นเอง ก็เหมือนกิเลสเป็นเองนั้นแหละ กิเลสเป็นเองในหัวใจของสัตว์โลก เรากับเขาก็เหมือนกันนั่นแหละ มีแต่กิเลสดึงหน้าดึงหลังตลอดเวลา ในอิริยาบถต่าง ๆ กิเลสทำงานตลอดในหัวใจเรา ทีนี้เวลาธรรมมีกำลังแล้วธรรมทำงานตลอดแบบเดียวกันนะ จนกระทั่งกิเลสม้วนเสื่อเมื่อไรแล้วสติปัญญาถึงจะหยุด อันนี้มันก็หมุนของมันเต็มเหนี่ยว ๆ สติปัญญาอัตโนมัติเชื่อมกันเข้าไป ๆ กลายเป็นมหาสติมหาปัญญา เชื่อมโยงกันเข้าไปแล้วต่อกันเข้าไป ถึงขั้นมหาสติมหาปัญญานี้ซึมซาบไปเลย ไม่ได้เป็นแบบเขายำลาบปั๊ก ๆ ๆ สติปัญญายังเป็นบทเป็นบาท สติปัญญาอัตโนมัตินะ ยังรู้สึกเป็นบทเป็นบาท ละเอียดลออขนาดไหนมันก็ปั้บ ๆ ๆ ให้เห็นนี่

แต่พอมหาสติมหาปัญญาไม่ได้เป็นอย่างนี้นะ ซึมซาบไปเลย ซึมไปเลย ๆ ส่วนหยาบซึมหยาบ ส่วนละเอียดซึมละเอียด ซึมไปโดยอัตโนมัตินี่ให้ชื่อว่ามหาสติมหาปัญญา ไม่เช่นนั้นไม่ทันกิเลสตัวละเอียดแหลมคมมาก มหาสติมหาปัญญาเป็นอาวุธที่ทันสมัยกับกิเลสประเภทละเอียด มันเห็นชัด ๆ อย่างนั้นซิปฏิบัติธรรม แล้วจะไปทูลถามพระพุทธเจ้ายังไง ก็เรื่องพระพุทธเจ้าแสดงมาอย่างนี้ พระองค์ผ่านไปหมดแล้ว รู้หมดแล้วสอนไว้ถูกต้องแล้ว เมื่อได้เจอกันแล้วจะไปสงสัยยังไง มันก็หมุนเข้า ๆ ซึมซาบเข้า ๆ สิ่งไม่เคยรู้ ๆ สิ่งไม่เคยเห็น ๆ ตาเรานี้เห็นแต่รูป หูก็ได้ยินแต่เสียง จมูกก็ได้แต่กลิ่น ลิ้นได้แต่รสชาติ กายนี้ก็ได้แต่สัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งเท่านั้น ที่ละเอียดกว่านั้นไม่มีวิสัย ความรู้อันนี้เอาอันนี้เป็นเครื่องมือ

ใจของเราธรรมดาเอาตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นเครื่องมือให้ดู ให้รู้ให้เห็นให้ได้ยินได้ฟัง แต่ใจเป็นหลักธรรมชาติของตัวเอง เมื่อความรู้ของใจพอแล้วทางนี้ก็อาศัย เวลาจะหมุนมาทางนอกดูนั้นดูนี้ก็ดู ได้ฟังได้เห็นสัมผัสสัมพันธ์อะไรก็สัมผัสสัมพันธ์ แต่เวลาไม่ต้องการปุ๊บหมุนเข้าภายใน จิตเป็นธรรมชาติของตัวเองเครื่องมือพร้อมหมดแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องมาอาศัยตา หู จมูก ลิ้น กายละนะ ใจนี้แผ่ออกกระจายไปหมด ท่านว่าหูทิพย์ ตาทิพย์ พวกญาณหยั่งทราบ หยั่งทราบจากจิตทั้งนั้น ไม่ได้ออกมาจากหู ตา จมูก ลิ้น กายนะ ให้ฟังให้ดีนะ

นี่ละเป็นหลักธรรมชาติแท้ เมื่อจิตสำเร็จเข้าเป็นตัวของตัวแล้ว มาพร้อมอยู่นี้หมด อายตนะเครื่องสืบต่อก็คืออันนี้ออกเลย อายตนะร่างกายของเราตา หู จมูกเป็นอายตนะเครื่องสืบต่อกับรูป เสียง กลิ่น รส อายตนะ แปลว่าเครื่องสืบต่อกันประสานกัน ทีนี้เวลาจิตรวมตัวเข้าเป็นพลังเต็มที่แล้ว ภายนอกก็อาศัยอย่างโลกเขาอาศัยกัน แต่ภายในที่ต้องการจะ เอาภายในโดยเฉพาะ ไม่จำเป็นกับสิ่งเหล่านี้ ผึงเลยภายใน นั่น เข้าใจไหม นี้เป็นอายตนะสมบูรณ์แบบอยู่ในนั้นถ้าว่าอายตนะ แต่เราไม่อยากว่าอายตนะ ก็มันพร้อมแล้วทุกอย่างมันรู้อยู่นั้นหมดจะว่ายังไง ว่าอายตนะสืบต่อ สืบต่อไม่สืบต่อมันก็รู้ของมันอยู่นั้น นี่ละจิตถึงขั้นมันละเอียดแหลมคม

จึงว่าไม่มีอะไรเหนือจิตไปได้ จิตจะเป็นนักรู้ได้ทุกอย่าง อยู่กับจิตนี้หมดเลย เมื่อมันรู้รอบของมันทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ปล่อยหมดเลย รู้แล้วปล่อยหมด ทุกสิ่งทุกอย่างภายนอกปล่อยเข้ามา จนกระทั่งตัวของตัวก็ปล่อย ว่างหมด วางหมด นั่นละท่านว่านิพพานเที่ยง สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โลกเป็นของว่างเปล่า ว่างไปหมดไม่มีอะไรมาผ่านจิตใจเลย ถ้าว่าเป็นอิสระก็เต็มตัว พากันจำเอานะ การปฏิบัติศีลธรรมต่อตัวเองต้องปฏิบัติอย่างนี้ มาอยู่เลื่อน ๆ ลอย ๆ ไม่ได้นะ

อย่าไปเชื่อพวกเปรตพวกผีพวกยักษ์พวกมาร ที่มันสังหารชาติสังหารศาสนาอยู่เวลานี้ พวกนี้พวกกองสังหาร สังหารตนเป็นอันดับแรก แล้วก็สังหารผู้เกี่ยวข้องชาติ ศาสนา บ้านเมืองทั้งหลายให้แหลกเหลวไปตาม ๆ อย่าเอามาเป็นคติ อย่าเอามาเป็นแบบนะ ถ้าไม่อยากจมกันทั้งประเทศทั้งศาสนาของเรา ให้ฟังเสียงอรรถเสียงธรรม เสียงอรรถสียงธรรมไม่เคยทำผู้ใดให้ล่มจมแม้รายเดียวไม่มี แต่เรื่องของกิเลสมีเท่าไรจมไปด้วยกันหมดถ้าเชื่อมันนะ ถ้าไม่เชื่อไม่จม ให้จำคำนี้ให้ดี มันมีอย่างนี้ละ ดีกับชั่วเราจะไปตำหนิมันโดยถ่ายเดียวไม่ได้ ดีกับชั่วมันเป็นคู่แข่งกันมา กิเลสกับธรรมเป็นคู่แข่งกันมา มันต้องฟัดต้องเหวี่ยงกระทบกระเทือนกันอยู่ตลอดเวลา ดังที่เราเห็นอยู่เวลานี้

พูดเพียงแค่นี้ก็เข้าใจไม่ใช่เหรอ กำลังกระทบกระทบเรื่องชาติเรื่องศาสนา กับคนที่ว่าลูกของพระเจ้าพระสงฆ์ ลูกของชาติไทยนี้แหละ ลูกของพระพุทธเจ้านี้แหละ มันเป็นข้าศึกต่อกันกัดกันยิ่งกว่าหมาเวลานี้นะ ก็เพราะมันไม่ฟังเสียงอรรถเสียงธรรมเสียงเหตุเสียงผลนั้นเอง ถ้าฟังเสียงเหตุเสียงผล อะไรจะสมบูรณ์แบบยิ่งกว่าอรรถธรรมซึ่งเต็มไปด้วยเหตุผลแล้วล่ะ มาเถียงกันหาอะไร เข้าใจแล้วนะ นี่มันฝืนธรรมละซิ เอาละพอให้พร

เมื่อวานพวกโรงพยาบาลสังคม มาขอพวกอาหารการกินอะไรไปให้พวกยาเสพย์ติด เราบอกเราไม่เสริมยาเสพย์ติด เราไม่ให้ เพราะยาเสพย์ติดมันทั่วประเทศด้วยความลืมเนื้อลืมตัว เขาประกาศลั่นอยู่แล้วว่ายาเสพย์ติดเป็นพิษต่อชาติ มันก็ยังดื้อด้านเอามาอยู่ เราจึงไม่ไปเสริม ไม่ให้ แต่เมื่อเขามาแล้วเมื่อวานนี้ เพื่อไม่ให้เขาเสียเที่ยว เราก็ให้อาหารปกติตามที่โรงพยาบาลทั้งหลายมารับไป แล้วก็บอกกำชับว่า แต่นี้ไม่ได้ให้พวกยาเสพย์ติดนะ เดี๋ยวพอว่าให้พวกยาเสพย์ติดมันจะลุกกันใหญ่ลามกันใหญ่นะ เราจึงตัดไว้เลยไม่ให้ เราไม่เสริมพวกนี้ ก็ทราบกันมาเท่าไรแล้วว่าสิ่งเหล่านี้เป็นมหาภัย ทำไมมันไปกล้าหาญชาญชัยอะไร แล้วจะมาให้ยุ่งกับเราทำไม เราไม่ยุ่งด้วย

โอ๋ย.เสียมากนะพวกยาเสพย์ติดนี่ มันเป็นยังไงมนุษย์ชาติไทยเรานี้มันเป็นหมาไปหมดแล้วเหรอ คนทุกคนเด็กเกิดมามีพ่อมีแม่ โรงร่ำโรงเรียนครูอาจารย์เป็นพ่อเป็นแม่เป็นครูเป็นอาจารย์แนะนำสั่งสอนเด็กทุกวิถีทาง ทางไหนดีทางไหนชั่ว ไม่มีใครจะรู้เกินพ่อแม่และครูอาจารย์ตามโรงร่ำโรงเรียน แล้วทำไมจึงให้เด็กเสียคนตั้งมากมาย ผู้ใหญ่ก็เสียอย่าว่าแต่เด็กนะ ผู้ใหญ่ตัวเบิ้ม ๆ ทั้งนั้นแหละมันก็เสีย มันลืมเนื้อลืมตัวอะไรนักหนาชาติไทยเรานี้ มันไม่มีหัวใจบ้างเหรอ เราอยากจะถามว่า ชาติไทยของเราทั้งชาตินี่มันเป็นหมากันไปหมดแล้วเหรอ อยากถามว่าอย่างนี้ ถ้าเป็นคนทำไมไม่รู้ว่าสิ่งใดเสียหายไม่เสียหาย

ยาเสพย์ติดมันสังหารคนทั่วโลกดินแดน มันสังหารแต่เมืองไทยเราเมื่อไร แล้วเหตุใดเมืองไทยเราเท่านี้จะไม่รู้สิ่งเหล่านี้ว่าเป็นของเสียหาย กำเริบเสิบสานสั่งมาหาอะไร ถ้าไม่อยากมาสังหารชาติไทยของเรา เราอยากถามว่าอย่างนี้นะ ก็มันดื้อด้านจริง ๆ ไม่ใช่ว่าไม่รู้ตัว มันแฝงเข้ามา ๆ โดยไม่รู้ อันนี้มันรู้จริง ๆ นี่นะ มันถึงน่าว่ากันอย่างนี้ซิ ถ้าควรหนักต้องหนัก มันเป็นยังไงพ่อแม่ของลูกเต้าครูอาจารย์ตามโรงร่ำโรงเรียน มันเป็นยังไงมีหูมีตาไหม ไม่ดูเด็กของตัวเองดูใคร

พ่อแม่ไม่ดูลูกดูใคร ครูอาจารย์ไม่ดูเด็กนักเรียนดูใคร ใครเป็นหัวหน้าไม่ดูลูกน้องดูใคร เราอยากถามว่าอย่างนี้นะ ถ้าดูตามีก็ต้องเห็นละซิ แล้วทำไมไม่จำกัดบังคับบัญชากันเชื่อความดีเสียหายที่ตรงไหน ปล่อยให้เลยตามเลยมันเสียทั้งประเทศ เป็นประเทศหมาเมืองไทยไปหมดแล้วว่าไง มันน่าคิดไหมเรื่องเหล่านี้ เราฝากคำนี้ไว้ให้พี่น้องทั่วประเทศไทยได้พิจารณานะ เราในฐานะที่ว่าเป็นผู้นำพี่น้องทั้งหลายโดยทางอรรถทางธรรม เราจึงสอนเต็มเม็ดเต็มหน่วย

ท่านทั้งหลายอย่ามาคิดว่าหลวงตาบัวนี้พูดหยาบพูดโลน ความเสียหายที่เด็กหรือผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพย์ติด มันร้ายแรงขนาดไหน คำพูดหลวงตานี้ฉุดลากออกมาจากฟืนจากไฟเป็นความเสียหายไปแล้วเหรอ เอามาพิจารณาซิ เอาละพอ เอาไปพิจารณากัน โอ๊ย.มันน่าโมโหนะ เอาเด็ด ๆ เสียบ้าง ไม่งั้นไม่รู้ตัว ต้องเอาเด็ด ๆ เสียบ้าง ไปละ ว่าจะไป ลวดลายมันยังมียังขึ้นมาอีกอยู่ เอาหางฟาดก็เอาเสือ ตัวไปแล้วเอาหางฟาดก็เอา มันน่าโมโห มันน่าคิดนะ มันทำไมไม่คิดกัน มันยังโมโหอยู่นะเดี๋ยวนี้ ไปแล้วมันยังไม่อยากไปนะ มันยังโมโห ไปละ โมโหก็ช่าง

อ่านธรรมะหลวงตา วันต่อวัน ทางอินเตอร์เน็ต www.luangta.com


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก